Chalermkiat Mina

วันอังคาร, พฤศจิกายน 21, 2566

Le français de Chalermkiat Mina, Les verbes impersonnels กริยาไร้ประธาน_2

 




Le français de Chalermkiat Mina

Les verbes impersonnels กริยาไร้ประธาน_2



Quelle heure est-il ?

เวลาเท่าไรแล้ว

Il est huit heures du matin.   

แปดโมงเช้า

 Il est tôt. 

ยังเช้าตรู่

Il est tard.

สายแล้ว      

Il est midi.

เป็นเวลาเที่ยงวัน         

Il est minuit.  

เป็นเวลาเที่ยงคืน

 

Les verbes impersonnels อื่น ๆ

Il faut จำเป็นต้อง                         

Il faut un visa pour aller en France.

จะไปฝรั่งเศสต้องมีวีซ่า

 

Il reste ยังมี มีเหลืออยู่  

Est-ce qu’il reste une place pour le concert ?  

ยังคงมีที่นั่งสำหรับงานคอนเสิร์ตไหม

 

Il reste très peu de tigres sur notre planète.

มีเสือน้อยมากบนโลกของเรา


Il y a encore ยังมี มีเหลืออยู่  

Il y a encore très peu de tigres sur notre planète.

มีเสือน้อยมากบนโลกของเรา

 

Il est / C’est + adjectif + de + verbe

Il est / C’est + adjectif + que + ประโยค (นิยมใช้ C’est มากกว่า Il est)

C’est possible.

Il est possible.

เป็นไปได้

C’est normal.

Il est normal

เป็นปกติ

C’est important.  

Il est important

เป็นสิ่งสำคัญ   

C’est nécessaire.

Il est nécessaire.

เป็นสิ่งจำเป็น

C’est dommage.

Il est dommage.

น่าเสียดาย

C’est agréable.  

Il est agréable.    

น่าพึงพอใจ

C’est convenable.

Il est convenable.

น่าเหมาะสม

 

adjectif + « de » + Verbe à l’infinitif

Il est interdit de coller des affiches sur ce mur.

ห้ามติดป้ายประกาศบนกำแพงนี้

C’est facile de faire ce gâteau si on suit bien la recette.

มันง่ายที่จะทำขนมเค้กนี้ถ้าเราทำตามตำราอาหาร

 

adjectif + « que » 

C’est évident qu’on ne peut pas vivre sans dormir.

มันแน่ชัดที่เราไม่สามารถจะดำรงชีวิตโดยปราศจากการนอน     

Il est normal qu’il y a beaucoup de monde dans le magasin le dimanche.

เป็นปกติที่มีคนมากในห้างสรรพสินค้านี้ทุกวันอาทิตย์

 


วันเสาร์, พฤศจิกายน 18, 2566

Le français de Chalermkiat Mina : Les articles indéfinis remplacés par « de ».


 

มินามีเรื่องเล่า 

Le français de Chalermkiat Mina : Les articles indéfinis remplacés par « de ».


ท่านสามารถดู clip อธิบายเรื่องนี้ได้ใน youtube : https://youtu.be/pdOZ0n_GVpM

 

คำนำหน้านามที่ไม่ชี้เฉพาะเจาะจง ได้แก่ un, une, des เมื่อเป็นปฏิเสธจะเปลี่ยนเป็น de หรือ d’ (d apostrophe) ตัวอย่างเช่น

Est-ce qu’il y a un arbre devant ta maison ?  

มีต้นไม้ต้นหนึ่งหน้าบ้านเธอไหม

Oui, il y a un arbre devant ma maison.

มีต้นไม้อยู่หน้าบ้านฉัน

Non, il n’y a pas d’arbre devant ma maison.

ไม่มีต้นไม่อยู่หน้าบ้านฉัน

 

Est-ce qu’il y a un employé dans le bureau ?

มีพนักงานคนหนึ่งอยู่ในสำนักงาน

Oui, il y a un employé dans le bureau.

มีพนักงานอยู่ในสำนักงาน

Non, il n’y a pas d’employé dans le bureau.

ไม่มีพนักงานอยู่ในสำนักงาน

 

Est-ce qu’il y a des chaussures devant ta chambre ?

มีร้องเท้าอยู่หน้าห้องนอนเธอไหม

Oui, il y a des chaussures devant ma chambre.

มีรองเท้าอยู่หน้าห้องนอนของฉัน

Non, il n’y a pas de chaussures devant ma chambre.

ไม่มีรองเท้าอยู่หน้าห้องนอนของฉัน

 

Est-ce qu’il y a un chat sur le toit ?

มีแมวอยู่บนหลังคาไหม

Oui, il y a un chat sur le toit.

มีแมวตัวหนึ่งอยู่บนหลังคา

Non, il n’y a pas de chat sur le toit.

ไม่มีแมวอยู่บนหลังคา

 

Est-ce qu’il y a des fleurs dans le jardin ?

มีดอกไม้ในสวนไหม

Oui, il y a des fleurs dans le jardin.

มีดอกไม้ในสวน

Non, il n’y a pas de fleurs dans le jardin.

ไม่มีดอกไม้ในสวน

 

Qu’est-ce qu’il y a sur la table ?

มีอะไรอยู่บนโต๊ะ

Sur la table, il y a un chat, mais il n’y a pas de chien.

บนโต๊ะมีแมวตัวหนึ่งแต่ไม่มีสุนัข

Sur la table, il y a aussi un crayon, mais il n’y a pas de stylos.

บนโต๊ะมีดินสอแท่งหนึ่งด้วยเหมือนกัน แต่ไม่มีปากกา

Il y a aussi des livres, mais il n’y a pas de cahiers.

มีหนังสือด้วยเหมือนกัน แต่ไม่มีสมุด

Il y a un ours, mais il n’y a pas d’homme.

