Chalermkiat Mina
วันเสาร์, มิถุนายน 24, 2566
มินามีเรื่องเล่า ประวัติพระเจ้าใหญ่สมปรารถนา พระพุทธธรรมขันตโสภิตมหามงคล
วันศุกร์, มิถุนายน 23, 2566
มินามีเรื่องเล่า หลวงพ่อพระลับ วัดธาตุ พระอารามหลวง จังหวัดขอนแก่น
มินามีเรื่องเล่า พระธาตุนารายณ์เจงเวง สกลนคร
มินามีเรื่องเล่า
พระธาตุนารายณ์เจงเวง สกลนคร
ถ้ามีการแข่งขันกันระหว่างฝ่ายชายกับฝ่ายหญิง
ท่านคิดว่าใครจะชนะครับ
สวัสดีครับ วันนี้ขอนำเรื่องการเดินทางไปนมัสการพระธาตุนารายณ์เจงเวง
ในวัดบ้านธาตุนาเวง จังหวัดสกลนคร เมื่อวันเสาร์ที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๖๕ มาเล่าสู่กันฟังครับ
เรื่องราวของการสร้างพระธาตุนารายณ์เจงเวงนี้ตรงกับช่วงเวลาของการสร้างพระธาตุพนมนะครับ
เล่าเรื่องพระธาตุนารายณ์เจงเวงต้องกล่าวถึงพระธาตุภูเพ็กด้วยนะครับ
ปัจจุบันพระธาตุภูเพ็ก ตั้งอยู่ที่บ้านนาหัวบ่อ อำเภอพรรณนานิคม นะครับ
ว่าแต่ว่ามีการแข่งขันเรื่องใดกันเกี่ยวกับพระธาตุนารายณ์เจงเวงและพระธาตุภูเพ็ก
มาตามฟังกันครับ
เรื่องมีอยู่ว่า หลังจากที่พระพุทธเจ้าได้ปรินิพพานแล้ว พระยาสุวรรณภิงคาร
เจ้าเมืองหนองหารหลวง ทรงทราบข่าวว่า พระมหากัสสปะกับพระอรหันต์รวม
๕๐๐ รูป จะอัญเชิญพระอุรังคธาตุ (กระดูกส่วนหน้าอก) ของพระพุทธเจ้ามาประดิษฐานบรรจุไว้ที่ภูกำพร้า
(คือพระธาตุพนมในปัจจุบันครับ)
พญาสุวรรณภิงคารทรงปรึกษาหารือกับเสนาอำมาตย์และข้าราชบริพารว่าควรจะสร้างพระอุโมงค์
(พระธาตุ) ไว้รอพระอุรังคธาตุ และสถาปนาพระอุโมงค์ไว้เป็นที่สักการะบูชา สืบทอดพระพุทธศาสนาต่อไป
บรรดาเสนาอามาตย์และข้าราชบริพารต่างเห็นชอบในการสร้างพระอุโมงค์
แต่จะใช้สถานที่ใดในการก่อสร้าง ต่างแบ่งแยกความคิดออกเป็น ๒ ฝ่าย ตามเนื้อเรื่องนั้น
แบ่งเป็นฝ่ายชายและฝ่ายหญิงนะครับ
ฝ่ายชายพอใจที่จะให้ก่อสร้างพระอุโมงค์ (พระธาตุ) ที่ดอยคูหา ซึ่งเป็นพระแท่นบัลลังก์ที่พระพุทธเจ้าได้เคยเสด็จมาประทับบรรทมครั้งหนึ่ง
แต่ฝ่ายหญิง
ซึ่งมีพระนางเจ้าจรวยเจงเวง พระราชเทวีของพญาสุวรรณภิงคารทรงเป็นประธาน พระนางเจ้าจรวยเจงเวงทรงพอพระทัยที่จะก่อพระอุโมงค์
ไว้ที่สวนอุทยานเจงเวง
เพื่อสะดวกแก่การไปนมัสการบูชาพระบรมธาตุได้ทุกฤดูกาล
ถามว่าแนวคิดของใครชนะครับ
ท่านผู้ชายคงตอบได้นะครับ พญาสุวรรณภิงคารทรงอนุญาตตามประสงค์ของพระราชเทวี
แต่ก็เป็นเสมือนที่เรากล่าวกันติดตลกในปัจจุบันนะครับ
เมื่อความคิดเห็นไม่ตรงกัน การพนัน เออ ไม่ใช่ครับ การแข่งขันย่อมเกิดขึ้น
ข่าวการแข่งขันแพร่ออกจากวังสู่ถนนหนทาง
