Chalermkiat Mina

วันจันทร์, กรกฎาคม 31, 2566

มินามีเรื่องเล่า พระยาทุกขราษฎร์ (ช่วย)

มินามีเรื่องเล่า พระยาทุกขราษฎร์ (ช่วย)

ตรงสามแยกท่ามิหรำ ตำบลท่ามิหรำ อำเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง มีอนุสาวรีย์วีรชนชาวพัทลุงตั้งตระหง่านให้ผู้คนได้กราบไหว้บูชา นั่นคือ อนุสาวรีย์พระยาทุกขราษฎร์ (ช่วย) 

พระยาทุกขราษฎร์ (ช่วย) ท่านเป็นใคร มีความสำคัญอย่างไร ขอเล่าให้ฟังกันครับ

ท่านช่วย เป็นบุคคลที่ ๒ ในจำนวนบุตร ๓ คนของขุนศรีสัจจัง ท่านเกิดที่บ้านน้ำเลือด หมู่ที่ ๕ ตำบลท่ามิหรำ อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง 

สันนิษฐานว่าท่านคงเกิดในราวปี พ.ศ. ๒๒๘๒ ในแผ่นดินของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ (ทรงครองราชย์ระหว่างปีพ.ศ. ๒๒๗๕- ๒๓๐๑)

เมื่อมีอายุได้ ๑๓ ปี บิดามารดาได้นำเด็กชายช่วยไปฝากเรียนหนังสือขอมและไทยกับท่านสมภารวัดควนปรง ซึ่งเป็นวัดอยู่ใกล้บ้าน 
ด้วยนิสัยรักการศึกษาค้นคว้าหาความรู้มาแต่เด็ก ท่านได้บรรพชาเป็นเณรในปีเดียวกัน

สามเณรช่วยได้ศึกษาพระธรรมวินัยอย่างแตกฉานจนสอบผ่านได้เป็นสามเณรเปรียญ 

ต่อมาท่านได้อุปสมบทที่วัดเขาอ้อ ตำบลมะกอกเหนือ อำเภอควนขนุน วัดเขาอ้อเป็นวัดที่มีชื่อเสียงด้านไสยศาสตร์เป็นที่นิยมของชาวเมืองพัทลุงและหัวเมืองใกล้เคียง 

เชื่อกันว่าพระมหาช่วยได้ศึกษาด้านไสยศาสตร์กับพระอาจารย์ทองเกจิอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญไสยเวทย์วิทยาคมที่มีชื่อเสียงที่วัดเขาอ้อ อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง

ประมาณปี พ.ศ. ๒๓๑๕ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) ได้เป็นเจ้าเมืองพัทลุง ท่านได้ย้ายที่ตั้งเมืองจากบ้านท่าม่วง ตำบลพญาขัน ไปตั้งใหม่ที่บ้านโคกสูง ตำบลลำปำ อำเภอเมืองพัทลุง 

พระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) เดิมนับถือศาสนาอิสลามแต่ต่อมาเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ นะครับ

ในช่วงนั้นวัดป่าลิไลย์ ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ตั้งอยู่ใกล้ตัวเจ้าเมืองชำรุดทรุดโทรมมาก พระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) และชาวเมืองได้ทำการบูรณะวัดแล้วนิมนต์พระมหาช่วยมาเป็นเจ้าอาวาสที่วัดป่าลิไลย์ 
ช่วงนั้นท่านเป็นภิกษุหนุ่มมีอายุเพียง ๓๓ ปี สมภารช่วย เปิดสำนักเรียนสอนพระปริยัติธรรมและภาษาบาลี ศิษย์บางคนก็ฝึกด้านไสยศาสตร์วิทยาคม 

เจ้าอาวาสวัดป่าลิไลย์ได้รับความเคารพศรัทธาเป็นอย่างดีจากพระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก)

บทบาทของพระมหาช่วยในสงครามเก้าทัพ 

ต่อมา ในสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เกิดสงคราม ๙ ทัพในปี พ.ศ. ๒๓๒๘ พระเจ้าปดุง กษัตริย์พม่ายกกำลังพม่าจำนวน ๑๔๔,๐๐๐ คน จัดเป็น ๙ ทัพ บุกเข้ามาในประเทศไทย ด้านการสู้รบทางปักษ์ใต้ของไทย กำลังพลของพม่าเข้าตีเมืองกระบุรี ระนอง ชุมพร ไชยา ถลางและยึดเมืองนครศรีธรรมราชไว้ได้ และเตรียมกำลังเพื่อจะตีเมืองพัทลุงและสงขลาต่อไป

ฝ่ายเมืองพัทลุงนั้น พระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) ทราบข่าวว่าพม่าจะมาตีเมืองพัทลุง ท่านเรียกกรมการเมืองประชุมที่วัดป่าลิไลย์ ที่ประชุมเห็นว่า ควรหลบหนี แต่พระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) และพระมหาช่วย เจ้าอาวาส เห็นว่าไม่ควรหลบหนี เป็นชายชาติทหารเกิดบนแผ่นดิน ถ้าจะตายจะขอตายบนแผ่นดินนี้ และไว้ชื่อให้ลูกหลานได้จดจำ
กรมการเมืองรวบรวมผู้คนได้ประมาณ ๑,๐๐๐ คน เพื่อเตรียมต่อสู้ พระมหาช่วยทำพิธีทางไสยศาสตร์ปลุกเสกเครื่องรางของขลัง ได้ลงเลขยันต์ ตะกรุด ผ้าประเจียดแจกให้พวกทหารทุกคน เพื่อให้อยู่ยงคงกระพันและเป็นขวัญกำลังใจในการสู้รบ พร้อมกันนี้ท่านยอมขึ้นนั่งบนคานหามไปในกองทัพเพื่อเป็นกำลังใจแก่ทหารเมือง

พระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) แต่งทัพไปรับพม่าที่ตำบลคลองท่าเสม็ด พม่าได้มาตั้งค่ายประชิดคนละฟากคลอง แต่ยังไม่ทันรบกันพม่าก็ถอยทัพกลับไป ด้วยได้ข่าวว่ากองทัพจากกรุงเทพฯ ยกกำลังมาช่วยเหลือ

พระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) และพระมหาช่วยได้เดินทางไปที่เมืองสงขลาเพื่อเข้าเฝ้ากรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท พระอนุชาของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ที่ทรงยกทัพหลวงมาขับไล่พม่า ขณะนั้นทรงประทับที่เมืองสงขลา 

พระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) กราบทูลความชอบของพระมหาช่วยในด้านการทำสงคราม 

พระมหาช่วยเห็นว่าท่านได้ทำเกินวิสัยสมณะด้านการส่งเสริมการสู้รบ จึงได้ลาสิกขาบท กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทจึงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ท่านช่วยเป็น พระยาทุกขราษฎร์ (ช่วย) ผู้ช่วยราชการเมืองพัทลุง 

พระยาทุกขราษฎร์ (ช่วย) มีภรรยาคนแรกชื่อ นุ่ม ชาวบ้านตำบลตำนาน มีบุตรด้วยกัน ๒ คน แต่ไม่ปรากฏชื่อ ต่อมาภรรยาคนแรกถึงแก่กรรม 


ท่านจึงมีภรรยาคนที่ ๒ ชื่อ เกด อยู่แถวบ้านนาค่อม มีบุตร ๑ คน แต่ไม่ปรากฏนามเช่นกัน

ท่านถึงแก่อนิจกรรมประมาณต้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

นับได้ว่า พระยาทุกขราษฎร์ (ช่วย) เป็นวีรชนคนกล้าของเมืองพัทลุงท่านหนึ่ง ที่ชาวพัทลุงน้อมรำลึกถึงคุณงามความดีของท่าน และมาสักการะบูชาอนุสาวรีย์ของท่านตลอดมา
ร้อยตรีอนุกูล สุภาไชยกิจ อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุงเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๙ มีความคิดริเริ่มในการสร้างอนุสาวรีย์นี้เพื่อแสดงความกตัญญูกตเวทีแด่พระยาทุกขราษฎร์ (ช่วย) ผู้ซึ่งปกป้องแผ่นดินพัทลุงให้รอดพ้นจากข้าศึกและเป็นที่สักการะของคนทั่วไป 

ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๓๕ นายไพโรจน์ พรหมสาส์น ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุงได้สนับสนุนการจัดงานหาทุนและลงนามแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการจัดสร้างอนุสาวรีย์พระยาทุกขราษฎร์ขึ้น

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้มาเป็นประธานในการวางศิลาฤกษ์ เมื่อวันที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๖ ณ บริเวณสามแยกท่ามิหรำ

อนุสาวรีย์พระยาทุกขราษฎร์เป็นอนุสรณ์แห่งคุณงามความดีของวีรชนชาวพัทลุงที่เสียสละกล้าหาญ ปกป้องแผ่นดินพัทลุง เป็นตัวอย่างให้อนุชนรุ่นหลังได้ยึดถือต่อไป

*************&*
ข้อมูลประกอบการเล่าเรื่อง
- การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย.  ๒๕๕๖.  ทรัพยากรท่องเที่ยวไทย ชุดภาคใต้ พัทลุง
- หลวงศรีวรฉัตร์ (พิญ จันทโรจวงศ์) พงศาวดารจังหวัดพัทลุง ในหนังสืออนุสรณ์พระราชทานเพลิงศพ นายเจน ฤทธิเดช ท.ช. ท.ม. ๒๕๓๐ หน้า ๑๑๐
- ถนอม พูนวงศ์.  (๒๕๕๙).  ประวัติศาสตร์เมืองพัทลุง.  กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์.

วันอาทิตย์, กรกฎาคม 30, 2566

มินามีเรื่องเล่า พลเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน กับงานด้านกิจการรถไฟ

มินามีเรื่องเล่า พลเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน กับงานด้านกิจการรถไฟ
............
สวัสดีครับ ผมมาถึงเมืองพัทลุงเรียบร้อยแล้ว และขออนุญาตเล่าพระภารกิจด้านกิจการรถไฟของ พลเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน นะครับ

ในปี พ.ศ. ๒๔๓๓ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ ตั้งกรมรถไฟขึ้น สังกัดอยู่ในกระทรวงโยธาธิการ โดยมีนายช่างชาวเยอรมัน เป็นเจ้ากรมรถไฟ และมีชาวต่างประเทศเป็นผู้ควบคุมการบริหารทั้งหมด 

กิจการรถไฟดำเนินการไปจนเมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม พ.ศ. ๒๔๕๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งแผนกรถไฟ ในกองทัพบก โดยส่งนายทหารไปฝึกหัดการเดินรถไฟและงานช่างกลในโรงงานมักกะสัน 

