สวัสดีครับ ผมขอย้อนนำมินามีเรื่องเล่าที่เคยเขียนไว้เมื่อปีที่แล้วทาง Facebook มาเผยแพร่ทาง blog อีกครั้งนะครับ
พอดีความทรงจำของ Facebook แจ้งมา
เมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๖๕ ผมและเพื่อนๆ ได้ไปดูธรรมชาติที่เป็นจุดเด่นอีกแห่งหนึ่งของเมืองสกลนคร
สกลนครเขามีคำคมแสดงเอกลักษณ์ของเมืองนะครับ เมืองสามธรรม คือ ธรรมะ ธรรมชาติและวัฒนธรรม
ที่ไหนครับ คำถามน่าสนใจ
ถ้าบอกว่าที่เกาะแม่ม่าย หลายคนที่ไม่รู้จักตำนานเรื่องผาแดงนางไอ่ อาจสงสัย
ครับเราไปชมเกาะดอนสวรรค์ เกาะใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางหนองหารกันครับ
เกาะนี้เกี่ยวข้องกับแม่ม่ายอย่างไร
ชมเกาะไปด้วย ฟังเรื่องผาแดงนางไอ่ ฉบับมินาไปด้วยนะครับ
พระธิดาไอ่คำ
ในอดีตนานมาแล้ว มีเมืองขอมเมืองหนึ่งชื่อว่า เอกชะฑีตานคร มีพญาขอมปกครองเมือง
พญาขอมมีพระราชธิดาชื่อว่า พระนางไอ่คำ
พญาขอมรักและหวงแหนพระราชธิดาไอ่คำมาก พระองค์มีรับสั่งให้สร้างปราสาท ๗ ชั้นให้พระธิดาอยู่พร้อมเหล่านางกำนัลคอยดูแลอย่างดี
เมื่อนางไอ่คำมีอายุได้ ๑๕ ปี ความงามของนางไอ่คำเป็นที่เลื่องลือไปทุกแห่ง บรรดาเจ้าชายของเมืองต่างๆ ที่อยู่ใกล้กับเมืองเอกชะฑีตา เช่น เจ้าชายเมืองสีแก้ว (บ้านสีแก้ว จังหวัดร้อยเอ็ด) เจ้าชายเมืองฟ้าแดดสูงยาง (บ้านฟ้าแดดสูงยาง เมืองกาฬสินธุ์) เจ้าชายเมืองเชียงเหียน (บ้านเชียงเหียน จังหวัดมหาสารคาม) และท้าวผาแดงแห่งเมืองผาโพง ต่างก็หมายปองอยากได้พระนางมาเป็นคู่ครองของตน
ความงามนี้ยังร่ำลือไปถึงพญานาคเมืองบาดาล
พญานาคหนุ่ม คือ ท้าวภังคี ผู้เป็นพระราชโอรสของพญาศรีสุทโธนาคราชเจ้าเมืองบาดาล มีความปรารถนาจะชื่นชมความงามของนางไอ่คำด้วยเหมือนกัน
จัดงานบุญบั้งไฟ
ครั้นถึงกลางเดือนหก พญาขอมแห่งเมืองเอกชะฑีตา โปรดให้จัดงานบุญบั้งไฟ จึงได้ป่าวประกาศแจ้งไปยังหัวเมืองต่างๆ ให้ส่งบั้งไฟมาร่วมแข่งขัน โดยให้ทำบั้งไฟมาจุดแข่งขันกันที่เมืองเอกชะฑีตา
การจุดบั้งไฟมีจุดประสงค์เพื่อจุดถวายพระยาแถนผู้เป็นใหญ่บนสวรรค์ชั้นฟ้า มีฤทธิ์ธานุภาพบันดาลให้ฝนตกต้องตามฤดูกาลประการหนึ่ง
ส่วนอีกประการหนึ่งเป็นการแข่งขันบั้งไฟระหว่างเจ้าชายจากเมืองต่างๆ หากบั้งไฟของเจ้าชายเมืองใดขึ้นสูงกว่าบั้งไฟของพญาขอมและของเจ้าชายคนอื่นๆ เจ้าชายพระองค์นั้นก็จะได้นางไอ่คำไปเป็นคู่ครอง
เจ้าชายเมืองต่างๆ ได้ส่งบั้งไฟเข้าร่วมแข่งขันจุดบั้งไฟ
