มินามีเรื่องเล่า จากปี พ.ศ. ๒๔๗๗-๒๕๖๖ เป็นเวลา ๑๑๙ ปี จากการค้นพบเมืองโบราณศรีเทพสู่เมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรม
******************
สวัสดีครับ วันนี้ขออนุญาตเล่าเรื่องการค้นพบเมืองศรีเทพในปีพุทธศักราช ๒๔๔๗ นะครับ ถ้านับจากปีนั้นมาจนถึงปี พ.ศ. ๒๕๖๖ ซึ่งเมืองศรีเทพได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นเมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรม นับว่าเป็นเวลาถึง ๑๑๙ ปีเลยนะครับ
เดิมนั้นเมืองศรีเทพเป็นเมืองที่รกร้างอยู่กลางป่า
ไม่มีผู้ใดทราบแท้จริงว่าเมืองนี้มีชื่อว่าอะไร ใครเป็นผู้สร้าง สร้างมาเมื่อใด
ชาวบ้านท้องถิ่นเรียกชื่อเมืองตามคำของพระธุดงค์ว่า “เมืองอภัยสาลี” นะครับ
เมืองโบราณแห่งนี้ได้รับการเรียกขานนามว่า “ศรีเทพ” ในปี พ.ศ. ๒๔๔๗ นะครับ
ปี พ.ศ. ๒๔๔๗ มีอะไร ทำไมเมืองโบราณที่ชาวบ้านเรียกกันว่า อภัยสาลี ได้เปลี่ยนชื่อเป็นเมืองศรีเทพ
ในปี พ.ศ. ๒๔๔๗ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
ซึ่งเป็นสมเด็จพระอนุชาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
และเป็นผู้ที่ได้รับการเชิดชูว่าเป็นพระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย
พระองค์ท่านเป็นผู้ค้นพบเมืองโบราณแห่งนี้
นับว่าปวงชนชาวไทยได้รับพระเมตตาจากพระองค์ท่านมากนะครับ
ขออนุญาตเล่าถึงความมุ่งมั่นและพระวิริยอุตสาหะของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ นะครับ
ปี พ.ศ. ๒๔๔๗ พระองค์ได้เสด็จมาตรวจราชการที่มณฑลเพชรบูรณ์ในฐานะที่ทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย นอกเหนือจากพระราชภารกิจในตำแหน่งหน้าที่แล้ว พระองค์ได้ทรงตั้งพระทัยที่จะสืบหาเมืองโบราณแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่า “เมืองศรีเทพ” นะครับ
เมื่อแรกเริ่มตอนเข้ารับตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเคยพบทำเนียบเก่าบอกรายชื่อหัวเมืองมีชื่อเมืองศรีเทพปรากฏอยู่ ทรงสอบถามข้าราชการกระทรวงมหาดไทยถึงตำแหน่งที่ตั้งของเมืองศรีเทพ ปรากฏว่าอย่างไรครับ ไม่มีใครรู้จักนะครับ
ต่อมาพระองค์ทรงพบสมุดดำเล่มหนึ่งซึ่งเป็นเอกสารฉบับร่างเพื่อบอกเส้นทางให้คนเชิญสารตราไปบอกข่าวตามหัวเมืองต่างๆ เรื่องการสิ้นพระชนม์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ มีเส้นทางหนึ่งไปยังเมืองสระบุรี เมืองชัยบาดาล เมืองศรีเทพ และเมืองเพชรบูรณ์ พระองค์จึงทรงตั้งสมมุติฐานว่า เมืองศรีเทพคงอยู่ทางลำน้ำป่าสัก คงอยู่ที่ใดสักแห่งนะครับ
ครั้นเมื่อสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสด็จมาถึงเมืองเพชรบูรณ์แล้วก็ทรงสืบหาเมืองแต่ไม่ได้ความ แต่มีคนกราบทูลพระองค์ว่ามีเมืองโบราณแห่งหนึ่งใหญ่โตมาก ชื่อเมือง “อภัยสาลี” อยู่ในป่าแดงใกล้กับเมืองวิเชียรบุรี สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ จึงเสด็จมาเมืองวิเชียรบุรี โดยทรงล่องเรือมาทางแม่น้ำป่าสัก นะครับ (ในสมัยนั้น ไก่ย่างวิเชียรบุรียังไม่ดังนะครับ พูดเล่นนะครับ)
