Chalermkiat Mina

วันอังคาร, มิถุนายน 13, 2566

มินามีเรื่องเล่า นกหัสดีลิงค์



ที่มาของภาพ https://th.wikipedia.org/wiki/:Phrae_Wat_Phra_That_Suthon_Mongkhon_Khiri_03.jpg

มินามีเรื่องเล่า นกหัสดีลิงค์

สวัสดีครับ ผมได้เคยเขียนถึงสัตว์หิมพานต์ ๓๖ ตัวมาแล้ว และหนึ่งในนั้นมีนกหัสดีลิงค์ ซึ่งเป็นนกที่มีตัวเป็นนก มีหัวเป็นช้าง หรืออาจมีหัวเป็นคชสีห์ มีงวงมีงาแบบช้าง หรือมีหัวเป็นนก มีจะงอยปากเป็นงวงช้าง มีปีกและหางเป็นนก บางที่เรียกว่า นกหัสดิน

วันนี้ขอเล่าตำนานเรื่องนกหัสดีลิงค์ นะครับ

สถานที่และตัวละครสำคัญ ก็คือ เมืองตักศิลา นกหัสดีลิงค์ พระยาตักศิลา พระอินทร์ นางสุชาดา นางสีดา

เรื่องราวเป็นอย่างไร มาดูกันครับ                                                              

ครั้งหนึ่ง มีเมืองชื่อว่า ตักศิลา มีพระยาตักศิลาและพระมเหสีครองเมือง พระยาตักศิลามีพระสนมจำนวนหนึ่งแสนคน แต่พระองค์ไม่มีพระโอรสหรือพระธิดาเพื่อสืบทอดราชบัลลังก์

พระองค์ทรงวิตกกังวลเรื่องนี้มาก ทรงเรียกพระมเหสีและพระสนมมาเข้าเฝ้า และทรงมีพระบรมราชโองการให้พระมเหสีและพระสนม รักษาศีล ๕ และศีล ๘ และสวดอ้อนวอนต่อพระอินทร์และเทวดาทั้งหลายเพื่อขอพระโอรสหรือพระธิดา

พระมเหสีและพระสนมต่างปฏิบัติบูชารักษาศีลตามที่พระยาตักศิลาทรงมีพระราชบัญชา

          พระมเหสีได้รักษาศีลและสวดอ้อนวอนต่อพระอินทร์ ทำให้พระอาสน์ของพระอินทร์ที่เคยอ่อนนุ่มกลับแข็งกระด้าง

          พระอินทร์ได้ยินคำสวดอ้อนวอน จึงเสด็จลงมายังโลกมนุษย์เพื่อดูว่ามีเหตุการณ์ใดที่ทำให้พระอาสน์ของพระองค์แข็งกระด้าง 

          ช่วงเวลานั้นมีนกหัสดีลิงค์ตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์ เจ้านกหัสดีลิงค์ตัวนี้ชอบบินมาสร้างความเดือดร้อนต่อมนุษย์และสัตว์โลก

          พระอินทร์ได้ขอให้พระมเหสีของพระองค์ชื่อ นางสุชาดา ลงมาจากสวรรค์และมาประสูติในครรภ์ของพระมเหสีของพระยาตักศิลา เพื่อจะได้ปราบนกหัสดีลิงค์ที่คอยเข็นฆ่ามนุษย์และสัตว์โลก และสร้างความเดือดร้อนมากมายในโลกมนุษย์

พระนางสุชาดา ทูลตอบพระสวามี

พระองค์ขอร้องให้หม่อมฉันไปเกิดในโลกมนุษย์และให้ไปปราบนกหัสดีลิงค์ แต่หม่อมฉันจะทำได้อย่างไรเพค่ะ

พระอินทร์ตรัสตอบพระมเหสี

“เมื่อพระน้องนางได้ไปเกิดในโลกมนุษย์ และเมื่อใดที่จะต่อสู้กับนกหัสดีลิงค์ ขอให้พระน้องนางสวดมนต์ขอพรต่อเสด็จพี่ แล้วเสด็จพี่จะส่งคันศรและธนูไปให้กับพระน้องนาง

          หลังจากนั้น นางสุชาดาไปจุติในครรภ์ของพระมเหสีของพระยาตักศิลา

          ก่อนที่จะมีประสูติกาลนั้น พระมเหสีทรงสุบินว่า มีแก้วมณีสีเหลืองอร่ามลอยมากลางอากาศ และลอยเข้าไปในพระโอษฐ์ พระนางกลืนแก้วมณีทองนั้นนั้นเข้าไปในท้องของพระนาง เมื่อพระนางหาวออกมา มีแสงสีทองสว่างไสวสาดส่องจากพระโอษฐ์สว่างไสวไปทั่วจักรวาล และต่อมาแสงสีทองนั้นจางหายไป ในพระสุบินนั้น พระมเหสีทรงเสียพระทัยที่แก้วมณีนั้นหายไป ทรงสะดุ้งตื่น

