Chalermkiat Mina

วันเสาร์, มิถุนายน 24, 2566

มินามีเรื่องเล่า ประวัติพระเจ้าใหญ่สมปรารถนา พระพุทธธรรมขันตโสภิตมหามงคล

มินามีเรื่องเล่า ประวัติพระเจ้าใหญ่สมปรารถนา พระพุทธธรรมขันตโสภิตมหามงคล
**********

สวัสดีครับ เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๖ ผมได้ไปที่วัดพระธาตุ พระอารามหลวง อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น และได้มีโอกาสกราบบูชาหลวงพ่อพระลับ นะครับ

แต่มีองค์พระที่ใหญ่กว่าพระลับ คือ พระประธานของพระอุโบสถนะครับ

ในภาพคือองค์สีทองเด่นเป็นสง่า ท่านคือ พระเจ้าใหญ่สมปรารถนา ครับ

พระพุทธธรรมขันตโสภิตมหามงคล หรือที่นิยมเรียกกันว่า พระเจ้าใหญ่สมปรารถนา เป็นพระพุทธปฏิมาปางมารวิชัย สวยงามล้ำเลิศด้วยพระพุทธลักษณะ มีหน้าตักกว้าง ๗ ศอก สูง ๙ ศอก ประดิษฐานเป็นพระประธานภายในพระอุโบสถวัดธาตุ เมืองเก่า นะครับ
พระเจ้าใหญ่สมปรารถนานี้เป็นปูชนียวัตถุอันศักดิ์สิทธิ์ มีพุทธาภินิหารดลบันดาลสรรพศิริ มหามงคลอำนวยศุภผลศุภสวัสดิ์ ขจัดอุปัทวอันตรายนานาประการแก่ผู้ได้สักการะบูชา เป็นเหตุให้เกิดปิติโสมนัส และเคารพบูชาของสาธุชนพุทธบริษัทผู้ใดเห็นอย่างกว้างขวาง เป็นพระประธานที่ใหญ่ที่สุดในภาคอีสาน 
พุทธศาสนิกชน เช่น นายโบ ตราชู  ได้ร่วมกันสร้างไว้ในพระพุทธศาสนา เมื่อพุทธศักราช ๒๕๐๙ โดยได้รวบรวมดินอันศักดิ์สิทธิ์จากปูชนียสถานที่สำคัญทั้งในและนอกประเทศมาประกอบเป็นองค์พุทธปฏิมานี้ขึ้น

มาที่ขอนแก่น เรียนเชิญท่านมานมัสการ พระเจ้าใหญ่สมปรารถนา ที่วัดธาตุ พระอารามหลวง นะครับ

แหล่งข้อมูล จากสมุดบันทึก พระพุทธิสารสุธี (เหล่ว สุมโน ป.ธ.๕) เจ้าอาวาสวัดธาตุ เมืองเก่า จังหวัดขอนแก่น พ.ศ. ๒๕๐๙

วันศุกร์, มิถุนายน 23, 2566

มินามีเรื่องเล่า หลวงพ่อพระลับ วัดธาตุ พระอารามหลวง จังหวัดขอนแก่น

มินามีเรื่องเล่า หลวงพ่อพระลับ วัดธาตุ พระอารามหลวง จังหวัดขอนแก่น
 
วันศุกร์ที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๖ พระโสภณพัฒนบัณฑิต (สุกันยา อรุโณ), รศ.ดร. เจ้าอาวาสวัดธาตุ พระอารามหลวง รองเจ้าคณะจังหวัดขอนแก่น และรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น มอบหมายให้พระคุณเจ้ามอบหลวงพ่อพระลับ แด่รศ.ดร.นิยม วงศ์พงษ์คำ รองอธิการบดีฝ่ายศิลปวัฒนธรรมและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ พร้อมด้วยคณาจารย์ (อาจารย์เนินทอง อินทะวง, อาจารย์สีทอง สีเวินไซ,  อาจารย์สุวันคำ วงไซยะลาด) และนักศึกษาจากสถาบันวิจิตรศิลป์แห่งชาติ สปป. ลาว ที่ได้มาช่วยงานการสร้างสรรค์งานศิลปะ โดยเฉพาะโครงการความร่วมมือในการแกะสลัก ประดับตกแต่งเกวียนแห่พระลับ ซึ่งท่านคณาจารย์และนักศึกษาจะเดินทางกลับ สปป. ลาว ในการนี้ผมและผศ. ดร. หอมหวล บัวระภา ได้รับมงคลหลวงพ่อพระลับด้วย 

โอกาสนี้ ผมขออนุญาตเล่าเรื่องพระลับให้ทราบนะครับ
ประวัติหลวงพ่อพระลับ (พระศรีสัตนาคนหุต)

หลวงพ่อพระลับหรือพระศรีสัตนาคนหุต เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยหล่อด้วยสำฤทธิ์ทั้งองค์ และฐานขนาดหน้าตักกว้าง ๑๑ นิ้ว สูง ๒๙ นิ้ว ประทับนั่งขัดสมาธิบนแท่นสัมฤทธิ์รูปสัปคับช้าง (แหย่งช้าง) องค์พระจะเอนไปทางด้านหลังเล็กน้อย
หลวงพ่อพระลับจัดอยู่ในกลุ่มพระพุทธรูปศิลปะลาว สกุลช่างเวียงจันทน์ คล้ายพระพุทธรูปมารวิชัยที่ระเบียง หอพระแก้วกรุงเวียงจันทน์ มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๒๒-๒๔ 

