Chalermkiat Mina

วันเสาร์, สิงหาคม 05, 2566

มินามีเรื่องเล่า สุสานพราหมณ์ที่บริเวณใกล้วัดควนกรวด อ. เมือง จ.พัทลุง Thai-English-French


มินามีเรื่องเล่า  สุสานพราหมณ์ที่บริเวณใกล้วัดควนกรวด อ. เมือง จ.พัทลุง Thai-English-French
********
ศาสนาพราหมณ์ถือว่าเก่าแก่มีมาก่อนศาสนาพุทธ - พราหมณ์เป็นวรรณะหนึ่งตามคติของชาวสังคมฮินดูใน 4 วรรณะ คือ 

1. วรรณะกษัตริย์ ได้แก่ นักรบ, นักปกครอง  
2. วรรณะพราหมณ์ เป็นนักบวชและเจ้าพิธีการ 
3. วรรณะแพศย์เป็นพ่อค้า 
4. วรรณะศูทร เป็นวรรณะต่ำสุด  ได้แก่ พวกอาชีพทำการเกษตร กรรมกรรับจ้าง

จังหวัดพัทลุง มีศาสนาพราหมณ์เป็นศาสนาที่แพร่หลายเข้ามาในจังหวัดพัทลุงมาช้านานแล้ว โดยมีการผสมกลมกลืนกับพุทธศาสนาอย่างแนบแน่น ทางศาสนาพุทธ มีวัดเป็นศูนย์รวมจิตใจ และมีป่าช้าหรือฌาปนสถานอยู่ในวัดหรือบริเวณข้างวัด 

ที่พัทลุงมีสุสานพราหมณ์หรือป่าช้าพราหมณ์เช่นเดียวกัน เท่าที่ทราบนั้น สุสานพราหมณ์หรือป่าช้าพราหมณ์พัทลุงที่สำคัญมี 4 แห่ง คือ
1. สุสานพราหมณ์หรือป่าช้าพราหมณ์อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของวัดเขียนบางแก้ว ชาวบ้านเรียกว่า "ป่าช้าแขกชี" เป็นป่าช้าโบราณที่เลิกใช้แล้ว 

2. สุสานพราหมณ์หรือป่าช้าพราหมณ์หน้าวัดควนกรวด เป็นป่าช้าที่ใช้ฝังศพพราหมณ์สืบต่อจนปัจจุบัน 

3. สุสานพราหมณ์หรือป่าช้าพราหมณ์วัดนิโครธาราม และ 

4. สุสานพราหมณ์หรือป่าช้าพราหมณ์วัดโพธิ์ตำนาน ตำบลตำนาน ใช้ฝังศพผู้มีเชื้อสายพราหมณ์

วันนี้ขอแนะนำสุสานพราหมณ์ที่บ้านควนกรวด สุสานนี้ตั้งอยู่ด้านทิศใต้ของวัดควนกรวด ซึ่งมีถนนสายพัทลุง-ควนขนุน ตัดผ่านที่ดินทั้งด้านตะวันตกและด้านตะวันออกของถนนสายดังกล่าว มีคลองภู่ กั้นเป็นที่ฝังศพ เรียกว่า "สุสานพราหมณ์" ปัจจุบันมีสุสานพราหมณ์เฉพาะทางด้านตะวันออกของถนน ซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 1.5 ไร่ 
สถานที่เกี่ยวกับป่าช้าพราหมณ์ บ้านควนกรวด มีความสัมพันธ์ทั้งด้านสถานที่ และเครือญาติของผู้คน "ตระกูลพราหมณ์" ที่ตั้งรกรากอยู่ในบริเวณนั้น 

ตระกูลพราหมณ์ถือศีล 5 การถือบวชพราหมณ์จะสืบสายสกุลเฉพาะบุตรชายเท่านั้น ลูกหญิงที่แต่งงานกับชายพุทธและมีบุตรชาย จะบวชพราหมณ์ไม่ได้ บวชพราหมณ์ได้ต้องมีอายุ 42 ปีขึ้นไป บวซได้ปีละ 1 คนเท่านั้น (บวซรับศีล 5) แต่งชุดขาว บนศีรษะมีผมกระจุก เป็นเอกลักษณ์สำหรับผู้ถือบวช 

การถือบวช เป็นพิธีกรรมของพราหมณ์ กำหนดเดือน 4 ขึ้น 1 ค่ำ ทำพิธีข้าวเม่าบวชตามคติของพราหมณ์ โดยนิมนต์พระสงฆ์ 5 รูป ถวายภัตตาหารเช้า สวดชัยยันต์โต มีเครื่องสังเวยบูชาในพิธีเรียกเครื่อง 12 ชนิด ได้แก่ ข้าว แกง กลัวย อ้อย ถั่ว งา ขนมแดง ขนมขาว ขนมบัว ฯลฯ พิธีมีขึ้นเวลาประมาณ 09.00 น. ตักบาตร กรวดน้ำ เป็นอันเสร็จพิธี

รูปเคารพของพราหมณ์ที่ท่านใช้ในพิธีการ มี 4 องค์ คือ 
1. พระอิศวร 
2. พระอุมา 
3. พระนารายณ์ 
และ 4. พระพิฆเนศวร

ท่านที่เดินทางไปพัทลุง เมื่อถึงวัดควนกรวด จะมองเห็นสุสานพราหมณ์ตั้งอยู่ติดถนน นับว่าเป็นวัฒนธรรมพราหมณ์พุทธที่อยู่ร่วมกันได้เป็นอย่างดีครับ
*********
Mina tells a story: The Brahman cemetery near Wat Kuan Kruad, Phatthalung

 Brahmanism has existed in Phatthalung for a long time. Apart from the Buddhist cemeteries, there are 4 Brahman cemeteries in Phatthalung. 