ท้าวผาแดงแห่งเมืองผาโพง เข้าร่วมแข่งขันจุดบั้งไฟด้วย
ในการจุดบั้งไฟนั้น ปรากฏว่าบั้งไฟของพญาขอมบั้งไฟซุ บั้งไฟของท้าวผาแดงแตก ส่วนบั้งไฟของเจ้าชายเมืองอื่นๆ ขึ้นหมดทุกบั้ง
แต่พญาขอมก็มิได้ทำตามสัญญา เจ้าชายเมืองต่างๆ ซึ่งเป็นเมืองบริวารเห็นว่าผิดสัญญา จึงกลับกันหมด เหลือแต่ท้าวผาแดง
ท้าวผาแดงได้แอบเข้าหานางไอ่คำ และมีความสัมพันธ์กัน
ตลอดเวลางานบั้งไฟเจ้าชายพญานาคท้าวภังคี ได้แปลงตัวมาดูงาน และหลงรักนางไอ่ด้วยเช่นกัน แต่ก็ไม่มีโอกาสเข้าใกล้ชิดนางเหมือนท้าวผาแดง
เมื่อบุญบั้งไฟเสร็จสิ้นลงท้าวผาแดงและท้าวภังคี ต่างฝ่ายต่างกลับบ้านเมืองของตน
ท้าวภังคีไปถึงเมืองบาดาล เฝ้าแต่คิดถึงนางไอ่คำ ไม่เป็นอันกินอันนอน ในใจมีแต่ภาพนางไอ่คำคนสวยตลอดเวลา
วันหนึ่งท้าวภังคีจึงได้พาบริวารขึ้นมาเที่ยวเล่นยังเมืองเอกชะฑีตานคร
ท้าวภังคีกับบริวารได้แปลงตนเป็นสัตว์ต่างๆ โดยท้าวภังคีแปลงกายเป็นกระรอกด่อน (เผือก) มีกระดิ่งทองคำแขวนไว้ที่คอ
กระรอกด่อน (เผือก) กระโดดไปมาบนกิ่งไม้งิ้วที่อยู่ตรงกับหน้าต่างห้องนอนของนางไอ่คำ เพื่อจะได้ยลโฉมความงามของนางให้เต็มตา
นางไอ่คำได้ยินเสียงกระดิ่ง ออกมาดู และเห็นกระรอกเผือกมีกระดิ่งทองกำลังกัดกินผลงิ้วอยู่ นางไอ่คำเกิดความพอใจอยากได้เจ้ากระรอกเผือกตัวนี้มาเลี้ยงดูเล่น
พระนางจึงสั่งให้นายพรานจับกระรอกเผือกมาให้ แต่นายพรานได้ใช้หน้าไม้ยิงกระรอกเผือกตกลงมาจากกิ่งไม้
ก่อนตายท้าวภังคีได้สาปแช่งเอาไว้ว่า ขอให้เนื้อของตนมีรสชาติอร่อย เป็นที่ติดใจของผู้ที่ได้กินเนื้อของตนโดยกินอย่างไรก็ไม่ให้มีวันหมด และหากชาวเมืองได้กินเนื้อของตน ก็ขอให้เกิดความหายนะแก่บ้านเมืองและคนที่กินทุกคน
นางไอ่คำแจกเนื้อกระรอกเผือกให้ชาวเมืองให้ได้กินอย่างทั่วถึง
เว้นแต่พวกแม่ม่ายทั้งหลาย เพราะในยุคสมัยนั้นคนรังเกียจพวกแม่ม่าย แม่ม่ายในยุคนั้นถือเป็นบุคคลที่ได้รับการดูถูกเหยียดหยามอย่างที่สุด จึงไม่มีคนอยากให้พวกแม่ม่ายได้กินของดี
บริวารพญานาคนำข่าวร้ายนี้ไปบอกแก่พญาศรีสุทโธนาคราชผู้เป็นพระราชบิดา ซึ่งประทับอยู่ในเมืองบาดาล
พญาศรีสุทโธนาคราชทรงกริ้วมากที่พระราชโอรสของพระองค์สิ้นพระชนม์ เตรียมที่จะถล่มเมืองเอกชะฑีตานครให้ย่อยยับถล่มทลาย
ข่าวชาวเมืองกินเนื้อกระรอกนี้ทราบไปถึงท้าวผาแดงที่เมืองผาโพง