ตามประวัติเล่าว่า เมื่อ พ.ศ. ๑๗๙๗ เมืองล้านช้าง (เวียงจันทน์) เป็นอิสระจากการปกครองของขอม พร้อมทั้งเมืองล้านนา กษัตริย์ล้านช้างจึงได้สถาปนาเมืองเวียงจันทน์ขึ้นเป็นเมืองหลวงเมื่อปี พ.ศ. ๒๐๕๘ ขนานนามว่า กรุงศรีสัตนาคนหุต แปลว่า เมืองมีช้างล้านตัวหรือช้างร้อยนหุต (หนึ่งนหุต เท่ากับ ๑๐,๐๐๐)
เมื่อพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ ๑ ขึ้นครองสิริราชสมบัติ พระองค์มีนโยบายที่จะขยายอาณาเขตออกไปทั่วอาณาจักรโคตรบูรณ์และอาณาจักรล้านนา เพื่อหาสมัครพรรคพวกไว้สู้กับขอม การดำเนินนโยบายดังกล่าวนั้น พระองค์เห็นว่า ประชาชนในอาณาจักรลาวนี้นับถือพระพุทธศาสนาลัทธิหินยานเถรวาท พระองค์จึงได้อาศัยพระพุทธศาสนาเป็นสื่อสัมพันธ์ เพื่อให้เมืองต่างๆ อ่อนน้อมและยอมเป็นเมืองขึ้นของพระองค์ พระองค์ได้หล่อพระพุทธรูปสัมฤทธิ์และพระแก้วขึ้นเป็นจำนวนมาก เพื่อมอบให้แก่เจ้าเมืองต่างๆ นำไปสักการะบูชา พระพุทธรูปสัมฤทธิ์สัมฤทธิ์นี้ชาวเมืองเรียกว่า “พระพุทธศรีสัตนาคนหุต” หรือ“พระศรีสัตนาคนหุต” 

ส่วนพระพุทธรูปที่หล่อด้วยแก้ว ชาวเมืองนิยมเรียกว่า “พระแก้วล้านช้าง” 

เหตุที่มีชื่อว่า “พระลับ” ก็เนื่องมาจากครั้งเวียงจันทร์กับกรุงธนบุรีเป็นคู่อริกัน พระเจ้ากรุงธนบุรีมีพระราชบัญชาให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกยกทัพไปตีเวียงจันทน์ ทำสงครามอยู่ ๔ เดือน

สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้จัดการปกครองเวียงจันทน์ใหม่ เสร็จแล้วได้อัญเชิญพระแก้วมรกต พระบาง พระสุก พระใส พระเสริม กลับกรุงธนบุรี โดยผ่านมาทางอุดรธานี ขอนแก่นและนครราชสีมา 
ขณะนั้นพระวอที่อยู่นครจำปาศักดิ์ทราบข่าว จึงแจ้งมายังท้าวศักดิ์ผู้เป็นหลานให้เก็บพระพุทธศรีสัตนาคนหุตและพระแก้วล้านช้างให้มิดชิดและให้ถือเป็นความลับ ท้าวสักและพระราชครูหลวงได้ปฏิบัติตาม โดยก่อเจดีย์ขึ้นที่วัดใต้ จำนวน ๙ องค์ 

วัดธาตุ ตามประวัติศาสตร์อยู่ปลายน้ำชี จึงเรียก “วัดใต้” ส่วนวัดหนองแวง เรียกว่า “วัดเหนือ” เพราะอยู่ต้นน้ำชีที่ไหลผ่านบึงบอนไปยังทุ่งสร้าง โดยสร้างให้พระธาตุหรือเจดีย์ มีรูปเหมือนกันเพื่อพรางสายตาผู้คน แล้วนำพระศรีสัตนาคนหุตและพระแก้วล้านช้างมาซ่อนเอาไว้ในเจดีย์องค์เดียวกัน ส่วนเจดีย์องค์อื่นไม่ได้บรรจุอะไรไว้ เพราะการอัญเชิญมาเก็บซ่อนไว้อย่างมิดชิด จึงเป็นที่มาของชื่อ “หลวงพ่อพระลับ” 
(หลวงพ่อพระลับ องค์ดำ)

วัดใต้ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็นวัดธาตุเพราะได้สร้างเจดีย์พระธาตุนครเดิมขึ้นครอบพื้นที่เก็บหลวงพ่อพระลับเอาไว้ 

วัดธาตุสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๓๒ โดยพระนครศรีบริรักษ์บรมราชภักดี (เพียเมืองแพน) เจ้าเมืองคนแรกของขอนแก่น และเป็นวัดสำหรับทำบุญของเจ้าเมืองขอนแก่นในขณะนั้นด้วย 

ปัจจุบันวัดธาตุได้รับการสถาปนาเป็นพระอารามหลวงชื่อว่า วัดธาตุ พระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๐ ตั้งอยู่เลขที่ ๒๓๗ ถนนกลางเมือง (บ้านเมืองเก่า) ตำบลในเมือง อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย

เรื่องการสร้างวัดทั้ง ๔ วัดประจำเมืองขอนแก่น มีเรื่องเล่ากันว่า

ท้าวสัก ตำแหน่ง เพี้ยเมืองแพน อยู่บ้านชีโหล่น เมืองสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด ได้ชักชวนครอบครัวได้ประมาณ ๓๓๐ ครอบครัว อพยพมาตั้งบ้านเรือนขึ้นใหม่อีกแห่งหนึ่ง เรียกว่า บ้านบึงบอน 

ต่อมา พ.ศ. ๒๓๔๐ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มีพระบรมราชโองการยกฐานะให้เป็นเมืองขอนแก่น แต่งตั้งท้าวสักให้เป็นเจ้าเมืองขอนแก่นคนแรก มีนามว่า พระนครศรีบริรักษ์ บรมราชภักดี เนื่องจากชนชั้นปกครองเมืองต่างๆ ในภาคอีสานซึ่งมีเชื้อสายเนื่องมาจากนครเวียงจันทน์

เมื่อเพี้ยเมืองแพนหรือพระนครศรีบริรักษ์ บรมราชภักดีได้ตั้งเมืองขอนแก่นขึ้นที่บ้านบึงบอนแล้ว ก็ได้เริ่มสร้างวัดขึ้น ๔ วัด ตามแบบประเพณีโบราณ ดังนี้ 
๑. วัดเหนือ อยู่ทางต้นน้ำ (แม่น้ำชี) สำหรับเป็นสถานที่ชุมนุมทำบุญของประชาชนทั่วไป ปัจจุบัน คือ วัดหนองแวง พระอารามหลวง 

๒. วัดกลาง อยู่กึ่งกลางระหว่างวัดเหนือกับวัดใต้ สำหรับเป็นที่ชุมนุมทำบุญของขุนนางและข้าราชการ ปัจจุบัน คือ วัดกลาง 

๓. วัดใต้ อยู่ใกล้ตัวเมือง หรืออยู่ทางใต้ของสายน้ำ สำหรับเป็นที่ทำบุญของพ่อเมือง เป็นที่ประดิษฐานพระลับ ปัจจุบัน คือ วัดธาตุ พระอารามหลวง 

๔. วัดท่าแขก สำหรับพระภิกษุอาคันตุกะจากถิ่นอื่น มาพักและประกอบพุทธศาสนพิธี ปัจจุบัน คือ วัดโพธิ์ บ้านโนนทัน 