Near Wat Kuan Kruad, the temple situated in the center of Phatthalung, there is a Brahman cemetery situated near the road. The Brahman families live in the nearby area. Thailand is a country for every religion.
********
Mina raconte : Le cimetière Brahman près de Wat Kuan Kruad, Phatthalung

Le Brahmanisme existait à Phatthalung depuis longtemps. Outre les cimetières bouddhistes, il y a 4 cimetières brahmaniques à Phatthalung.

Près de Wat Kuan Kruad, le temple qui se situe au centre de Phatthalung, il y a un cimetière Brahman situé près de la route. Les familles Brahman vivent au village Ban Kuan Kruad. Voici un bon exemple montrant que la Thaïlande est un pays accueillant des religions.
photo credits: เฉลิมพล รามทอง

มินามีเรื่องเล่า เราเป็นญาติกันที่พัทลุง ตอน ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นเสมือนเกราะป้องกันอันตรายทั้งปวง คนมีสัจจะแม้สิ้นชีพไปแล้วเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายย่อมสรรเสริญ

 



มินามีเรื่องเล่า เราเป็นญาติกันที่พัทลุง พระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) ตอนนำทัพพัทลุงรบพม่า

สวัสดีครับ วันนี้ขอเล่าเรื่องการต่อสู้กับพม่าในศึกสงครามเก้าทัพ นะครับ

ในปี พ.ศ. ๒๓๒๕ มีการเปลี่ยนแผ่นดินใหม่จากกรุงธนบุรีเป็นกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยาพัทลุงแก้วโกรพพิชัย (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) เป็นเจ้าเมืองพัทลุงต่อไป

ในปี พ.ศ. ๒๓๒๘ เกิดสงคราม ๙ ทัพ พระเจ้าปดุง กษัตริย์พม่า ยกทัพมาตีไทยถึง ๙ ทัพ เฉพาะทางภาคใต้ พม่าใช้กำลังทัพที่ ๑ กับทัพที่ ๒ รวมพลได้ ๒๐,๐๐๐ คน ยึดเมืองชายฝั่งทะเลทิศตะวันออกได้ตั้งแต่ชุมพรเรื่อยลงมาถึงนครศรีธรรมราช และเตรียมทัพตีเมืองพัทลุงและสงขลาต่อไป

 

พระยาแก้วโกรพพิชัย (ขุนคางเหล็ก) รวบรวมกำลังพลได้เพียง ๑,๐๐๐ คนเศษ ไปชุมนุมกันที่วัดป่าลิไลย์ โดยมีพระมหาช่วย เจ้าอาวาสวัดป่าลิไลย์ ให้กำลังใจพร้อมปลุกเสกเครื่องรางของขลังให้ป้องกันตัว (ต่อมาพระมหาช่วย ได้ลาสิกขาและได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่ง พระยาทุกขราฎร์ อนุสาวรีย์ของท่านตั้งอยู่ทีท่ามิหรำ อ.เมือง จ.พัทลุง) โปรดอ่านเรื่องของพระยาทุกขราษฏร์ ได้ในมินามีเรื่องเล่า วันที่ ๓๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๖ https://vieuxnobita.blogspot.com/2023/07/blog-post_31.html นะครับ

 

พระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) ได้นำกองทัพพัทลุงจำนวนคนเพียง ๑,๐๐๐ คน ไปสกัดกั้นกองทัพพม่าที่ตำบลปันแต คนละฝั่งของคลองเสม็ด (คลองชะอวด) ที่ตำบลท่าเสม็ด ชายเขตแดนเมืองพัทลุง

แต่กองทัพพัทลุงยังไม่ได้ปะทะกับกองทัพพม่า เนื่องจากสมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรมหาสุรสีหนาทยกทัพหลวงมาตีทัพพม่าแตกพ่ายไปจนหมด

ครั้งเสร็จศึกพม่าแล้ว สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสีหนาทเสด็จมาประทับที่เมืองสงขลา โปรดให้พระยาหัวเมืองภาคใต้เข้าเฝ้าถวายความอ่อนน้อม แต่ ๔ หัวเมืองที่เป็นกบฏ คือ พระยาจะนะ (อิน) น้องชายต่างมารดาของพระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) พระยาปัตตานี พระยาไทรบุรีและพระยาตรังกานู ไม่ได้มาเข้าเฝ้า

 

สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทโปรดเกล้าฯ ให้พระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) ไปจับตัวพระยาจะนะ ผู้เป็นน้องชายมาชำระความและตัดสินคดี

 

พระยาจะนะ (อิน) ยอมรับว่าได้เห็นผิด คิดเป็นกบฏ และลอบส่งหนังสือไปถึงพม่าจริง พระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) ได้สอนน้องชายว่า ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นเสมือนเกราะป้องกันอันตรายทั้งปวง คนมีสัจจะแม้สิ้นชีพไปแล้วเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายย่อมสรรเสริญ

 

ในเรื่องความเด็ดขาดของพระยาพัทลุง (ขุน หรือ ขุนคางเหล็ก) ที่เกี่ยวข้องกับน้องชายของท่านนั้น พงศาวดารจังหวัดพัทลุง ฉบับที่แต่งโดย หลวงศรีวรฉัตร์ (พิญ จันทโรจวงศ์) ได้กล่าวถึงความเด็ดของของพระยาพัทลุง (ขุนคางเหล็ก) ไว้อีกเรื่องหนึ่ง คือการสั่งประหารชีวิตน้องชายตัวเอง

เหตุเกิดในครั้ง “สงคราม ๙ ทัพ” ที่พม่ายกเข้ามาตีหัวเมืองทางใต้ด้วย ไทยเราไม่มีกำลังพอจะรับกองทัพพม่าที่โหมเข้ามาทุกทิศได้ จึงใช้ยุทธวิธีจัดการกับทัพพม่าทีละทัพ ส่วนทางใต้ก็ให้ช่วยตัวเองไปก่อน อย่างที่เกิดวีรสตรี ท้าวเทพกษัตรี และ ท้าวศรีสุนทร ขึ้นที่เมืองถลาง