มีหมีตัวหนึ่งแต่ไม่มีคน


วันพุธ, พฤศจิกายน 15, 2566

Les adjectifs placés après les noms คำคุณศัพท์ที่วางไว้หลังคำนาม

 

Le français de Chalermkiat Mina

Les adjectifs placés après les noms

คำคุณศัพท์ที่วางไว้หลังคำนาม ได้แก่

le participe passé

la nationalité สัญชาติ

la forme รูปร่าง

la religion ศาสนา

la couleur สี

ท่องเป็นสูตรว่า สัญชาติ รูปร่าง ศาสนา สี participe passé

une région française  แคว้นฝรั่งเศส

une maison carrée บ้านรูปสี่เหลี่ยม

un enfant catholique เด็กชาวคาทอลิก

une voiture rouge รถยนต์สีแดง




วันจันทร์, พฤศจิกายน 13, 2566

Les adjectifs employés comme les adverbes

 

สวัสดีครับ ขอเปลี่ยนบรรยากาศเป็นการสอนไวยากรณ์ฝรั่งเศสนะครับ

Le français de Chalermkiat Mina

Les adjectifs employés comme les adverbes

คำคุณศัพท์ที่ใช้เป็นคำกริยาวิเศษณ์

คำคุณศัพท์เหล่านี้เมื่อใช้กับกริยาเฉพาะจะเป็นคำกริยาวิเศษณ์

sentir bon มีกลิ่นหอม

sentir mauvais  มีกลิ่นเหม็น

parler bas  พูดเสียงเบา ๆ

parler haut  พูดเสียงดัง

frapper fort  เคาะหรือตีอย่างแรง

coûter cher มีราคาแพง

coûter bon marché มีราคาถูก

voir juste มองได้ชัดเจน มองได้ถูกต้อง

peser lourd หนักมาก

voir clair มองได้ชัดเจน

chanter faux ร้องเพลงเสียงหลง

Ca sent bon chez toi. Tu prépares un gâteau ? บ้านเธอมีกลิ่นหอม เธอทำขนมเค้กหรือ

Je ne crois pas que tu voies juste en disant que la situation s’améliore.

ฉันไม่เชื่อว่าเธอจะมองได้ถูกต้องที่ว่าสถานการณ์ดีขึ้น

Pour l’instant, j’ai temps d’ennuie. Je n’arrive pas à voir clair dans la manière de m’en sortir.

ตอนนี้ ฉันเบื่อ ฉันไม่สามารถเห็นชัดเจนว่าจะแก้ไขปัญหาอย่างไร

Pour parler franc, je trouve cette décision idiote !

พูดอย่างจริงใจ ฉันว่าการตัดสินใจนี้ซื่อบื้อมาก

Ma voiture est toujours en panne. Elle commence à me coûter cher.

รถยนต์ของฉันเสียบ่อย เริ่มจะทำให้ฉันเสียเงินมาก

Il faut frapper fort à la porte, sinon elle n’entend pas.

ต้องเคาะประตูแรง ๆ มิฉะนั้นหล่อนจะไม่ได้ยิน

 


วันพุธ, ตุลาคม 25, 2566

มินามีเรื่องเล่า ตำนานเรื่องการไหลเรือไฟ Thai-English-French

                                                    Photo: ททท. Tourism Authority. 

มินามีเรื่องเล่า ตำนานเรื่องการไหลเรือไฟ Thai-English-French

สวัสดีครับ ขออนุญาตเล่าเรื่องตำนานไหลเรือไฟนะครับ พูดถึงประเพณีการจัดงานไหลเรือไฟ ทุกคนต้องไปที่จังหวัดนครพนมกันนะครับ ปีนี้ พ.ศ. ๒๕๖๖ จังหวัดนครพนมจัดงานประเพณีไหลเรือไฟระหว่างวันที่ ๒๐-๓๐ ตุลาคม นะครับ โดยมีกิจกรรมสำคัญในคืนวันออกพรรษาวันที่ ๒๙ ตุลาคม จะมีการไหลเรือไฟจาก ๑๒ อำเภอ นะครับ

ขอเล่าเรื่องราวมุขปาฐะเกี่ยวกับกำเนิดของประเพณีการไหลเรือไฟโดยขอนำข้อเขียนของท่านผู้ช่วยศาสตราจารย์ชอบ ดีสวนโคก ในหนังสือเรื่อง “คำหลายความ” ซี่งรวบรวมบทความเพื่อการศึกษาด้านสังคมวัฒนธรรมอีสานของท่านอาจารย์ชอบ นะครับ

ท่านอาจารย์ชอบได้เล่าให้ฟังว่า 

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วที่ป่าหิมพานต์มีกาเผือก ๒ ตัวผัวเมียทำรังอยู่บนต้นมะเดื่อริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ นางกาเผือกได้ออกไข่มา ๕ ฟอง คืนหนึ่งได้เกิดพายุฝนตกอย่างแรงจนทำให้ต้นมะเดื่อหักโค่นลงสู่แม่น้ำ แม่กาเผือกและไข่ต่างกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง พอฟ้าสางพ่อกาเผือกที่ออกไปหากินได้บินกลับมาสู่รัง ไม่พบแม้แต่ต้นมะเดื่อ จึงได้ติดตามหารังและไข่จนสุดชีวิต 

พ่อกาเผือกไม่พบแม่กาเผือกและไข่ทั้ง ๕ ฟอง จึงตรอมใจตาย และได้ไปเกิดเป็นพรหมอยู่สวรรค์ชั้นพรหม มีชื่อว่า ผกาพรหม หรือพกพรหม ส่วนไข่ทั้ง ๕ ฟองได้ถูกน้ำพัดพาไปติดอยู่ที่ท่าน้ำอันเป็นที่อยู่ของสัตว์ต่าง ๆ ๕ ชนิดได้แก่ ไก่ นาค เต่า โคและราชสีห์ สัตว์แต่ละชนิดได้นำไปไข่ไปฟักให้มีชีวิตรอดออกมาเป็นมนุษย์ 