เรื่องยาวนะครับ แต่ได้ความรู้เกี่ยวกับหลวงพ่อพระลับ นะครับ

มินามีเรื่องเล่า พระธาตุนารายณ์เจงเวง สกลนคร



มินามีเรื่องเล่า พระธาตุนารายณ์เจงเวง สกลนคร

          ถ้ามีการแข่งขันกันระหว่างฝ่ายชายกับฝ่ายหญิง ท่านคิดว่าใครจะชนะครับ

          สวัสดีครับ วันนี้ขอนำเรื่องการเดินทางไปนมัสการพระธาตุนารายณ์เจงเวง ในวัดบ้านธาตุนาเวง จังหวัดสกลนคร เมื่อวันเสาร์ที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๖๕ มาเล่าสู่กันฟังครับ

          เรื่องราวของการสร้างพระธาตุนารายณ์เจงเวงนี้ตรงกับช่วงเวลาของการสร้างพระธาตุพนมนะครับ





          เล่าเรื่องพระธาตุนารายณ์เจงเวงต้องกล่าวถึงพระธาตุภูเพ็กด้วยนะครับ ปัจจุบันพระธาตุภูเพ็ก ตั้งอยู่ที่บ้านนาหัวบ่อ อำเภอพรรณนานิคม นะครับ

          ว่าแต่ว่ามีการแข่งขันเรื่องใดกันเกี่ยวกับพระธาตุนารายณ์เจงเวงและพระธาตุภูเพ็ก มาตามฟังกันครับ

          เรื่องมีอยู่ว่า หลังจากที่พระพุทธเจ้าได้ปรินิพพานแล้ว พระยาสุวรรณภิงคาร เจ้าเมืองหนองหารหลวง ทรงทราบข่าวว่า พระมหากัสสปะกับพระอรหันต์รวม ๕๐๐ รูป จะอัญเชิญพระอุรังคธาตุ (กระดูกส่วนหน้าอก) ของพระพุทธเจ้ามาประดิษฐานบรรจุไว้ที่ภูกำพร้า (คือพระธาตุพนมในปัจจุบันครับ)





          พญาสุวรรณภิงคารทรงปรึกษาหารือกับเสนาอำมาตย์และข้าราชบริพารว่าควรจะสร้างพระอุโมงค์ (พระธาตุ) ไว้รอพระอุรังคธาตุ และสถาปนาพระอุโมงค์ไว้เป็นที่สักการะบูชา สืบทอดพระพุทธศาสนาต่อไป

          บรรดาเสนาอามาตย์และข้าราชบริพารต่างเห็นชอบในการสร้างพระอุโมงค์ แต่จะใช้สถานที่ใดในการก่อสร้าง ต่างแบ่งแยกความคิดออกเป็น ๒ ฝ่าย ตามเนื้อเรื่องนั้น แบ่งเป็นฝ่ายชายและฝ่ายหญิงนะครับ

ฝ่ายชายพอใจที่จะให้ก่อสร้างพระอุโมงค์ (พระธาตุ) ที่ดอยคูหา ซึ่งเป็นพระแท่นบัลลังก์ที่พระพุทธเจ้าได้เคยเสด็จมาประทับบรรทมครั้งหนึ่ง





          แต่ฝ่ายหญิง ซึ่งมีพระนางเจ้าจรวยเจงเวง พระราชเทวีของพญาสุวรรณภิงคารทรงเป็นประธาน พระนางเจ้าจรวยเจงเวงทรงพอพระทัยที่จะก่อพระอุโมงค์ ไว้ที่สวนอุทยานเจงเวง เพื่อสะดวกแก่การไปนมัสการบูชาพระบรมธาตุได้ทุกฤดูกาล

          ถามว่าแนวคิดของใครชนะครับ ท่านผู้ชายคงตอบได้นะครับ พญาสุวรรณภิงคารทรงอนุญาตตามประสงค์ของพระราชเทวี 

          แต่ก็เป็นเสมือนที่เรากล่าวกันติดตลกในปัจจุบันนะครับ เมื่อความคิดเห็นไม่ตรงกัน การพนัน เออ ไม่ใช่ครับ การแข่งขันย่อมเกิดขึ้น

          ข่าวการแข่งขันแพร่ออกจากวังสู่ถนนหนทาง ประชาชนต่างพูดจากัน ต่างฝ่ายต่างกล่าวเกทับกัน ฝ่ายชายก็ว่าพระอุโมงค์ ของพวกเขาที่ดอยคูหาจะต้องเสร็จก่อนแน่นอน ฝ่ายสตรีมองค้อน กล่าวว่าพระอุโมงค์ที่สวนอุทยานเจงเวงของพระราชเทวีต้องเสร็จก่อนแน่นอน

          ต่างฝ่ายต่างมีข้อตกลงว่า เมื่อรวมอิฐหินปูนพอแล้วจะเริ่มก่อพระอุโมงค์ (พระธาตุ) เมื่อใดก็แจ้งหรือส่งสัญญาณให้ทราบ โดยมีกรอบเวลาในการสร้าง คือให้เสร็จภายในวันกับคืนหนึ่งเป็นอย่างช้า นับว่าเป็นงานสร้างที่ใช้เวลารวดเร็วมากกว่ายุคปัจจุบันอีกนะครับ

          ข้อตกลงมีว่า ถ้าฝ่ายใดก่อพระอุโมงค์เสร็จภายในเวลาที่ดาวเพ็ก (ดาวกัลปพฤกษ์) โผล่ออกพ้นเขายุคนธร ให้ถือว่าฝ่ายนั้นชนะ 

          เมื่อได้สัญญากันแล้วต่างฝ่ายต่างลงมือก่อพระอุโมงค์ (พระธาตุ)

          ครั้นเวลากลางคืน พระนางเจ้าจรวยเจงเวงโปรดให้ชักประทีปโคมไฟขึ้นไว้บนยอดไม้เขาสูง เพื่อให้แสงสว่างเห็นทั่วกัน จะได้ทำการก่อสร้างสะดวก

          ฝ่ายพวกผู้ชายมีหรือจะใจจืดใจดำกับภรรยาของตนเอง มักจะแอบลักลอบหนีไปช่วยภรรยาของตัวเองนะครับ ดังนั้นพระอุโมงค์ (พระธาตุ) ของฝ่ายหญิงจึงเสร็จก่อน

