Chalermkiat Mina

วันอาทิตย์, กันยายน 24, 2566

มินามีเรื่องเล่า การล่มสลายของเมืองศรีเทพราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘

 


มินามีเรื่องเล่า การล่มสลายของเมืองศรีเทพราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘

สวัสดีครับ ช่วงนี้หลายท่านคงได้มีโอกาสเดินทางไปชื่นชมเมืองมรดกโลกแห่งใหม่ของไทย คือเมืองศรีเทพแล้วนะครับ อีกหลายท่านกำลังวางแผนการไปเที่ยวชมและร่วมภาคภูมิใจกับเมืองศรีเทพกันนะครับ

วันนี้ขอเล่าเรื่องการล่มสลายของเมืองศรีเทพในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ นะครับ ลองติดตามดูกันครับ

เมืองศรีเทพได้พัฒนาตนเองตั้งแต่เป็นชุมชนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายจนเจริญรุ่งเรืองเป็นชุมชนเมืองที่ได้ร้บวัฒนธรรมทวารวดีในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๖ นะครัย ต่อมาได้รับวัฒนธรรมเขมรในพุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๘ รวมแล้วเมืองศรีเทพเจริญรุ่งเรืองในฐานุชุมชนเมืองหรือเมืองศูนย์กลางความเจริญไม่ต่ำกว่า ๗๐๐ ปี นะครับ

เหตุใดเมืองจึงล่มสลาย หรือเหตุใดผู้คนจึงละทิ้งเมืองนี้ให้ร้างไป

เราไม่ทราบสาเหตุแน่ชัดนะครับ นักวิชาการส่วนใหญ่มุ่งเน้นประเด็นเรื่องการเกิดโรคระบาดนะครับ หลายท่านอธิบายว่า เมืองศรีเทพเป็นเมืองที่มีสระน้ำและหนองน้ำมาก เป็นแหล่งน้ำนิ่งเหมาะสำหรับให้ยุงวางไข่ อาจเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงอย่างดี อย่างที่เราทราบกันดีนะครับว่า โรคระบาดในเขตพื้นที่แถบบ้านเรา คือ โรคอหิวาต์และโรคมาลาเรีย ในอดีตเป็นที่รู้กันดีว่าแถบเมืองเพชรบูรณ์มีไข้ป่าชุกชุมมาก ถึงกับมีคำกล่าวที่ว่า “เพชรบูรณ์หม้อใหม่” หมายความว่า ใครมาจังหวัดเพชรบูรณ์แล้วต้องซื้อหม้อใหม่ติดตัวมาด้วย เพื่ออะไรหรือครับ ก็เพื่อใส่กระดูกกลับ ในสมัยก่อนพวกข้าราชการจากกรุงเทพฯ ต่างกลัวไข้ป่าและไม่ค่อยยินดีที่จะมารับราชการที่เมืองเพชรบูรณ์ และเรื่องกลัวไข้ป่านี้เองที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยต้องเสด็จฯ มาเมืองเพชรบูรณ์ เพื่อเป็นตัวอย่างให้ข้าราชการจากกรุงเทพฯ เห็นว่าแม้แต่พระองค์ซึ่งเป็นเจ้าฟ้ายังเสด็จมาที่เมืองเพชรบูรณ์และกลับไปอย่างปลอดภัย ทำให้พระองค์ท่านได้มีโอกาสสืบหาเมืองศรีเทพจนพบนะครับ สรุปว่า นักวิชาการสันนิษฐานว่าน่าจะเกิดจากโรคระบาด โดยเฉพาะโรคมาลาเรีย นะครับ



แต่กีมีนิทานพื้นบ้านที่ผูกเรื่องการล่มสลายของเมืองศรีเทพนะครับ

นิทานเรื่องนี้มีตัวละครคือ ฤาษีตาไฟ ลูกชายเจ้าเมือง ฤาษีตาวัว รวมทั้งเจ้าเมืองนะครับ

เรื่องมีอยู่ว่า ที่บนเขาใกล้เมืองศรีเทพ มีฤาษี ๒ ตนสร้างกุฏิอยู่ใกล้ ๆ กัน คนหนึ่งชื่อฤาษีตาไฟ อีกตนหนึ่งชื่อฤาษีตาวัว ท่านฤาษีตาไฟมีลูกศิษย์คนหนึ่งเป็นลูกชายเจ้าเมือง

วันหนึ่งฤาษีตาไฟบอกกับศิษย์รักคือลูกชายเจ้าเมือง  “ฟังนะ ตรงบริเวณด้านนั้น มีบ่อน้ำอยู่ใกล้กันสองบ่อ น้ำในบ่อหนึ่งนั้นใครลงไปอาบก็จะตาย แต่น้ำจากอีกบ่อหนึ่ง ใครนำมารดร่างจะฟื้นคืนชีพกลับมาใหม่”

ลูกชายเจ้าเมืองทำท่าทางไม่เชื่อ “ไม่น่าเป็นไปได้นะครับพระอาจารย์ น้ำอะไรจะทำให้คนตายได้ และน้ำอีกบ่อหนึ่งทำให้คนฟื้นคืนชีพได้”

“ถ้าเจ้าไม่เชื่อ อาจารย์จะทดสอบให้ดู อาตมาจะลงไปอาบในบ่อแรก แต่เจ้าต้องสัญญานะว่าจะนำน้ำจากบ่อที่สองมารดร่างอาจารย์ จะได้ฟื้นคืนชีพกลับมา” ฤาษีตาไฟกล่าวกับศิษย์รัก

“ได้ครับ ผมขอดูเป็นขวัญตา และจะรีบตักน้ำในบ่อที่สองมารดร่างพระอาจารย์โดยทันทีเลยครับ” ศิษย์ตอบด้วยสายตามุ่งมั่น

ฤาษีตาไฟจึงได้นำน้ำรดร่างตนเอง และเสียชีวิต

แต่ศิษย์รักผู้เป็นลูกชายเจ้าเมืองกลับเมินเฉย ไม่ทำตามสัญญา แต่กลับหนีเข้าไปในเมือง

ฝ่ายฤาษีตาวัว เคยไปมาหาสู่กับฤาษีตาไฟ เห็นผิดสังเกต ไม่เห็นฤาษีตาไฟมาเยี่ยมเยียนที่กุฏิ ก็ออกไปตามหา เมี่อผ่านบ่อน้ำที่ใครอาบก็ตาย เห็นน้ำในบ่อเดือดก็ทราบว่ามีเหตุร้ายเกิดขึ้น มองเห็นร่างฤาษีตาไฟนอนเสียชีวิตในบ่อน้ำ จึงไปเอาน้ำจากอีกบ่อหนึ่งมารดซากศพฤาษีตาไฟจนฟื้นคืนชีพขึ้นมา

“ท่านฤาษีตาไฟ เกิดอะไรขึ้น ทำไมท่านมานอนเสียชีวิตในบ่อน้ำอันตรายแห่งนี้” ฤาษีตาวัวถามอย่างสงสัย