ประชาชนต่างพูดจากัน ต่างฝ่ายต่างกล่าวเกทับกัน ฝ่ายชายก็ว่าพระอุโมงค์ ของพวกเขาที่ดอยคูหาจะต้องเสร็จก่อนแน่นอน
ฝ่ายสตรีมองค้อน กล่าวว่าพระอุโมงค์ที่สวนอุทยานเจงเวงของพระราชเทวีต้องเสร็จก่อนแน่นอน
ต่างฝ่ายต่างมีข้อตกลงว่า เมื่อรวมอิฐหินปูนพอแล้วจะเริ่มก่อพระอุโมงค์
(พระธาตุ) เมื่อใดก็แจ้งหรือส่งสัญญาณให้ทราบ โดยมีกรอบเวลาในการสร้าง คือให้เสร็จภายในวันกับคืนหนึ่งเป็นอย่างช้า
นับว่าเป็นงานสร้างที่ใช้เวลารวดเร็วมากกว่ายุคปัจจุบันอีกนะครับ
ข้อตกลงมีว่า ถ้าฝ่ายใดก่อพระอุโมงค์เสร็จภายในเวลาที่ดาวเพ็ก (ดาวกัลปพฤกษ์) โผล่ออกพ้นเขายุคนธร ให้ถือว่าฝ่ายนั้นชนะ
เมื่อได้สัญญากันแล้วต่างฝ่ายต่างลงมือก่อพระอุโมงค์ (พระธาตุ)
ครั้นเวลากลางคืน
พระนางเจ้าจรวยเจงเวงโปรดให้ชักประทีปโคมไฟขึ้นไว้บนยอดไม้เขาสูง
เพื่อให้แสงสว่างเห็นทั่วกัน จะได้ทำการก่อสร้างสะดวก
ฝ่ายพวกผู้ชายมีหรือจะใจจืดใจดำกับภรรยาของตนเอง
มักจะแอบลักลอบหนีไปช่วยภรรยาของตัวเองนะครับ ดังนั้นพระอุโมงค์ (พระธาตุ) ของฝ่ายหญิงจึงเสร็จก่อน
ส่วนพวกผู้ชายที่ก้มหน้าก้มตาก่อพระอุโมงค์อยู่บนยอดเขาดอยคูหา
พากันก่อพระอุโมงค์ขึ้นไปได้เพียงขื่อเท่านั้น พอมองเห็นแสงประทีปโคมไฟบนยอดไม้สูง
ก็สำคัญว่าดาวเพ็กโผล่ออกมาแล้ว ต่างพากันหยุดก่อสร้าง ไม่รู้ว่าเจตนาหยุดหรือเปล่านะครับ
ฝ่ายหญิงก่อพระอุโมงค์
(พระธาตุ) จากเวลากลางวันจนถึงค่ำคืน และพอย่ำรุ่งก็สำเร็จตามสัญญา
พอรุ่งขึ้นพระมหากัสสปะกับพระอรหันต์
๕๐๐ องค์เป็นบริวาร ได้อัญเชิญพระอุรังคธาตุของพระพุทธเจ้ามาถึงดอยคูหา
พญาสุวรรณภิงคารกับพระนางเจ้าจรวยเจงเวงราชเทวีทรงขอแบ่งพระอุรังคธาตุของพระพุทธเจ้าเพื่อจะสถาปนาไว้ที่พระอุโมงค์
(พระธาตุ) เพื่อสักการะบูชา
พระมหากัสสปะกล่าวว่า
ที่นี่ไม่ใช่ภูกำพร้า จะแบ่งพระอุรังคธาตุไว้ ก็จะผิดจากพระพุทธวจนะ
(คำกล่าวของพระพุทธเจ้า) ที่ได้สั่งไว้ และจะไม่เป็นมงคลแก่พญาสุวรรณภิงคาร
พระมหากัสสปะท่านมีเมตตา
จึงให้พระอรหันต์บริวารกลับไปเอาพระอังคารของพระพุทธเจ้ามาบรรจุไว้ที่พระอุโมงค์ดอยคูหา
และตั้งชื่อพระอุโมงค์ที่ดอยคูหาว่า พระธาตุภูเพ็ก
ส่วนพระอุโมค์ของพระนางเจ้าจรวยเจงเวง
ได้บรรจุพระอังคารของพระพุทธเจ้า ได้นามว่า พระธาตุเจงเวง หรือ พระธาตุนารายณ์เจงเวง ตั้งชื่อตามพระนามของพระนางซึ่งเป็นต้นศรัทธา นะครับ
สรุปว่าท่านต้องมีเวลาไปนมัสการพระธาตุนารายณ์เจงเวงและพระธาตุภูเพ็กกันนะครับ
วันพฤหัสบดี, มิถุนายน 22, 2566