          ส่วนพวกผู้ชายที่ก้มหน้าก้มตาก่อพระอุโมงค์อยู่บนยอดเขาดอยคูหา พากันก่อพระอุโมงค์ขึ้นไปได้เพียงขื่อเท่านั้น พอมองเห็นแสงประทีปโคมไฟบนยอดไม้สูง ก็สำคัญว่าดาวเพ็กโผล่ออกมาแล้ว ต่างพากันหยุดก่อสร้าง ไม่รู้ว่าเจตนาหยุดหรือเปล่านะครับ

          ฝ่ายหญิงก่อพระอุโมงค์ (พระธาตุ) จากเวลากลางวันจนถึงค่ำคืน และพอย่ำรุ่งก็สำเร็จตามสัญญา

          พอรุ่งขึ้นพระมหากัสสปะกับพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์เป็นบริวาร ได้อัญเชิญพระอุรังคธาตุของพระพุทธเจ้ามาถึงดอยคูหา

          พญาสุวรรณภิงคารกับพระนางเจ้าจรวยเจงเวงราชเทวีทรงขอแบ่งพระอุรังคธาตุของพระพุทธเจ้าเพื่อจะสถาปนาไว้ที่พระอุโมงค์ (พระธาตุ) เพื่อสักการะบูชา

          พระมหากัสสปะกล่าวว่า ที่นี่ไม่ใช่ภูกำพร้า จะแบ่งพระอุรังคธาตุไว้ ก็จะผิดจากพระพุทธวจนะ (คำกล่าวของพระพุทธเจ้า) ที่ได้สั่งไว้ และจะไม่เป็นมงคลแก่พญาสุวรรณภิงคาร

          พระมหากัสสปะท่านมีเมตตา จึงให้พระอรหันต์บริวารกลับไปเอาพระอังคารของพระพุทธเจ้ามาบรรจุไว้ที่พระอุโมงค์ดอยคูหา และตั้งชื่อพระอุโมงค์ที่ดอยคูหาว่า พระธาตุภูเพ็ก  

          ส่วนพระอุโมค์ของพระนางเจ้าจรวยเจงเวง ได้บรรจุพระอังคารของพระพุทธเจ้า ได้นามว่า พระธาตุเจงเวง หรือ พระธาตุนารายณ์เจงเวง ตั้งชื่อตามพระนามของพระนางซึ่งเป็นต้นศรัทธา นะครับ

          สรุปว่าท่านต้องมีเวลาไปนมัสการพระธาตุนารายณ์เจงเวงและพระธาตุภูเพ็กกันนะครับ


วันพฤหัสบดี, มิถุนายน 22, 2566

มินามีเรื่องเล่า: พระธาตุท่าอุเทน จังหวัดนครพนม Thai-English -French

มินามีเรื่องเล่า: พระธาตุท่าอุเทน จังหวัดนครพนม Thai-English -French

สวัสดีครับ วันนี้ขออนุญาตพาท่านไปนมัสการพระธาตุท่าอุเทน จังหวัดนครพนม พระธาตุท่าอุเทนเป็นพระธาตุมงคลสำหรับผู้ที่เกิดวันศุกร์นะครับ

เดินทางจากเมืองนครพนมมาประมาณ ๒๖ กิโลเมตร พวกเราจะได้ไปนมัสการพระธาตุท่าอุเทนกันครับ

พระธาตุท่าอุเทนประดิษฐานอยู่ที่วัดพระธาตุท่าอุเทน อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม

วัดพระธาคุท่าอุเทนอยู่ริมแม่น้ำโขงครับ วิวฝั่งประเทศลาวสวยงามมาก

พระธาตุท่าอุเทนสร้างเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๕ โดยท่านหลวงปู่สีทัตถ์ ญาณสัมปันโน (สุวรรณมาโจ)

พระธาตุท่าอุเทนเป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูนรูปสี่เหลี่ยม จำลองมาจากพระธาตุพนม มีขนาดเล็กกว่า แต่สูงกว่าพระธาตุพนม

พระธาตุท่าอุเทนมีความสูงจากพื้นดินถึงยอด ๓๓ วา ฐานกว้างด้านละ ๖ วา ๓ ศอก

ภายในพระธาตุท่าอุเทนบรรจุพระพุทธสารีริกธาตุ ซึ่งได้อัญเชิญมาจากเมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า รวมทั้งพระพุทธรูปและของมีค่า ที่ผู้มีจิตศรัทธาบรรจุถวายไ
ทัศนียภาพบริเวณพระธาตุท่าอุเทนสวยงามมาก พระธาตุท่าอุเทนตั้งตระหง่านติดริมฝั่งโขง เป็นที่เคารพบูชาทั้งชาวไทยและชาวลาว

พระธาตุท่าอุเทนเป็นพระธาตุประจำวันศุกร์ ผู้ที่เกิดวันศุกร์นิยมมาบูชาพระธาตุเพื่อความเป็นสิริมงคล

ดังนั้นที่ด้านหน้าของพระธาตุท่าอุเทนจะมีพระปางรำพึงให้พุทธชนบูชา

พระพุทธรูปปางรำพึงเป็นปางประจำวันศุกร์

ปางรำพึงเป็นอย่างไร

พระอิริยาบถประทับยืน พระหัตถ์ทั้งสองยกขึ้นประทับที่พระอุระ พระหัตถ์ขวาทับพระหัตถ์ซ้าย แสดงพระอริยาบถรำพึง

รำพึงเรื่องอะไร

ในพุทธประวัติ เมื่อพ่อค้าตปุสสะและภัลลิกะทูลลาพระองค์กลับไปแล้ว พระพุทธเจ้าทรงรำพึงปริวิตกว่า พระธรรมที่พระองค์ทรงตรัสรู้นั้นยากที่คนทั่วไปจะเข้าใจได้ ทรงท้อพระทัยถึงกับจะไม่ทรงแสดงธรรมแก่มหาชน

ท้าวสหัมบดีพรหมและเทพยดาจึงไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ ใต้ต้นอัชปาลนิโครธ (ต้นไทร) กราบทูลอาราธนาให้ทรงแสดงธรรมโปรดชาวโลก

พระพุทธอวค์ทรงพิจารณาว่า บุคคลย่อมมีปัญญาแตกต่างกัน อาจแบ่งออกเป็น ๔ พวกเหมือนบัว ๔ เหล่า จึงตกลงพระทัยแสดงธรรมสั่งสอนชาวโลก

มานครพนม มานมัสการพระธาตุท่าอุเทนนะครับ
******

Mina's Stories: Phrathat Tha Uthen

Going about 26 kilometers to the north of Nakhon Phanom, we will find Phrathat Tha Uthen. This pagoda is located in Wat Tha Uthen.