ต่อมาเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๑ ในปี พ.ศ. ๒๔๕๙ ประเทศไทยอยู่ฝ่ายสัมพันธมิตร ทำให้ตำแหน่งเจ้ากรมรถไฟสายเหนือว่างลง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖) จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมขุนกำแพงเพ็ชรอัค
รโยธิน รักษาราชการในตำแหน่ง เจ้ากรมรถไฟสายเหนือ 

ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๖๐ กรมขุนกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน ทรงได้รับการแต่งตั้งให้ ดำรงตำแหน่งผู้บังคับบัญชากรมรถไฟหลวง 

พระองค์ทรงเป็นคนไทยพระองค์แรกที่ดำรงตำแหน่งนี้ โดยในช่วงแรกที่พระองค์เข้ารับตำแหน่งนั้นมีคนไทยทำงานกับกรมรถไฟอยู่น้อยมาก ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ มีทั้งเยอรมัน อังกฤษ อิตาเลียน อินเดีย ซีลอน (ศรีลังกา) และชาวพม่า 

กรมขุนกำแพงเพ็ชรอัครโยธินจึงทรงระดมคนไทยจากทหารช่าง กรมแผนที่ และคนไทยที่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้จากห้างร้านต่าง ๆ เพื่อให้เข้ามาทำงานรถไฟ และยังทรงฝึกฝน แนะนำสั่งสอนคนไทย ให้มีความสามารถในกิจการรถไฟด้วยพระองค์เองอีกด้วย

นอกจากนี้ พระองค์ยังขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตส่งนักเรียนไทยไปศึกษาในต่างประเทศ เพื่อศึกษาวิชาการรถไฟและการพาณิชย์ โดยรุ่นแรก ๆ ได้ส่งไปประเทศสหรัฐอเมริกา ต่อมาจึงส่งไปประเทศฝั่งยุโรป เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่า 

เมื่อนักเรียนเหล่านี้สำเร็จการศึกษาแล้ว จึงได้กลับมารับราชการในกรมรถไฟหลวง พระองค์ทรงเห็นว่ากิจการรถไฟเป็นเรื่องที่มีความสำคัญสำหรับประเทศ จึงทรงบุกเบิก พัฒนาและวางรากฐานกิจการรถไฟให้เจริญรุดหน้าในหลายด้าน อาทิ การรวมกรมรถไฟสายเหนือและสายใต้เป็นกรมเดียวกัน จัดให้มีพระราชบัญญัติจัดวางการรถไฟให้เป็นมาตรฐานสากล การขยายเส้นทางเดินรถไฟสายใต้ สายเหนือ สายตะวันออกเฉียงหนือ และสายตะวันออก

พระองค์ทรงปรับปรุงการให้บริการและบุคลากรของกรมรถไฟ ตลอดจนการสร้างรถไฟพระที่นั่ง อีกทั้งทรงนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาพัฒนากิจการรถไฟให้บังเกิดผลดีรวดเร็ว และสะดวกในการปฏิบัติงาน ทรงปรับปรุงสัญญาณประแจกลและโทรคมนาคมของกรมรถไฟหลวง โดยริเริ่มใช้โทรศัพท์ทางไกล โทรศัพท์อัตโนมัติ และเครื่องตราทางสะดวกแทนการขอทางด้วยเครื่องโทรเลข ตลอดจนการใช้รถจักรดีเซลและการเดินรถด้วยไฟฟ้า
 
นอกจากนี้ พระองค์ยังได้ทรงดำริที่จะสร้างไซโล (Silo) ขึ้นไว้ตามสถานีที่มีการขนส่งข้าวเปลือกจำนวนมากทางรถไฟ
 
มีการสร้างทางคู่ในตอนที่จำเป็น การเปิดเดินรถไฟในเวลากลางคืนอีกด้วย นะครับ

ด้วยพระดำริและพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ที่ทรงมีต่อกิจการงานของรถไฟ ก่อให้เกิดคุณประโยชน์ และความเจริญก้าวหน้าแก่ประเทศชาติ ตลอดจนประชาชนคนไทยอย่างมหาศาล จึงทรงได้รับการขนานพระนามเป็น "บิดาแห่งกิจการรถไฟไทยยุคใหม่" นะครับ

นับได้ว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ที่มีต่อกิจการรถไฟของไทยเป็นอย่างยิ่ง 

นอกจากนี้พระองค์ยังมีบทบาทสำคัญในการพัฒนางานด้านการโรงแรมและการท่องเที่ยว งานด้านการทหารช่าง งานด้านการสื่อสาร  ซึ่งพระองค์ทรงก่อกำเนิดทหารสื่อสาร นอกจากนี้ยังมีงานด้านการพาณิชย์และการออมเงิน อีกด้วย

ด้วยพระภาระงานมากมายในหลายด้าน ทำให้มีพระอนุสาวรีย์และพระรูปหล่อของพระองค์ท่านในหน่วยงานต่าง ๆ เช่น ที่บริเวณตึกบัญชาการ การรถไฟแห่งประเทศไทย ที่โรงแรมรถไฟหัวหิน ที่กองบัญชาการกรมการทหารช่าง ค่ายภาณุรังษี จังหวัดราชบุรี ที่กองทหารสื่อสาร ที่ค่ายกำแพงเพชรอัครโยธิน จังหวัดสมุทรสาคร และที่ธนาคารออมสิน สำนักงานใหญ่ เป็นต้น