มินามีเรื่องเล่า: พระธาตุท่าอุเทน จังหวัดนครพนม Thai-English -French
สวัสดีครับ วันนี้ขออนุญาตพาท่านไปนมัสการพระธาตุท่าอุเทน จังหวัดนครพนม พระธาตุท่าอุเทนเป็นพระธาตุมงคลสำหรับผู้ที่เกิดวันศุกร์นะครับ
เดินทางจากเมืองนครพนมมาประมาณ ๒๖ กิโลเมตร พวกเราจะได้ไปนมัสการพระธาตุท่าอุเทนกันครับ
พระธาตุท่าอุเทนประดิษฐานอยู่ที่วัดพระธาตุท่าอุเทน อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม
วัดพระธาคุท่าอุเทนอยู่ริมแม่น้ำโขงครับ วิวฝั่งประเทศลาวสวยงามมาก
พระธาตุท่าอุเทนสร้างเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๕ โดยท่านหลวงปู่สีทัตถ์ ญาณสัมปันโน (สุวรรณมาโจ)
พระธาตุท่าอุเทนเป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูนรูปสี่เหลี่ยม จำลองมาจากพระธาตุพนม มีขนาดเล็กกว่า แต่สูงกว่าพระธาตุพนม
พระธาตุท่าอุเทนมีความสูงจากพื้นดินถึงยอด ๓๓ วา ฐานกว้างด้านละ ๖ วา ๓ ศอก
ภายในพระธาตุท่าอุเทนบรรจุพระพุทธสารีริกธาตุ ซึ่งได้อัญเชิญมาจากเมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า รวมทั้งพระพุทธรูปและของมีค่า ที่ผู้มีจิตศรัทธาบรรจุถวายไ
ทัศนียภาพบริเวณพระธาตุท่าอุเทนสวยงามมาก พระธาตุท่าอุเทนตั้งตระหง่านติดริมฝั่งโขง เป็นที่เคารพบูชาทั้งชาวไทยและชาวลาว
พระธาตุท่าอุเทนเป็นพระธาตุประจำวันศุกร์ ผู้ที่เกิดวันศุกร์นิยมมาบูชาพระธาตุเพื่อความเป็นสิริมงคล
ดังนั้นที่ด้านหน้าของพระธาตุท่าอุเทนจะมีพระปางรำพึงให้พุทธชนบูชา
พระพุทธรูปปางรำพึงเป็นปางประจำวันศุกร์
ปางรำพึงเป็นอย่างไร
พระอิริยาบถประทับยืน พระหัตถ์ทั้งสองยกขึ้นประทับที่พระอุระ พระหัตถ์ขวาทับพระหัตถ์ซ้าย แสดงพระอริยาบถรำพึง
รำพึงเรื่องอะไร
ในพุทธประวัติ เมื่อพ่อค้าตปุสสะและภัลลิกะทูลลาพระองค์กลับไปแล้ว พระพุทธเจ้าทรงรำพึงปริวิตกว่า พระธรรมที่พระองค์ทรงตรัสรู้นั้นยากที่คนทั่วไปจะเข้าใจได้ ทรงท้อพระทัยถึงกับจะไม่ทรงแสดงธรรมแก่มหาชน
ท้าวสหัมบดีพรหมและเทพยดาจึงไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ ใต้ต้นอัชปาลนิโครธ (ต้นไทร) กราบทูลอาราธนาให้ทรงแสดงธรรมโปรดชาวโลก
พระพุทธอวค์ทรงพิจารณาว่า บุคคลย่อมมีปัญญาแตกต่างกัน อาจแบ่งออกเป็น ๔ พวกเหมือนบัว ๔ เหล่า จึงตกลงพระทัยแสดงธรรมสั่งสอนชาวโลก
มานครพนม มานมัสการพระธาตุท่าอุเทนนะครับ
******
Mina's Stories: Phrathat Tha Uthen
Going about 26 kilometers to the north of Nakhon Phanom, we will find Phrathat Tha Uthen. This pagoda is located in Wat Tha Uthen.