 “ก็ไอ้เจ้าศิษย์ทรยศของข้าพเจ้านะซิ ข้าพเจ้าบอกเขาเรื่องบ่อน้ำผลาญชีพและบ่อน้ำชุบชีพ แต่เขาไม่เชื่อ ข้าพเจ้าเลยทดสอบให้เขาดู พร้อมบอกให้เขาคอยนำน้ำชุบชีพมารดร่างของข้าพเจ้า แต่ไม่รู้หายไปไหน เจ้าศิษย์ร้ายคนนี้ คงหนีกลับเมืองแล้ว” ฤาษีตาไฟเล่าเรื่องด้วยอารมณ์โกรธ

“แล้วท่านจะทำอย่างไร” ฤาษีตาวัวถาม

“ข้าพเจ้าจะต้องแก้แค้นลงโทษเจ้าลูกศิษย์ทรยศคนนี้” ฤาษีตาไฟกล่าวด้วยสายตาสุดแค้น

“ท่านจะทำอย่างไร”

“ผมจะเนรมิตวัวตัวหนึ่ง แล้วเอาพิษร้ายบรรจุไว้ในท้องวัวตัวนั้น ให้วัวไปปล่อยพิษร้ายในเมือง” ฤาษีตาไฟกล่าวถึงแผนการแก้แค้นของตน

ในที่สุดฤาษีตาไฟได้เนรมิตวัวขึ้นมาตัวหนึ่ง เอาพิษร้ายบรรจุไว้ในท้องวัว แล้วปล่อยให้วัวนั้นเดินรอบๆ เมืองถึง ๗ วัน พร้อมทั้งทำเสียงกึกก้องตลอดเวลา

ฝ่ายทหารเฝ้าประตูเมืองเห็นผิดสังเกต จึงปิดประตูเมืองเสีย

ครั้นถึงวันที่เจ็ด เจ้าเมืองมีรับสั่งให้เปิดประตูเมือง วัวก็วิ่งปราดเข้าประตูเมืองได้ ขณะเดียวกันท้องวัวก็ระเบิดออกมา ไอพิษร้ายในท้องวัวก็ไหลออกมาทำร้ายคนในเมืองจนตาย นะครับ

ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ไม่ว่าเมืองศรีเทพจะล่มสลายตามข้อสันนิษฐานใดๆ หรือตามนิทานพื้นบ้านเรื่องต่างๆ สิ่งที่เป็นจริง คือ เมืองศรีเทพเป็นอมตะตลอดกาล และผู้คนทั่วโลกรู้จักความสำคัญของเมืองศรีเทพแห่งนี้ในต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๑ แล้วนะครับ

ข้อมูล

กรมศิลปากร.  อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ.  กรุงเทพฯ : บริษัท รุ่งศิลป์การพิมพ์ (๑๙๗๗) จำกัด, ๒๕๕๐.    

  


วันเสาร์, กันยายน 23, 2566

มินามีเรื่องเล่า จากปี พ.ศ. ๒๔๗๗-๒๕๖๖ เป็นเวลา ๑๑๙ ปี จากการค้นพบเมืองโบราณศรีเทพสู่เมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรม


 

มินามีเรื่องเล่า จากปี พ.ศ. ๒๔๗๗-๒๕๖๖ เป็นเวลา ๑๑๙ ปี จากการค้นพบเมืองโบราณศรีเทพสู่เมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรม

******************

สวัสดีครับ วันนี้ขออนุญาตเล่าเรื่องการค้นพบเมืองศรีเทพในปีพุทธศักราช ๒๔๔๗ นะครับ ถ้านับจากปีนั้นมาจนถึงปี พ.ศ. ๒๕๖๖ ซึ่งเมืองศรีเทพได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นเมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรม นับว่าเป็นเวลาถึง ๑๑๙ ปีเลยนะครับ

เดิมนั้นเมืองศรีเทพเป็นเมืองที่รกร้างอยู่กลางป่า ไม่มีผู้ใดทราบแท้จริงว่าเมืองนี้มีชื่อว่าอะไร ใครเป็นผู้สร้าง สร้างมาเมื่อใด ชาวบ้านท้องถิ่นเรียกชื่อเมืองตามคำของพระธุดงค์ว่า “เมืองอภัยสาลี” นะครับ เมืองโบราณแห่งนี้ได้รับการเรียกขานนามว่า “ศรีเทพ” ในปี พ.ศ. ๒๔๔๗ นะครับ

ปี พ.ศ. ๒๔๔๗ มีอะไร ทำไมเมืองโบราณที่ชาวบ้านเรียกกันว่า อภัยสาลี ได้เปลี่ยนชื่อเป็นเมืองศรีเทพ

 


ในปี พ.ศ. ๒๔๔๗ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ซึ่งเป็นสมเด็จพระอนุชาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเป็นผู้ที่ได้รับการเชิดชูว่าเป็นพระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย พระองค์ท่านเป็นผู้ค้นพบเมืองโบราณแห่งนี้ นับว่าปวงชนชาวไทยได้รับพระเมตตาจากพระองค์ท่านมากนะครับ

ขออนุญาตเล่าถึงความมุ่งมั่นและพระวิริยอุตสาหะของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ นะครับ

ปี พ.ศ. ๒๔๔๗ พระองค์ได้เสด็จมาตรวจราชการที่มณฑลเพชรบูรณ์ในฐานะที่ทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย นอกเหนือจากพระราชภารกิจในตำแหน่งหน้าที่แล้ว พระองค์ได้ทรงตั้งพระทัยที่จะสืบหาเมืองโบราณแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่า “เมืองศรีเทพ” นะครับ

เมื่อแรกเริ่มตอนเข้ารับตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเคยพบทำเนียบเก่าบอกรายชื่อหัวเมืองมีชื่อเมืองศรีเทพปรากฏอยู่ ทรงสอบถามข้าราชการกระทรวงมหาดไทยถึงตำแหน่งที่ตั้งของเมืองศรีเทพ ปรากฏว่าอย่างไรครับ ไม่มีใครรู้จักนะครับ

ต่อมาพระองค์ทรงพบสมุดดำเล่มหนึ่งซึ่งเป็นเอกสารฉบับร่างเพื่อบอกเส้นทางให้คนเชิญสารตราไปบอกข่าวตามหัวเมืองต่างๆ เรื่องการสิ้นพระชนม์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ มีเส้นทางหนึ่งไปยังเมืองสระบุรี เมืองชัยบาดาล เมืองศรีเทพ และเมืองเพชรบูรณ์ พระองค์จึงทรงตั้งสมมุติฐานว่า เมืองศรีเทพคงอยู่ทางลำน้ำป่าสัก คงอยู่ที่ใดสักแห่งนะครับ

ครั้นเมื่อสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสด็จมาถึงเมืองเพชรบูรณ์แล้วก็ทรงสืบหาเมืองแต่ไม่ได้ความ แต่มีคนกราบทูลพระองค์ว่ามีเมืองโบราณแห่งหนึ่งใหญ่โตมาก ชื่อเมือง “อภัยสาลี” อยู่ในป่าแดงใกล้กับเมืองวิเชียรบุรี สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ จึงเสด็จมาเมืองวิเชียรบุรี โดยทรงล่องเรือมาทางแม่น้ำป่าสัก นะครับ (ในสมัยนั้น ไก่ย่างวิเชียรบุรียังไม่ดังนะครับ พูดเล่นนะครับ)