ขอน้อมรำลึกพระกรุณาธิคุณของพระองค์ครับ

ข้อมูลประกอบการเล่าเรื่อง
- วารสารรถไฟสัมพันธ์ Volume 6 : 2022
- ราชสกุลวงศ์

วันเสาร์, กรกฎาคม 29, 2566

มินามีเรื่องเล่า พระประวัติ พลเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน

มินามีเรื่องเล่า พระประวัติ พลเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน

สวัสดีครับ วันนี้ผมใช้บริการรถไฟทักษิณารัถย์เพื่อเดินทางไปพัทลุง

พูดถึงรถไฟ รู้สึกว่าผูกผันกับทุกคน โดยเฉพาะกับตัวผมเมื่อสมัยยังเป็นเด็กบางซื่อ กรุงเทพฯ บ้านอยู่ไม่ไกลจากสถานีบางซื่อ เดินเล่น เตะฟุตบอลแถวย่านพหลโยธิน เดี๋ยวนี้เป็นพื้นที่ของสถานีกลางบางซื่อ (Bang Sue Grand Station) ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ (Krung Thep Aphiwat Central Terminal Station) 
แต่ผมไม่ได้พูดถึงสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์นะครับ จะขอเล่าถึงพระประวัติของพลเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน ผู้เป็นพระบิดาแห่งการรถไฟไทยยุคใหม่นะครับ

พลเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน ทรงพระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ ๓๕ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่๕) กับเจ้าจอมมารดาวาด (สกุลเดิม กัลยาณมิตร) ประสูติเมื่อวันจันทร์ เดือน ๓ ขึ้น ๔ ค่ำ ปีมะเส็ง ตรงกับวันที่ ๒๓ มกราคม พ.ศ. ๒๔๒๔ ทรงเป็นต้นราชสกุล ฉัตรชัย ณ อยุธยา 

พลเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธินทรงศึกษาหนังสือไทยที่โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ  ในพระบรมมหาราชวัง โดยมีพระยาโอวาทวรกิจ (แก่น) เป็นผู้ถวายพระอักษร 
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๓๗ เสด็จไปทรงศึกษาทางด้านโยธาธิการในยุโรป ที่โรงเรียนแฮโรว์ ประเทศอังกฤษ และทรงไปศึกษาวิชาวิศวกรรมที่ตรินิตี้คอลเลจ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ และวิชาทหารช่างที่แชทแฮม ประเทศอังกฤษ 

พระองค์ทรงดำรงตำแหน่งที่สำคัญ ทั้งทหารและพลเรือน ตามลำดับ ดังนี้ ครับ

- วันที่ ๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๕ ได้รับพระยศเป็น นายร้อยตรี เหล่าทหารช่าง 
- วันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๔๗ ทรงรับสัญญาบัตรเป็น นายพันตรี เหล่าทหารช่าง 

- วันที่ ๒๑ กันยายน พ.ศ. ๒๔๔๙ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าๆ ให้เลื่อนพระยศเป็น นายพันเอก จเรทหารช่าง 

- วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๙ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากรเป็นกรมหมื่นกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน 

- วันที่ ๑๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๑ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนพระยศเป็น นายพลตรี และเป็น ผู้บัญชาการกองพลที่ ๑ รักษาพระองค์ เป็นราชองครักษ์พิเศษ และทรงดำรงตำแหน่ง จเรทหารช่าง 

- วันที่ ๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๕๔ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงดำรงตำแหน่ง แม่ทัพกองทัพที่ ๑ 

- วันที่ ๑๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๕ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าๆ ให้เลื่อนพระยศเป็น นายพลโท 

- วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทรงดำรงตำแหน่ง จเรทหารบก และจเรทหารช่าง 

- วันที่ ๑๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๙ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาพระอิสริยยศเป็น กรมขุนกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน 

- วันที่ ๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๐ ทรงดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกรมรถไฟหลวงชั่วคราว 

- วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๒ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าๆ ให้เลื่อนพระยศเป็น พลเอก 

- วันที่ ๑๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๕ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนพระอิสริยยศเป็น กรมหลวงกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน 

- วันที่ ๑๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๙ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทรงดำรงตำแหน่ง เสนาบดีกระทรวงพาณิชย์ และคมนาคม 

- วันที่ ๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๒ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนพระอิสริยยศเป็น พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำาแพงเพ็ชรอัครโยธิน ประชาธิบดินทรเจษฎภาดา ปิยมหาราชวงศ์วิศิษฎ์ อเนกยนตรวิจิตรกฤตยโกศล วิมลรัตนมหาโยธาธิบดี ราชธุรันธรีมโหฬาร พาณิชยการคมนาคม อุดมรัตนตรัยสรณธาดา มัททวเมตตาชวาศรัย ฉัตรชัยดิลกบพิตร

- วันที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๔ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็น อภิรัฐมนตรี 

ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในประเทศไทย เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ พลเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพ็ชรอัคร์โยธิน ทรงพาครอบครัวเสด็จประทับ ณ ประเทศสิงคโปร์ และสิ้นพระชนม์ที่ประเทศสิงคโปร์ เมื่อวันที่ ๑๔ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ คำนวนพระชันษาได้ ๕๔ ปี ๗ เดือน ๒๒ วัน พระชายาได้เชิญพระศพกลับประเทศไทย 