ไข่ฟองที่ ๑ ลอยไปติดอยู่ท่าน้ำของไก่ชื่อว่า กุกกุสันโธ ไก่นำไปเลี้ยง เมื่อฟักออกมาเป็นคน จึงเรียกชื่อตามตระกูลของตนเองว่า ท้าวกุกกุสันโท 

ไข่ฟองที่ ๒ ลอยไปติดอยู่ท่าน้ำของพญานาคชื่อว่า โกนาคมโน นาคนำไปเลี้ยง เมื่อฟักออกมาเป็นคน จึงเรียกชื่อตามตระกูลของตนเองว่า ท้าวโกนาคมโน

ไข่ฟองที่ ๓ ลอยไปติดอยู่ท่าน้ำของเต่าชื่อว่า กัสสโป เต่านำไปเลี้ยง เมื่อฟักออกมาเป็นคน จึงเรียกชื่อตามตระกูลของตนเองว่า ท้าวกัสสโป

ไข่ฟองที่ ๔ ลอยไปติดอยู่ท่าน้ำของโคชื่อว่า โคตโม โคนำไปเลี้ยง เมื่อฟักออกมาเป็นคน จึงเรียกชื่อตามตระกูลของตนเองว่า ท้าวโคตโม

ไข่ฟองที่ ๕ ลอยไปติดอยู่ท่าน้ำของราชสีห์ ชื่อว่า ศรีอาริย์ หรือศรีอาริยเมตตรัย ราชสีห์นำไปเลี้ยง เมื่อฟักออกมาเป็นคน จึงเรียกชื่อตามตระกูลของตนเองว่า ท้าวศรีอาริยเมตตรัย

เมื่อกุมารน้อยทั้ง ๕ เจริญวัยเป็นหนุ่ม พ่อแม่ของแต่ละตระกูลก็เล่าเรื่องความเป็นมาที่ทุกคนมีรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนเหล่าตระกูลของตนเอง ซึ่งล้วนเป็นสัตว์เดรัจฉาน

กุมารน้อยทั้ง ๕ เกิดความสลดใจ จึงขอลาพ่อแม่ออกบวชเป็นฤาษีเหมือนกันทุกคน เพื่อออกบวชแล้วต่างก็มุ่งบำเพ็ญภาวนาจาริกไปอาศัยตามป่าเขาลำเนาไพรไปเรื่อย ๆ จนอยู่มาวันหนึ่งฤาษีทั้ง ๕ ตนได้เดินทางมาพบกันเข้าโดยบังเอิญ ได้สนทนาปราศรัยถามไถ่ภูมิหลังของกันและกัน 

เป็นที่ประหลาดว่าฤาษีทุกคนต่างก็ไม่ทราบพ่อแม่ที่แท้จริงของตนเอง ได้รับทราบความเป็นมาของตนจากแม่เลี้ยงคล้าย ๆ กัน จึงมีความรู้สึกมั่นใจร่วมกันว่าเป็นพี่น้องกัน จึงหารือกันว่าใครคือพ่อแม่ที่แท้จริงของพวกตน จำต้องพร้อมใจออกติดตามหาพ่อแม่ที่แท้จริงของตนให้พบ 

ฤาษีทั้ง ๕ จึงร่วมใจกันอธิษฐานขอพรให้พระอินทร์ช่วยเหลือ โดยอธิษฐานว่าถ้าฤาษีทั้ง ๕ ตน จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ขอให้ความจริงจงเกิดปรากฏด้วยเทอญ

พระอินทร์จึงไปแจ้งให้ผกาพรหมไปปรากฏตัวบอกให้ลูกฤาษีทั้ง ๕ ได้ทราบข้อเท็จจริง ดังนั้นผกาพรหมจึงแปลงร่างเป็นกาเผือกมาปรากฏ แสดงตัวให้ฤาษีทั้ง ๕ ตนทราบว่าท่านเป็นพ่อแม่ที่แท้จริง แล้วจึงลาฤาษีกลับสู่พรหมโลก

ก่อนกลับฤาษีทั้ง ๕ ขอร้องให้กาเผือกประทับรอยเท้าไว้ที่แผ่นหินเพื่อให้ท่านในฐานะที่เป็นบุตรได้ทำการคารวะกราบไหว้ อันแสดงถึงความกตัญญูต่อพ่อแม่ผู้มีพระคุณ 

แต่กาเผือกปฏิเสธ พร้อมให้คำแนะนำว่า “ถ้าพวกท่านต้องการจะทำความเคารพบูชารอยเท้าพ่อแม่แล้วละก็ เมื่อถึงวันเพ็ญเดือนสิบเอ็ดหรือเดือนสิบสองของทุกปี ขอให้พวกท่านทั้งหลายนำเอาด้ายดิบมาฝั่นกันเป็นเกลียว ชุบด้วยน้ำมัน ทำเป็นรูปเท้าเรา (กากบาท) นำไปวางบนภาชนะที่ลอยน้ำได้ จุดไฟให้สว่าง แล้วปล่อยให้ลอยไปตามน้ำ เท่านี้ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้เคารพบูชารอยเท้าพ่อแม่ผู้มีพระคุณของพวกท่านแล้ว และขอให้พวกท่านทำเช่นนี้ทุกปีเมื่อถึงวันเพ็ญเดือนสิบเอ็ดและเดือนสิบสอง” 

จากนั้นเป็นต้นมาฤาษีทั้ง ๕ ได้ทำความเพียรภาวนาอย่างหนัก และปฏิบัติตามที่พ่อแม่กาเผือกบอกไว้ทุกประการ พร้อมทั้งได้สั่งสอนประชาชนให้ให้ประพฤติดีปฏิบัติชอบ

ในกาลต่อมาฤาษีทั้ง ๕ ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ที่เรียกว่า พระเจ้าห้าพระองค์ และได้ถือการบูชารำลึกถึงพระคุณพ่อแม่ด้วยการบูชารอยพระบาทอย่างเคร่งครัดสืบมามิได้ขาดเลย 

