มินามีเรื่องเล่า
การล่มสลายของเมืองศรีเทพราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘
สวัสดีครับ
ช่วงนี้หลายท่านคงได้มีโอกาสเดินทางไปชื่นชมเมืองมรดกโลกแห่งใหม่ของไทย คือเมืองศรีเทพแล้วนะครับ
อีกหลายท่านกำลังวางแผนการไปเที่ยวชมและร่วมภาคภูมิใจกับเมืองศรีเทพกันนะครับ
วันนี้ขอเล่าเรื่องการล่มสลายของเมืองศรีเทพในราวพุทธศตวรรษที่
๑๘ นะครับ ลองติดตามดูกันครับ
เมืองศรีเทพได้พัฒนาตนเองตั้งแต่เป็นชุมชนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายจนเจริญรุ่งเรืองเป็นชุมชนเมืองที่ได้ร้บวัฒนธรรมทวารวดีในราวพุทธศตวรรษที่
๑๒-๑๖ นะครัย ต่อมาได้รับวัฒนธรรมเขมรในพุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๘
รวมแล้วเมืองศรีเทพเจริญรุ่งเรืองในฐานุชุมชนเมืองหรือเมืองศูนย์กลางความเจริญไม่ต่ำกว่า
๗๐๐ ปี นะครับ
เหตุใดเมืองจึงล่มสลาย
หรือเหตุใดผู้คนจึงละทิ้งเมืองนี้ให้ร้างไป
เราไม่ทราบสาเหตุแน่ชัดนะครับ
นักวิชาการส่วนใหญ่มุ่งเน้นประเด็นเรื่องการเกิดโรคระบาดนะครับ หลายท่านอธิบายว่า
เมืองศรีเทพเป็นเมืองที่มีสระน้ำและหนองน้ำมาก
เป็นแหล่งน้ำนิ่งเหมาะสำหรับให้ยุงวางไข่ อาจเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงอย่างดี
อย่างที่เราทราบกันดีนะครับว่า โรคระบาดในเขตพื้นที่แถบบ้านเรา คือ โรคอหิวาต์และโรคมาลาเรีย
ในอดีตเป็นที่รู้กันดีว่าแถบเมืองเพชรบูรณ์มีไข้ป่าชุกชุมมาก
ถึงกับมีคำกล่าวที่ว่า “เพชรบูรณ์หม้อใหม่” หมายความว่า
ใครมาจังหวัดเพชรบูรณ์แล้วต้องซื้อหม้อใหม่ติดตัวมาด้วย เพื่ออะไรหรือครับ ก็เพื่อใส่กระดูกกลับ
ในสมัยก่อนพวกข้าราชการจากกรุงเทพฯ ต่างกลัวไข้ป่าและไม่ค่อยยินดีที่จะมารับราชการที่เมืองเพชรบูรณ์
และเรื่องกลัวไข้ป่านี้เองที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยต้องเสด็จฯ มาเมืองเพชรบูรณ์
เพื่อเป็นตัวอย่างให้ข้าราชการจากกรุงเทพฯ
เห็นว่าแม้แต่พระองค์ซึ่งเป็นเจ้าฟ้ายังเสด็จมาที่เมืองเพชรบูรณ์และกลับไปอย่างปลอดภัย
ทำให้พระองค์ท่านได้มีโอกาสสืบหาเมืองศรีเทพจนพบนะครับ สรุปว่า
นักวิชาการสันนิษฐานว่าน่าจะเกิดจากโรคระบาด โดยเฉพาะโรคมาลาเรีย นะครับ
แต่กีมีนิทานพื้นบ้านที่ผูกเรื่องการล่มสลายของเมืองศรีเทพนะครับ
นิทานเรื่องนี้มีตัวละครคือ ฤาษีตาไฟ ลูกชายเจ้าเมือง
ฤาษีตาวัว รวมทั้งเจ้าเมืองนะครับ
เรื่องมีอยู่ว่า ที่บนเขาใกล้เมืองศรีเทพ มีฤาษี ๒ ตนสร้างกุฏิอยู่ใกล้
ๆ กัน คนหนึ่งชื่อฤาษีตาไฟ อีกตนหนึ่งชื่อฤาษีตาวัว ท่านฤาษีตาไฟมีลูกศิษย์คนหนึ่งเป็นลูกชายเจ้าเมือง
วันหนึ่งฤาษีตาไฟบอกกับศิษย์รักคือลูกชายเจ้าเมือง “ฟังนะ ตรงบริเวณด้านนั้น มีบ่อน้ำอยู่ใกล้กันสองบ่อ
น้ำในบ่อหนึ่งนั้นใครลงไปอาบก็จะตาย แต่น้ำจากอีกบ่อหนึ่ง ใครนำมารดร่างจะฟื้นคืนชีพกลับมาใหม่”