เมื่อมาถึงเมืองวิเชียรบุรี พระองค์ทรงแวะเยี่ยมพระยาประเสริฐสงคราม อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งชราลงและออกจากราชการนานมาแล้ว พระองค์ทรงไต่ถามพระยาประเสริฐสงครามถึงเรื่องเมืองศรีเทพ ได้ความว่า เมืองวิเชียรบุรีนั้นแต่เดิมมีชื่อเรียกเป็น ๒ อย่าง คือ เมืองท่าโรง หรือเมืองศรีเทพ
พระยาประเสริฐสงครามกราบทูลเล่าเรื่องชื่อเมืองต่อไปว่า แต่ก่อนตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด คือ พระศรีถมอรัตน์ ตั้งชื่อตามเขาแก้ว ที่อยู่ในเมืองนี้ ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ได้มีการปราบศึกเจ้าอนุวงศ์ พระศรีถมอรัตน์มีความชอบมาก พระองค์จึงโปรดเกล้าฯ ให้ยกศักดิ์เมืองศรีเทพให้เป็นเมืองตรี และเปลี่ยนนามเป็นเมืองวิเชียรบุรี โดยเอาความหมายของถมอรัตน์คือเขาแก้วมาเป็นมงคลนาม และเปลี่ยนนามผู้ว่าราชการจังหวัดจากพระศรีถมอรัตน์เป็นพระยาประเสริฐสงครามตั้งแต่นั้นมา
สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงถามพระยาประเสริฐสงครามเรื่องเมืองอภัยสาลี ได้ความว่า มีเมืองโบราณใหญ่โตจริงแต่ชื่อที่เรียกว่าเมืองอภัยสาลีนั้นเป็นแต่คำพระธุดงค์ คงจะเอาเป็นชื่อที่แน่นอนไม่ได้
หลังจากนั้นสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ล่องเรือจากเมืองวิเชียรบุรีและมาขึ้นบกที่ท่าบ้านนาตุกรุด ทรงพักแรมอยู่คืนหนึ่ง รุ่งเช้าจึงเดินทางไปสำรวจเมืองโบราณที่เรียกกันว่าอภัยสาลี พระองค์ได้ทรงพบว่า เป็นเมืองใหญ่โตจริง มีคูเมือง กำแพงเมือง ปรางค์ปราสาท สระน้ำ และโคกเนินโบราณสถานต่างๆ หลายแห่งทั้งนอกเมืองและในเมือง รวมทั้งประติมากรรมหินต่างๆ เป็นอันมาก
สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงพิจารณาเมืองโบราณและทรงลงความเห็นเป็นสองอย่างนะครับ คือ ประการแรก เมืองโบราณแห่งนี้พวกพราหมณ์จะเรียกชื่อว่าอย่างไรก็ตาม ชื่อนั้นก็คงจะเป็นต้นเค้าของชื่อเมืองศรีเทพ ซึ่งเป็นชื่อเก่าของเมืองวิเชียรบุรี ประการที่สอง สมัยเมื่อครั้งขอมปกครองเมืองไทย เมืองศรีเทพคงเป็นมหานครหรือเมืองใหญ่แห่งหนึ่ง เช่นเดียวกับเมืองที่ดงศรีมหาโพธิ์ ในจังหวัดปราจีนบุรี และเมืองสุโขทัย จึงสามารถสร้างเป็นเมืองใหญ่โตได้
น่าภาคภูมิใจในพระกรุณาธิคุณของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพที่ค้นพบเมืองโบราณศรีเทพและคุณค่าของเมืองศรีเทพ แหล่งมรดกโลกลำดับที่เจ็ดของไทยนะครับ
ข้อมูล
กรมศิลปากร.
อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ.
กรุงเทพฯ : บริษัท รุ่งศิลป์การพิมพ์
(๑๙๗๗) จำกัด, ๒๕๕๐.


ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น