This pagoda is 66 meters high and it resembles Phrathat Phanom. It was built in 1912 to house the relics of a disciple of Buddha, transferred from Rangoon, Myanma

In front of the pagoda, we can see the Buddha image in the attitude of Reflection.
The attitude of the Buddha on reflection is worshiped by the persons who were born on Friday.

The Buddha is standing. Both hands are crossed on the chest. The right hand is placed on the left hand in an attitude of reflection.

According to the story, Lord Buddha dreamed of teaching his doctrine to all beings. But he thought that his noble truth is difficult to understand for ordinary people. It took time for the Buddha, himself, to discover this Noble Truth. So, Lord Buddha was undecided. He was on reflection.

Brahma Sahampati and the dieties came to the Buddha and told him that all the Buddhas of the past, after enlightenment, had always taught the Dhamma of Buddhism to the public.

The Buddha compared people as four kinds of lotuses. So, he decides to teach his Dhamma to the public.

On your visit to Nakhon Phanom, come to pay homage to Phrathat Tha Uthen.

*****

Histoires de Mina : Phrathat Tha Uthen

La pagode Phrathat Tha Uthen est situé dans le temple Tha Uthen, à 26 km au nord de Nakhon Phanom, sur la route nº212.

Cette pagode qui ressemble à Phrathat Phanom mesure 66 mètres de haut.

Phrathat Tha Uthen a été construite en 1912 pour abriter les reliques d'un disciple de Bouddha, transférées de Rangoon, ancienne capitale du Myanmar.

La pagode de Phratgat Tha Uthen est vénérée par les gens qui sont nés le vendredi. 

Et aussi l’attitude du Bouddha en réflexion est considérée comme l’attitude pour les personnes qui sont nés vendredi.

Selon la position,  le Bouddha est debout. Les deux mains sont croisées sur la poitrine. La main droite est posée sur la main gauche dans une attitude de réflexion.

Voici l'histoire concernant  l'attitude du Bouddha en réflexion.

Le Bouddha a songé à enseigner son Dhamma, la noble doctrine, à tous les êtres. Mais il a craint que son Dhamma soit difficile à comprendre. Le Bouddha, lui-même,  a mis tant de temps à la découverte. Donc, il était indécis.

Brahma Sahampati et les divinités se sont rendus auprès du Bouddha et lui ont dit que tous les Bouddha du Passé, après l’Éveil, avaient toujours enseigné le Dhamma, l’enseignement du Bouddha, au public. Le Bouddha a comparé les gens en 4 sortes de lotus. Il a donc décidé d’enseigner son Dhamma aux gens.

L’image du Bouddha en réflexion est vénérée des bouddhistes nés le vendredi.
*******

วันจันทร์, มิถุนายน 19, 2566

มินามีเรื่องเล่า เกาะดอนสวรรค์กลางหนองหาร

มินามีเรื่องเล่า เกาะดอนสวรรค์กลางหนองหาร

สวัสดีครับ ผมขอย้อนนำมินามีเรื่องเล่าที่เคยเขียนไว้เมื่อปีที่แล้วทาง Facebook มาเผยแพร่ทาง blog อีกครั้งนะครับ

พอดีความทรงจำของ Facebook แจ้งมา

เมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๖๕ ผมและเพื่อนๆ ได้ไปดูธรรมชาติที่เป็นจุดเด่นอีกแห่งหนึ่งของเมืองสกลนคร
สกลนครเขามีคำคมแสดงเอกลักษณ์ของเมืองนะครับ เมืองสามธรรม คือ ธรรมะ ธรรมชาติและวัฒนธรรม

ที่ไหนครับ คำถามน่าสนใจ

ถ้าบอกว่าที่เกาะแม่ม่าย หลายคนที่ไม่รู้จักตำนานเรื่องผาแดงนางไอ่ อาจสงสัย

ครับเราไปชมเกาะดอนสวรรค์ เกาะใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางหนองหารกันครับ

เกาะนี้เกี่ยวข้องกับแม่ม่ายอย่างไร

ชมเกาะไปด้วย ฟังเรื่องผาแดงนางไอ่ ฉบับมินาไปด้วยนะครับ 
พระธิดาไอ่คำ
ในอดีตนานมาแล้ว มีเมืองขอมเมืองหนึ่งชื่อว่า เอกชะฑีตานคร มีพญาขอมปกครองเมือง 

พญาขอมมีพระราชธิดาชื่อว่า พระนางไอ่คำ

พญาขอมรักและหวงแหนพระราชธิดาไอ่คำมาก พระองค์มีรับสั่งให้สร้างปราสาท ๗ ชั้นให้พระธิดาอยู่พร้อมเหล่านางกำนัลคอยดูแลอย่างดี 
เมื่อนางไอ่คำมีอายุได้ ๑๕ ปี ความงามของนางไอ่คำเป็นที่เลื่องลือไปทุกแห่ง  บรรดาเจ้าชายของเมืองต่างๆ ที่อยู่ใกล้กับเมืองเอกชะฑีตา เช่น เจ้าชายเมืองสีแก้ว (บ้านสีแก้ว จังหวัดร้อยเอ็ด) เจ้าชายเมืองฟ้าแดดสูงยาง (บ้านฟ้าแดดสูงยาง เมืองกาฬสินธุ์) เจ้าชายเมืองเชียงเหียน (บ้านเชียงเหียน จังหวัดมหาสารคาม) และท้าวผาแดงแห่งเมืองผาโพง ต่างก็หมายปองอยากได้พระนางมาเป็นคู่ครองของตน 
ความงามนี้ยังร่ำลือไปถึงพญานาคเมืองบาดาล 

พญานาคหนุ่ม คือ ท้าวภังคี ผู้เป็นพระราชโอรสของพญาศรีสุทโธนาคราชเจ้าเมืองบาดาล มีความปรารถนาจะชื่นชมความงามของนางไอ่คำด้วยเหมือนกัน
จัดงานบุญบั้งไฟ
ครั้นถึงกลางเดือนหก พญาขอมแห่งเมืองเอกชะฑีตา โปรดให้จัดงานบุญบั้งไฟ จึงได้ป่าวประกาศแจ้งไปยังหัวเมืองต่างๆ ให้ส่งบั้งไฟมาร่วมแข่งขัน โดยให้ทำบั้งไฟมาจุดแข่งขันกันที่เมืองเอกชะฑีตา 