เมื่อมาถึงเมืองวิเชียรบุรี พระองค์ทรงแวะเยี่ยมพระยาประเสริฐสงคราม อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งชราลงและออกจากราชการนานมาแล้ว พระองค์ทรงไต่ถามพระยาประเสริฐสงครามถึงเรื่องเมืองศรีเทพ ได้ความว่า เมืองวิเชียรบุรีนั้นแต่เดิมมีชื่อเรียกเป็น ๒ อย่าง คือ เมืองท่าโรง หรือเมืองศรีเทพ

พระยาประเสริฐสงครามกราบทูลเล่าเรื่องชื่อเมืองต่อไปว่า แต่ก่อนตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด คือ พระศรีถมอรัตน์ ตั้งชื่อตามเขาแก้ว ที่อยู่ในเมืองนี้ ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ได้มีการปราบศึกเจ้าอนุวงศ์ พระศรีถมอรัตน์มีความชอบมาก พระองค์จึงโปรดเกล้าฯ ให้ยกศักดิ์เมืองศรีเทพให้เป็นเมืองตรี และเปลี่ยนนามเป็นเมืองวิเชียรบุรี โดยเอาความหมายของถมอรัตน์คือเขาแก้วมาเป็นมงคลนาม และเปลี่ยนนามผู้ว่าราชการจังหวัดจากพระศรีถมอรัตน์เป็นพระยาประเสริฐสงครามตั้งแต่นั้นมา

สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงถามพระยาประเสริฐสงครามเรื่องเมืองอภัยสาลี ได้ความว่า มีเมืองโบราณใหญ่โตจริงแต่ชื่อที่เรียกว่าเมืองอภัยสาลีนั้นเป็นแต่คำพระธุดงค์ คงจะเอาเป็นชื่อที่แน่นอนไม่ได้

หลังจากนั้นสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ล่องเรือจากเมืองวิเชียรบุรีและมาขึ้นบกที่ท่าบ้านนาตุกรุด ทรงพักแรมอยู่คืนหนึ่ง รุ่งเช้าจึงเดินทางไปสำรวจเมืองโบราณที่เรียกกันว่าอภัยสาลี พระองค์ได้ทรงพบว่า เป็นเมืองใหญ่โตจริง มีคูเมือง กำแพงเมือง ปรางค์ปราสาท สระน้ำ และโคกเนินโบราณสถานต่างๆ หลายแห่งทั้งนอกเมืองและในเมือง รวมทั้งประติมากรรมหินต่างๆ เป็นอันมาก

สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงพิจารณาเมืองโบราณและทรงลงความเห็นเป็นสองอย่างนะครับ คือ ประการแรก เมืองโบราณแห่งนี้พวกพราหมณ์จะเรียกชื่อว่าอย่างไรก็ตาม ชื่อนั้นก็คงจะเป็นต้นเค้าของชื่อเมืองศรีเทพ ซึ่งเป็นชื่อเก่าของเมืองวิเชียรบุรี ประการที่สอง สมัยเมื่อครั้งขอมปกครองเมืองไทย เมืองศรีเทพคงเป็นมหานครหรือเมืองใหญ่แห่งหนึ่ง เช่นเดียวกับเมืองที่ดงศรีมหาโพธิ์ ในจังหวัดปราจีนบุรี และเมืองสุโขทัย จึงสามารถสร้างเป็นเมืองใหญ่โตได้

น่าภาคภูมิใจในพระกรุณาธิคุณของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพที่ค้นพบเมืองโบราณศรีเทพและคุณค่าของเมืองศรีเทพ แหล่งมรดกโลกลำดับที่เจ็ดของไทยนะครับ

ข้อมูล

กรมศิลปากร.  อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ.  กรุงเทพฯ : บริษัท รุ่งศิลป์การพิมพ์ (๑๙๗๗) จำกัด, ๒๕๕๐.    

วันพุธ, กันยายน 20, 2566

มินามีเรื่องเล่า ศรีเทพ เทพนคราเลื่องชื่อสู่โลกา

 


มินามีเรื่องเล่า ศรีเทพ เทพนคราเลื่องชื่อสู่โลกา

สวัสดีครับ ขออนุญาตชื่นชมคณะทำงานทุกท่านที่ทำให้อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ลำดับที่ ๗ แห่งประเทศไทย และลำดับที่ ๑๖๖๒ ของโลก ในวันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๖ นะครับ นับว่าเป็นความภูมิใจของประเทศไทยเป็นอย่างมาก

ศรีเทพมีความเป็นมาอย่างไร สำคัญเพียงใด ขอนำเสนอเรื่องราวคร่าวๆ ก่อนนะครับ

อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ ตั้งอยู่ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ มีขนาดใหญ่ประมาณ ๒,๘๘๙ ไร่ เป็นแหล่งโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ อยู่ห่างจากแม่น้ำป่าสักประมาณ ๔ กิโลเมตร และใกล้กับอุทยานยังมีลำน้ำพื้นเมืองต่าง ๆ นะครับ

อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ ประกอบด้วยเมืองโบราณศรีเทพ เขาคลังนอกและเขาสมอรัตน์ กล่าวได้ว่าศรีเทพเป็นเมืองโบราณที่รวมอารยธรรม ๒ อารยธรรมด้วยกันนะครับ คืออารยธรรมทวาราวดี และอารยธรรมเขมร อายุของอุทยานศรีเทพมีราวๆ ๑,๗๐๐ ปีมาแล้ว

ผังเมืองโบราณศรีเทพ เมืองนอกเมืองใน
เมืองโบราณศรีเทพ เป็นเมืองโบราณที่มีคูน้ำคันดิน ระหว่างร่องคูน้ำมีประตูเมือง มีเขตเมืองสองเขต คือ เมืองนอกและเมืองใน เขตเมืองนอกจะมีแผนผังจะเป็นสี่เหลี่ยมมุมมน ในพื้นที่เมืองในมีการขุดพบโบราณสถานสำคัญขนาดใหญ่ในใจกลางเมือง รวมทั้งการขุดพบโบราณวัตถุที่แสดงหลักฐานการอยู่อาศัยของคนที่อยู่ในเขตเมืองในค่อนข้างหนาแน่น อยู่ติดชิดกัน ในขณะที่เมืองนอกนั้นมีการอยู่อาศัยเบาบางกว่าในเขตเมืองใน มีการพบเศษภาชนะดินเผาไม่มาก

แหล่งโบราณสถานที่เมืองศรีเทพมีมากมาย ตัวอย่างเช่นที่ปรางค์สองพี่น้อง มีปรางค์ศรีเทพและสระปรางค์ เขาคลังใน โบราณสถานเหล่านี้มีการค้นพบวัตถุโบราณจำนวนมาก ส่วนทางด้านเมืองนอกนั้น มีประตูทางด้านทิศตะวันออกให้เข้าออกเพียงประตูเดียว มีแหล่งโบราณสถานขนาดเล็กค่อนข้างมาก ในเขตเมืองในมีสระน้ำอยู่กระจัดกระจายอยู่มาก แสดงว่ามีการขุดสระเพื่อกักเก็บน้ำเอาไว้ใช้ในฤดูต่างๆ ยังไม่มีการค้นพบเส้นทางการชักน้ำจากแม่น้ำป่าสักเชื่อมเข้ามาใช้ยังตัวคูเมืองของเมืองศรีเทพ คาดว่าการใช้น้ำในเมืองนั้นอาจจะใช้น้ำฝนเป็นหลัก นะครับ