ที่พัทลุง พระยาพัทลุง (ขุนคางเหล็ก) ได้ร่วมกับ พระมหาช่วย วัดป่าแขวงเมืองพัทลุง ซึ่งมีความรู้ทางไสยศาสตร์ ได้ลงเลขยันต์ตะกรุดผ้าประเจียดให้พวกพล แต่งทัพไปรับพม่าที่ตำบลคลองท่าเสม็ด พม่าได้มาตั้งค่ายประชิดคนละฟากคลอง แต่ยังไม่ทันรบกันพม่าก็ถอยทัพกลับไป

พระยาพัทลุง (ขุนคางเหล็ก) และพระมหาช่วยได้ไปเฝ้ากรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ที่ทรงยกทัพมาขับไล่พม่า ขณะนั้นทรงประทับที่เมืองสงขลา พระยาพัทลุง (ขุน หรือ ขุนคางเหล็ก) กราบทูลความชอบของพระมหาช่วย จึงโปรดเกล้าฯ ให้พระมหาช่วยลาอุปสมบท แต่งตั้งให้เป็น พระยาทุกขราษฎร์ ผู้ช่วยราชการเมืองพัทลุง

ในครั้งนั้น มีผู้กราบทูลฟ้องว่า พระยาจะนะ (เณร หรือ อินท์ หรืออิน) น้องชายของพระยาพัทลุง (ขุน หรือ ขุนคางเหล็ก) คิดมิชอบ มีหนังสือไปถึงพม่าข้าศึก กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท โปรดเกล้าฯ ให้พระยาพัทลุงผู้พี่เป็นตุลาการชำระความ แล้วรับสั่งถามว่าควรประการใด

พระยาพัทลุงกราบทูลว่าควรประหารชีวิตตามบทพระอัยการ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ประหารชีวิตพระยาจะนะตามคำตัดสิน แล้วโปรดเกล้าฯ ให้พระยาพัทลุง (ขุนคางเหล็ก) เป็นแม่กองคุมทัพเมืองพัทลุงและไพร่พลเมืองจะนะ เป็นทัพเรือโดยเสด็จไปตีเมืองปัตตานีต่อไป 

พระยาพัทลุงแก้วโกรพพิชัย (ขุนคางเหล็ก) ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองพัทลุงอยู่ ๑๗ ปี ก็ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๒

ขอกล่าวถึงความเป็นมาของพระยาจะนะ (อิน) นะครับ

พระยาจะนะ (อิน) เป็นบุตรคนที่ ๒ ของพระยาราชบังสัน (ตะตา) เจ้าเมืองพัทลุง

บุตรของพระยาราชบังสัน (ตะตา) มี ๔ ท่าน ได้แก่

๑. พระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก)

๒. พระยาจะนะ (อิน)

๓. หลวงฤทธิ์เสนีย์ (เมือง หรือเณร)  

๔. พระยาพัทลุง (เผือก)

พระยาจะนะ (อิน) ได้เป็นเจ้าเมืองจะนะในสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

พระยาจะนะ (อิน) มีบุตรคือ หลวงภักดีจางวาง

พระยาจะนะ (อิน) ถึงแก่อนิจกรรม ราวปี พ.ศ. ๒๓๒๘ ในสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก

ยังมีเรื่องราวที่น่าสนใจอีก โปรดติดตามนะครับ

 


วันศุกร์, สิงหาคม 04, 2566

มินามีเรื่องเล่า เราเป็นญาติกันที่พัทลุง ท้าวทรงกันดาล พี่สาวของท่านแป้น ตอนที่ ๘

 


มินามีเรื่องเล่า เราเป็นญาติกันที่พัทลุง ท้าวทรงกันดาล พี่สาวของท่านแป้น ตอนที่ ๘

มารู้จักความเป็นมาของพี่น้องของท่านแป้นกันนะครับ

ท่านที่มีความสำคัญคือ ท้าวทรงกันดาล (ทองมอญ หรือทองคำ)  

ท้าวทรงกันดาล (ทองมอญ หรือทองคำ) มีส่วนสำคัญที่ทำให้เชื้อสายของทั้งสามราชวงศ์ ได้เป็นทองแผ่นเดียวกัน ราชวงศ์ทั้งสาม คือ ราชวงศ์กรุงเก่า ราชวงศ์กรุงธนบุรี และราชวงศ์จักรี

คำว่า “ทรงกันดาล” แปลว่า “อยู่ตรงกลาง” มาจากภาษาเขมร คือผู้ทีอยู่จุดศูนย์กลาง ในสมัยก่อนข้าราชบริพารฝ่ายในมีความสำคัญไม่น้อยกว่าข้าราชบริพารฝ่ายหน้า ในสมัยกรุงธนบุรี ตำแหน่ง “ท้าวทรงกันดาล” เป็นตำแหน่งสูงสุดของข้าราชบริพารฝ่ายใน คล้ายกับตำแหน่ง “แม่วัง” (ปเรตร์ อรรถวิภัชน์.  (๒๕๖๓).  ตามรอยสมเด็จพระเจ้าตากสินและขุนนางคู่พระทัย ใครเป็นใครในวันยึดกรุงธนบุรี.  สำนักพิมพ์สยามความรู้. หน้า ๒๘๘-๒๘๙.)