This pagoda is 66 meters high and it resembles Phrathat Phanom. It was built in 1912 to house the relics of a disciple of Buddha, transferred from Rangoon, Myanma
In front of the pagoda, we can see the Buddha image in the attitude of Reflection.
The attitude of the Buddha on reflection is worshiped by the persons who were born on Friday.
The Buddha is standing. Both hands are crossed on the chest. The right hand is placed on the left hand in an attitude of reflection.
According to the story, Lord Buddha dreamed of teaching his doctrine to all beings. But he thought that his noble truth is difficult to understand for ordinary people. It took time for the Buddha, himself, to discover this Noble Truth. So, Lord Buddha was undecided. He was on reflection.
Brahma Sahampati and the dieties came to the Buddha and told him that all the Buddhas of the past, after enlightenment, had always taught the Dhamma of Buddhism to the public.
The Buddha compared people as four kinds of lotuses. So, he decides to teach his Dhamma to the public.
On your visit to Nakhon Phanom, come to pay homage to Phrathat Tha Uthen.
*****
Histoires de Mina : Phrathat Tha Uthen
La pagode Phrathat Tha Uthen est situé dans le temple Tha Uthen, à 26 km au nord de Nakhon Phanom, sur la route nº212.
Cette pagode qui ressemble à Phrathat Phanom mesure 66 mètres de haut.
Phrathat Tha Uthen a été construite en 1912 pour abriter les reliques d'un disciple de Bouddha, transférées de Rangoon, ancienne capitale du Myanmar.
La pagode de Phratgat Tha Uthen est vénérée par les gens qui sont nés le vendredi.
Et aussi l’attitude du Bouddha en réflexion est considérée comme l’attitude pour les personnes qui sont nés vendredi.
Selon la position, le Bouddha est debout. Les deux mains sont croisées sur la poitrine. La main droite est posée sur la main gauche dans une attitude de réflexion.
Voici l'histoire concernant l'attitude du Bouddha en réflexion.
Le Bouddha a songé à enseigner son Dhamma, la noble doctrine, à tous les êtres. Mais il a craint que son Dhamma soit difficile à comprendre. Le Bouddha, lui-même, a mis tant de temps à la découverte. Donc, il était indécis.
Brahma Sahampati et les divinités se sont rendus auprès du Bouddha et lui ont dit que tous les Bouddha du Passé, après l’Éveil, avaient toujours enseigné le Dhamma, l’enseignement du Bouddha, au public. Le Bouddha a comparé les gens en 4 sortes de lotus. Il a donc décidé d’enseigner son Dhamma aux gens.
L’image du Bouddha en réflexion est vénérée des bouddhistes nés le vendredi.
*******
วันจันทร์, มิถุนายน 19, 2566
มินามีเรื่องเล่า เกาะดอนสวรรค์กลางหนองหาร
วันเสาร์, มิถุนายน 17, 2566
มินามีเรื่องเล่า พระปรางค์องค์ใหญ่ วัดระฆังโฆสิตาราม วรมหาวิหาร Thai-English-French
มินามีเรื่องเล่า พระปรางค์องค์ใหญ่ วัดระฆังโฆสิตาราม วรมหาวิหาร Thai-English-French
สวัสดีครับ วันนี้ผมจะพามานมัสการสักการะพระเจดีย์ที่วัดระฆังโฆษิตาราม
วรมหาวิหาร นะครับ
บริเวณด้านของพระอุโบสถของวัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร
หน้าเยื้องไปทางขวาเล็กน้อย มีพระปรางค์องค์ใหญ่
และบริเวณทางด้านซ้ายของพระอุโบสถมีพระเจดีย์อีก ๓ องค์
วันนี้ขอสักการะและแนะนำพระปรางค์องค์ใหญ่องค์นี้นะครับ