เรารู้กันดีว่ากษัตริย์เขมรผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้อารยธรรมเขมรเจริญรุ่งเรือง คือ พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ หลังจากที่พระองค์สวรรคตแล้ว บรรดาเมืองต่างๆ ที่เคยเป็นเมืองขึ้นของเขมร ไม่ว่าจะเป็นสุโขทัย หรือหลวงพระบาง ต่างประกาศตัวเป็นเอกราช ไม่ขึ้นกับเขมร ประมาณ ๑๐๐ ปีหลังจากที่พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ สวรรคต เมืองศรีเทพทิ้งร้างไป ได้มีการค้นพบอีกครั้งหนึ่งในสมัยรัชกาลที่ ๕ เมื่อสมเด็จพระกรมพระยาดำรงราชานุภาพเสด็จมาตรวจราชการและเสด็จมาทอดพระเนตรเมืองโบราณแห่งนี้ ทรงมีรับสั่งว่าจากจารึกที่พบนั้น เมืองนี้ควรจะมีชื่อว่าเมืองศรีเทพ

ศรีเทพ ศูนย์กลางทางการค้าแห่งทวาราวดี
อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพนั้นมีความเจริญรุ่งเรืองมาประมาณ ๗๐๐ ปี ก่อนถูกทิ้งร้างไป ทำไมถึงถูกทิ้งร้างว่ากันว่า ก่อนถึงสมัยอารยธรรมเขมรนั้น ในเขตประเทศไทยของเรามีอารยธรรมทวาราวดีที่แพร่หลายในหลายพื้นที่ เมืองศรีเทพน่าจะเป็นศูนย์กลางที่ควบคุมการค้าเชิงพาณิชย์ตามเส้นทางต่างๆ มีการค้าขายติดต่อกันระหว่างเมืองทวาราวดีในภาคต่างๆ เช่นในภาคอีสาน มีเมืองฟ้าแดดสูงยาง เป็นต้น กล่าวได้ว่า เมืองศรีเทพเป็นเมืองศูนย์การทางการค้าซึ่งควบคุมสินค้าไปสู่เมืองทวารวดีในภาคกลางก่อนออกสู่ทะเล ลองมองดูกันง่ายๆ นะครับ เส้นทางการค้าทางน้ำที่สร้างความสัมพันธ์จากเมืองศรีเทพกับดินแดนต่างๆ เป็นอย่างไร เริ่มจากแม่น้ำป่าสัก ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองศรีเทพประมาณ ๔ กิโลเมตร ไปยังแม่น้ำลพบุรี แม่น้ำเจ้าพระยา และเดินทางต่อไปกัมพูชาได้ ส่วนเส้นทางด้านเหนือสามารถเดินทางไปยังอาณาจักรล้านนาขึ้นไปจนถึงจีนตอนใต้ ทางตะวันออกเฉียงเหนือไปถึงลาวได้ ศรีเทพจึงเป็นศูนย์กลางทางการค้าแห่งทวาราวดีเมื่อสมัย ๑,๗๐๐ ปีมาแล้ว

ความเจริญรุ่งเรืองของเมืองศรีเทพได้เสื่อมลงไปเนื่องจากศูนย์กลางทางการค้าและเส้นทางทางการค้าได้เปลี่ยนไปนะครับ เรียกได้ว่าเมืองละโว้กลายเป็นศูนย์กลางทางการค้า ขณะเดียวกันเส้นทางการค้าขยายไปหลายเมือง เช่น บุรีรัมย์และพิมาย เมืองเหล่านี้มีเส้นทางทางน้ำใกล้เมืองมากกว่าเมืองศรีเทพนะครับ ส่วนมากมีแม่น้ำไหลผ่ากลางเมือง ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงเส้นทางการค้าไปอยู่ที่เมืองเหล่านี้ เมืองศรีเทพห่างจากแม่น้ำป่าสักถึง ๔ กิโลเมตร ย่อมไม่สะดวกในการใช้เป็นเส้นทางการค้า ดังนั้นความเจริญด้านการค้าขายจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้มือศรีเทพเสื่อมลงไป

ในด้านศาสนานั้น เมืองศรีเทพรับคติความเชื่อหลากหลาย จากความเชื่อเรื่องผีสางเทวดาสู่ศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย (นับถือพระศิวะเป็นใหญ่) ลัทธิไวษณพนิกาย (นับถือพระวิษณุเป็นใหญ่) ต่อมาได้มีการนับถือศาสนาพุทธแบบหินยานและแบบมหายาน

ด้านศิลปะวัฒนธรรมนั้น อิทธิพลของศิลปะทวารวดีทำให้โบราณสถานเมืองศรีเทพนั้นมีความโดดเด่น กล่าวกันว่าศิลปะวัฒนธรรมของเมืองศรีเทพมีอายุเก่าแก่ในรุ่นราวคราวเดียวกับศิลปะวัฒนธรรมที่เมืองนครวัด ศิลปวัตถุที่ขุดค้นได้ที่เมืองศรีเทพมีมากมาย มีชิ้นส่วนของสถูปในสมัยทวาราวดี เทวรูปและอื่นๆ มากมาย ซึ่งจะนำมาเล่าสู่กันฟังในตอนต่อๆ ไปครับ
พูดถึงสมัยศิลปะขอม ขออนุญาตอธิบายการแบ่งยุคสมัยศิลปะขอม นะครับ

หลักฐานที่นักโบราณคดีนิยมนำมาแบ่งยุคสมัยศิลปะขอมได้แก่ทับหลังและเสากรอบประตู เนื่องจากวัตถุทั้งสองชนิดสลักจากศิลาทรายตั้งแต่แรกเริ่มของศิลปะขอม

ในการตั้งชื่อศิลปะขอมแบบต่างๆ นักวิชาการมักจะกำหนดตามชื่อสถานที่ของศาสนสถานเป็นหลัก
การแบ่งยุคสมัยศิลปะขอม แบ่งออกเป็น ๒ สมัยคือ
๑. สมัยก่อนสร้างเมืองพระนคร (อาณาจักรเจนละ) แบ่งเป็นศิลปะ ๔ สมัย
๒. สมัยหัวต่อ มีศิลปะ ๑ สมัย
๓. สมัยเมืองพระนคร (Ankor Vat) มีศิลปะ ๙ สมัย