ประวัติของท้าวทรงกันดาล (ทองมอญ) ได้มีผู้เล่าเรื่องไว้หลายแบบ เท่าที่พอนำเสนอได้มีดังนี้

ในสมัยกรุงศรีอยุธยา หม่อมเจ้าชายท่านหนึ่ง (ไม่ทราบนาม) สมรสกับสาวมอญผู้หนึ่ง มีบุตรธิดา ๓ คน ได้แก่ ซวน (ช) ต่อมารับราชการตำแหน่งเจ้าพระยารามจัตุรงค์ ในสมัยกรุงธนบุรี คนที่สองชื่อทองคำหรือทองมอญ (ญ) และคนสุดท้อง ชื่อ แป้น (ญ) เป็นภรรยาพระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก)

ในสมัยกรุงธนบุรี หม่อมทองมอญได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็น “เจ้าคุณใหญ่ท้าวทรงกันดาล” ดูแลข้าราชบริพารฝ่ายในทั้งหมดของพระราชวังกรุงธนบุรี (ปเรตร์ อรรถวิภัชน์.  (๒๕๖๓).  ตามรอยสมเด็จพระเจ้าตากสินและขุนนางคู่พระทัย ใครเป็นใครในวันยึดกรุงธนบุรี.  สำนักพิมพ์สยามความรู้. หน้า ๒๘๙-๒๙๐.)

ท้าวทรงกันดาล (ทองมอญ หรือทองคำ) สมรสกับหม่อมเจ้าองค์หนึ่ง เป็นเจ้านายจากราชวงศ์กรุงเก่า มีบุตรธิดา ๕ คน คือ (ปเรตร์ อรรถวิภัชน์.  (๒๕๖๓).  ตามรอยสมเด็จพระเจ้าตากสินและขุนนางคู่พระทัย ใครเป็นใครในวันยึดกรุงธนบุรี.  สำนักพิมพ์สยามความรู้. หน้า ๒๘๙-๒๙๐.)

๑. หม่อม (ญ) ไม่ทราบชื่อ ถูกพม่าจับตัวไปตอนเสียกรุง

๒. หม่อมอ่อน (หม่อมราชวงศ์อ่อน) (ช) รับราชการเป็นพระศรีวิโรจน์ เจ้ากรมเศรฐิในรัชกาลที่ ๒ หม่อมอ่อนท่านเป็นปู่ของพระยาสุรบดินทร์ฤไชย (โนรี) ผู้สำเร็จราชการเมืองชัยนาทในรัชกาลที่ ๔ และเป็นคุณทวดของพระยาไชยนันทน์พิพัทธพงศ์ (เชย ไชยนันทน์) ผู้สำเร็จราชการเมืองชัยนาทและองคมนตรีในรัชกาลที่ ๖

๓. หม่อมทิม (หม่อมราชวงศ์ทิม) (ญ) เป็นเจ้าจอมมารดาทิมในสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช มีพระโอรสพระนามว่า พระองค์เจ้าอัมพวัน

๔. (ช) หม่อมทับ (หม่อมราชวงศ์ทับ) รับราชการเป็นเสมียนตราพระคลังมหาสมบัติในรัชกาลที่ ๒ หม่อมทับดำรงตำแหน่งพระอักษรสมบัติ (ทับ) และได้สมรสกับท่านผ่อง (ธิดาของพระยาพัทลุง (ทองขาว) กับท่านปล้อง ท่านผ่องมีศักดิ์เป็นหลานของพระอักษรสมบัติ (ทับ) เนื่องจากท่านผ่องเป็นบุตรีของพระยาพัทลุง (ทองขาว) ซึ่งเป็นบุตรชายของท่านแป้น และท่านแป้นเป็นน้องสาวของท้าวทรงกันดาล (ทองมอญ) ผู้เป็นมารดาของพระอักษรสมบัติ (ทับ) ดังนั้น พระอักษรสมบัติ (ทับ) จึงมีศักดิ์เป็นอาของท่านผ่อง และท่านผ่องมีศักดิ์เป็นหลานของพระอักษรสมบัติ (ทับ) และพระอักษรสมบัติ (ทับ) กับท่านผ่องมีบุตรีชื่อทรัพย์ ซึ่งเป็นเจ้าจอมมารดาทรัพย์ในรัชกาลที่ ๓

๕. หม่อมกมุด (หม่อมราชวงศ์กมุด) (ช) ไม่ทราบประวัติ

หนังสือ “เลาะวัง” (จุลลดา ภักดีภูมินทร์.  ๒๕๖๔.  เลาะวัง.  กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แสงดาว, หน้า ๙) กล่าวว่า ท้าวทรงกันดาล (ทองมอญ) มีบุตรธิดา รวม ๔ ท่านคือ

๑.    หม่อมอ่อน (ช)

๒.    หม่อมทับ (ช)

๓.    หม่อมทิม (ญ)

๔.    หม่อม (ญ) ไม่ทราบชื่อ

เชื้อสายของท้าวทรงกันดาล (ทองมอญ) สืบทอดมาจนถึงสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี พระราชมารดาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

เมื่อครั้งที่สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าฯ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช พระราชอนุชาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเรียบเรียงประวัติราชสกุลของพระองค์ มีผู้เขียนถวายพระองค์ว่า ท้าวทรงกันดาล (ทองมอญ) เป็นหม่อมห้ามของหม่อมเจ้า (พระราชโอรสของพระองค์เจ้าหรือเจ้าฟ้าในพระราชวงศ์อยุธยา) ตั้งบ้านเรือนอยู่ท่าสิบเบี้ย อยุธยา อันเป็นถิ่นของมอญอพยพ (จุลลดา ภักดีภูมินทร์.  ๒๕๖๔.  เลาะวัง.  กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แสงดาว, หน้า ๘)


มินามีเรื่องเล่า เราเป็นญาติกัน ท่านแป้น ภรรยาพระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) ตอนที่ ๗


 

มินามีเรื่องเล่า เราเป็นญาติกัน ท่านแป้น ภรรยาพระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) ตอนที่ ๗

สวัสดีครับ วันนี้ขออนุญาตเล่าถึงท่านแป้น ภรรยาของพระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) นะครับ