พระศพของพระองค์ประดิษฐาน ณ พระที่นั่งทรงธรรม วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร ได้มีพิธีพระราชกุศลทักษิณานุปทานในวันที่ ๘-๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ และมีพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ เมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๐ ณ พระเมรุ วัดเทพศิรินทราวาส 

ด้วยพระเกียรติคุณนานัปการของพลเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน ทางราชการจึงได้กำหนดให้วันที่ ๑๔ กันยายนของทุกปีเป็น "วันบุรฉัตร" 

ภายหลังเมื่อมีการตัดถนนเชื่อมระหว่างถนนพหลโยธินกับถนนวิภาวดีในพื้นที่ของการรถไฟฯ ในปีพุทธศักราช ๒๕๒๑ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุยเดช บรมนาถบพิตร สมเด็จพระบรมชนกนาถ (รัชกาลที่ ๙) จึงทรงพระราชทานนามว่า "ถนนกำแพงเพชร" เพื่อระลึกถึงพระองค์

ด้านพระมหากรุณาธิคุณที่มีต่อกิจการรถไฟ ขออนุญาตนำเสนอในวันพรุ่งนี้ เมื่อผมเดินทางถึงพัทลุงแล้วนะครับ

ข้อมูลประกอบการเล่าเรื่อง
- วารสารรถไฟสัมพันธ์ Volume 6 : 2022
- ราชสกุลวงศ์

วันพุธ, กรกฎาคม 26, 2566

มินามีเรื่องเล่า สร้อยคอที่หาย และ la Parure


มินามีเรื่องเล่า สร้อยคอที่หาย และ la Parure

เมื่อตอนที่ผมยังเป็นนักเรียนมัธยมศึกษา ผมจำได้ว่า มีครูที่ไม่ได้อยู่ในห้องสอนท่านหนึ่ง ครูท่านนี้ทำให้ผมประทับใจมาจนถึงปัจจุบันนี้ ครูท่านนี้ชื่อ “แม่สร้อยเกษณี”

ผมได้อ่านเรื่องสั้นเรื่อง “สร้อยคอที่หาย” ซึ่งเป็นพระนิพนธ์ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ครูแม่สร้อยเกษณีสั่งสอนผมให้รู้ว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ

ต่อมาเมื่อผมได้เรียนวิชาเอกภาษาฝรั่งเศส ผมได้มีโอกาสพบครูผู้เป็นต้นฉบับของฝรั่งเศสชื่อ Mathilde Loisel จากการอ่านเรื่องสั้นต้นฉบับของ กีย์ เดอ โมปาสซ็องต์ (Guy de Maupassant) เรื่อง La Parure ผมยิ่งมีความสุขที่ได้รับอรรถรสและคติสอนใจจากครูแม่สร้อยเกษณีและครู Mathilde

วันนี้ผมจึงขอให้คุณครูแม่สร้อยเกษณีและคุณครู Mathilde มาสอนผมอีกครั้งนะครับ

ก่อนอื่นผมขอเล่าประวัติความเป็นมาของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ก่อนนะครับ

พระองค์เป็นพระโอรสของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับเจ้าจอมมารดาเขียน

ทรงมีพระนามเดิมว่า พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าวรรณากร

พระองค์ทรงเป็นพระบิดาแห่งการละครร้อง บทละครร้องของพระองค์ที่สำคัญได้แก่ สาวเครือฟ้าและบทละครพูดเรื่องสร้อยคอที่หาย

นอกจากนี้ยังมีผลงานของพระองค์มากมาย ทรงใช้นามปากกาว่า ประเสริฐอักษร

พระองค์เจ้าชายวรวรรณากร (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์) ประสูติเมื่อวันพุธที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๐๔ สิ้นพระชนม์เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๔  พระชันษา ๗๐ ปี

ส่วนประวัติของ Guy de Maupassant ผมจะนำมาเล่าให้ฟังในตอนต่อไปนะครับ


 ********
Mina’s Stories: Teacher Mae Kaysani and Teacher Mathilde

I remember when I was a secondary school student. I met a teacher who was not in the classroom. Her name is Mae Kaysani. She is the main character in the short story of “Soi Khor Thi Hay” (The lost necklace), written by Phra Chao Boromawongtheu Krom Phra Narathip Phraphanphong.

When I was a university student, I had a chance to meet Teacher Mathilde. She was the main character in “La Parure”, written by the great French writer, Guy de Maupassant.

Therwo teachers taught me a life lesson. Today, I would like them to come to teach me again.
********
Histoires de MINA: Professeur Mae Kaysani et Professeur Mathilde

Je me souviens quand j'étais lycéen. J'ai rencontré un professeur qui n'était pas dans la classe. Elle s'appelle Mae Kaysani. Elle est le personnage principal dans la nouvelle de « Soi Khor Thi Hay » (Le collier perdu), écrite par Phra Chao Boromawongtheu Krom Phra Narathip Phraphanphong.

Lorsque j'étais étudiant à l'université, j'ai eu la chance de rencontrer le professeur Mathilde Loisel. Elle est le personnage principal de « La Parure », écrit par le grand écrivain français Guy de Maupassant.