มาดูรายละเอียดกันครับ
๑. สมัยก่อนสร้างเมืองพระนคร ได้แก่
๑.๑ ศิลปะแบบพนมดา (Phnom DA, ราว พ.ศ. ๑๑๐๐-๑๑๕๐ พระเจ้าภววรมันที่ ๑)
๑.๒ ศิลปะแบบสมโบร์ไพรกุก (Sambor Prei Kuk, ราว พ.ศ. ๑๑๕๐-๑๒๐๐ พระเจ้ามเหนทรวร
มัน)
๑.๓ ศิลปะแบบไพรกเมง (Prei Kmeng, ราว พ.ศ. ๑๑๘๐-๑๒๕๐ พระเจ้าชัยวรมันที่ ๑)
๑.๔ ศิลปะแบบกำพงพระ (Kampong Pheah, ราว พ.ศ. ๑๒๕๐-๑๓๕๐ พระเจ้าชัยวรมันที่ ๒
รวบรวม แค้วนเจนละ เริ่มสร้างปราสาทเขาพระวิหาร)
๒. สมัยหัวต่อ ได้แก่ ศิลปะแบบกุเลน (Kulen, ราว พ.ศ. ๑๓๗๐-๑๔๒๐, พระเจ้าชัยวรมันที่ ๓)
๓. สมัยเมืองพระนคร ได้แก่
๓.๑ ศิลปะแบบพะโค (Preah Ko, ราว พ.ศ. ๑๔๒๐-๑๔๔๐, พระเจ้าอินทรวรมันที่ ๑)
๓.๒ ศิลปะแบบบาเค็ง (Bakheng, ราว พ.ศ. ๑๓๓๐-๑๔๗๐, พระเจ้ายโศวรมันที่ ๑)
๓.๓ ศิลปะแบบเกาะแกร์ (Kor Ker, ราว พ.ศ. ๑๔๖๕-๑๔๙๐)
๓.๔ ศิลปะแบบแปรรูป (Pre Rup, ราว พ.ศ. ๑๕๙๐-๑๕๑๐, พระเจ้าราเชนทรวรมัน)
๓.๕ ศิลปะแบบบันทายศรี (Banteay Srei, ราว พ.ศ. ๒๕๖๐-๑๕๕๐, พระเจ้าชัยวรมันที่ ๕)
๓.๖ ศิลปะแบบคลัง (Khleang, ราว พ.ศ. ๑๕๕๐-๑๕๖๐, พระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑)
๓.๗ ศิลปะแบบบาปวน (Baphuon, ราว พ.ศ. ๑๕๖๐-๑๖๓๐, พระเจ้าอุทัยทิตยวรมันที่ ๒ และพระเจ้าหรรษาวรมันที่ ๓)
๓.๘ ศิลปะแบบนครวัด (Angkor Vat, ราว พ.ศ. ๑๖๕๐-๑๗๒๐, พระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒)
๓.๙ ศิลปะแบบบายน (Bayon, ราว พ.ศ. ๑๗๒๐-๑๗๘๐, พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗)

มีมากนะครับ ลองทบทวนดูครับ

วันอังคาร, กันยายน 19, 2566

มินามีเรื่องเล่า เมืองโบราณศรีมโหสถ จังหวัดปราจีนบุรี

มินามีเรื่องเล่า เมืองโบราณศรีมโหสถ จังหวัดปราจีนบุรี

สวัสดีครับ วันนี้เป็นวันประวัติศาสตร์ด้านศิลปวัฒนธรรมของประเทศไทย องค์กรยูเนสโก้ ได้ให้การรับรองให้เมืองโบราณศรีเทพเป็นมรดกโลก นับว่าเป็นความภาคภูมิใจของคนไทยเป็นอย่างยิ่ง 

แต่วันนี้ผมยังไม่ได้เล่าเรื่องเมืองโบราณศรีเทพ ในจังหวัดเพชรบูรณ์นะครับ ไว้โอกาสหน้าจะนำมาเล่าสู่กันฟังครับ

แต่ขอเล่าเรื่องเมืองโบราณอีกเมืองหนึ่งนะครับ คือเมืองศรีมโหสถ ซึ่งตั้งอยู่ที่อำเภอศรีมโหสถ จังหวัดปราจีนบุรี 

เมืองศรีมโหสถเป็นเมืองโบราณขนาดใหญ่ มีแผนผังของเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมค่อนข้างรี ขอบมุมทั้ง ๔ โค้งมน มีคูน้ำและคันดินล้อมรอบตัวเมือง ตั้งอยู่ตามแนวทิศตะวันออกเฉียงเหนือ-ตะวันตกเฉียงใต้ ขนาดของเมืองกว้าง ๗๐๐ เมตร ยาว ๑,๕๕๐ เมตร ตอนกลางของเมืองมีคูน้ำชื่อ “คูลูกศร” คั่นแบ่งตัวเมืองเป็น ๒ ส่วน เพื่อประโยชน์ทางการคมนาคมและการกักเก็บน้ำ ภายในตัวเมืองพบโบราณสถานทั้งในเมืองและนอกเมืองเป็นจำนวนมาก

เมืองโบราณศรีมโหสถที่มีพัฒนาการตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๘ หรือราว ๑,๕๐๐ ปีมาแล้ว ด้วยทำเลที่ตั้งอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำบางปะกง ติดชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก เมืองศรีมโหสถจึงเป็นทั้งเมืองท่าการค้าที่ติดต่อกับดินแดนโพ้นทะเล เป็นศูนย์กลางของการคมนาคมของบ้านเมืองตอนในของแผ่นดิน และเป็นเมืองชายฝั่งทะเลใกล้เคียง

เมืองโบราณแห่งนี้จึงมีความหลากหลายในด้านศิลปวัฒนธรรมและความเชื่อทางศาสนา ที่เดินทางมาพร้อมกับผู้คนจากต่างแดน ด้วยพัฒนาการบ้านเมืองที่ยาวนาน จึงปรากฏการสร้างศาสนสถานทับซ้อนกันอยู่หลายสมัย อีกทั้งยังพบพระพุทธรูป รูปเคารพต่าง ๆ รวมถึงวัตถุและสินค้าจากต่างแดน สะท้อนถึงความมั่งคั่งและเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองในช่วงเวลานั้น

โบราณวัตถุสำคัญจากเมืองศรีมโหสถ ได้แก่ พระคเณศ ศิลปะทวาราวดีต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๒ พระพุทธรูปปางสมาธิ ศิลปะทวาราวดีพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๔ พระพุทธรูปปางตรัสรู้ ศิลปะทวาราวดีพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๕ จารึกกรอบคันฉ่องและจารึกเชิงเทียนศิลปะเขมรในประเทศไทยพุทธศตวรรษที่ ๑๘

ในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี จะมีห้องจัดแสดงศิลปะของเมืองศรีมโหสถ ชื่อว่า ห้องเมืองศรีมโหสถ นครรัฐแรกเริ่มแห่งลุ่มน้ำบางปะกง นะครับ
เมืองโบราณศรีมโหสถกำเนิดขึ้นร่วมสมัยกับอาณาจักรฟูนันตอนปลาย และพัฒนาเข้าสู่วัฒนธรรมทวาราวดีในพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๖ ก่อนที่วัฒนธรรมเขมรจะเข้ามาในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๗-๑๘ พบโบราณวัตถุชิ้นสำคัญได้แก่ พระคเณศ พระวิษณุจตุรภุช  พระพุทธรูปปางสมาธิ รวมถึงเครื่องสำริดประกอบพิธีกรรมที่มีจารึกภาษาเขมรกล่าวถึงพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗

เรื่องราวของพระวิษณุจตุรภุช จะขอเล่าในโอกาสต่อไปนะครับ

วันจันทร์, กันยายน 18, 2566

มินามีเรื่องเล่า ตรีศูลที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี Thai-English-French




มินามีเรื่องเล่า ตรีศูลที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี Thai-English-French

สวัสดีครับ วันนี้ขออนุญาตนำเสนอเรื่องตรีศูล หรือที่เรียกกันแบบคุ้นเคยว่า ศูล นะครับ

ตรีศูลมีลักษณะและมีความสำคัญอย่างไรครับ 

ตรีศูลหรือศูลเป็นอาวุธที่ใช้เสียบ ทิ่ม และแทง นะครับ มีลักษณะคล้ายใบหอกสั้นหรือพระขรรค์ ๓ เล่ม มีโคนร่วมอยู่ในด้ามเดียวกัน เราอาจเรียกง่าย ๆ ว่าเป็นสามง่ามแหลม มีด้ามถือยาวแบบหอกก็ได้นะครับ

ส่วนความสำคัญนั้น ในศาสนาพราหมณ์ ลัทธิไศวนิกายที่นับถือพระศิวะเป็นใหญ่กว่าเทพองค์ใด ถือว่าตรีศูลเป็นอาวุธสำคัญประจำพระองค์ของพระศิวะ นะครับ กล่าวง่าย ๆ คือ เป็นศัตราประจำหัตถ์พระศิวะครับ 

ในทางประติมานวิทยาถือว่าตรีศูลเป็นสัญลักษณ์ที่หมายถึงพระศิวะเหมือนกับศิวลึงค์ นะครับ ดังนั้นคนในสมัยก่อนนิยมสร้างตรีศูลขึ้นเพื่อประดิษฐานไว้ในศาสนสถานของศาสนาพราหมณ์ ลัทธิไศวนิกายไว้แทนประติมากรรมรูปพระศิวะนะครับ

ตรีศูลที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี เป็นศิลปะทวาราวดี อายุประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๒ ทำด้วยหินทราย สูง ๘๘ เซนติเมตร ได้มาจากบ้านโคกวัด ตำบลโคกปีบ อำเภอศรีมโหสถ จังหวัดปราจีนบุรี นะครับ

แม้ว่าตรีศูลที่อยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรีมีสภาพชำรุด ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ แต่เราพอศึกษาหาความรู้จากตรีศูลนี้ได้นะครับ  

ยอดและด้ามของตรีศูลหักหายไป แต่โชคดีที่ยังมีฐานของตรีศูลอยู่ ฐานของตรีศูลนั้นสลักรูปนูนต่ำเป็นลวดลายพันธุ์พฤกษา มีลักษณะลวดลายใกล้เคียงกับลวดลายในศิลปะอินเดียแบบคุปตะ และศิลปะเขมรแบบสมโบร์ไพรกุก ซึ่งมีอายุอยู่ในต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๒ นะครับ 


แหล่งข้อมูล
ศิลปากร, กรม. นำชมพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี. กรุงเทพฯ : บริษัท คัมปาย อิมเมจจิ้ง จำกัด, ๒๕๔๒.

******

Mina's Stories: The Trishula, weapon of Lord Shiva

Good morning, I would like to tell you about the Trishula placed in an exhibition hall of National Museum at Prachin Buri.

The Trishula is a weapon wielded by Lords Shiva, Great God of Shaivism, one of the major traditions of Hinduism. This Trisula, aka in Thai Tri Soon or Soon, is a trident-like weapon with long handle. It was placed in a Shaivite shrine as a symbol of Lord Shiva, the Supreme Being of Shivaism. 

This Trishula was found at Ban Wat, Khok Pip Sub-district, Si Mahosot District, Prachin Buri Province. This sandstone Trishula represents a Dvaravati art. 

Although its top and handle disappeared, this sandstone Trishula also gives us a trace of Dvaravati art in this region. It was carved around the 7th century CE or 1,400 years BE. 

 ****

Mina raconte : La Trishula, arme du Seigneur Shiva

Bonjour, aujourd’hui je voudrais vous parler de la Trishula, arme du Dieu Shiva, Dieu Suprême du Shivaïsme, une doctrine traditionnelle de l’Hindouïsme. Cette arme céleste est actuellement placée dans une salle d'exposition du Musée national de Prachin Buri.

La Trishula, connue sous le nom thaï « Tri Soon ou Soon », est une arme en forme de trident avec un long manche. Il a été placé dans un sanctuaire shivaïte comme symbole du Seigneur Shiva, l'Être suprême du Shivaïsme. Donc, à part le Shiva lingum, pierre dressée d’apparence phallique représentant Shiva, les gens d’autrefois préfèrent aussi sculpter la Trishula pour représenter leur Dieu Suprême du Shivaisme.

Cette Trishula en grès a été trouvé au village de Ban Wat, sous-district de Khok Pip, district de Si Mahosot, province de Prachin Buri.

Bien que le dessus et l’anse de l’arme aient disparu, cette Trishula nous donne également la trace de l'art Dvaravati dans cette région. Elle a été sculptée vers le 7ème siècle de notre ère ou 1 400 ans de l’ère Bouddhique.

*************** 

วันอาทิตย์, กันยายน 17, 2566

มินามีเรื่องเล่า รูปแผ่นดินเผาพิมพ์ลาย เรื่องพระกฤษณะยกภูเขาโควรรธนะ

 