ท้าวผาแดงเห็นเป็นเรื่องประหลาด สังหรณ์ใจว่าคงจะเกิดอันตรายแก่นางไอ่คำและชาวเมืองแน่นอน จึงพร้อมด้วยทหารคนสนิทชื่อท้าวสาม ขี่ม้ามาเพื่อจะช่วยนางไอ่คำที่เมืองเอกซะฑีตานคร
คืนนั้นเอง พญาศรีสุทโธนาคราชและบริวารก็ขึ้นมาถล่มเมืองเอกซะฑีตานครให้ถล่มจมใต้ปฐพี
เมืองถูกถล่มกลายเป็นหนองน้ำในพริบตา
ใครที่กินเนื้อกระรอกเผือกตายจมน้ำจนหมด
ท้าวผาแดงขี่ม้ามาทันเหตุการณ์พอดี จึงรีบพานางไอ่คำขี่ม้าออกจากตัวเมืองด้วยความรีบเร่ง ไม่ทันแม้จะหยิบฉวยทรัพย์สมบัติติดตัวเลยสักชิ้น
นางไอ่คำคว้าได้เพียงฆ้องมงคลลูกหนึ่งเท่านั้น ท้าวผาแดงจัดให้นางไอ่คำนั่งกลางและให้ท้าวสามนั่งหลังม้าเพื่อคุ้มครองดูแลอยู่เบื้องหลัง
พญาศรีสุทโธนาคราชค้นหานางไอ่คำ เห็นนางไอ่คำขี่หลังม้าหนีไปกับท้าวผาแดง ก็ไล่กดติดตามอย่างกระชั้นชิด เมื่อตามทันก็เอาหางสอดกระหวัดรัดเอานางไอ่คำให้ตกลงมา
พญานาคสอดรัดถูกฆ้องที่ท้าวสามสะพายไว้ในบ่า ดึงเอาฆ้องหลุดจากบ่าท้าวสาม ฆ้องถูกกระชากหลุดตกลงไป สถานที่คล้องตกลงไปนั้น เรียกว่า เวินฆ้อง มาจนถึงปัจจุบัน
พญานาคติดตามไปอย่างไม่ลดละ ใช้หางเกี่ยวสอดรัดถูกแขนของนางไอ่คำ กระชากเอาแหวนของนางตกลงไป สถานที่แหวนของนางไอ่คำถูกกระชากตกนั้น เรียกว่า หนองแหวน ในสมัยปัจจุบัน
ท้าวสามตกจากหลังม้าและวิ่งตามม้าของท้าวผาแดงไปด้วยความเหนื่อยอ่อน ท้าวสามสะดุดล้มมาตลอด สถานที่ท้าวสามสะดุดล้มนั้น เรียกว่า ห้วยสามพะลาด ต่อมาเพี้ยนเป็นห้วยสามพาด (อยู่ระหว่างเส้นทางจังหวัดอุดรธานีกับอำเภอกุมภวาปี)
ในที่สุดพญานาคก็สามารถเอานางไอ่คำตกลงไป ทำให้นางไอ่คำถึงแก่ความตาย
เมื่อนางไอ่คำตายตามท้าวภังคีไปแล้ว พญาศรีสุทโธนาคราชก็พอใจ
ส่วนท้าวผาแดงและท้าวสามนั้น พญาศรีสุทโธนาคราชหาไม่ได้ทำร้ายเพราะทั้งสองไม่ได้กินเนื้อกระรอกเผือก
แต่ในที่สุดท้าวผาแดงก็ตรอมใจตายเพราะทนต่อแรงแห่งความรักความคิดถึงที่มีต่อนางไอ่คำไม่ได้
เมืองเอกซะฑีตานครได้ถล่มลงด้วยฤทธิ์พญานาค จึงกลายเป็นหนองหาร
ส่วนพวกแม่ม่ายที่อาศัยอยู่บนเกาะแม่ม่าย ไม่ได้รับอันตราย เพราะไม่ได้กินเนื้อกระรอกเผือก
เมืองจมใต้บาดาล พื้นที่ของเมืองกลายเป็นหนองน้ำเรียกว่าหนองหาร
ส่วนเกาะแม่ม่ายหรือเกาะดอนสวรรค์รอดพ้นจากการถล่มของพญานาค คงเหลือเป็นเกาะให้พวกเราได้ชื่นชมกลางหนองหารแห่งนี้ครับ
ถ้าท่านมาที่สกลนคร ขอเชิญมาเที่ยวชมดอนแม่ม่ายนะครับ ท่านที่สายมู อาจได้ยินเสียงดนตรีที่บรรเลงอยู่บนเกาะ นะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น