จากความเดิมที่นำด้ายดิบมาทำเป็นรอยตีนกา (กากบาท) ใส่น้ำมัน วางบนภาชนะที่ลอยน้ำได้ จุดไฟนำไปลอยตามน้ำ ต่อมาได้ถูกกาลเวลา ยุคสมัยจากคนรุ่นหนึ่งสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง จากคนสมัยหนึ่งสู่คนสมัยหนึ่งมาเรื่อย ๆ รูปแบบได้เกิดการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่ยอมหยุดนิ่ง ในเบื้องแรกภาชนะที่ลอยน้ำได้ที่รองรับตีนกาและใส่น้ำมันจุดไฟอาจเป็นใบตอง ท่อนไม้ หยวกกล้วย ท่อนไม้ไผ่แห้ง หรืออื่น ๆ แต่ต่อมาได้มีการนำเอาสิ่งเหล่านั้นมาแต่งให้มีรูปทรงทำเป็นแพ ทำเป็นเรือประดับประดาด้วยดวงไฟมากขึ้น แล้วปล่อยให้ลอยไปตามน้ำจนกลายเป็นประเพณีไหลเรือไฟที่มีทรวดทรงสีสันแปลกตา

อย่าลืมไปไหลเรือไฟกันนะครับ

************ 

Mina’s Stories: The Legend of Lai Rua Fai

Nakhon Phanom City is now organizing the festival of Lai Rua Fai or the Fire Boat Festival from October 20th to 30ty. The highlight activity is the Lai Rua Fai ceremony which will be held in the night of 29th October, the last day of Buddhist Lent. 

I would like to tell you the origin of this luminous boat flow. Allow me to refer to the story told by Asst. Prof. Chob Deesuankhok, former lecturer of the Faculty of Humanities and Social Sciences, Khon Kaen University. He told us  a story as follows.

Once there was a couple of white crows. They made their nid on a fig tree in the Himapan Forest. The female crow laid 5 eggs. While her husband went out to find food, there was a violent strom with heavy rain. It made the fig tree fall into the river. The female crow and her five eggs dispersed in the water.

Wheh the male crow returned to his nest at dawn. He found nothing. He searched for his family, especially his five eggs but it was a vain search. The white crow felf so sorry that he felt heartbroken and died. The white crow was born as God Brahman and stayed in Brahman heaven. His name was Phaka Brahman.

As for the five eggs, they floated on the water. The first egg arrived at the platform where lived a hen named Kookkusantho. She took care of the egg. When the egg broke open, the baby boy came out. He was named Thao Kookkusantho like his animal parent.

The second egg came to the platform where lived a naga (mythical serpent) named Konaghamano. She took care of the egg. When the egg broke open, the baby boy came out. He was named Thao Konaghamano like his animal parent.

The third egg came to the platform where lived a turtle named Kassapo. She took care of the egg. When the egg broke open, the baby boy came out. He was named Thao Kassapo like his animal parent.

The fourth egg came to the platform where lived a cow named Kotamo. She took care of the egg. When the egg broke open, the baby boy came out. He was named Thao Kotamo like his animal parent.

The fifth egg floated to the platform where lived a lion named Sri-Arn. She took care of the egg. When the egg broke open, the baby boy came out. He was named Thao Sri Ariyamettrai like his animal parent.

The five babies grew up. One day their parent animals told them about their past life and explained to them why they were humans, not animals like them.

The five children felt upset about their past lives. They asked permission from their parent animals to live like hermits and wandered in forests. One day the five hermits met one another by chance. They all talked about their past lives. They felt astonished of having the same backgrounds. They felt confident that they are brothers. So, they decided to search for their real parents.

The five hermits asked God Indra to help them. They made a wish; “If they were able to be enlightened as Lord Buddha, they would know the truth about their family”.

God Indra went to ask Phaka Brahman to go to tell the truth to the five hermits. Phaka Brahman, then, transformed himself into a white crow and came to see the five hermits. The white crow told them that he was their real parent. 

Before the white crow flew back to his heaven, the five hermits asked him to make a footprint on the stone slap. It would be a symbol of commemoration for them. They would worship at the footprint, a symbol of commemoration of their parents. 

The white crow did not do as they wished. He made a suggestion: “If you want to worship your parents’ footprint, I suggest that, on the full moon night of the eleventh or the twelfth lunar month, you tie the raw thread into a spiral, coat it with oil, and make it in a cross form. It represents my foot. Then you put it on a container that can float on water. You let the container flow along the water. This means that you worship you parents. Each year you do this on the full moon night of the eleventh or the twelfth lunar month. This is the great merit you can do for your parents.”

Later on, the five hermits spent most of their time praying and teaching people to do a good deed. Each year they performed the ceremony of flowing luminous container. Later on, the five hermits achieved their enlightenment and became the five Buddha. 

Time passed from generation to generation. People use boats in place of the traditional floating containers such as a banana leaf, a banana log or a dry bamboo log. So, on the night of 29 October,  you can admire and appreciate the parade of luminous boats floating in Mekong River at the bank of Nakhon Phanom. 

********** 

Les histoires de Mina : La légende de Lai Rua Fai 

La ville de Nakhon Phanom va organiser le festival de Lai Rua Fai ou en français “des bateaux en lumière” du 20 au 30 octobre 2023. Le grand événement de bateaux en lumière flottant sur le Mékong aura lieu dans la nuit du 29 octobre. C’est le dernier jour du carême bouddhiste. 

Je voudrais vous raconter l'origine de ces bateaux en lumière. J’aimerais présenter l’histoire qui est racontée par le professeur adjoint Chob Deesuankhok, ancien professeur d’histoire et d’art traditionnel de la Faculté des sciences humaines et sociales de l'Université de Khon Kaen. Ajahn Chob nous a raconté l’histoire comme suit.