วันรุ่งขึ้น พระนางได้กราบทูลเล่าความฝันให้พระราชสามีทราบ พระยาตักศิลามีรับสั่งให้ตามตัวราชปุโรหิตมาโดยทันที เมื่อราชปุโรหิตมาถึง ยกมือถวายบังคม และกราบทูลถามพระยาตักศิลา  

ขอเดชะ พระองค์มีรับสั่งให้ตามตัวหม่อมฉันด้วยเหตุอันใดพ่ะย่ะค่ะ เกิดอะไรขึ้นพ่ะย่ะค่ะ

พระยาตักศิลาตรัสตอบ

ช่วงรุ่งสาง พระมเหสีทรงสุบินว่ามีแก้วมณีสีเหลืองอร่ามปรากฏขึ้นกลางอากาศและลอยเข้าไปในพระโอษฐ์ของพระนาง พระมเหสีได้กลืนแก้วมณีนั้นเข้าไป มีแสงสว่างไปทั่วโลก ท่านราชปุโรหิตทำนายความฝันให้เราทราบด้วยพระยาตักศิลามักจะให้ราชปุโรหิตทำนายเหตุการณ์ให้พระองค์ทราบเป็นประจำ

ราชปุโลหิตพิเคราะห์ความฝัน ได้กราบทูลพระยาตักศิลา

จากพระสุบินของพระราชินีนั้น พระนางจะมีประสูติกาลพระธิดาผู้มีบุญบารมีสูงส่ง และเมื่อพระธิดามีพระชนมายุได้ ๑๕ พระชันษา พระธิดาจะมีโชค ประสบความสุข และจะได้กลับคืนไปสู่สวรรค์ ถ้าคำทำนายของข้าพระองค์ผิดพลาดโปรดพระราชทานอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ

ต่อมาพระราชินีทรงครรภ์ได้ ๙ เดือน ทรงมีประสูติกาลพระราชธิดาผู้ทรงสิริโฉมงดงาม พระราชบิดา พระราชมารดาและพสกนิกรต่างรักใคร่พระราชธิดาพระองค์นี้เป็นอย่างมาก หนึ่งปีต่อมาพระยาตักศิลาพระราชทานนามให้พระราชธิดาว่า สีดา

ในช่วงเวลา ๑๕ ปีนั้น กล่าวกันว่า นกหัสดีลิงค์บินไปมา เข่นฆ่าผู้คนและสัตว์จำนวนมาก โดยเฉพาะในเมืองตักศิลา

นกหัสดีลิงค์เป็นนกตัวใหญ่ มีงาและงวงเหมือนช้าง บรรดาชาวเมืองตักศิลาได้รับความเดือดร้อน ต่างรีบไปกราบทูลพระยาตักศิลา

ขอเดชะ นกใหญ่หัสดีลิงค์บินไปมาและกินมนุษย์และสัตว์จำนวนมาก ตอนนี้เหลือแต่พวกข้าพระองค์ พวกข้าพระองค์มากราบทูลขอให้พระองค์ช่วยเหลือพ่ะย่ะค่ะ

พระยาตักศิลาทรงวิตกกังวล ทรงมีพระบรมราชโองการเรียกประชุมเสนาอามาตย์ และทรงมีรับสั่งให้ตีฆ้องร้องป่าวไปทุกแห่งว่า พระยาตักศิลาจะมอบราชสมบัติครึ่งหนึ่งให้กับผู้ที่สามารถฆ่านกหัสดีลิงค์ได้  

บรรดาเสนาอำมาตย์ได้ตีฆ้องร้องป่าวไปทั่วหล้า แต่ไม่มีใครอาสาไปสังหารนกหัสดีลิงค์ พระยาตักศิลาทรงเศร้าพระราชหฤทัย

พระราชธิดาสีดาเห็นเช่นนั้นจึงกราบบังคมทูลและถามพระราชบิดา

พระราชบิดาไม่สบายพระราชหฤทัยด้วยเรื่องใด ทำไมพระราชบิดาจึงทรงเศร้าพระทัยมากเพค่ะ

 ลูกรัก พ่อเศร้าใจเพราะไพร่ฟ้าประชาชนมาขอให้พ่อช่วยพวกเขา มีนกหัสดีลิงค์ตัวใหญ่มหึมา มันมีงวงและงาเหมือนช้าง มันมากินมนุษย์และสัตว์จำนวนมาก ไม่มีใครอาสาไปฆ่านกหัสดีลิงค์ตัวนี้ 

พระราชธิดาสีดากราบทูลพระบิดา

ขอพระราชบิดาอย่าได้ทุกข์ใจและวิตกวิตกกังวลเลยเพค่ะ ลูกจะไปสังหารเจ้านกหัสดีลิงค์นี้ พระราชบิดาจะได้มีความสุขและพ้นจากความกังวลเพค่ะ

เมื่อได้ฟังพระราชธิดากล่าวเช่นนี้พระยาตักศิลาทรงมีพระทัยยินดีเป็นอย่างยิ่ง

เจ็ดวันต่อมา นกหัสดีลิงค์บินมายังลานใจกลางเมืองตักศิลา บรรดาผู้คนต่างเกรงกลัวเจ้านกยักษ์แห่งป่าหิมพานต์ตัวนี้ ต่างรีบพากันไปกราบทูลพระยาตักศิลา