มินามีเรื่องเล่า รูปแผ่นดินเผาพิมพ์ลาย เรื่องพระกฤษณะยกภูเขาโควรรธนะ
ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี มีรูปแผ่นดินเผาพิมพ์ลายเรื่องพระกฤษณะยกภูเขาโควรรธนะ รูปแผ่นดินเผานี้เป็นศิลปะทวารวดี มีอายุประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๒ มีลักษณะเป็นแผ่นดินเผา มีขนาดกว้าง ๒๖ เซนติเมตร ยาว ๓๒ เซนติเมตร ได้มาจากการขุดแต่งโบราณสถานที่เมืองศรีมโหสถ อำเภอศรีมโหสถ จังหวัดปราจีนบุรี
รูปแผ่นดินเผาทำได้อย่างไรและทำเพื่ออะไร
รูปแผ่นดินเผาพิมพ์ลายสำหรับตกแต่งระดับศาสนสถานในศิลปะทวาราวดี มักมีกรรมวิธีในการผลิตโดยกดดินที่เตรียมไว้ลงในแม่พิมพ์ต้นแบบ แล้วนำมาตกแต่งในรายละเอียดให้สวยงาม จากนั้นจึงนำไปเผาให้สุก แล้วจึงนำไปประดับบนศาสนสถานต่าง ๆ โดยมากแล้วรูปดินเผาเหล่านี้จะทำเป็นรูปนูนต่ำ มีทั้งรูปบุคคล พระพุทธรูป พระโพธิสัตว์ รูปสตรี และลวดลายต่าง ๆ
รูปแผ่นดินเผาพิมพ์ลายชิ้นนี้ทำเป็นรูปผู้ชาย รวบผมเป็นจุกอยู่กลางศีรษะ นุ่งผ้าโจงสั้นหยักรั้ง พระหัตถ์ขวาถือไม้รูปโค้ง พระหัตถ์ซ้ายยกขึ้น เหนือขึ้นไปเป็นกิ่งไม้อยู่ภายในกรอบสี่เหลี่ยมล้อมรอบด้วยลายลูกประคำเรียงกันเป็นแถว และจากรูปแบบประติมานวิทยาของภาพอาจกำหนดได้ว่า เป็นรูปพระกฤษณะในตอนยกภูเขาโควรรธนะเพื่อช่วยฝูงวัว
เรื่องของพระกฤษณะยกภูเขาโควรรธนะถือเป็นอวตารหนึ่งของพระวิษณุ มีลักษณะคล้ายกับประติมากรรมรูปคนเหาะที่พบที่เมืองอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าศาสนสถานหลังนี้คงจะเป็นเทวาลัยในศาสนาพราหมณ์ ลัทธิไวษณพนิกาย (ไว-ษะ-ณพ-นิ-กาย) อันเป็นศาสนาที่นิยมเคารพนับถือกันในขณะนั้น
เมื่อกล่าวถึงเรื่องพระกฤษณาวตาร ก็ขออนุญาตกล่าวถึงทับหลังสลักภาพตอนกฤษณาวตารหรือพระกฤษณะโควรรธนะ ที่ปราสาทเมืองต่ำ จังหวัดบุรีรัมย์ด้วยนะครับ
ที่ปราสาทเมืองต่ำ มีทับหลังสลักภาพพระกฤษณะทรงยกภูเขาชื่อโควรรธนะเพื่อปกป้องคนเลี้ยงวัวและฝูงวัวให้พ้นภัยพายุ ทับหลังนี้อยู่บนปราสาทบริวารด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ นะครับ
เรื่องของพระกฤษณะทรงยกภูเขาชื่อโควรรธนะเป็นอย่างไร
ตำนานมีอยู่ว่า พระวิษณุได้ทรงอวตารลงมาเป็นชายหนุ่มรูปงามชื่อกฤษณะ และได้แนะนำให้คนเลี้ยงวัวซึ่งแต่เดิมบูชาพระอินทร์ให้หันไปบูชาภูเขาโควรรธนะซึ่งเป็นที่ทำมาหากินแทน
เมื่อมีคนมายุยงให้คนเลี้ยงวัวไปบูชาภูเขาแทนตนเอง พระอินทร์ท่านทรงพิโรธและบันดาลให้เกิดพายุฝนกรวดทรายตกใส่หมู่บ้านคนเลี้ยงวัวนะครับ
คราวนี้ พระกฤษณะได้แสดงพละกำลังโดยการถอนภูเขาโควรรธนะ แล้วยกภูเขาขึ้นป้องกันหมู่บ้านเป็นเวลา ๗ วัน ๗ คืน โดยไม่ขยับเขยื้อน จนทำให้พระอินทร์ยอมแพ้ นะครับ
แหล่งข้อมูล
ศิลปากร, กรม. นำชมพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี. กรุงเทพฯ : บริษัท คัมปาย อิมเมจจิ้ง จำกัด, ๒๕๔๒.

วันเสาร์, กันยายน 16, 2566

มินามีเรื่องเล่า ร่องรอยวัฒนธรรมลุ่มน้ำบางปะกงและภูมิภาคตะวันออก ที่ชุมชนโบราณบ้านโคกพนมและบ้านหนองโน

 


มินามีเรื่องเล่า ร่องรอยวัฒนธรรมลุ่มน้ำบางปะกงและภูมิภาคตะวันออก ที่ชุมชนโบราณบ้านโคกพนมและบ้านหนองโน

**********
สวัสดีครับ เมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน พ.ศ.๒๕๖๖ ผมได้มีโอกาสไปเยี่มมชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี และได้เรียนรู้ร่องรอยวัฒนธรรมลุ่มน้ำบางปะกง จึงขออนุญาตนำมาถ่ายทอดสู่กันฟังครับ
ภูมิประเทศในเขตภาคตะวันออกนั้นมีความอุดมสมบูรณ์ ก่อให้เกิดชุมชนโบราณยุคก่อนประวัติศาสตร์มากมายหลายแห่ง ชุมชนเหล่านี้กระจายตัวอยู่รอบขอบอ่าวทะเล ในปัจจุบันประกอบไปด้วยพื้นที่ต่าง ๆ รวม ๘ จังหวัด คือ ฉะเชิงเทรา สระแก้ว ชลบุรี ระยอง ปราจีนบุรี จันทบุรี ตราด และนครนายก นะครับ
ชุมชนโบราณยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่สำคัญสองแห่งได้แก่ ชุมชนบ้านโคกพนมดี และชุมชนบ้านหนองโน
ชุมชุนบ้านโคกพนมดี ตั้งอยู่ที่ตำบลท่าข้าม อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี มีอายุราว ๓,๕๐๐-๔,๐๐๐ ปีมาแล้ว พบร่องรอยการตั้งถิ่นฐานที่อยู่อาศัยของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ โดยใช้ทรัพยากรทางทะเลเพื่อการอุปโภคบริโภค ความรุ่งเรืองของชุมชน คือการขุดค้นพบหลุมฝังศพจำนวนหนึ่งนะครับ มีโครงกระดูกจำนวนมากถึง ๑๕๔ โครง ที่โดดเด่นที่สุด คือโครงกระดูกหญิงสาวซึ่งตกแต่งเรือนร่างด้วยลูกปัดที่ทำจากเปลือกหอยมากมายถึง ๑๒๐,๐๐๐ เม็ด อีกทั้งฝังสิ่งของเป็นเครื่องอุทิศอีกเป็นจำนวนมาก สันนิษฐานไว้ว่าคงเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญต่อชุมชนนี้แน่นอน ซึ่งต่อมาเธอผู้นี้ได้รับการขนานนามว่าเป็น เจ้าแม่แห่งโคกพนมดี (ท่านสามารถตามอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.silpa-mag.com/history/article_93448 วารสารศิลปวัฒนธรรม ตอน สตรีลึกลับกับเครื่องประดับนับแสนชิ้น ใครคือเจ้าแม่แห่งโคกพนมดี?)