Un couple de corbeaux blancs ont fait leur nid sur un figuier dans la forêt Himapan. La corbelle a pondu 5 œufs. Pendant que son mari sortait pour chercher de la nourriture, il y a eu un violent orage qui apportait de fortes pluies. Cela a fait tomber le figuier dans la rivière. La corbelle et ses cinq œufs se sont dispersés dans l'eau.

Quand le corbeau est revenu à son nid à l'aube, il a cherché sa femme et ses cinq œufs. Mais il n’a rien trouvé. Le corbeau blanc était tellement triste. Il était désespéré. Il était mort. Cet oiseau blanc était né en Dieu Brahman. Il était demeuré dans le paradis de Brahman. Son nom était Phaka Brahman.

Quant aux cinq œufs, ils flottaient sur l’eau. Le premier œuf est arrivé au lieu où vivait une poule nommée Kookkusantho. Elle s'est occupée de l'œuf. Lorsque l’œuf s’est ouvert, le petit garçon est sorti. Il s'appelait Thao Kookkusantho. Il a le même nom que son parent animal.

Le deuxième œuf est arrivé au lieu où vivait un naga (serpent mythique) nommé Konaghamano. Il s'est occupée de l'œuf. Lorsque l’œuf s’est ouvert, le petit garçon est sorti. Il s'appelait Thao Konaghamano comme son parent animal.

Le troisième œuf est arrivé à l’endroit où vivait une tortue nommée Kassapo. Elle s'est occupée de l'œuf. Lorsque l’œuf s’est ouvert, le petit garçon est sorti. Il s'appelait Thao Kassapo comme son parent animal.

Le quatrième œuf est arrivé à l’endroit où vivait une vache nommée Kotamo. Elle s'est occupée de l'œuf. Lorsque l’œuf s’est ouvert, le petit garçon est sorti. Il s'appelait Thao Kotamo comme son parent animal.

Le cinquième œuf a flotté jusqu'au endroit où vivait un lion nommé Sri-Arn. Il s'est occupé de l'œuf. Lorsque l’œuf s’est ouvert, le petit garçon est sorti. Il s'appelait Thao Sri Ariyamettrai comme son parent animal.

Les cinq bébés ont grandi. Un jour, leurs parents animaux leur ont raconté les vies du passé de leurs enfants. Ils leur ont expliqué pourquoi ces jeunes hommes étaient des êtres humains et non des animaux comme eux.

Les cinq jeunes hommes étaient bouleversés par leur vie passée. Ils ont demandé à leurs parents animaux la permission de vivre comme des ermites. Leurs parents leur ont permis de le faire. Les cinq ermites ont erré dans les forêts.  

Un jour, les cinq ermites se sont rencontrés par hasard. Ils ont tous parlé de leurs vies passées. Ils étaient étonnés d’avoir les mêmes origines. Ils étaient convaincus qu’ils étaient frères. Ils ont décidé alors de partir à la recherche de leurs vrais parents.

Les cinq ermites ont demandé à Dieu Indra de les aider. Ils ont fait un vœu, “S'ils pouvaient être éveillés en tant que Seigneur Bouddha, ils connaîtraient la vérité sur leur famille".

Dieu Indra est allé demander à Phaka Brahman d'aller dire la vérité aux cinq ermites. Phaka Brahman s’est transformé alors en corbeau blanc et est venu voir les cinq ermites. Le corbeau blanc leur a dit qu'il était leur véritable parent.

Avant que le corbeau blanc ne retourne vers son paradis, les cinq ermites lui ont demandé de faire une empreinte sur la claque de pierre. Ce serait pour eux un symbole de commémoration. Ils adoraient l'empreinte de pas, symbole de commémoration de leurs parents.

Le corbeau blanc n’a pas fait ce qu’ils voulaient. Il leur a donné une suggestion : « Si vous voulez vénérer l'empreinte de vos parents, je vous suggère que, la nuit de pleine lune du onzième ou du douzième mois lunaire, vous nouiez le fil brut en spirale, l'enduisiez d'huile et fabriquiez sous forme de croix. Cela représente mon pied. Ensuite, vous mettez le fil lumineux sur un récipient qui peut être flotté sur l'eau. Vous laissez le récipient couler au fil de l’eau. Cela signifie que vous vénérez vos parents. Chaque année, vous faites cela la nuit de pleine lune du onzième ou du douzième mois lunaire. C’est le grand mérite que vous pouvez faire pour vos parents.

Plus tard, les cinq ermites ont passé la plupart de leur temps à prier et à enseigner aux gens à faire de bonnes actions. Chaque année, ils effectuaient la cérémonie du récipient lumineux flottant. Plus tard, les cinq ermites ont atteint leur illumination et sont devenus les cinq Bouddhas.

Le temps passait de génération en génération. Actuellement, les gens utilisent des bateaux à la place des conteneurs flottants tels qu'une feuille de bananier, une bûche de bananier ou une bûche de bambou sec. Ainsi, dans la nuit du 29 octobre, vous pourrez admirer et apprécier le défilé de bateaux lumineux flottant sur le Mékong au bord de Nakhon Phanom.