การจุดบั้งไฟมีจุดประสงค์เพื่อจุดถวายพระยาแถนผู้เป็นใหญ่บนสวรรค์ชั้นฟ้า มีฤทธิ์ธานุภาพบันดาลให้ฝนตกต้องตามฤดูกาลประการหนึ่ง 
ส่วนอีกประการหนึ่งเป็นการแข่งขันบั้งไฟระหว่างเจ้าชายจากเมืองต่างๆ หากบั้งไฟของเจ้าชายเมืองใดขึ้นสูงกว่าบั้งไฟของพญาขอมและของเจ้าชายคนอื่นๆ เจ้าชายพระองค์นั้นก็จะได้นางไอ่คำไปเป็นคู่ครอง

เจ้าชายเมืองต่างๆ ได้ส่งบั้งไฟเข้าร่วมแข่งขันจุดบั้งไฟ

ท้าวผาแดงแห่งเมืองผาโพง เข้าร่วมแข่งขันจุดบั้งไฟด้วย

ในการจุดบั้งไฟนั้น ปรากฏว่าบั้งไฟของพญาขอมบั้งไฟซุ บั้งไฟของท้าวผาแดงแตก ส่วนบั้งไฟของเจ้าชายเมืองอื่นๆ ขึ้นหมดทุกบั้ง 

แต่พญาขอมก็มิได้ทำตามสัญญา เจ้าชายเมืองต่างๆ  ซึ่งเป็นเมืองบริวารเห็นว่าผิดสัญญา จึงกลับกันหมด เหลือแต่ท้าวผาแดง
ท้าวผาแดงได้แอบเข้าหานางไอ่คำ และมีความสัมพันธ์กัน

ตลอดเวลางานบั้งไฟเจ้าชายพญานาคท้าวภังคี ได้แปลงตัวมาดูงาน และหลงรักนางไอ่ด้วยเช่นกัน  แต่ก็ไม่มีโอกาสเข้าใกล้ชิดนางเหมือนท้าวผาแดง  

เมื่อบุญบั้งไฟเสร็จสิ้นลงท้าวผาแดงและท้าวภังคี ต่างฝ่ายต่างกลับบ้านเมืองของตน 

ท้าวภังคีไปถึงเมืองบาดาล เฝ้าแต่คิดถึงนางไอ่คำ ไม่เป็นอันกินอันนอน ในใจมีแต่ภาพนางไอ่คำคนสวยตลอดเวลา 

วันหนึ่งท้าวภังคีจึงได้พาบริวารขึ้นมาเที่ยวเล่นยังเมืองเอกชะฑีตานคร

ท้าวภังคีกับบริวารได้แปลงตนเป็นสัตว์ต่างๆ โดยท้าวภังคีแปลงกายเป็นกระรอกด่อน (เผือก) มีกระดิ่งทองคำแขวนไว้ที่คอ 

กระรอกด่อน (เผือก) กระโดดไปมาบนกิ่งไม้งิ้วที่อยู่ตรงกับหน้าต่างห้องนอนของนางไอ่คำ เพื่อจะได้ยลโฉมความงามของนางให้เต็มตา 
นางไอ่คำได้ยินเสียงกระดิ่ง ออกมาดู และเห็นกระรอกเผือกมีกระดิ่งทองกำลังกัดกินผลงิ้วอยู่  นางไอ่คำเกิดความพอใจอยากได้เจ้ากระรอกเผือกตัวนี้มาเลี้ยงดูเล่น  

พระนางจึงสั่งให้นายพรานจับกระรอกเผือกมาให้ แต่นายพรานได้ใช้หน้าไม้ยิงกระรอกเผือกตกลงมาจากกิ่งไม้
ก่อนตายท้าวภังคีได้สาปแช่งเอาไว้ว่า ขอให้เนื้อของตนมีรสชาติอร่อย เป็นที่ติดใจของผู้ที่ได้กินเนื้อของตนโดยกินอย่างไรก็ไม่ให้มีวันหมด และหากชาวเมืองได้กินเนื้อของตน ก็ขอให้เกิดความหายนะแก่บ้านเมืองและคนที่กินทุกคน

นางไอ่คำแจกเนื้อกระรอกเผือกให้ชาวเมืองให้ได้กินอย่างทั่วถึง

เว้นแต่พวกแม่ม่ายทั้งหลาย เพราะในยุคสมัยนั้นคนรังเกียจพวกแม่ม่าย แม่ม่ายในยุคนั้นถือเป็นบุคคลที่ได้รับการดูถูกเหยียดหยามอย่างที่สุด  จึงไม่มีคนอยากให้พวกแม่ม่ายได้กินของดี 

บริวารพญานาคนำข่าวร้ายนี้ไปบอกแก่พญาศรีสุทโธนาคราชผู้เป็นพระราชบิดา ซึ่งประทับอยู่ในเมืองบาดาล 

พญาศรีสุทโธนาคราชทรงกริ้วมากที่พระราชโอรสของพระองค์สิ้นพระชนม์ เตรียมที่จะถล่มเมืองเอกชะฑีตานครให้ย่อยยับถล่มทลาย
 
ข่าวชาวเมืองกินเนื้อกระรอกนี้ทราบไปถึงท้าวผาแดงที่เมืองผาโพง

ท้าวผาแดงเห็นเป็นเรื่องประหลาด สังหรณ์ใจว่าคงจะเกิดอันตรายแก่นางไอ่คำและชาวเมืองแน่นอน จึงพร้อมด้วยทหารคนสนิทชื่อท้าวสาม  ขี่ม้ามาเพื่อจะช่วยนางไอ่คำที่เมืองเอกซะฑีตานคร 

คืนนั้นเอง พญาศรีสุทโธนาคราชและบริวารก็ขึ้นมาถล่มเมืองเอกซะฑีตานครให้ถล่มจมใต้ปฐพี 