หลายท่านอาจจะได้ยินเรื่องของการเชื่อมโยงจากวัดสุนทราวาส วัดหงส์รัตนาราม วัดวัง และวัดใหม่ยายแป้น โดยมีบุคคลสำคัญของเมืองพัทลุงที่มีบทบาทสำคัญในวัดทั้ง ๔ แห่งนี้ ได้แก่ พระอุดมปิฎก พระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) พระยาพัทลุง (ทองขาว) และท่านแป้น (ชื่อวัดก็บอกแล้วนะครับ)

ท่านแป้นเป็นใคร ท่านแป้นเป็นภรรยาของพระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก)

ท่านแป้นเป็นธิดาของขุนนางรามัญที่อยู่แถบคลองมอญ ขุนนางรามัญท่านนี้ได้สืบสายสกุลรามัญ (มอญ) จากพระยาเกียรติและพระยารามในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราข

ท่านแป้นมีพี่น้องรวมกัน ๓ คน พี่ชายคนโต ชื่อ มะโดด หรือมะซวน ต่อมารับราชการเป็น พระยารามจตุรงค์ หรือจักรีมอญแห่งกรุงธนบุรี

พี่สาว ชื่อ ทองคำ หรือทองมอญ ต่อมารับราชการเป็นท้าวทรงกันดาล (ทองคำ หรือทองมอญ) ถือว่าเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในสมัยกรุงธนบุรี

ส่วนท่านแป้นนั้น ท่านเป็นน้องสาวคนสุดท้อง        

สรุปอีกครั้งนะครับ พี่น้องสามคน ได้แก่

๑. พระยารามจตุรงค์ (ชาย) ชื่อเดิมคือ มะโดด หรือมะซวน เคยรับราชการในตำแหน่งพระยานครอินทร์

๒. ท้าวทรงกันดาล (ทองคำ หรือทองมอญ) (หญิง) เป็นมารดาของพระอักษรสมบัติ (หม่อมทับ หรือหม่อมราชวงศ์ทับ) และเป็นสกุลวงศ์ของสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี พระราชชนนีของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ 

๓. ท่านแป้น (หญิง) เป็นภรรยาของพระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก)

ต่อคำถามที่ว่า ท่านแป้นรู้จักพระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) ได้อย่างไร

ความสัมพันธ์ของท่านทั้งสองมีขึ้นในสมัยต้นกรุงธนบุรี กล่าวคือพี่ชายของท่านแป้น คือ ท่านมะโดด หรือมะซวน ได้รับราชการดำรงตำแหน่ง พระยานครอินทร์ ส่วนพี่สาวของท่านแป้น คือ ท่านทองคำ ได้รับราชการเป็นท้าวทรงกันดาล (ทองคำ)

ท่านแป้นจึงมีพี่ชายและพี่สาวเป็นข้าราชการทั้งฝ่ายหน้าและฝ่ายใน ทั้งพี่ชายและพี่สาวได้ชักนำให้หลวงสิทธินายเวร (ขุน) เข้ารับราชการกับสมเด็จพระเจ้าตากสินผู้เป็นสหายเก่าของหลวงสิทธินายเวร (ขุน) ครั้งเมื่อยังเป็นมหาดเล็กด้วยกัน เลยได้รู้จักกันนะครับ

หลวงสิทธินายเวร (ขุน) ได้ตามเสด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีลงไปปราบก๊กเจ้าพระยานครศรีธรรมราชในปี พ.ศ.๒๓๑๑ ขณะนั้นหลวงสิทธินายเวร (ขุน) ท่านมีอายุ ๓๕ ปี

ต่อมาหลวงสิทธินายเวร (ขุน) ได้รับโปรดเกล้าฯ จากสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ให้ดำรงตำแหน่งพระยาพัทลุง (ขุน) เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๑๕

พระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) และท่านแป้นมีบุตรธิดา รวมกัน ๕ คน ดังนี้

๑. พระยาพัทลุง (ทองขาว)

๒. ท่านนาง ต่อมาเป็นภรรยาของนายนุ่น หลานชายของเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (พัฒน์)

๓. เจ้าจอมมารดากลิ่น ท่านเป็นเจ้าจอมมารดาพระสนมเอก ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬา

โลก

๔. พระทิพกำแหงสงครามปลัด (กล่อม)

๕. เจ้าจอมฉิม ได้ถวายตัวเป็นเจ้าจอม ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ไม่มีพระองค์เจ้า บางท่านว่ามีพระองค์เจ้าหญิงสุด

 เรื่องราวของวัดใหม่ยายแป้น ท่านติดตามและสอบถามได้ที่ fb ธนพล ณ พัทลุง นะครับ


วันพฤหัสบดี, สิงหาคม 03, 2566

มินามีเรื่องเล่า เราเป็นญาติกันที่พัทลุง พระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) สายสัมพันธ์เครือญาติ ตอนที่ ๖

 


มินามีเรื่องเล่า เราเป็นญาติกันที่พัทลุง พระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) สายสัมพันธ์เครือญาติ ตอนที่ ๖

สวัสดีครับ พอดีช่วงนี้ ผมเดินทางมาที่พัทลุง และจะเดินทางกลับไปขอนแก่นในวันนี้

ขออนุญาตเล่าเรื่องเราเป็นญาติกันที่พัทลุง ต่อนะครับ

พระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) เป็นบุตรของพระยาพัทลุง (ตะตา)

พระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) สมรสกับท่านแป้น บุตรีของพระราชาเศรษฐี

พระราชาเศรษฐีมีบุตรธิดา ๓ คน คือ พระยารามจตุรงค์ ท่านจุ้ยและท่านแป้น

ท่านจุ้ยได้เป็นเจ้าจอมมารดาจุ้ย พระสนมโทของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชกับเจ้าจอมมารดาจุ้ย (หรือท้าวทรงกันดาล) มีพระโอรส คือ พระองค์เจ้าชายวาสุกรี ซึ่งต่อมาดำรงสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส นะครับ