“ขอเดชะ ตอนนี้เจ้านกหัสดีลิงค์บินมายังลานใจกลางเมือง พวกเกล้ากระหม่อมกลัวมาก ขอหลบภัยอยู่ใกล้พระองค์พ่ะย่ะค่ะ

เมื่อทราบเช่นนั้นพระยาตักศิลามีรับสั่งให้มหาดเล็กไปตามพระราชธิดาสีดา เมื่อพระราชธิดามาถึงพระยาตักศิลาตรัสกับพระราชธิดา

ลูกรัก เจ้านกหัสดีลิงค์บินมายังลานใจกลางเมือง ลูกไปสังหารมันได้ไหม

พระราชธิดาสีดาก้มกราบพระยาตักศิลา และกราบทูลต่อพระราชบิดา

นกหัสดีลิงค์นั้นมีพลังมาก ลูกจะสู้กับมันเพค่ะ แต่ลูกต้องเตรียมการต่อสู้เพื่อเอาชนะมันให้ได้

พระยาตักศิลาตรัสตอบ

ลูกเตรียมตัวตามที่ลูกปรารถนา จัดหาอาวุธยุทธภัณธ์ตามที่ลูกต้องการได้เลย 

พระราชธิดาสีดาทูลตอบพระราชบิดา

ลูกขอเครื่องประดับ ๕ อย่างจากพระราชบิดาเพค่ะ และขอเสนาบดีของพระองค์จำนวน ๔- คน รวมทั้งทหารพร้อมออกอาวุธ หอก ดาบ ปืน และเครื่องแต่งกายใหม่ ๆ รวมทั้งตะกร้าดอกไม้ ๒ ใบโดยมีการจัดเรียงดอกไม้ซ้อนกันเป็น ๗ ชั้น และเมื่อลูกจะไปต่อสู้นั้นขอให้พ่อพราหมณ์มาสวดมนต์พร้อมและถวายข้าวของบูชา

พระยาตักศิลามีรับสั่งให้พระราชินีและเสนาอำมาตย์ไปสวดมนต์อ้อนวอนต่อพระอินทร์เพื่อขอพระราชทานคันศรและธนู

เมื่อทุกคนร่วมสวดมนต์ ปรากฏว่าพระอาสน์ของพระอินทร์แข็งกระด้าง พระอินทร์เสด็จลงมาที่โลกมนุษย์และเห็นว่าพระราชธิดาสีดากำลังจะไปต่อสู้กับนกหัสดีลิงค์ พระองค์จึงประทานคันศรและธนูให้พระนางพร้อมตรัสอวยพรให้พระราชธิดาสีดาได้รับชัยชนะและกลับคืนไปสู่สวรรค์

พระราชธิดาสีดาจัดเตรียมยุทโธปกรณ์ พระยาตักศิลามีรับสั่งให้ให้พราหมณ์สวดมนต์และทำการบูชาเทพ โดยมีเสนามาตย์รวมทั้งหล่าทหารที่มีหอกดาบและปืนร่วมไปต่อสู้กับนกหัสดีลิงค์

เมื่อเห็นพระราชธิดาสีดามาพร้อมเหล่าทหาร เจ้านกหัสดีลิงค์มีจิตใจร่าเริง และพูดกับตัวเอง

ฉันจะมีมนุษย์ให้กินเป็นจำนวนมากแล้ว

นกหัสดีลิงค์กระพือปีกบินมาที่ลานใจกลางเมือง ส่งเสียงร้องคำราม อ้าปากพร้อมจะไล่กลืนกินมนุษย์ทุกคน พระราชธิดาสีดาถือคันธนูพร้อมคันศรเล็งไปที่นก ยิงไปที่หน้าอกของนกหัสดีลิงค์ ปรากฏว่าเจ้านกยักษ์ร่วงตกลงมาตาย

ชาวเมืองต่างร้องโห่ฉลองชัย ต่างมีความสุข ขบวนเสด็จของพระยาตักศิลามุ่งหน้ากลับคืนสู่พระนคร

เมื่อถึงพระนคร พระยาตักศิลาและเสนาอามาตย์ต่างชื่นชมยินดีในการต่อสู้ของพระราชธิดาสีดา และพระยาตักศิลาทรงพระราชทานราชอาณาจักรเครื่องหนึ่งให้พระราชธิดาสีดาครอบครอง

พระราชธิดาสีดาครองเมืองตักศิลาเป็นเวลา ๒ ปี หลังจากนั้นก็เสด็จขึ้นสู่สวรรค์กลับไปเป็นพระมเหสีของพระอินทร์ต่อไป

เป็นอย่างไรบ้างครับ น่าสนใจนะครับ


วันจันทร์, มิถุนายน 12, 2566

มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ตอนหลวงรักษาราชทรัพย์ (รักษ์ เอกะวิภาต)


มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ตอนหลวงรักษาราชทรัพย์ (รักษ์ เอกะวิภาต)