เมืองถูกถล่มกลายเป็นหนองน้ำในพริบตา

ใครที่กินเนื้อกระรอกเผือกตายจมน้ำจนหมด

ท้าวผาแดงขี่ม้ามาทันเหตุการณ์พอดี จึงรีบพานางไอ่คำขี่ม้าออกจากตัวเมืองด้วยความรีบเร่ง ไม่ทันแม้จะหยิบฉวยทรัพย์สมบัติติดตัวเลยสักชิ้น 

นางไอ่คำคว้าได้เพียงฆ้องมงคลลูกหนึ่งเท่านั้น ท้าวผาแดงจัดให้นางไอ่คำนั่งกลางและให้ท้าวสามนั่งหลังม้าเพื่อคุ้มครองดูแลอยู่เบื้องหลัง

พญาศรีสุทโธนาคราชค้นหานางไอ่คำ เห็นนางไอ่คำขี่หลังม้าหนีไปกับท้าวผาแดง ก็ไล่กดติดตามอย่างกระชั้นชิด เมื่อตามทันก็เอาหางสอดกระหวัดรัดเอานางไอ่คำให้ตกลงมา

พญานาคสอดรัดถูกฆ้องที่ท้าวสามสะพายไว้ในบ่า ดึงเอาฆ้องหลุดจากบ่าท้าวสาม ฆ้องถูกกระชากหลุดตกลงไป สถานที่คล้องตกลงไปนั้น เรียกว่า เวินฆ้อง มาจนถึงปัจจุบัน

พญานาคติดตามไปอย่างไม่ลดละ ใช้หางเกี่ยวสอดรัดถูกแขนของนางไอ่คำ กระชากเอาแหวนของนางตกลงไป สถานที่แหวนของนางไอ่คำถูกกระชากตกนั้น เรียกว่า หนองแหวน ในสมัยปัจจุบัน

ท้าวสามตกจากหลังม้าและวิ่งตามม้าของท้าวผาแดงไปด้วยความเหนื่อยอ่อน ท้าวสามสะดุดล้มมาตลอด สถานที่ท้าวสามสะดุดล้มนั้น เรียกว่า ห้วยสามพะลาด ต่อมาเพี้ยนเป็นห้วยสามพาด (อยู่ระหว่างเส้นทางจังหวัดอุดรธานีกับอำเภอกุมภวาปี)

 ในที่สุดพญานาคก็สามารถเอานางไอ่คำตกลงไป ทำให้นางไอ่คำถึงแก่ความตาย

เมื่อนางไอ่คำตายตามท้าวภังคีไปแล้ว พญาศรีสุทโธนาคราชก็พอใจ 

ส่วนท้าวผาแดงและท้าวสามนั้น พญาศรีสุทโธนาคราชหาไม่ได้ทำร้ายเพราะทั้งสองไม่ได้กินเนื้อกระรอกเผือก 

แต่ในที่สุดท้าวผาแดงก็ตรอมใจตายเพราะทนต่อแรงแห่งความรักความคิดถึงที่มีต่อนางไอ่คำไม่ได้ 

เมืองเอกซะฑีตานครได้ถล่มลงด้วยฤทธิ์พญานาค จึงกลายเป็นหนองหาร

ส่วนพวกแม่ม่ายที่อาศัยอยู่บนเกาะแม่ม่าย ไม่ได้รับอันตราย เพราะไม่ได้กินเนื้อกระรอกเผือก

เมืองจมใต้บาดาล พื้นที่ของเมืองกลายเป็นหนองน้ำเรียกว่าหนองหาร 

ส่วนเกาะแม่ม่ายหรือเกาะดอนสวรรค์รอดพ้นจากการถล่มของพญานาค คงเหลือเป็นเกาะให้พวกเราได้ชื่นชมกลางหนองหารแห่งนี้ครับ

ถ้าท่านมาที่สกลนคร ขอเชิญมาเที่ยวชมดอนแม่ม่ายนะครับ ท่านที่สายมู อาจได้ยินเสียงดนตรีที่บรรเลงอยู่บนเกาะ นะครับ

วันเสาร์, มิถุนายน 17, 2566

มินามีเรื่องเล่า พระปรางค์องค์ใหญ่ วัดระฆังโฆสิตาราม วรมหาวิหาร Thai-English-French





มินามีเรื่องเล่า พระปรางค์องค์ใหญ่ วัดระฆังโฆสิตาราม วรมหาวิหาร Thai-English-French

สวัสดีครับ วันนี้ผมจะพามานมัสการสักการะพระเจดีย์ที่วัดระฆังโฆษิตาราม วรมหาวิหาร นะครับ

บริเวณด้านของพระอุโบสถของวัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร หน้าเยื้องไปทางขวาเล็กน้อย มีพระปรางค์องค์ใหญ่ และบริเวณทางด้านซ้ายของพระอุโบสถมีพระเจดีย์อีก ๓ องค์

          วันนี้ขอสักการะและแนะนำพระปรางค์องค์ใหญ่องค์นี้นะครับ

          พระปรางค์องค์นี้สร้างตามแบบสถาปัตยกรรมรัตนโกสินทร์ยุคต้น ถือเป็นพระปรางค์ที่มีทรวดทรงงดงามมาก จนยึดถือเป็นแบบฉบับของพระปรางค์ที่สร้างในยุคต่อมา

          สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ทรงยกย่องว่า พระปรางค์วัดระฆังนี้เป็นพระปรางค์ที่ทำถูกแบบอยุธยาองค์เดียวในกรุงรัตนโกสินทร์

          ผู้สร้างพระปรางค์องค์นี้เป็นใครครับ

          พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงมีพระราชศรัทธาสร้างพระปรางค์พระราชทานร่วมกุศลกับสมเด็จพระพี่นางองค์ใหญ่ของพระองค์ คือ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิง กรมพระยาเทพสุดาวดี พระนามเดิมคือ สา นะครับ

          กล่าวได้ว่า พระปรางค์วัดระฆังเป็นพระปรางค์กรมพระยาเทพสุดาวดี (สา) นะครับ

          สมเด็จเจ้าฟ้าหญิง กรมพระยาเทพสุดาวดี (สา) เป็นพระพี่นางของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก

ขออนุญาตกล่าวถึงพี่น้อง คือ พระภราดา (พี่ชายน้องชาย) และพระภคินี (พี่สาวน้องสาว) ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช นะครับ

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชนิพนธ์เรื่องปฐมวงศ์ ว่าพระราชบิดาของสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (รัชกาลที่ ๑) ทรงสืบเชื้อสายมาจากเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) ซึ่งท่านเป็นราชทูตไทยไปฝรั่งเศสในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ในปี พ.ศ. ๒๒๒๙