ลูกชายเจ้าเมืองทำท่าทางไม่เชื่อ “ไม่น่าเป็นไปได้นะครับพระอาจารย์
น้ำอะไรจะทำให้คนตายได้ และน้ำอีกบ่อหนึ่งทำให้คนฟื้นคืนชีพได้”
“ถ้าเจ้าไม่เชื่อ อาจารย์จะทดสอบให้ดู อาตมาจะลงไปอาบในบ่อแรก
แต่เจ้าต้องสัญญานะว่าจะนำน้ำจากบ่อที่สองมารดร่างอาจารย์ จะได้ฟื้นคืนชีพกลับมา”
ฤาษีตาไฟกล่าวกับศิษย์รัก
“ได้ครับ ผมขอดูเป็นขวัญตา และจะรีบตักน้ำในบ่อที่สองมารดร่างพระอาจารย์โดยทันทีเลยครับ”
ศิษย์ตอบด้วยสายตามุ่งมั่น
ฤาษีตาไฟจึงได้นำน้ำรดร่างตนเอง และเสียชีวิต
แต่ศิษย์รักผู้เป็นลูกชายเจ้าเมืองกลับเมินเฉย ไม่ทำตามสัญญา
แต่กลับหนีเข้าไปในเมือง
ฝ่ายฤาษีตาวัว เคยไปมาหาสู่กับฤาษีตาไฟ เห็นผิดสังเกต
ไม่เห็นฤาษีตาไฟมาเยี่ยมเยียนที่กุฏิ ก็ออกไปตามหา เมี่อผ่านบ่อน้ำที่ใครอาบก็ตาย
เห็นน้ำในบ่อเดือดก็ทราบว่ามีเหตุร้ายเกิดขึ้น
มองเห็นร่างฤาษีตาไฟนอนเสียชีวิตในบ่อน้ำ
จึงไปเอาน้ำจากอีกบ่อหนึ่งมารดซากศพฤาษีตาไฟจนฟื้นคืนชีพขึ้นมา
“ท่านฤาษีตาไฟ เกิดอะไรขึ้น ทำไมท่านมานอนเสียชีวิตในบ่อน้ำอันตรายแห่งนี้”
ฤาษีตาวัวถามอย่างสงสัย
“ก็ไอ้เจ้าศิษย์ทรยศของข้าพเจ้านะซิ ข้าพเจ้าบอกเขาเรื่องบ่อน้ำผลาญชีพและบ่อน้ำชุบชีพ
แต่เขาไม่เชื่อ ข้าพเจ้าเลยทดสอบให้เขาดู พร้อมบอกให้เขาคอยนำน้ำชุบชีพมารดร่างของข้าพเจ้า
แต่ไม่รู้หายไปไหน เจ้าศิษย์ร้ายคนนี้ คงหนีกลับเมืองแล้ว”
ฤาษีตาไฟเล่าเรื่องด้วยอารมณ์โกรธ
“แล้วท่านจะทำอย่างไร” ฤาษีตาวัวถาม
“ข้าพเจ้าจะต้องแก้แค้นลงโทษเจ้าลูกศิษย์ทรยศคนนี้”
ฤาษีตาไฟกล่าวด้วยสายตาสุดแค้น
“ท่านจะทำอย่างไร”
“ผมจะเนรมิตวัวตัวหนึ่ง
แล้วเอาพิษร้ายบรรจุไว้ในท้องวัวตัวนั้น ให้วัวไปปล่อยพิษร้ายในเมือง”
ฤาษีตาไฟกล่าวถึงแผนการแก้แค้นของตน
ในที่สุดฤาษีตาไฟได้เนรมิตวัวขึ้นมาตัวหนึ่ง
เอาพิษร้ายบรรจุไว้ในท้องวัว แล้วปล่อยให้วัวนั้นเดินรอบๆ เมืองถึง ๗ วัน
พร้อมทั้งทำเสียงกึกก้องตลอดเวลา
ฝ่ายทหารเฝ้าประตูเมืองเห็นผิดสังเกต จึงปิดประตูเมืองเสีย
ครั้นถึงวันที่เจ็ด เจ้าเมืองมีรับสั่งให้เปิดประตูเมือง
วัวก็วิ่งปราดเข้าประตูเมืองได้ ขณะเดียวกันท้องวัวก็ระเบิดออกมา
ไอพิษร้ายในท้องวัวก็ไหลออกมาทำร้ายคนในเมืองจนตาย นะครับ
ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ไม่ว่าเมืองศรีเทพจะล่มสลายตามข้อสันนิษฐานใดๆ
หรือตามนิทานพื้นบ้านเรื่องต่างๆ สิ่งที่เป็นจริง คือ เมืองศรีเทพเป็นอมตะตลอดกาล
และผู้คนทั่วโลกรู้จักความสำคัญของเมืองศรีเทพแห่งนี้ในต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๑
แล้วนะครับ
ข้อมูล
กรมศิลปากร. อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ. กรุงเทพฯ : บริษัท รุ่งศิลป์การพิมพ์ (๑๙๗๗) จำกัด, ๒๕๕๐.



ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น