          สวัสดีครับ วันนี้ขออนุญาตเล่าความเป็นมาว่าทำไมต้องเขียนเรื่องของกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์นะครับ ไม่มีอะไรเป็นเหตุบังเอิญนะครับ

ผมไม่ค่อยคิดถึงความบังเอิญ แต่ค่อนข้างเชื่อมั่นในเรื่องฟ้าดินกำหนด ทำไมถึงเชื่อเช่นนี้ครับ ขออนุญาตเล่าที่มาของการเขียนเรื่องของกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ให้ฟังนะครับ

เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า พวกเราชาวเกษียณชน ๕ คน เป็นเพื่อนเรียนด้วยกันมาที่มหาวิทยาลัยศิลปากร เมื่อเกษียณอายุราชการแล้ว ได้พบกันบ่อยขึ้น คราวนี้เพื่อน ๆ ได้จัดทำโครงการเดินทางไปกราบคารวะอาจารย์ที่อำเภอท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี และได้เดินทางไปเยี่ยมพี่น้องผองเพื่อนที่พังงาและกระบี่ พูดง่าย ๆ คือโครงการเที่ยวนะครับ ผมโชคดีที่ได้รับเชิญให้ร่วมเดินทางไปด้วย

เรื่องการเดินทางเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องของกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์

ขอรวบรัดตัดตอนว่า วันที่ ๑๘ พฤษภาคม พวกเราออกเดินทางจากกระบี่โดยมีกำหนดการมาพักที่จังหวัดชุมพร แน่นอน เราต้องมากราบกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ที่ศาลของพระองค์ ณ หาดทรายรี

พวกเรามาถึงที่หาดทรายรีตอนย่ำค่ำ หารีสอร์ทพัก ในใจพากันคิดว่าศาลของพระองค์ท่านคงปิดแล้ว แต่เจ้าของรีสอร์ทบอกว่า ยังไม่ปิด ให้เดินทางไปได้ ตอนนี้ทหารเรือกำลังจัดเตรียมพิธีฉลองครบรอบร้อยปีของท่านเสด็จเตี่ยอยู่

          ไม่รอช้า พวกเรารีบไปที่ศาลฯ ทันที

          ก่อนถึงศาลของเสด็จเตี่ย มีวัดชื่อวัดเขตอุดมศักดิ์ กำลังจัดงานบุญ พวกเรายังไม่ได้เข้าไปในวัด แต่เลยไปที่ศาลกรมหลวงชุมพรฯ ที่นั้น บรรดาทหารเรือและผู้ที่เกี่ยวข้องกำลังยุ่งอยู่กับการจัดเตรียมการสำหรับทำพิธีน้อมรำลึกถึงการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ท่านในวันพรุ่งนี้ วันที่ ๑๙ พฤษภาคม ซึ่งถือว่าเป็นวันกองทัพเรือไทย

          พวกเราไม่รอช้า รีบเข้าไปกราบบูชาศาลของพระองค์ท่าน ผมสังเกตว่า เพื่อนหญิงของผมคนหนึ่ง ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมในการเดินทาง และเป็นเจ้าของรถและขับรถให้พวกเราตลอดเส้นทาง แสดงความเคารพศรัทธาต่อกรมหลวงชุมพรฯ มาก

ขณะที่พวกเรากำลังกราบไหว้บูชาเสด็จเตี่ย กรมหลวงชุมพรฯ และถ่ายรูปกัน เพื่อนของเราคือ คุณครูรัชภรณ์ (แหม่ม) กราบไหว้บูชาเสด็จในกรมฯ และได้แยกไปทำพิธีและจุดประทัดตามลำพัง เมื่อกลับมาหาพวกเรา เธอบอกกับพวกเราว่า ดีใจที่สุดที่ได้มีโอกาสมากราบเคารพศาลกรมหลวงชุมพรฯ

“ปู่ของแหม่มเคยรับราชการใกล้ชิดกับพระองค์ท่าน นับเป็นบุญกุศลของแหม่มที่ได้มีโอกาสมาร่วมงานพิธีนี้”

          วันรุ่งขึ้น ๑๙ พฤษภาคม พวกเรากำลังจะเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ นับว่ามีวาสนาที่พวกเราได้มีโอกาสพบนายทหารเรือท่านหนึ่ง ท่านเชิญให้พวกเราเข้าร่วมพิธีบวงสรวงศาลกรมหลวงชุมพรฯ พวกเราจึงได้ไปเข้าร่วมพิธี

          ได้เวลาสมควร พวกเราขอเดินทางกลับก่อน ระหว่างที่ขับรถกับกรุงเทพฯ เพื่อนครูรัชภรณ์ (แหม่ม) ได้เล่าให้พวกเราฟังว่า คุณปู่ของเธอ คือหลวงรักษาราชทรัพย์ (รักษ์ เอกะวิภาต) ท่านได้มีโอกาสรับใช้เสด็จในกรมฯ พวกเรารู้สึกตื่นเต้นและสนใจเรื่องราว เพื่อนแหม่มบอกว่าจะพยายามหาเรื่องราวของท่านมาให้พวกเราได้รับทราบ