Les deux professeurs m'ont donné une leçon de vie. Aujourd'hui, j'aimerais que Kru Mae Kaysini et Kru Mathilde viennent m'enseigner encore une fois.
***************** 

วันอาทิตย์, กรกฎาคม 23, 2566

มินามีเรื่องเล่า ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ปัตตานี ตอนที่ ๑

 


มินามีเรื่องเล่า ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ปัตตานี ตอนที่ ๑

เธอมีชื่อว่าลิ้มกอเหนี่ยว แต่อาจจะมีชื่อเรียกอื่น ๆ เช่น เก๊าเนี่ยว หรือหลินกูเหนียง หรือหลิมกอเหนี่ยว หรือลิ่มโกเหนี่ยว หรือจินเหลียน หรือเจ้าแม่ทับทิม

เธอเป็นบุตรีของหลินย่วน ผู้บัญชาการทหารแห่งอำเภอผูเถียน มณฑลฝูเจี้ยน หรืออาจเรียกว่ามณฑลฮกเกี้ยน ในสมัยของจักรพรรดิซ่งไท่จู หรือซ่องไทโจ๊ว

เธอเกิดในรัชสมัยจักรพรรดิหมิงซื่อจง หรือพระนามหมิงเจียจิ้ง เธอเกิดในอำเภอฮุ่ยไล้ มณฑลฮกเกี้ยน เป็นชาวเมืองจั่วจิวในหมู่บ้านเที้ยเพ็ง

ทำไมเธอจึงมีประวัติคล้ายท่านลิ้มโต๊ะเคี่ยมที่เราเคยรู้จักกันแล้ว

แน่นอน ลิ้มกอเหนี่ยวเป็นน้องสาวของท่านลิ้มโต๊ะเคี่ยม

เมื่อบิดาเสียชีวิต พี่ชายคือลิ้มโต๊ะเคี่ยมเดินทางไปอยู่ปัตตานี ลิ้มกอเหนี่ยวต้องคอยเฝ้าปรนนิบัติมารดาอยู่คนเดียว วันหนึ่งท่านลิ้มกอเหนี่ยวได้เดินทางมาตามหาพี่ชายถึงเมืองปัตตานี จุดประสงค์คือต้องการให้พี่ชายกลับไปดูแลครอบครัวที่ประเทศจีน

ท่านลิ้มโต๊ะเคี่ยมกลับไหมครับ ไม่ครับ ท่านไม่กลับ ท่านบอกว่าตนเองถูกกล่าวหาว่าเป็นโจรสลัดไปแล้ว อีกทั้งสัญญากับเจ้าเมืองปัตตานีว่าจะสร้างมัสยิดกรือเซะให้สำเร็จ อย่าลืมว่าท่านลิ้มโต๊ะเคี่ยมนับถือศาสนาอิสลามแล้ว

มีคำถามว่าท่านลิ้มโต๊ะเคี่ยมสร้างมัสยิดกรือเซะสำเร็จหรือไม่ เดี๋ยวมาดูคำตอบกันครับ

สรุปคือท่านลิ้มโต๊ะเคี่ยมฝากทรัพย์สินเงินทองให้น้องสาวนำกลับไปยังบ้านเกิด ท่านลิ้มกอเหนี่ยวขอพักอยู่ที่ปัตตานีชั่วคราว และคิดหาโอกาสอ้อนวอนพี่ชายให้กลับไปเมืองจีนต่อไป

ทว่า ในเวลานั้น เจ้าเมืองปัตตานี คือพระนางรายาบีรู หรือราชินีน้ำเงิน ได้ถึงแก่อสัญกรรม แล้วเกิดอะไรขึ้นครับ

เกิดกบฏขึ้นในเมืองปัตตานี ท่านลิ้มโต๊ะเคี่ยมและท่านลิ้มกอเหนี่ยว พี่น้องสองศรีได้เข้าช่วยเหลือทางการปราบกบฏด้วย

ผลเป็นอย่างไรครับ ตำนานเรื่องนี้กล่าวว่า พ่ายแพ้ต่อกบฏ ท่านลิ้มกอเหนี่ยวได้กระทำอัตวินิบากกรรม คือฆ่าตัวตายในสนามรบทันที

มาถึงตรงนี้ เรื่องการเสียชีวิตของท่านลิ้มกอเหนี่ยวนั้น ขอแทรกตำนานอีกเรื่องหนึ่งครับ

อีกตำนานกล่าวว่า ท่านลิ้มกอเหนี่ยวคิดน้อยใจพี่ชายที่ไม่ยอมตามตนกลับไปหามารดาที่เมืองจีน เกิดความน้อยใจจึงผูกคอตายที่ใต้ต้นมะม่วงหิมพานต์ นะครับ

คราวนี้กลับมาเรื่องการสู้รบกับพวกกบฏอีกทีครับ

หลังจากที่ท่านลิ้มกอเหนี่ยวเสียชีวติแล้ว ท่านลิ้มโต๊ะเคี่ยมรอดชีวิตจากการต่อสู้กับพวกกบฏมาได้ ต่อมาท่านได้จัดการทำฮวงจุ้ยฝังศพท่านลิ้มกอเหนี่ยวอย่างสมเกียรติ ณ หมู่บ้านกรือเซะ ตำบลตันหยงลุโละ อำเภอเมืองปัตตานี

ย้อนมาถึงคำถามที่ฝากไว้นะครับ ถามว่าลิ้มโต๊ะเคี่ยมสร้างมัสยิดกรือเซะสร้างสำเร็จไหม ตอบว่า ไม่สำเร็จครับ