ทางด้านท่านแป้น ท่านเป็นน้องสาวของเจ้าจอมมารดาจุ้ยหรือท้าวทรงกันดาล ดังนั้น ท่านแป้นจึงมีศักดิ์เป็นพระมาตุฉา (น้า) ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ครับ

ท่านแป้นได้สมรสกับพระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) มีบุตรธิดาสืบตระกูล คือ

๑. พระยาพัทลุง (ทองขาว)

๒. ท่านนาง ภรรยานายนุ่น หลานเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (พัฒน์)

๓. เจ้าจอมมารดากลิ่น เป็นเจ้าจอมมารดา พระสนมเอก ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช

๔. พระทิพกำแหงสงครามปลัด (กล่อม)

๕. เจ้าจอมฉิม ได้ถวายตัวเป็นเจ้าจอม ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ไม่มีพระองค์เจ้า บางที่ว่ามีพระองค์เจ้าหญิงสุด

พระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) กับภรรยาท่านอื่น ๆ มีบุตรธิดาดังนี้

๑. นางบุญศรี ได้ถวายตัวอยู่ในพระราชวังหลังกับคุณฉิม

๒. นางบุญไทย ได้ถวายตัวอยู่ในพระราชวังหลังกับคุณฉิม

๓. นายด่อน

๔. นายชู

๕. พระปราณบุรี (จุ้ย)

๖. นางทองมี

ท่านกลิ่นได้เป็นเจ้าจอมมารดากลิ่นในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มีพระโอรส คือ พระองค์เจ้าชายสุทัศน์ (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นไกรสรวิชิต)

ดังนั้น พระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) กับท่านแป้น มีศักดิ์เป็นเสด็จตาและเสด็จยายของพระองค์เจ้าชายสุทัศน์ (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นไกรสรวิชิต)  

กล่าวโดยสรุปอีกทีนะครับ พระราชาเศรษฐีมีบุตรชาย คือ พระยารามจตุรงค์ มีบุตรี คือท่านจุ้ย ซึ่งได้เป็นเจ้าจอมมารดาจุ้ยในรัชกาลที่ ๑ หรือเป็นท้าวทรงกันดาล และบุตรีอีกท่านหนึ่งคือท่านแป้น ได้เป็นคุณหญิงแป้น ภริยาของพระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก)

ส่วนบุตรีของพระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) กับท่านแป้น คือท่านกลิ่น ได้เป็นเจ้าจอมมารดาในรัชกาลที่ ๑ 

ดังนั้นเจ้าจอมมารดากลิ่นในรัชกาลที่ ๑ จึงมีศักดิ์เป็นหลานสาวของเจ้าจอมมารดาจุ้ย และเจ้าจอมมารดาจุ้ยมีศักดิ์เป็นป้าของเจ้าจอมมารดากลิ่น                       

ส่วนท่านทองขาว ได้ดำรงตำแหน่งเป็นพระยาวิชิตเสนามหาพิชัย อภัยพิริยศรีสงคราม หรือพระยาพัทลุง (ทองขาว) เจ้าเมืองพัทลุง

พระยาวิชิตเสนามหาพิชัยฯ หรือพระยาพัทลุง (ทองขาว) สมรสกับท่านปล้อง มีบุตรรวม ๙ คน                         

ธิดาคนโตของพระยาพัทลุง (ทองขาว) กับท่านปล้อง ชื่อ ท่านผ่อง ได้สมรสกับพระอักษรสมบัติ (ทับ หรือหม่อมทับ หรือหม่อมราชวงศ์ทับ) มีบุตรธิดารวม ๖ คน  

ธิดาคนที่ ๓ ของพระอักษรสมบัติ (ทับ) กับท่านผ่อง ชื่อท่านทรัพย์ ได้เป็นเจ้าจอมมารดาทรัพย์ พระสนมเอก ในรัชกาลที่ ๓

เจ้าจอมมารดาทรัพย์และรัชกาลที่ ๓ มีพระราชโอรสธิดา ๒ พระองค์ พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ คือพระองค์เจ้าชายศิริวงศ์ (สมเด็จพระราชมหัยกาเธอ กรมหมื่นมาตยาพิทักษ์)

พระราชธิดาองค์สุดท้อง คือ พระองค์เจ้าหญิงลม่อม (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาสุดารัตนราชประยูร)

พระองค์เจ้าชายศิริวงศ์ (สมเด็จพระราชมหัยกาเธอ กรมหมื่นมาตยาพิทักษ์) ทรงเป็นพระบิดาของ หม่อมเจ้าหญิงรำเพย (สมเด็จพระเทพศิรินทรา บรมราชินี) ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเป็นพระบรมราชชนนี ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

โปรดติดตามต่อนะครับ


มินามีเรื่องเล่า เราเป็นญาติกันที่พัทลุง พระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) สายสัมพันธ์ครอบครัว ตอนที่ ๕

 


มินามีเรื่องเล่า เราเป็นญาติกันที่พัทลุง พระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) สายสัมพันธ์ครอบครัว ตอนที่ ๕

สวัสดีครับ ขออนุญาตเล่าเรื่องพระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) ต่อนะครับ อาจจะเล่าซ้ำไปซ้ำมา นะครับ แต่เรื่องต่าง ๆ เราต้องใช้หลักการ เน้น ซ้ำ ย้ำ ทวน และเห็นความสำคัญ ก็จะทำให้เรามีความรู้ ความเชี่ยวชาญนะครับ

พระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) นั้นท่านสมรสกับท่านแป้น มีบุตรธิดาที่สำคัญได้แก่ พระยาพัทลุง (ทองขาว) และเจ้าจอมมารดากลิ่น ในรัชกาลที่ ๑

เจ้าจอมมารดากลิ่นในรัชกาลที่ ๑ มีพระราชโอรส คือ พระองค์เจ้าชายสุทัศน์ (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นไกรสรวิชิต) เป็นต้นราชสกุล สุทัศน์ ณ อยุธยา