          เมื่อกลับมาถึงบ้านกันแล้ว เพื่อนแหม่มได้ส่งรูปภาพและเรื่องของท่านหลวงรักษาราชทรัพย์มาทางไลน

          พอดี ผมได้อ่านหนังสือเรื่อง “ให้โลกทั้งหลายเขาลือ เสด็จเตี่ย “กรมหลวงชุมพรฯ” แต่งโดยท่านศรัณย์ ทองปาน ท่านได้กล่าวถึงหลวงรักษาราชทรัพย์ ผมจึงขออนุญาตนำข้อความจากหนังสือของท่านศรัณย์ ทองปาน มาถ่ายทอดให้ทุกท่านทราบครับ

          ด้วยวัยเกือบ ๗๐ ปี นาวาตรี หลวงรักษาราชทรัพย์ (รักษ์ เอกะวิภาต, ๒๔๒๖-เดือนธันวาคม ๒๔๙๘) อดีตนายทหารการเงินของกองทัพเรือซึ่งเคยมีโอกาสรับใช้ใกล้ชิดกรมหลวงชุมพรฯ เริ่มเขียนจดหมายเล่าเรื่องเสด็จในกรมฯ ตามที่ทานเคยรับรู้ส่งมาให้ ซึ่งบรรณาธิการได้ทยอยตีพิมพ์เผยแพร่ผ่านหน้ากระดาษของนาวิกศาสตร์

          เกือบ ๔๐ ปีให้หลังจากที่กรมหลวงชุมพรฯ เคยทรงมีบทความลงพิมพ์ใน นาวิกศาสตร์ ตั้งแต่ฉบับแรกสุดในปี ๒๔๖๐ นี่คือการแปรรูป “เรื่องเล่า” และ “ความทรงจำ” เกี่ยวกับเสด็จในกรมฯ ให้เป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อส่งต่อให้แก่คนรุ่นหลังในวงกว้างผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ อันถือเป็นปรากฏการณ์สำคัญยิ่งในการประกอบสร้างพระประวัติของ “เสด็จเตี่ยกรมหลวงชุมพรฯ”

          ในจดหมายเหล่านั้น หลวงรักษาราชทรัพย์เรียกขานพระองค์ว่า “เจ้าพ่อ” ทุกคำ

          ในหนังสือ “ให้โลกทั้งหลายเขาลือ เสด็จเตี่ย “กรมหลวงชุมพรฯ” ท่านศรัณย์ ทองปาน ได้ถ่ายทอดเรื่องเล่าของหลวงรักษาราชทรัพย์ (รักษ์ เอกะวิภาต) ตอนที่กรมหลวงชุมพรฯ ได้พบกับหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จังหวัดชัยนาท มีใจความดังนี้ครับ

          “...ต่อมาเดือน ๕ หน้าร้อน เจ้าพ่อเสด็จประพาสตากอากาศไปทางเหนือ มีเรือกลไฟ ๑ ลำ จูงเรือพระประเทียบที่ประทับ ได้ไปจอดหุงข้าวต้มแกงที่ศาลาวัดมะขามเฒ่า ในวันนั้นบังเอิญท่านอาจารย์วัดมะขามเฒ่าใช้เด็กวัดไปตัดหญ้าที่ดงต้นกล้วย ๆ ที่ออกปลีที่แก่แล้วมี ๗-๘ ต้น เด็กวัดก็ตัดหัวปลีกล้วยมากองไว้ พอตกเวลาบ่ายท่านอาจารย์ก็ลงมาจากกุฏิดูเด็กที่ตัดกล้วยแล้วไปนั่งอยู่ที่กองหัวปลีกล้วย ท่านเอาหัวปลีที่กองอยู่นั้นมาลูบ ๆ คลำ ๆ สักครู่หนึ่งก็วางหัวปลีลงที่ดิน หัวปลีนั้นก็กลายเป็นกระต่ายวิ่งเพ่นพ่านไปหมด เจ้าพ่อเห็นเข้าก็เรียกคนในเรือให้มองดู อีกสักครู่หนึ่งท่นก็เรียกกระต่ายที่วิ่งอยู่นั้นาที่ท่าน ๆ ก็จับกระต่าย ๆ ก็กลับกลายเป็นหัวปลีไปอย่างเดิม เมื่อเจ้าพ่อเห็นดังนั้นก็เลื่อมใสนับถือท่านอาจารย์วัดมะขามเฒ่าทันที แล้วเจ้าพ่อก็เสด็จขึ้นไปหาอาจารย์ที่ดงต้นกล้วย พร้อมด้วยบริวาร ๓ คน...คุยกันสักครู่ใหญ่ท่านอาจารย์ก็เชิญขึ้นไปคุยกันที่กุฏิ คุยกันไปคุยกันมา เจ้าพ่อก็พอพระทัย ประมาณ ๔-๕ ทุ่มจึงได้เสด็จกลับลงมาประทับเรือ ทางฝ่ายท่านอาจารย์ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นใคร รุ่งขึ้นจึงให้คนไปสืบถามพวกที่มากับเจ้าพ่อ จึงได้รู้ความว่านี่แหละพระองค์เจ้าอาภากร ลูกในหลวงรัชกาลที่ ๕ เมื่อท่านอาจารย์ทราบดังนั้นก็พอใจมาก...”