พระราชบิดาของรัชกาลที่ ๑ (พระปฐมบรมมหาชนก) มีพระนามเดิมว่า ทองดี มีพระอัครชายา มีพระนามเดิมว่า หยก หรือ ดาวเรือง ทั้งสองพระองค์มีพระโอรสธิดา ๗ พระองค์ ได้แก่

๑. สมเด็จเจ้าฟ้าหญิง กรมพระเทพสุดาวดี (สมเด็จพระพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาเทพสุดาวดี) มีพระนามเดิมว่า สา

๒. สมเด็จพระเจ้าขุนรามณรงค์ มีพระนามเดิมว่า ราม

๓. สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงกรมพระศรีสุดารักษ์ (สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์) มีพระนามเดิมว่า แก้ว

๔. พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช มีพระนามเดิมว่า ทองด้วง หรือ ด้วง

๕. สมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคล (สมเด็จพระบวรราชเจ้า มหาสุรสิงหนาท) มีพระนามเดิมว่า บุญมา

๖. พระองค์เจ้าหญิงกุ (พระเจ้าน้องนางเธอ กรมหลวงนรินทรเทวี คนทั้งหลายเรียกว่า เจ้าครอกวัดโพธิ์ เพราะพระองค์ท่านเสด็จอยู่วังริมวัดพระเชตุพนฯ คำว่า เจ้าครอก หมายความว่า เป็นเจ้าโดยกำเนิด

๗. สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงกรมหลวงจักรเจษฎา (สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงจักรเจษฎา) มีพระนามเดิมว่า ลา

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงมีพระภราดา (พี่ชายน้องชาย) และพระภคินี (พี่สาวน้องสาว) รวม ๖ พระองค์ ครับ

ขอย้อนมาที่ปรางค์องค์ใหญ่ที่วัดระฆังนะครับ

          ปรางค์องค์ใหญ่นี้สร้างอุทิศบุญุศลถวายสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาเทพสุดาวดี

พระองค์สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๑ เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๓๔๒ พระชันษา ๗๐ ปีเศษ

          พระองค์เป็นต้นเชื้อพระวงศ์แห่งเจ้านายวังหลัง มีพระโอรสธิดา ๔ พระองค์ นะครับ

          พระโอรสพระองค์โต คือ สมเด็จเจ้าฟ้าชายทองอิน (กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข) ซึ่งเป็นพระบิดาของพระองค์เจ้าที่เกี่ยวข้องกับพระเจดีย์วัดระฆังอีก ๓ องค์ ซึ่งจะเล่าให้ฟังในโอกาสหน้านะครับ

แหล่งข้อมูลประกอบการเล่าเรื่อง

กรมศิลปากร. สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์. ๒๕๕๔. ราชสกุลวงศ์. พิมพ์ครั้งที่ ๔. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ สกสค. ลาดพร้าว

**************** 



Mina stories : The Main Prang at Wat Rakang Kositaram Woramahawihan

Today, I would like to take you to pay homage to the main Prang (Pagoda) situated on the right of the ordination hall of Wat Rakang Kositaram Woramahwihan, Bangkok.  

          This magnificent Prang was built in the style of early Rattanakosin. King Rama Ist and his elder sister, Somdet Chao Fa Ying Krom Phraya Thepsudawadee (Sa) had this Prang built to worship Buddhism.

          I would like to tell you about the brothers and the sisters of King Buddha Yodfa Chulaloke (Rama I).

King Mongkut or Phra Chom Kao Chao Yu Hua (Rama IV), the grandchild of King Rama I, wrote about the origin of his royal family. His family was the descendants of Phraya Kosathibbodi, King Narai’s ambassador who went to France in 1686.

          King Bhudda Yodfa’s father is Thongdi. His mother is Yok or Dao Roeung. His parents had 7 children, namely:

1. Princess Dhepsudawadee, her given name is Sa;

2. Prince Khun Ram Narong, his given name is Ram;

3. Princess Sisudarak, her given name is Kaeo;

4. King Buddha Youfa Chulaloke, his given name is Thong Duang or Duang;

5. Prince Mahasurasihanat, his given name is Boonma;

6. Princess Narintharathevi, her given name is Ku;

7. Princess Chak Cheksada, her given name is La.

Hence, King Bhudda Yod Fa Chulaloke the Great (Rama I of Chakri Dynasty) has 6 brothers and sisters.

*************************  



Mina raconte : Le Prang principal du temple Rakang Kositaram Woramahawihan

          Aujourd'hui, je voudrais vous emmener rendre hommage au Prang principal (Pagode) situé à droite de la salle d'ordination du Wat Rakang Kositaram Woramahwihan, Bangkok.

          Ce magnifique Prang a été construit au style de l’art du début Rattanakosin.

          Le roi Rama Ier et sa sœur aînée, Somdet Chao Fa Ying Krom Phraya Thepsudawadee (Sa) ont fait construire ce Prang pour rendre hommage au Bouddhisme.

          Je voudrais parler des frères et sœurs du roi Buddha Yodfa Chulaloke (Rama Ier).

          Le roi Mongkut ou Phra Chom Kao Chao Yu Hua (Rama IV), le petit-fils de Rama Ier, a écrit sur l'origine de sa famille royale. Sa famille était la descendante de Phraya Kosathibbodi, l'ambassadeur du roi Naraï qui s'est rendu en France en 1686.

          Le père du roi Bhudda Yodfa est Thongdi. Sa mère est Yok ou Dao Roeung. Ses parents ont eu 7 enfants, à savoir :

          1. la princesse Dhepsudawadee, son prénom est Sa ;

          2. le prince Khun Ram Narong, son prénom est Ram ;

3. la princesse Sisudarak, son prénom est Kaeo ;

          4. le roi Bouddha Youfa Chulaloke, son prénom est Thong Duang ou Duang ;

          5. le prince Mahasurasihanat, son prénom est Boonma ;

          6. la princesse Narintharathevi, son prénom est Ku ;

          7. la princesse Chak Cheksada, son prénom est La.

          Donc, le roi Bhudda Yodfa Chulaloke le Grand a 6 frères et sœurs.

**********************************

 


มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French

  มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French กรมหลวงพิพิธมนตรี (พระพันวัสสาน้อย) เป็นพระอัครมเหสีน้อยของสมเด็จพ...