เมื่อก่อหลังคามัสยิดครั้งใดก็ถูกฟ้าผ่าทุกครั้ง รวม ๓ ครั้ง ต่อมาชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็นคำสาปแช่งของท่านลิ้มกอเหนี่ยวนั่นเอง อยากไม่กลับไปบ้านเกิดเมืองนอนดีนัก

ในคราวหน้า จะขออนุญาตเล่าเรื่องศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวต่อนะครับ โปรดตามติดและติดตาม

ท่านอาจย้อยกลับไปอ่าน มินามีเรื่องเล่าที่ผมเคยเขียนไว้เมื่อเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๕ ตามลิงค์ที่แนบนี้ได้ครับ

https://vieuxnobita.blogspot.com/2022/11/thai-english-french_23.html


วันอังคาร, กรกฎาคม 18, 2566

มินามีเรื่องเล่า บุญกิริยาวัตถุ ๓ ประการ Thai-English-French

 


มินามีเรื่องเล่า บุญกิริยาวัตถุ ๓ ประการ Thai-English-French

บุญกิริยาวัตถุ คือ สิ่งเป็นที่ตั้งแห่งการบำเพ็ญบุญ โดยย่อมี ๓ อย่าง ได้แก่
๑. ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการบริจาคทาน
๒. สีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล
๓. ภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการเจริญภาวนา
******************
Mina’s stories: the three Punnakiriyavatthu
The three Punnakiriyavatthu mean three meritorious fields of action.
They are composed of Danamaya, Silamaya and Bhavanamaya.
They are briefly stated as:
1. Danamaya. It is the merit acquired by giving dana, generosity.
2. Silamaya. It is the merit acquired by maintaining Sila, moral behaviour.
3. Bhavanamaya. It is the merit acquired by developing bhavana, training one's heart mind.
Hence, generosity, moral behaviour and trainings one’s heart mind are the three meritorious actions which can be acquired by all of us.
******************
Histoires de Mina : Les Trois Punnakiriyavatthu
Les trois Punnakiriyavatthu signifient trois catégories des actes méritoires : Danamaya, Silamaya et Bhavanamaya.
1. Danamaya. C'est le mérite acquis en donnant des offrandes ou Dana. Ce sont des actes de générosité.
2. Silamaya. C'est le mérite acquis en maintenant le comportement moral ou Sila.
3. Bhavanamaya. C'est le mérite acquis en entraînant notre cœur et notre esprit vers la concentration. Nous l’appelons « Bhavana ».
Donc, la générosité, le comportement décent et moral, et la pratique de la concentration sont les trois actes méritoires importants pour nous.

วันอาทิตย์, กรกฎาคม 16, 2566

มินามีเรื่องเล่า สัตยาธิษฐานที่วัดน้อยนอก นนทบุรี Thai-English-French

 




มินามีเรื่องเล่า สัตยาธิษฐานที่วัดน้อยนอก นนทบุรี Thai-English-French

สวัสดีครับ พอดีวันนี้วันอาทิตย์ที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๖ ผมได้ผ่านไปทางวัดน้อยนอก นนทบุรี เลยขออนุญาตเล่าความเป็นมาของวัดนี้นะครับ


 

วัดน้อยนอก เป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี ตามประวัติที่ได้ขุดค้นพบแผ่นจารึกที่ทำด้วยทองแดง กล่าวไว้ว่า ขุนศรีมงคลและเหล่าทหารที่ติดตามพระเจ้ากรุงธนบุรีได้หนีการตามล่าของทหารพม่ามาจนถึงฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งเป็นคุ้งน้ำกว้างใหญ่ขวางอยู่เบื้องหน้า

ขุนศรีมงคลไม่สามารถพาเหล่าทหารติดตามหนีไปไหนได้แล้ว ขุนศรีมงคลจึงตั้งสัตยาธิษฐานว่า “หากเราและเหล่าทหารที่ติดตามตัวนี้รอดพ้นจากการติดตามของพม่าแล้วไซร์จัดสร้างวัดเพื่อเป็นพุทธสถาน ให้สืบทอดอายุพระพุทธศาสนา”

จากนั้นขุนศรีมงคลจึงนำพวกทหารติดตามไปซ่อนตัวอยู่ใต้ต้นโพธิ์ริมปากคลอง (คือคลองบางกระสอในปัจจุบัน) ขุนศรีมงคลและเหล่าทหารติดตามพากันนั่งสมาธิอย่างสงบใต้ต้นโพธิ์นั้น

ฝ่ายแม่ทัพและทหารพม่าซึ่งติดตามขุนศรีมงคลและทหารมาโดยตลอด เมื่อมาถึงต้นโพธิ์ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาที่ขุนศรีมงคลและทหารที่ติดตามนั่งสมาธิและซ่อนตัวอยู่ ฝ่ายพม่ากลับมองไม่เห็น ต่างพากันงุนงงสงสัยว่าพวกทหารไทยหายไปไหน






ต่อมาเมื่อศึกพม่าสงบแล้ว ขุนศรีมงคลและเหล่าทหารที่ติดตาม พร้อมด้วยชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียง ต่างมีจิตศรัทธาสร้างวัดขึ้นมาตามสัตยาธิษฐานที่ขุนศรีมงคลได้ให้ไว้

เมื่อสร้างวัดเสร็จแล้วขุนศรีมงคลจึงถวายนามวัดนี้ว่า “วัดน้อย” ตามชื่อของบุตรีของท่านที่ให้เป็นอนุสรณ์สืบไป ปัจจุบันวัดนี้มีชื่อว่า “วัดน้อยนอก” เพื่อให้คล้องกับวัดน้อยใน ครับ

***** 





Mina stories: Wat Noy Nok and Khun Si Mongkon’s wish

Today is Sunday 16 of July, 2023, it may by a lucky day for someone. I just went to Wat Noy Nok Temple, situated near Phra Nang Klao Bridge, in Nonthaburi.