พระปรางค์องค์นี้สร้างตามแบบสถาปัตยกรรมรัตนโกสินทร์ยุคต้น
ถือเป็นพระปรางค์ที่มีทรวดทรงงดงามมาก
จนยึดถือเป็นแบบฉบับของพระปรางค์ที่สร้างในยุคต่อมา
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ทรงยกย่องว่า
พระปรางค์วัดระฆังนี้เป็นพระปรางค์ที่ทำถูกแบบอยุธยาองค์เดียวในกรุงรัตนโกสินทร์
ผู้สร้างพระปรางค์องค์นี้เป็นใครครับ
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ทรงมีพระราชศรัทธาสร้างพระปรางค์พระราชทานร่วมกุศลกับสมเด็จพระพี่นางองค์ใหญ่ของพระองค์
คือ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิง กรมพระยาเทพสุดาวดี พระนามเดิมคือ สา นะครับ
กล่าวได้ว่า
พระปรางค์วัดระฆังเป็นพระปรางค์กรมพระยาเทพสุดาวดี (สา) นะครับ
สมเด็จเจ้าฟ้าหญิง
กรมพระยาเทพสุดาวดี (สา) เป็นพระพี่นางของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
ขออนุญาตกล่าวถึงพี่น้อง คือ พระภราดา (พี่ชายน้องชาย)
และพระภคินี (พี่สาวน้องสาว) ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช นะครับ
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชนิพนธ์เรื่องปฐมวงศ์
ว่าพระราชบิดาของสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (รัชกาลที่ ๑)
ทรงสืบเชื้อสายมาจากเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน)
ซึ่งท่านเป็นราชทูตไทยไปฝรั่งเศสในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ในปี พ.ศ. ๒๒๒๙
พระราชบิดาของรัชกาลที่ ๑ (พระปฐมบรมมหาชนก)
มีพระนามเดิมว่า ทองดี มีพระอัครชายา มีพระนามเดิมว่า หยก หรือ ดาวเรือง
ทั้งสองพระองค์มีพระโอรสธิดา ๗ พระองค์ ได้แก่
๑. สมเด็จเจ้าฟ้าหญิง กรมพระเทพสุดาวดี
(สมเด็จพระพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาเทพสุดาวดี) มีพระนามเดิมว่า สา
๒. สมเด็จพระเจ้าขุนรามณรงค์ มีพระนามเดิมว่า ราม
๓. สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงกรมพระศรีสุดารักษ์
(สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์) มีพระนามเดิมว่า แก้ว
๔. พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
มีพระนามเดิมว่า ทองด้วง หรือ ด้วง
๕. สมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคล
(สมเด็จพระบวรราชเจ้า มหาสุรสิงหนาท) มีพระนามเดิมว่า บุญมา
๖. พระองค์เจ้าหญิงกุ (พระเจ้าน้องนางเธอ
กรมหลวงนรินทรเทวี คนทั้งหลายเรียกว่า เจ้าครอกวัดโพธิ์ เพราะพระองค์ท่านเสด็จอยู่วังริมวัดพระเชตุพนฯ
คำว่า เจ้าครอก หมายความว่า เป็นเจ้าโดยกำเนิด
๗. สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงกรมหลวงจักรเจษฎา
(สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงจักรเจษฎา) มีพระนามเดิมว่า ลา
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงมีพระภราดา
(พี่ชายน้องชาย) และพระภคินี (พี่สาวน้องสาว) รวม ๖ พระองค์ ครับ
ขอย้อนมาที่ปรางค์องค์ใหญ่ที่วัดระฆังนะครับ
ปรางค์องค์ใหญ่นี้สร้างอุทิศบุญุศลถวายสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ
เจ้าฟ้ากรมพระยาเทพสุดาวดี
พระองค์สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๑
เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๓๔๒ พระชันษา ๗๐ ปีเศษ
พระองค์เป็นต้นเชื้อพระวงศ์แห่งเจ้านายวังหลัง
มีพระโอรสธิดา ๔ พระองค์ นะครับ
พระโอรสพระองค์โต คือ สมเด็จเจ้าฟ้าชายทองอิน (กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข) ซึ่งเป็นพระบิดาของพระองค์เจ้าที่เกี่ยวข้องกับพระเจดีย์วัดระฆังอีก ๓ องค์ ซึ่งจะเล่าให้ฟังในโอกาสหน้านะครับ
แหล่งข้อมูลประกอบการเล่าเรื่อง
กรมศิลปากร. สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์. ๒๕๕๔. ราชสกุลวงศ์.