          นอกจากตอนที่กรมหลวงชุมพรฯ ได้พบกับหลวงปู่ศุขแล้ว หลวงรักษาราชทรัพย์ ยังบันทึกเหตุการณ์ช่วงที่สยามเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ ๑ ครั้งนั้นเสด็จในกรมฯ กลับเข้ามารับราชการ โดยเสด็จมายังกระทรวงทหารเรือเพื่อรายงานตัวในฐานะ “นายทหารกองหนุน ไม่มีเบี้ยหวัด”

หลวงรักษาราชทรัพย์ ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ เล่าว่า

“พอถึงเวลาย่ำรุ่ง ยังไม่สว่างดี เห็นเรือกลไฟลำหนึ่งแล่นตรงมาที่โป๊ะที่ ๑ ต่างคนต่างมองดู พอถึงโป๊ะที่ ๑ เสด็จในกรมฯ ก็เสด็จขึ้น ทรงฉลองพระองค์แต่งทหาร สวมเสื้อกางเกงสีกากี คาดกระบี่ยาว ทหารที่อยู่ในที่นั้นร้องเสียงดังลั่นว่า เจ้าพ่อเสด็จมาช่วยแล้ว ๆ...”


ต่อมาพระองค์ท่านได้กลับเข้ารับราชการในกระทรวงทหารเรืออีกครั้งหนึ่ง

ท่านศรัณย์ ทองปาน ให้ข้อมูลเกี่ยวกับหลวงรักษาราชทรัพย์ไว้ว่า

          สองปีต่อมา ในเดือนธันวาคม ๒๔๙๘ หลวงรักษาราชทรัพย์ถึงแก่กรรม สิริอายุได้ ๗๒ ปี

          หลวงรักษาราชทรัพย์ (รักษ์ เอกะวิภาต) ท่านได้เขียนหนังสือเล่าเรื่องเกร็ดพระประวัติของเสด็จในกรมฯ ฉบับหลวงรักษาราชทรัพย์ ซึ่งท่านศรัณย์ ทองปาน เข้าใจว่าคงจะพิมพ์รวมเล่มครั้งแรกเป็นอนุศรณ์งานพระราชทานเพลิงศพของหลวงรักษาราชทรัพย์เมื่อเดือนมีนาคม ๒๔๙๙ โดยใช้ชื่อหน้าปกว่า เกียรติประวัติ กรมหลวงชุมพรเขตร์อุดมศักดิ์ เวทย์มนต์ ตำรายาจากคัมภีร์ของ (เจ้าพ่อ)

          ต่อมากองประวัติศาสตร์ กรมยุทธการทหารเรือ นำมารวมพิมพ์ในหนังสือ อนุสรณ์พิธีเปิดกระโจมไฟชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ที่แหลมปู่ตา อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เมื่อปี ๒๕๐๓

          ผมเข้าใจความรู้สึกของเพื่อนครูรัชภรณ์ว่า มีความภาคภูมิใจในบรรพบุรุษของเพื่อนเพียงใด คุณปู่ของเพื่อนได้มีโอกาสรับใช้เสด็จในกรมฯ และถ่ายทอดเรื่องราวของพระองค์ท่านให้อนุชนรุ่นหลังได้รับทราบ นับว่ามีประโยชน์ต่อสาธารณชน

ผมหวังว่าจะได้มีโอกาสอ่านงานของท่านสักวัน และจะได้นำเรื่องราวที่ท่านแต่งไว้มาถ่ายทอดให้ทุกท่านได้ทราบครับ

 

แหล่งข้อมูลประกอบการเล่าเรื่อง

ศรัณย์ ทองปาน.  (๒๕๖๓).  ให้โลกทั้งหลายเขาลือ : “เสด็จเตี่ย” กรมหลวงชุมพรฯ.  นนทบุรี : สารคดี.  


                                                หลานสาวของนาวาตรีหลวงรักษาราชทรัพย์ (รักษ์ เอกะวิภาต)

วันศุกร์, มิถุนายน 09, 2566

มินามีเรื่องเล่า เจริญกรุง ถนนที่มีครั้งแรกในกรุงรัตนโกสินทร์





มินามีเรื่องเล่า เจริญกรุง ถนนที่มีครั้งแรกในกรุงรัตนโกสินทร์

          สวัสดีครับ พอดีเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ผมได้ไปทำธุระที่แถวถนนเจริญกรุง

          เลยขออนุญาตเล่าเรื่องกำเนิดถนนเจริญกรุงนะครับ

          ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว บริเวณรอบพระบรมมหาราชวังมีแต่ทางเดิน ยามแล้งมีฝุ่นตลบ ยามฝนตกก็ชื้นแฉะ ไปไหนมาไหนไม่สะดวกและดูไม่งดงาม

          ชาวต่างชาติได้ทำหนังสือกราบทูลต่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงมีพระราชดำริ มีใจความว่า