********* 

วันอาทิตย์, กันยายน 24, 2566

มินามีเรื่องเล่า การล่มสลายของเมืองศรีเทพราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘

 


มินามีเรื่องเล่า การล่มสลายของเมืองศรีเทพราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘

สวัสดีครับ ช่วงนี้หลายท่านคงได้มีโอกาสเดินทางไปชื่นชมเมืองมรดกโลกแห่งใหม่ของไทย คือเมืองศรีเทพแล้วนะครับ อีกหลายท่านกำลังวางแผนการไปเที่ยวชมและร่วมภาคภูมิใจกับเมืองศรีเทพกันนะครับ

วันนี้ขอเล่าเรื่องการล่มสลายของเมืองศรีเทพในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ นะครับ ลองติดตามดูกันครับ

เมืองศรีเทพได้พัฒนาตนเองตั้งแต่เป็นชุมชนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายจนเจริญรุ่งเรืองเป็นชุมชนเมืองที่ได้ร้บวัฒนธรรมทวารวดีในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๖ นะครัย ต่อมาได้รับวัฒนธรรมเขมรในพุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๘ รวมแล้วเมืองศรีเทพเจริญรุ่งเรืองในฐานุชุมชนเมืองหรือเมืองศูนย์กลางความเจริญไม่ต่ำกว่า ๗๐๐ ปี นะครับ

เหตุใดเมืองจึงล่มสลาย หรือเหตุใดผู้คนจึงละทิ้งเมืองนี้ให้ร้างไป

เราไม่ทราบสาเหตุแน่ชัดนะครับ นักวิชาการส่วนใหญ่มุ่งเน้นประเด็นเรื่องการเกิดโรคระบาดนะครับ หลายท่านอธิบายว่า เมืองศรีเทพเป็นเมืองที่มีสระน้ำและหนองน้ำมาก เป็นแหล่งน้ำนิ่งเหมาะสำหรับให้ยุงวางไข่ อาจเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงอย่างดี อย่างที่เราทราบกันดีนะครับว่า โรคระบาดในเขตพื้นที่แถบบ้านเรา คือ โรคอหิวาต์และโรคมาลาเรีย ในอดีตเป็นที่รู้กันดีว่าแถบเมืองเพชรบูรณ์มีไข้ป่าชุกชุมมาก ถึงกับมีคำกล่าวที่ว่า “เพชรบูรณ์หม้อใหม่” หมายความว่า ใครมาจังหวัดเพชรบูรณ์แล้วต้องซื้อหม้อใหม่ติดตัวมาด้วย เพื่ออะไรหรือครับ ก็เพื่อใส่กระดูกกลับ ในสมัยก่อนพวกข้าราชการจากกรุงเทพฯ ต่างกลัวไข้ป่าและไม่ค่อยยินดีที่จะมารับราชการที่เมืองเพชรบูรณ์ และเรื่องกลัวไข้ป่านี้เองที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยต้องเสด็จฯ มาเมืองเพชรบูรณ์ เพื่อเป็นตัวอย่างให้ข้าราชการจากกรุงเทพฯ เห็นว่าแม้แต่พระองค์ซึ่งเป็นเจ้าฟ้ายังเสด็จมาที่เมืองเพชรบูรณ์และกลับไปอย่างปลอดภัย ทำให้พระองค์ท่านได้มีโอกาสสืบหาเมืองศรีเทพจนพบนะครับ สรุปว่า นักวิชาการสันนิษฐานว่าน่าจะเกิดจากโรคระบาด โดยเฉพาะโรคมาลาเรีย นะครับ



แต่กีมีนิทานพื้นบ้านที่ผูกเรื่องการล่มสลายของเมืองศรีเทพนะครับ

นิทานเรื่องนี้มีตัวละครคือ ฤาษีตาไฟ ลูกชายเจ้าเมือง ฤาษีตาวัว รวมทั้งเจ้าเมืองนะครับ

เรื่องมีอยู่ว่า ที่บนเขาใกล้เมืองศรีเทพ มีฤาษี ๒ ตนสร้างกุฏิอยู่ใกล้ ๆ กัน คนหนึ่งชื่อฤาษีตาไฟ อีกตนหนึ่งชื่อฤาษีตาวัว ท่านฤาษีตาไฟมีลูกศิษย์คนหนึ่งเป็นลูกชายเจ้าเมือง

วันหนึ่งฤาษีตาไฟบอกกับศิษย์รักคือลูกชายเจ้าเมือง  “ฟังนะ ตรงบริเวณด้านนั้น มีบ่อน้ำอยู่ใกล้กันสองบ่อ น้ำในบ่อหนึ่งนั้นใครลงไปอาบก็จะตาย แต่น้ำจากอีกบ่อหนึ่ง ใครนำมารดร่างจะฟื้นคืนชีพกลับมาใหม่”

ลูกชายเจ้าเมืองทำท่าทางไม่เชื่อ “ไม่น่าเป็นไปได้นะครับพระอาจารย์ น้ำอะไรจะทำให้คนตายได้ และน้ำอีกบ่อหนึ่งทำให้คนฟื้นคืนชีพได้”

“ถ้าเจ้าไม่เชื่อ อาจารย์จะทดสอบให้ดู อาตมาจะลงไปอาบในบ่อแรก แต่เจ้าต้องสัญญานะว่าจะนำน้ำจากบ่อที่สองมารดร่างอาจารย์ จะได้ฟื้นคืนชีพกลับมา” ฤาษีตาไฟกล่าวกับศิษย์รัก

“ได้ครับ ผมขอดูเป็นขวัญตา และจะรีบตักน้ำในบ่อที่สองมารดร่างพระอาจารย์โดยทันทีเลยครับ” ศิษย์ตอบด้วยสายตามุ่งมั่น

ฤาษีตาไฟจึงได้นำน้ำรดร่างตนเอง และเสียชีวิต

แต่ศิษย์รักผู้เป็นลูกชายเจ้าเมืองกลับเมินเฉย ไม่ทำตามสัญญา แต่กลับหนีเข้าไปในเมือง

ฝ่ายฤาษีตาวัว เคยไปมาหาสู่กับฤาษีตาไฟ เห็นผิดสังเกต ไม่เห็นฤาษีตาไฟมาเยี่ยมเยียนที่กุฏิ ก็ออกไปตามหา เมี่อผ่านบ่อน้ำที่ใครอาบก็ตาย เห็นน้ำในบ่อเดือดก็ทราบว่ามีเหตุร้ายเกิดขึ้น มองเห็นร่างฤาษีตาไฟนอนเสียชีวิตในบ่อน้ำ จึงไปเอาน้ำจากอีกบ่อหนึ่งมารดซากศพฤาษีตาไฟจนฟื้นคืนชีพขึ้นมา