I would like to tell you about the story of this temple.

Wat Noy Nok was built in the reign of King Taksin the Great of Dhonburi Period. The story took place at the time when Ayutthaya was invaded by Burmese soldiers in 1767. At that time, the Burmese soldiers looked for the Thai soldiers in order to kill them or take them as prisoners.

Khun Si Mongkon, an officer of Ayutthaya, and his soldiers were pursued by Burmese soldiers. Khun Si Mongkon and his soldiers arrived near the riverside of Chao Phraya. They had no way to go. The Burmese soldiers came close to them.

Khun Si Monkon saw a big Bodi tree located at the mouth of a canal (Khong Bang Kraso, at the present time). He told his soldiers to sit and meditate under the big tree. Then, he made a wish, “We would like to hide ourselves from the enemies by doing meditative sitting under this Bodi Tree. If we were not found out by our enemies, we would have a temple built in this area in the future.”

Surprisingly, the Burmese came to the Bodi tree but could see nothing, although Khun Si Mongkon and his soldiers were practicing meditation there. Then, the Burmese soldiers went away.

After end of the war, Khun Si Mongkon, his soldiers and the villagers living nearby had a temple built in the area where he and his soldiers used to hide themselves from the Burmese soldiers.
Wat Noy Nok was built according to this wish. Khun Si Mongkon gave a name to the new temple: “Wat Noy”.

The word “Wat” means “temple”, and the term “Noy” means “small”. Here, the word "Noy" came from the nickname of Khun Si Mongkon's daughter.


At present, there are two “Wat Noy” temples. So, to avoid some confusion, the word “Nok” was added up to the name of the temple. “Wat Noy Nok” literally means “the Exterior Noy Temple”. This name is different from the name of the other temple: “Wat Noy Nai”, which literally means “the Interior Noy Temple”.

Hence, Khun Si Mongkon’s wish came true. Wat Noy Nok is one of the sacred places constructed by our ancestors’ wishes so as to preserve our Buddhism for eternity.

******
Histoire de Mina : Wat Noy Nok et le souhait de Khun Si Mongkon

Aujourd'hui, c’est dimanche 16 juillet 2023. C’est peut-être le jour de chance pour quelques-uns. J’ai visité le Wat Noy Nok, situé près du pont Phra Nang Klao, à Nonthaburi. Donc, j’aimerais vous raconter l’histoire de ce temple.

Wat Noy Nok a été construit sous le règne du roi Taksin le Grand de la période Dhonburi. L'histoire se déroule au moment où Ayutthaya est envahie par des soldats birmans en 1767. A cette époque, les soldats birmans recherchent les soldats thaïlandais afin de les tuer ou de les faire prisonniers.

Khun Si Mongkon, un officier d'Ayutthaya, et ses soldats ont été poursuivis par les soldats birmans. Khun Si Mongkon et ses soldats sont arrivés près de la rive de Chao Phraya. Ils n'avaient aucun chemin à parcourir. Les soldats birmans se sont approchés d'eux.

Khun Si Monkon a vu un grand arbre Bodi situé à l'embouchure d'un canal (le présent Khong Bang Kraso). Il a dit à ses soldats de s'asseoir et de méditer sous le grand arbre. Puis, il a fait un vœu:

« Nous aimerions nous cacher des ennemis en faisant de la méditation assis sous cet arbre Bodi. Si nous n'étions pas découverts par nos ennemis, nous ferions construire un temple dans cette zone à l'avenir. »

Miraculeusement, les Birmans sont venus à l'arbre Bodi mais n'ont rien vu. Khun Si Mongkon et ses soldats faisaient la méditation devant leurs yeux. Mais, ils n’ont vu personne. Ensuite, les soldats birmans sont partis.

Après la fin de la guerre, le roi Taksin le Grand a fait construire la ville de Dhonburi. Khun Si Mongkon, ses soldats et les villageois vivant à proximité des rives Chao Phraya, ont fait construire un temple dans l’endroit où Khun Si Mongkon et ses soldats se sont cachés.

C'est ainsi Wat Noy Nok a été construit. Khun Si Mongkon a donné un nom au nouveau temple : « Wat Noy ». Le mot « Wat » veut dire « temple’, et le terme « Noy » veut dire « petit ». Ici, « Noy » est le petit nom de la fille de Khun Si Mongkon.

Actuellement, il y a deux temple « Wat Noy ». Donc, pour éviter une confusion, on a changé le nom du temple en « Wat Noy Nok », qui signifie littéralement « le temple Noy de l’extérieur ». Ce nom-ci est différent du nom de l'autre temple : « Wat Noy Nai », signifiant « le Temple Noy à l’intérieur ».

Par conséquent, le souhait de Khun Si Mongkon s'est réalisé. Wat Noy Nok est l'un des lieux sacrés construits par la volonté de nos ancêtres afin d'hériter notre Bouddhisme pour l'éternité.
***********




มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French

  มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French กรมหลวงพิพิธมนตรี (พระพันวัสสาน้อย) เป็นพระอัครมเหสีน้อยของสมเด็จพ...