มินามีเรื่องเล่า เราเป็นญาติกันที่พัทลุง
พระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) ตอนที่มาของฉายาขุนคางเหล็ก ตอนที่ ๔
พระยาพัทลุง (ขุน) ได้เป็นเจ้าเมืองพัทลุงในสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองพัทลุงต่อในสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
พระยาพัทลุง (ขุน) มีฉายาว่า ขุน หรือขุนคางเหล็ก คำว่าคางเหล็กย่อมก่อให้เกิดความสงสัยกับท่านที่ได้ยินชื่อของพระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) เป็นครั้งแรก
ที่มาของคำว่า “คางเหล็ก” นั้น มีที่มาสองเรื่อง เรื่องแรกเกิดขึ้นในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช มีเรื่องเล่าว่า ในช่วงปลายรัชกาลของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระองค์ทรงมีพระสติวิปลาส ทรงรับสั่งถามพวกขุนนางว่า พระองค์จะเสด็จขึ้นสวรรค์ ใครจะตามเสด็จขึ้นไปบ้าง
พวกขุนนางทั้งปวงต่างตกใจ พากันก้มหน้านิ่ง ไม่กล้าเพ็ดทูลประการใด สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชตรัสถามเป็นครั้งที่สองด้วยพระสุรเสียงทรงกริ้ว ในช่วงเวลาที่ตื่นเต้นตกใจนั้น พระยาพัทลุงแก้วโกรพพิชัย (ขุน) ถวายบังคมกราบทูลได้เนื้อความว่า
“ข้าพระพุทธเจ้าบุญบารมีน้อย เหลือวิสัยที่จะตามเสด็จขึ้นสวรรค์ในชีวิตนี้ได้ ต่อเมื่อชีวิตหาไม่แล้ว จึงจะตามเสด็จไปทีหลัง”
ปฏิภาณอันเฉียบคมนี้ทำให้สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงโปรดมาก พระองค์ตรัสว่า
“พูดถูก คนอื่นไม่มีบุญเหมือนเรา”
คำกราบทูลของพระยาพัทลุงแก้วโกรพพิชัย (ขุน) ทำให้ขุนนางทั้งปวงพลอยพ้นผิด
และพากันขนานนามให้ท่านขุนว่า “คางเหล็ก” (พงศาวดารเมืองพัทลุง
ในประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม ๖ หน้า ๒๓๓)
ทำไมคางเหล็ก ก็เพราะคนอื่น ๆ ไม่มีใครสามารถคิดคำพูดที่เหมาะสมกราบทูลในช่วงเวลาวิกฤตินั้นได้ แต่พระยาพัทลุงแก้วโกรพพิชัย (ขุน) ไตร่ตรองแล้วพูด สามารถใช้ถ้อยคำแก้ไขสถานการณ์วิกฤตให้ดีขึ้นได้ หากท่านใช้คำพูดไม่เหมาะสม และกราบทูลไม่ตรงจังหวะที่ดี อาจถูกลงอาญาได้
ดังนั้น ฉายาว่า “ขุนคางเหล็ก” จึงมีความหมายว่า ท่านขุน “มีความฉลาดเฉลียว มีปฏิภาณไหวพริบในการใช้คำพูด”
ฉายาขุนคางเหล็กมีที่มาอีกเรื่องหนึ่ง โดยพงศาวดารจังหวัดพัทลุง
ฉบับที่แต่งโดย หลวงศรีวรฉัตร์ (พิณ จันทโรจวงศ์)
ซึ่งรวมอยู่ในประชุมพงศาวดารภาคที่ ๑๕ กล่าวถึงเหตุการณ์ที่ ๒ คือ พระยาพัทลุง
(ขุน) ทำน้ำเค็มให้เป็นน้ำจืด และเรื่องการกราบทูลต่อพระเจ้าตากสินของพระยาพัทลุง (ขุน)
เหตุการณ์เรื่องทำน้ำเค็มให้เป็นน้ำจืด มีว่า เมื่อครั้งพระยาพัทลุง (ขุน) คุมทัพเรือโดยเสด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทในรัชกาลที่ ๑ ไปตีเมืองปัตตานี ระหว่างเดินทางเกิดขาดแคลนน้ำจืด ทหารพากันอดน้ำ พระยาพัทลุง (ขุน) จึงเอาเท้าแช่ลงในทะเล บันดาลให้น้ำเค็มกลายเป็นน้ำจืด พวกทหารได้ดื่มน้ำและตักเก็บไว้
ต่อมาเจ้าพระยานครศรีธรรมราช ได้นำความเรื่องนี้กราบทูลฟ้องต่อกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทว่า พระยาพัทลุง (ขุน) อวดอ้างว่า ทำน้ำเค็มเป็นน้ำจืดได้ ถือเป็นการกบฏ
กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทจึงตรัสถามพระยาพัทลุง (ขุน)
ว่าเป็นเพราะเหตุใด
พระยาพัทลุง (ขุน) ได้กล่าวแก้ตัวว่า
“...พวกพลอดน้ำได้ความลำบากกันดารนัก จึงเสี่ยงเอาพระบารมีพระเจ้าอยู่หัว น้ำในทะเลจึงบันดาลจืดได้ พวกพลได้รับประทานเป็นกำลังรับราชการต่อไป หาใช่ด้วยอำนาจวาสนาของท่านเองไม่” (พงศาวดารเมืองพัทลุง ในประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม ๖ หน้า ๒๓๓)
คำแก้ตัวเรื่องทำน้ำทะเลให้จืดนี้ทำให้ท่านได้รับความชอบและเรื่องนี้เป็นที่รู้จักกันแพร่หลาย
ดังนั้น ท่านจึงมีฉายาว่า “ขุนคางเหล็ก” นะครับ

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น