พิมพ์ครั้งที่ ๔. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ สกสค. ลาดพร้าว
****************
Mina stories : The Main Prang at
Wat Rakang Kositaram Woramahawihan
Today, I would like to take you to pay homage to the main
Prang (Pagoda) situated on the right of the ordination hall of Wat Rakang Kositaram
Woramahwihan, Bangkok.
This magnificent Prang was built in the style of early Rattanakosin. King Rama Ist and his elder sister, Somdet Chao Fa Ying Krom Phraya Thepsudawadee (Sa) had this Prang built to worship Buddhism.
I would
like to tell you about the brothers and the sisters of King Buddha Yodfa
Chulaloke (Rama I).
King Mongkut or Phra Chom Kao Chao Yu Hua (Rama IV),
the grandchild of King Rama I, wrote about the origin of his royal family. His
family was the descendants of Phraya Kosathibbodi, King Narai’s ambassador who
went to France in 1686.
King Bhudda Yodfa’s father is Thongdi.
His mother is Yok or Dao Roeung. His parents had 7 children, namely:
1. Princess Dhepsudawadee, her given name is Sa;
2. Prince Khun Ram Narong, his given name is Ram;
3. Princess Sisudarak, her given name is Kaeo;
4. King Buddha Youfa Chulaloke, his given name is
Thong Duang or Duang;
5. Prince Mahasurasihanat, his given name is Boonma;
6. Princess Narintharathevi, her given name is Ku;
7. Princess Chak Cheksada, her given name is La.
Hence, King Bhudda Yod Fa Chulaloke the Great (Rama I
of Chakri Dynasty) has 6 brothers and sisters.
*************************
Mina raconte : Le Prang principal du temple
Rakang Kositaram Woramahawihan
Aujourd'hui,
je voudrais vous emmener rendre hommage au Prang principal (Pagode) situé à
droite de la salle d'ordination du Wat Rakang Kositaram Woramahwihan, Bangkok.
Ce
magnifique Prang a été construit au style de l’art du début Rattanakosin.
Le
roi Rama Ier et sa sœur aînée, Somdet Chao Fa Ying Krom Phraya Thepsudawadee
(Sa) ont fait construire ce Prang pour rendre hommage au Bouddhisme.
Je
voudrais parler des frères et sœurs du roi Buddha Yodfa Chulaloke (Rama Ier).
Le
roi Mongkut ou Phra Chom Kao Chao Yu Hua (Rama IV), le petit-fils de Rama Ier,
a écrit sur l'origine de sa famille royale. Sa famille était la descendante de
Phraya Kosathibbodi, l'ambassadeur du roi Naraï qui s'est rendu en France en
1686.
Le père du roi Bhudda Yodfa est
Thongdi. Sa mère est Yok ou Dao Roeung. Ses parents ont eu 7 enfants, à savoir
:
1. la princesse Dhepsudawadee, son
prénom est Sa ;
2. le prince Khun Ram Narong, son
prénom est Ram ;
3. la princesse Sisudarak, son
prénom est Kaeo ;
4. le roi Bouddha Youfa Chulaloke, son
prénom est Thong Duang ou Duang ;
5. le prince Mahasurasihanat, son
prénom est Boonma ;
6. la princesse Narintharathevi, son
prénom est Ku ;
7. la princesse Chak Cheksada, son
prénom est La.
Donc, le roi Bhudda Yodfa Chulaloke le
Grand a 6 frères et sœurs.
**********************************
มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French
มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French กรมหลวงพิพิธมนตรี (พระพันวัสสาน้อย) เป็นพระอัครมเหสีน้อยของสมเด็จพ...
-
เขาหัวแตก พัทลุง มินามีเรื่องเล่า ปุรินทราภิบาล ผมได้รับเมตตาจากท่านอาจารย์จรรยา คชพันธ์ ข้าราชการบำนาญของโรงเรียนสตรีพัทลุง ซึ่...
-
ที่มาของภาพ https://www.108prageji.com มินามีเรื่องเล่า หลวงพ่อพระองค์แสน วัดพระธาตุเชิงชุม วรวิหาร จังห...
-
หลวงพ่อพระใส วัดโพธิ์ชัย พระอารามหลวง จังหวัดหนองคาย มินามีเรื่องเล่า หลวงพ่อพระใส วัดโพธิ์ชัย พระอารามหลวง จังหวัดหนองคาย ตอนที่ ๒ ...