ขอเล่าพระราชประวัติของพระองค์เจ้าชายสุทัศน์ (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นไกรสรวิชิต) ก่อนนะครับ

พระองค์เจ้าชายสุทัศน์ (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นไกรสรวิชิต) ทรงเป็นพระราชโอรสของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกกับเจ้าจอมมารดากลิ่น

เจ้าจอมมารดากลิ่น เป็นบุตรีของพระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) กับท่านแป้น ท่านมีพี่ชาย คือ พระยาพัทลุง (ทองขาว)

พระองค์เจ้าชายสุทัศน์ทรงมีพระนามที่เรียกกันทั่วไปว่า พระองค์โต (หนังสือราชสกุลวงศ์, หน้า ๑๙) เนื่องจากมีรูปร่างสูงใหญ่ ทรงประสูติเมื่อวันพุธที่ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๓๔๑

พระชนนีของพระองค์เจ้าชายสุทัศน์ คือ เจ้าจอมมารดากลิ่น เป็นบุตรีของพระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) กับท่านแป้น 

ดังนั้นพระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) จึงมีศักดิ์เป็นพระอัยกา (ตา) ของพระองค์เจ้าชายสุทัศน์ และท่านแป้นมีศักดิ์เป็นพระอัยกี (ยาย) ของพระองค์เจ้าชายสุทัศน์

ส่วนพระยาพัทลุง (ทองขาว) ผู้เป็นพี่ชายของเจ้าจอมมารดากลิ่น จึงมีศักดิ์เป็นพระมาตุลา (น้าชาย) ของพระองค์เจ้าชายสุทัศน์ นะครับ

พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ทรงสถาปนาพระองค์เจ้าชายสุทัศน์เป็น กรมหมื่นไกรสรวิชิต เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๗๒ โปรดให้ทรงกำกับกรมสังฆการี กรมธรรมการ รวมทั้งกรมอาลักษณ์และคลังเสื้อหมวก และคลังศุภรัต (ราชสกุลวงศ์, หน้า ๑๙)

พระองค์เจ้าชายสุทัศน์ (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นไกรสรวิชิต) สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๓ เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๓๙๐ พระชันษา ๔๙ ปี ทรงเป็นต้นราชสกุล สุทัศน์ ณ อยุธยา

เชิงอรรถที่ ๖ ของพงษาวดารเมืองพัทลุง (คำว่าพงษาวดารเขียนตามหนังสือ นะครับ) ฉบับหมื่นสนิทภิรมย์ ในหนังสือประชุมพงษาวดารปากใต้ในสยามประเทศ (ฉบับชำระใหม่) อธิบายพระประวัติของพระองค์เจ้าสุทัศน์ว่า

พระองค์เจ้าสุทัศน์ เป็นพระโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก กับเจ้าจอมมารดากลิ่น ธิดาพระยาพัทลุง (ขุน) ประสูติเมื่อวันที่ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๓๔๖ ขณะยังทรงพระเยาว์ เรียกกันว่า พระองค์โต

ในสมัยรัชกาลที่ ๓ ได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นกรมหมื่นไกรสรวิชิต ทรงกำกับกรมสังฆการี กรมธรรมการ และได้ว่ากรมอาลักษณ์และคลังเสื้อหมวก

พระองค์สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๓๙๐ พระชนมายุ ๔๙ ปี ต้นราชสกุล สุทัศน์ (เชิงอรรถที่ ๖ ของพงษาวดารเมืองพัทลุง ฉบับหมื่นสนิทภิรมย์ ในหนังสือประชุมพงษาวดารปากใต้ในสยามประเทศ (ฉบับชำระใหม่), หน้า ๘๙.)

คราวนี้ย้อนกลับมาที่บุตรชายของพระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) กับท่านแป้น นะครับ นั่นคือ ท่านทองขาว พี่ชายของเจ้าจอมมารดากลิ่น นะครับ

ท่านทองขาว ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระยาพัทลุง (ทองขาว) และสมรสกับท่านปล้อง บุตรีของพระยาราชวังสัน (หวัง) ทั้งคู่ มีบุตรี คือ ท่านผ่อง

ท่านผ่องสมรสกับหม่อมราชวงศ์ทับ หรือหม่อมทับ มีบุตรี คือเจ้าจอมมารดาทรัพย์ พระสนมเอกในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓

เจ้าจอมมารดาทรัพย์ มีพระโอรส คือ พระองค์เจ้าชายศิริวงศ์ (สมเด็จพระบรมราชมาตามหัยกาเธอ กรมหมื่นมาตยาพิทักษ์)

พระองค์เจ้าชายศิริวงศ์ (สมเด็จพระบรมราชมาตามหัยกาเธอ กรมหมื่นมาตยาพิทักษ์) ทรงเป็นพระชนกของพระองค์เจ้าหญิงรำเพยภมราภิรมย์ (สมเด็จพระเทพศิรินทรา บรมราชินี)

พระองค์เจ้าหญิงรำเพยภมราภิรมย์ (สมเด็จพระเทพศิรินทรา บรมราชินี) ทรงเป็นพระราชชนนีของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นะครับ

ผู้สืบตระกูลของพระยาพัทลุง (ขุนคางเหล็ก) ได้รับพระราชทานนามสกุลในรัชกาลที่ ๖ ว่า “ณ พัทลุง

เรื่องราวรายละเอียดของท่านแต่ละท่าน จะนำเสนอต่อไปครับ เช่นเคยครับ โปรดติดตามอย่างตามติด


มินามีเรื่องเล่า เราเป็นญาติกันที่พัทลุง พระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) ตอนที่มาของฉายาขุนคางเหล็ก ตอนที่ ๔

 


มินามีเรื่องเล่า เราเป็นญาติกันที่พัทลุง พระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) ตอนที่มาของฉายาขุนคางเหล็ก ตอนที่ ๔