“ท่านฤาษีตาไฟ เกิดอะไรขึ้น ทำไมท่านมานอนเสียชีวิตในบ่อน้ำอันตรายแห่งนี้” ฤาษีตาวัวถามอย่างสงสัย

 “ก็ไอ้เจ้าศิษย์ทรยศของข้าพเจ้านะซิ ข้าพเจ้าบอกเขาเรื่องบ่อน้ำผลาญชีพและบ่อน้ำชุบชีพ แต่เขาไม่เชื่อ ข้าพเจ้าเลยทดสอบให้เขาดู พร้อมบอกให้เขาคอยนำน้ำชุบชีพมารดร่างของข้าพเจ้า แต่ไม่รู้หายไปไหน เจ้าศิษย์ร้ายคนนี้ คงหนีกลับเมืองแล้ว” ฤาษีตาไฟเล่าเรื่องด้วยอารมณ์โกรธ

“แล้วท่านจะทำอย่างไร” ฤาษีตาวัวถาม

“ข้าพเจ้าจะต้องแก้แค้นลงโทษเจ้าลูกศิษย์ทรยศคนนี้” ฤาษีตาไฟกล่าวด้วยสายตาสุดแค้น

“ท่านจะทำอย่างไร”

“ผมจะเนรมิตวัวตัวหนึ่ง แล้วเอาพิษร้ายบรรจุไว้ในท้องวัวตัวนั้น ให้วัวไปปล่อยพิษร้ายในเมือง” ฤาษีตาไฟกล่าวถึงแผนการแก้แค้นของตน

ในที่สุดฤาษีตาไฟได้เนรมิตวัวขึ้นมาตัวหนึ่ง เอาพิษร้ายบรรจุไว้ในท้องวัว แล้วปล่อยให้วัวนั้นเดินรอบๆ เมืองถึง ๗ วัน พร้อมทั้งทำเสียงกึกก้องตลอดเวลา

ฝ่ายทหารเฝ้าประตูเมืองเห็นผิดสังเกต จึงปิดประตูเมืองเสีย

ครั้นถึงวันที่เจ็ด เจ้าเมืองมีรับสั่งให้เปิดประตูเมือง วัวก็วิ่งปราดเข้าประตูเมืองได้ ขณะเดียวกันท้องวัวก็ระเบิดออกมา ไอพิษร้ายในท้องวัวก็ไหลออกมาทำร้ายคนในเมืองจนตาย นะครับ

ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ไม่ว่าเมืองศรีเทพจะล่มสลายตามข้อสันนิษฐานใดๆ หรือตามนิทานพื้นบ้านเรื่องต่างๆ สิ่งที่เป็นจริง คือ เมืองศรีเทพเป็นอมตะตลอดกาล และผู้คนทั่วโลกรู้จักความสำคัญของเมืองศรีเทพแห่งนี้ในต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๑ แล้วนะครับ

ข้อมูล

กรมศิลปากร.  อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ.  กรุงเทพฯ : บริษัท รุ่งศิลป์การพิมพ์ (๑๙๗๗) จำกัด, ๒๕๕๐.    

  


วันเสาร์, กันยายน 23, 2566

มินามีเรื่องเล่า จากปี พ.ศ. ๒๔๗๗-๒๕๖๖ เป็นเวลา ๑๑๙ ปี จากการค้นพบเมืองโบราณศรีเทพสู่เมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรม


 

มินามีเรื่องเล่า จากปี พ.ศ. ๒๔๗๗-๒๕๖๖ เป็นเวลา ๑๑๙ ปี จากการค้นพบเมืองโบราณศรีเทพสู่เมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรม

******************

สวัสดีครับ วันนี้ขออนุญาตเล่าเรื่องการค้นพบเมืองศรีเทพในปีพุทธศักราช ๒๔๔๗ นะครับ ถ้านับจากปีนั้นมาจนถึงปี พ.ศ. ๒๕๖๖ ซึ่งเมืองศรีเทพได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นเมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรม นับว่าเป็นเวลาถึง ๑๑๙ ปีเลยนะครับ

เดิมนั้นเมืองศรีเทพเป็นเมืองที่รกร้างอยู่กลางป่า ไม่มีผู้ใดทราบแท้จริงว่าเมืองนี้มีชื่อว่าอะไร ใครเป็นผู้สร้าง สร้างมาเมื่อใด ชาวบ้านท้องถิ่นเรียกชื่อเมืองตามคำของพระธุดงค์ว่า “เมืองอภัยสาลี” นะครับ เมืองโบราณแห่งนี้ได้รับการเรียกขานนามว่า “ศรีเทพ” ในปี พ.ศ. ๒๔๔๗ นะครับ

ปี พ.ศ. ๒๔๔๗ มีอะไร ทำไมเมืองโบราณที่ชาวบ้านเรียกกันว่า อภัยสาลี ได้เปลี่ยนชื่อเป็นเมืองศรีเทพ

 


ในปี พ.ศ. ๒๔๔๗ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ซึ่งเป็นสมเด็จพระอนุชาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเป็นผู้ที่ได้รับการเชิดชูว่าเป็นพระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย พระองค์ท่านเป็นผู้ค้นพบเมืองโบราณแห่งนี้ นับว่าปวงชนชาวไทยได้รับพระเมตตาจากพระองค์ท่านมากนะครับ

ขออนุญาตเล่าถึงความมุ่งมั่นและพระวิริยอุตสาหะของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ นะครับ

ปี พ.ศ. ๒๔๔๗ พระองค์ได้เสด็จมาตรวจราชการที่มณฑลเพชรบูรณ์ในฐานะที่ทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย นอกเหนือจากพระราชภารกิจในตำแหน่งหน้าที่แล้ว พระองค์ได้ทรงตั้งพระทัยที่จะสืบหาเมืองโบราณแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่า “เมืองศรีเทพ” นะครับ