          “...ขาวยุโรปเคยขี่รถม้าเที่ยวตากอากาศได้ความสบายไม่มีไข้ เข้ามาอยู่ที่กรุงเทพมหานคร ไม่มีถนนหนทางจะขี่รถม้าไปเที่ยว พากันเจ็บไข้เนือง ๆ ได้ทราบความหนังสือแล้ว ทรงพระราชดำริเห็นว่า พวกยุโรปเข้ามาอยู่ในกรุงเทพมหานครมากขึ้นทุกปี ด้วยประเทศบ้านเมืองเขามีถนนหนทางก็เรียบรื่นสะอาดไปทุกบ้านทุกเมือง บ้านเมืองของเรา มีแต่รกเลี้ยว หนทางก็เป็นตรอกซอกเล็กน้อย หนทางใหญ่ก็เปรอะเปื้อนไม่เป็นที่เจริญตา ข้ายหน้าแก่ชาวนานาประเทศ เขาว่าเข้ามาเป็นการเตือนสติ เพื่อจะให้บ้านเมืองงดงามขึ้น”

          สืบเนื่องจากพระราชดำรินี้ จึงได้มีการตัดถนนสายแรกในกรุงรัตนโกสินทร์ มีชื่อว่า “ถนนเจริญกรุง”

          ถนนเจริญกรุงเริ่มตั้งแต่สะพานเหล็ก (สะพานดำรงสถิตย์) ข้ามคลองผดุงกรุงเกษมไปจนถึงฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ปลายถนนตก ตำบลบางคอแหลม ถนนตอนนี้เรียกว่าถนนเจริญกรุงตอนนอก

          ต่อมา ในปี พ.ศ. ๒๔๐๖ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างถนนเจริญกรุงตอนใน ตั้งแต่วัดพระเชตุพนฯ (วัดโพธิ์) ไปจนถึงสะพานเหล็ก

          ตอนแรกสร้างถนนเจริญกรุงตอนใน คนนิยมเรียกว่า ถนนใหม่ หรือเรียกชื่อภาษาอังกฤษว่า “New Road

          ถนนเจริญกรุงตอนในนี้ไม่ได้มีการตัดถนนแบบตัดตรงเลยทีเดียว แต่มีการตัดถนนแบบมีการหักโค้ง ทำไมหรือครับ

          คำตอบคือ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงเชี่ยวชาญด้านการปืนใหญ่ ทรงพิจารณาว่า ถ้าข้าศึกนำปืนใหญ่มาตั้งที่ถนน ก็อาจยิงทำลายประตูเมืองได้สะดวกรวดเร็ว จึงต้องทำเป็นถนนหักโค้ง เลี้ยวออกทางสะพานดำรงสถิตไป

          แน่นอน ตอนแรกที่สร้างถนนเจริญกรุงนี้ มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานาว่า ถนนกว้างเกินไป จะใช้ได้คุ้มทุนหรือไม่

          พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงอธิบายว่า

          “แต่ซึ่งทำให้ใหญ่ไว้นี่เผื่อไว้ว่า เมื่อนานไปภายหน้า บ้านสมบูรณ์มีผู้คนมากมายขึ้น รถแลม้าแลจะได้คล่องสะดวก จึงทำให้ใหญ่ไว้”

          สมกับที่พระองค์ท่านได้ทรงอธิบายไว้จริง ๆ ถนนเจริญกรุงที่สร้างแต่แรกมีความกว้างถึง ๘ เมตร กลับคับแคบไปถนัดตา เมื่อกลายเป็นถนนสายสำคัญในพระนครที่มีผู้คนนิยมสร้างตึกแถวแบบสิงคโปร์เรียงรายไปตลอดเส้นทางเพื่อทำการค้าและธุรกิจนานา

          พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเพิ่มความสะดวกในด้านการสัญจรไปมาของชาวพระนคร ในปีเดียวกันนี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างถนนบำรุงเมือง และถนนเพื่องนคร ทำให้ชาวเมืองบางกอกที่เคยใช้เส้นทางคมนาคมทางน้ำเป็นหลัก ได้เริ่มหันมาใช้ถนนซึ่งนับว่าเป็นของแปลกในยุคนั้น

          ถ้าท่านผ่านมาแถวถนนเจริญกรุงแล้วละก้อ จะเห็นว่าถนนสายนี้เป็นหัวใจสำคัญของกรุงเทพฯ และเป็นถนนประวัติศาสตร์สายแรกของกรุงรัตนโกสินทร์นะครับ

 

แหล่งข้อมูลประกอบการเล่าเรื่อง

อำนาจ ขาวเครือม่วง.  (๒๕๔๗). พระราชประวัติ พระราชกรณียกิจ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. ในเรียงความเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว.  กรุงเทพฯ: วัดมกุฏกษัตริยาราม. 