ไม่ไกลจากโคกพนมดีนั้นมีอีก ๑ ชุมชนตั้งอยู่ ได้แก่ ชุมชนหนองโน มีอายุราว ๒,๗๐๐-๔,๕๐๐ ปีมาแล้ว แหล่งโบราณคดีบ้านหนองโน ตั้งอยู่ที่ตำบลไร่หลักทอง อำเภอพนัสนิคม นะครับ
แหล่งโบราณคดีเหล่านี้เคยเป็นซากสุสานหอยที่มีซากเปลือกหอยนานาชนิดมากกว่า ๖ ล้านฝาครับ หอยเหล่านี้อยู่บนหาดทรายและจมอยู่ในทะเลโคลนตมมากกว่า ๔,๐๐๐ กว่าปีมาแล้ว
ชุมชนโบราณหนองโนเป็นชุมชนเล็ก ๆ มีประชากรเพียงไม่กี่ครอบครัวอาศัยอยู่ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ แล้วอพยพไปหาที่อยู่ใหม่
ด้วยสภาพแวดล้อมของการตั้งถิ่นฐาน ชาวโคกพนมดีและชาวหนองโนจึงมีวิถีชีวิตที่ใกล้เคียงกัน โดยแสวงหาอาหารจากธรรมชาติทั้งทางทะเลจากสัตว์น้ำและเข้าป่าล่าสัตว์ ได้มีการพบเศษกระดูกกลางทะเล เช่น ฉลาม โลมา วาฬ บนบกมีการพบเศษกระดูกวัวป่าและควายป่า เป็นต้น คนในชุมชนทั้งสองแห่งยังมีความสามารถในการผลิตภาชนะดินเผาและประดิษฐ์เครื่องมือเครื่องใช้จากกระดูกสัตว์ เช่น เบ็ดตกปลา เข็ม หมุด เพื่อใช้สอยในการดำรงชีวิต โดยเชื่อว่ายังไม่รู้จักวิธีการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์อย่างจริงจัง
เมื่อมีคนในชุมชนเสียชีวิตก็มีพิธีกรรมการฝังศพพร้อมของกินและเครื่องใช้อุทิศให้แก่ผู้ตายเพื่อนำไปใช้ในโลกหน้า
ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของที่ราบลุ่มชายฝั่งทะเลที่เหมาะสมในการตั้งถิ่นฐานและขยายบ้านเมือง รวมทั้งการค้าขายแลกเปลี่ยนทรัพยากรไปยังดินแดนห่างไกล ประกอบกับการรับความเชื่อทางศาสนาและวัฒนธรรมยุคประวัติศาสตร์จากภายนอก ชุมชนโบราณที่เคยมีอยู่จึงก่อตัวขึ้นเป็นเมืองต่าง ๆ เช่นเมืองศรีมโหสถ
โปรดติดตามเรื่องเมืองศรีมโหสถในตอนต่อไปนะครับ
ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น
แชร์

วันศุกร์, กันยายน 15, 2566

มินามีเรื่องเล่า ศิวลึงค์ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี

 



มินามีเรื่องเล่า ศิวลึงค์ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี

 

สวัสดีครับเมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๖ ผมได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี

 

ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรีแห่งนี้ มีแท่นศิวลึงค์ทำด้วยหินทราย เป็นศิลปะทวาราวดี มีความสูง ๒๑ เซนติเมตร มีฐานกว้าง ๖๕ เซนติเมตร ได้มาจากอำเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี

 


ศิวลึงค์มีความสำคัญอย่างไร

 

ศิวลึงค์เป็นประติมากรรมรูปเคารพที่สำคัญในศาสนาพราหมณ์ลัทธิไศวนิกายนะครับ 

 

ไศวนิกายคือลัทธิอะไร คือลัทธิที่นับถือพระศิวะเป็นใหญ่นะครับ 

 

ในสมัยนั้นศาสนาพราหมณ์หรือฮินดูมีการนับถือลัทธิสำคัญ ๒ ลัทธิครับ ลัทธิที่นับถือพระศิวะเป็นใหญ่ เรียกว่าไศวนิกาย แต่ถ้านับถือพระวิษณุเป็นใหญ่ เรียกว่า ไวษณพนิกาย ทั้งสองลัทธิอยู่ร่วมกันได้ครับ แล้วแต่ว่าใครจะนิยมเทพองค์ใดเป็นใหญ่มากกว่ากัน

 

คติความเชื่อในการสร้างศิวลึงค์นั้น ได้มีการสร้างและประดิษฐานศิวลิงค์ไว้ที่ไหนครับ เรามักจะพบว่ามีการประดิษฐานศิวลึงค์เป็นประติมากรรมประธานในศาสนสถานนะครับ

 

ทำไมต้องเป็นศิวลึงค์ด้วย

คำตอบคือ เพราะศิวลึงค์เป็นสัญลักษณ์ที่มีความหมายแทนองค์พระศิวะซึ่งเป็นพระผู้เป็นเจ้าผู้ให้กำเนิดแก่มวลมนุษย์ ศิวลึงค์ คือองค์กำเนิดเพศชายที่เป็นสัญลักษณ์แทนองค์พระศิวะ หมายถึงการสร้างสรรค์ ความมั่งคั่ง ความเจริญรุ่งเรือง ในขณะเดียวกันก็หมายถึงตรีมูรติ ได้แก่ เทพเจ้า ๓ องค์ในศาสนาพราหมณ์ โดยแท่งศิวลึงค์แบ่งออกเป็น ๓ ส่วนหรือเรียกว่า ๓ ภาคก็ได้ครับ 

 

ภาคที่ ๑ คือ รุทรภาค หรือปูชาภาค เป็นรูปกลม อยู่ด้านบนสุดของศิวลึงค์ หมายถึงพระศิวะ 

 

ภาคที่ ๒ คือ วิษณุภาค เป็นส่วนกลาง อาจทำเป็นรูปแปดเหลี่ยม หมายถึง พระวิษณุ  

 

ภาคที่ ๓ คือ พรหมภาค คือส่วนล่าง อาจทำเป็นรูปสี่เหลี่ยม หมายถึงพระพรหม นะครับ  

 

ย้อนมาที่ศิวลึงค์ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรีนะครับ  ศิวลึงค์แท่งนี้เป็นรูปสลักติดกับฐานสี่เหลี่ยมซึ่งเป็นร่องรองรับน้ำสรง ศิวลึงค์นี้มีเฉพาะส่วนรุทรภาคหรือปูชาภาค คือส่วนยอดของศิวลึงค์ที่โผล่ขึ้นมาจากตรงกลางของฐานโยนี ครับ

 

ลักษณะของศิวลึงค์ประเภทนี้จะใกล้เคียงกับกายวิภาคตามธรรมชาติ ถือเป็นศิวลึงค์รุ่นเก่าสุด มีลักษณะเหมือนศิวลึงค์ในศิลปะจาม กล่าวคือ จะตัดทอนเอาส่วนพรหมภาคและวิษณุภาคออกไปครับ

 

ศิวลึงค์ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ ปราจีนบุรีนี้เป็นศิวลึงค์ที่นิยมในศิลปะเขมรก่อนเมืองพระนคร ซึ่งมีอายุประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๓ คาดว่าศิวลึงค์จะมีอายุในระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๓ เป็นอย่างน้อยนะครับ

 

แหล่งข้อมูล

ศิลปากร, กรม.  นำชมพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี.  กรุงเทพฯ : บริษัท คัมปาย อิมเมจจิ้ง จำกัด, ๒๕๔๒.   

https://www.finearts.go.th/roietmuseum/view/11398-เอกมุขลึงค์.



มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French

  มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French กรมหลวงพิพิธมนตรี (พระพันวัสสาน้อย) เป็นพระอัครมเหสีน้อยของสมเด็จพ...