เมื่อแรกเริ่มตอนเข้ารับตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเคยพบทำเนียบเก่าบอกรายชื่อหัวเมืองมีชื่อเมืองศรีเทพปรากฏอยู่ ทรงสอบถามข้าราชการกระทรวงมหาดไทยถึงตำแหน่งที่ตั้งของเมืองศรีเทพ ปรากฏว่าอย่างไรครับ ไม่มีใครรู้จักนะครับ

ต่อมาพระองค์ทรงพบสมุดดำเล่มหนึ่งซึ่งเป็นเอกสารฉบับร่างเพื่อบอกเส้นทางให้คนเชิญสารตราไปบอกข่าวตามหัวเมืองต่างๆ เรื่องการสิ้นพระชนม์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ มีเส้นทางหนึ่งไปยังเมืองสระบุรี เมืองชัยบาดาล เมืองศรีเทพ และเมืองเพชรบูรณ์ พระองค์จึงทรงตั้งสมมุติฐานว่า เมืองศรีเทพคงอยู่ทางลำน้ำป่าสัก คงอยู่ที่ใดสักแห่งนะครับ

ครั้นเมื่อสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสด็จมาถึงเมืองเพชรบูรณ์แล้วก็ทรงสืบหาเมืองแต่ไม่ได้ความ แต่มีคนกราบทูลพระองค์ว่ามีเมืองโบราณแห่งหนึ่งใหญ่โตมาก ชื่อเมือง “อภัยสาลี” อยู่ในป่าแดงใกล้กับเมืองวิเชียรบุรี สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ จึงเสด็จมาเมืองวิเชียรบุรี โดยทรงล่องเรือมาทางแม่น้ำป่าสัก นะครับ (ในสมัยนั้น ไก่ย่างวิเชียรบุรียังไม่ดังนะครับ พูดเล่นนะครับ)

เมื่อมาถึงเมืองวิเชียรบุรี พระองค์ทรงแวะเยี่ยมพระยาประเสริฐสงคราม อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งชราลงและออกจากราชการนานมาแล้ว พระองค์ทรงไต่ถามพระยาประเสริฐสงครามถึงเรื่องเมืองศรีเทพ ได้ความว่า เมืองวิเชียรบุรีนั้นแต่เดิมมีชื่อเรียกเป็น ๒ อย่าง คือ เมืองท่าโรง หรือเมืองศรีเทพ

พระยาประเสริฐสงครามกราบทูลเล่าเรื่องชื่อเมืองต่อไปว่า แต่ก่อนตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด คือ พระศรีถมอรัตน์ ตั้งชื่อตามเขาแก้ว ที่อยู่ในเมืองนี้ ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ได้มีการปราบศึกเจ้าอนุวงศ์ พระศรีถมอรัตน์มีความชอบมาก พระองค์จึงโปรดเกล้าฯ ให้ยกศักดิ์เมืองศรีเทพให้เป็นเมืองตรี และเปลี่ยนนามเป็นเมืองวิเชียรบุรี โดยเอาความหมายของถมอรัตน์คือเขาแก้วมาเป็นมงคลนาม และเปลี่ยนนามผู้ว่าราชการจังหวัดจากพระศรีถมอรัตน์เป็นพระยาประเสริฐสงครามตั้งแต่นั้นมา

สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงถามพระยาประเสริฐสงครามเรื่องเมืองอภัยสาลี ได้ความว่า มีเมืองโบราณใหญ่โตจริงแต่ชื่อที่เรียกว่าเมืองอภัยสาลีนั้นเป็นแต่คำพระธุดงค์ คงจะเอาเป็นชื่อที่แน่นอนไม่ได้

หลังจากนั้นสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ล่องเรือจากเมืองวิเชียรบุรีและมาขึ้นบกที่ท่าบ้านนาตุกรุด ทรงพักแรมอยู่คืนหนึ่ง รุ่งเช้าจึงเดินทางไปสำรวจเมืองโบราณที่เรียกกันว่าอภัยสาลี พระองค์ได้ทรงพบว่า เป็นเมืองใหญ่โตจริง มีคูเมือง กำแพงเมือง ปรางค์ปราสาท สระน้ำ และโคกเนินโบราณสถานต่างๆ หลายแห่งทั้งนอกเมืองและในเมือง รวมทั้งประติมากรรมหินต่างๆ เป็นอันมาก

สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงพิจารณาเมืองโบราณและทรงลงความเห็นเป็นสองอย่างนะครับ คือ ประการแรก เมืองโบราณแห่งนี้พวกพราหมณ์จะเรียกชื่อว่าอย่างไรก็ตาม ชื่อนั้นก็คงจะเป็นต้นเค้าของชื่อเมืองศรีเทพ ซึ่งเป็นชื่อเก่าของเมืองวิเชียรบุรี ประการที่สอง สมัยเมื่อครั้งขอมปกครองเมืองไทย เมืองศรีเทพคงเป็นมหานครหรือเมืองใหญ่แห่งหนึ่ง เช่นเดียวกับเมืองที่ดงศรีมหาโพธิ์ ในจังหวัดปราจีนบุรี และเมืองสุโขทัย จึงสามารถสร้างเป็นเมืองใหญ่โตได้

น่าภาคภูมิใจในพระกรุณาธิคุณของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพที่ค้นพบเมืองโบราณศรีเทพและคุณค่าของเมืองศรีเทพ แหล่งมรดกโลกลำดับที่เจ็ดของไทยนะครับ

ข้อมูล

กรมศิลปากร.  อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ.  กรุงเทพฯ : บริษัท รุ่งศิลป์การพิมพ์ (๑๙๗๗) จำกัด, ๒๕๕๐.    

มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French

  มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French กรมหลวงพิพิธมนตรี (พระพันวัสสาน้อย) เป็นพระอัครมเหสีน้อยของสมเด็จพ...