 สวัสดีครับ วันนี้จะขอเล่าที่มาของฉายา “ขุนคางเหล็ก” ของพระยาพัทลุง (ขุน) นะครับ

พระยาพัทลุง (ขุน) ได้เป็นเจ้าเมืองพัทลุงในสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองพัทลุงต่อในสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก 

พระยาพัทลุง (ขุน) มีฉายาว่า ขุน หรือขุนคางเหล็ก คำว่าคางเหล็กย่อมก่อให้เกิดความสงสัยกับท่านที่ได้ยินชื่อของพระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) เป็นครั้งแรก

ที่มาของคำว่า “คางเหล็ก” นั้น มีที่มาสองเรื่อง เรื่องแรกเกิดขึ้นในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช มีเรื่องเล่าว่า ในช่วงปลายรัชกาลของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระองค์ทรงมีพระสติวิปลาส ทรงรับสั่งถามพวกขุนนางว่า พระองค์จะเสด็จขึ้นสวรรค์ ใครจะตามเสด็จขึ้นไปบ้าง

พวกขุนนางทั้งปวงต่างตกใจ พากันก้มหน้านิ่ง ไม่กล้าเพ็ดทูลประการใด สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชตรัสถามเป็นครั้งที่สองด้วยพระสุรเสียงทรงกริ้ว ในช่วงเวลาที่ตื่นเต้นตกใจนั้น พระยาพัทลุงแก้วโกรพพิชัย (ขุน) ถวายบังคมกราบทูลได้เนื้อความว่า

“ข้าพระพุทธเจ้าบุญบารมีน้อย เหลือวิสัยที่จะตามเสด็จขึ้นสวรรค์ในชีวิตนี้ได้ ต่อเมื่อชีวิตหาไม่แล้ว จึงจะตามเสด็จไปทีหลัง

ปฏิภาณอันเฉียบคมนี้ทำให้สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงโปรดมาก พระองค์ตรัสว่า

“พูดถูก คนอื่นไม่มีบุญเหมือนเรา”

คำกราบทูลของพระยาพัทลุงแก้วโกรพพิชัย (ขุน) ทำให้ขุนนางทั้งปวงพลอยพ้นผิด และพากันขนานนามให้ท่านขุนว่า “คางเหล็ก” (พงศาวดารเมืองพัทลุง ในประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม ๖ หน้า ๒๓๓)

ทำไมคางเหล็ก ก็เพราะคนอื่น ๆ ไม่มีใครสามารถคิดคำพูดที่เหมาะสมกราบทูลในช่วงเวลาวิกฤตินั้นได้ แต่พระยาพัทลุงแก้วโกรพพิชัย (ขุน) ไตร่ตรองแล้วพูด สามารถใช้ถ้อยคำแก้ไขสถานการณ์วิกฤตให้ดีขึ้นได้ หากท่านใช้คำพูดไม่เหมาะสม และกราบทูลไม่ตรงจังหวะที่ดี อาจถูกลงอาญาได้

ดังนั้น ฉายาว่า “ขุนคางเหล็ก” จึงมีความหมายว่า ท่านขุน “มีความฉลาดเฉลียว มีปฏิภาณไหวพริบในการใช้คำพูด”

ฉายาขุนคางเหล็กมีที่มาอีกเรื่องหนึ่ง โดยพงศาวดารจังหวัดพัทลุง ฉบับที่แต่งโดย หลวงศรีวรฉัตร์ (พิณ จันทโรจวงศ์) ซึ่งรวมอยู่ในประชุมพงศาวดารภาคที่ ๑๕ กล่าวถึงเหตุการณ์ที่ ๒ คือ พระยาพัทลุง (ขุน) ทำน้ำเค็มให้เป็นน้ำจืด และเรื่องการกราบทูลต่อพระเจ้าตากสินของพระยาพัทลุง (ขุน)

เหตุการณ์เรื่องทำน้ำเค็มให้เป็นน้ำจืด มีว่า เมื่อครั้งพระยาพัทลุง (ขุน) คุมทัพเรือโดยเสด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทในรัชกาลที่ ๑ ไปตีเมืองปัตตานี ระหว่างเดินทางเกิดขาดแคลนน้ำจืด ทหารพากันอดน้ำ พระยาพัทลุง (ขุน) จึงเอาเท้าแช่ลงในทะเล บันดาลให้น้ำเค็มกลายเป็นน้ำจืด พวกทหารได้ดื่มน้ำและตักเก็บไว้

ต่อมาเจ้าพระยานครศรีธรรมราช ได้นำความเรื่องนี้กราบทูลฟ้องต่อกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทว่า พระยาพัทลุง (ขุน) อวดอ้างว่า ทำน้ำเค็มเป็นน้ำจืดได้ ถือเป็นการกบฏ

กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทจึงตรัสถามพระยาพัทลุง (ขุน) ว่าเป็นเพราะเหตุใด

พระยาพัทลุง (ขุน) ได้กล่าวแก้ตัวว่า

“...พวกพลอดน้ำได้ความลำบากกันดารนัก จึงเสี่ยงเอาพระบารมีพระเจ้าอยู่หัว น้ำในทะเลจึงบันดาลจืดได้ พวกพลได้รับประทานเป็นกำลังรับราชการต่อไป หาใช่ด้วยอำนาจวาสนาของท่านเองไม่” (พงศาวดารเมืองพัทลุง ในประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม ๖ หน้า ๒๓๓)

คำแก้ตัวเรื่องทำน้ำทะเลให้จืดนี้ทำให้ท่านได้รับความชอบและเรื่องนี้เป็นที่รู้จักกันแพร่หลาย ดังนั้น ท่านจึงมีฉายาว่า “ขุนคางเหล็ก” นะครับ

มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French

  มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French กรมหลวงพิพิธมนตรี (พระพันวัสสาน้อย) เป็นพระอัครมเหสีน้อยของสมเด็จพ...