วันจันทร์, มิถุนายน 05, 2566

มินามีเรื่องเล่า พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ พระบิดาแห่งกฎหมายไทย Thai-English-French



มินามีเรื่องเล่า พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ พระบิดาแห่งกฎหมายไทย Thai-English-French

ที่หน้าศาลจังหวัดขอนแก่น มีอนุสาวรีย์ที่ตั้งตระหง่านอยู่หน้าอาคารศาล นี้คืออนุสาวรีย์ของ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ (พระองค์เจ้าชายรพีพัฒนศักดิ์)

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ทรงเป็นพระโอรสองค์ที่ ๑๔ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเป็นพระโอรสลำดับที่ ๒ ของเจ้าจอมมารดาตลับ (ธิดาของพระยาเวียงในนฤบาล [หรั่ง เกตุทัต]) พระองค์ท่านประสูติเมื่อวันพุธที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๑๗

วันอังคารที่ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๒๘ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์เสด็จไปศึกษาวิชากฎหมาย ที่สำนักไครสต์เชิช แห่งมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ

ทรงสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาวิชานิติศาสตร์ และได้รับปริญญาอักษรศาสตรบัณฑิต (Bachelor of arts – B.A.) จากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด (ในสมัยนั้นมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดและเคมบริดจ์ ประสาทปริญญาอักษรศาสตรบัณฑิต แก่ผู้เรียนปริญญาตรีสำเร็จทุกสาขา)

เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว ทรงปฏิบัติงานในกรมราชเลขานุการ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้เป็นข้าหลวงพิเศษไปจัดการตั้งศาลในมณฑลกรุงเก่า


พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์รับตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม ท่านได้ปฏิบัติงานในตำแหน่งนี้ระหว่างวันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ.๒๔๓๙ ถึงวันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๕๓

ปี พ.ศ. ๒๔๔๒ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงโปรดเกล้าฯ สถาปนาท่านเป็น พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ รัชกาลที่ ๕ ทรงระบุพระคุณลักษณ์ของพระองค์ว่า “เฉลียวฉลาดรพี”

ในด้านกฎหมาย พระองค์เจ้ารพีทรงปรับปรุงระเบียบงานศาลสถิตยุติธรรมตามระบบสากล จนประเทศไทยมีเอกราชทางศาลโดยสมบูรณ์


ทรงชำระสะสางบทพระอัยการต่างๆ ประมวลเป็นกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. ๑๒๗ ทรงทำคำอธิบายรวบรวมคำพิพากษาฎีกาบางเรื่องไว้เป็นบรรทัดฐาน ทรงก่อตั้งโรงเรียนกฎหมาย ทรงสอนและนิพนธ์ตำราและทรงจัดให้มีการสอบเนติบัณฑิตไทย ทรงตั้งศาลตามหัวเมือง รวมทั้งศาลข้าหลวงพิเศษ ศาลมณฑลและศาลเมืองตามลำดับที่จะขยายออกไปได้

ต่อมาในสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ พระองค์ทรงโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าพี่ยาเธอกรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์เป็นองคมนตรีระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๕๓-๒๔๖๓ และในปีต่อมา คือ พ.ศ.๒๔๕๔ ทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้พระองค์ท่านเป็นเสนาบดีกระทรวงเกษตราธิการ ทรงดำรงตำแหน่งนี้ระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๕๔-๒๔๖๓

ปี พ.ศ. ๒๔๕๕ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ทรงมีพระบรมราชโองการให้เลื่อนพระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ขึ้นเป็น พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ โดยมีเนื้อความบางตอนในคำประกาศสถาปนาพระยศ ดังนี้

อนึ่ง พระเจ้าพี่ยาเธอฯ พระองค์นี้ ตั้งแต่เมื่อทรงศึกษาอยู่ในประเทศยุโรปแล้ว ได้ทรงเป็นผู้ที่ต้องพระราชอัธยาศัยแห่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นผู้ที่สนิทสนมตั้งแต่สมัยกาลอันนั้นสืบมาจนกาลบัดนี้ ได้ทรงสังเกตเห็นได้ถนัดว่า พระเจ้าพี่ยาเธอฯ ทรงมีความจงรักภักดีในพระองค์โดยซื่อสัตย์สุจริตแท้มิได้ขาดเลย เป็นผู้ที่เข้าพระทัยพระบรมราโชบายได้โดยง่าย เพราะมีทางที่ทรงพระดำริต้องกันในกิจการโดยมาก จึงสมควรที่จะเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย และสมควรที่จะทรงสถาปนาไว้ในตำแหน่งพระองค์เจ้าต่างกรมผู้ใหญ่พระองค์ ๑ ได้”

กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์สิ้นพระชนม์ด้วยโรควัณโรคในพระวักกะ (ไต) ณ กรุงปารีส เมื่อเสาร์ที่ ๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๓ พระชันษา ๔๗ ปี พระราชทานเพลิงศพที่กรุงปารีส แล้วอัญเชิญพระอัฐิกลับประเทศไทยเมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๓ พระองค์ทรงเป็นต้นราชสกุล รพีพัฒน์ ณ อยุธยา

ภายหลังสิ้นพระชนม์ ทรงได้รับการเทิดพระเกียรติเป็น “พระบิดาแห่งวิชากฎหมายไทย”

นักกฎหมายถือเอาวันที่ ๗ สิงหาคมของทุกปี เป็น “วันรพี” เพื่อน้อมรำลึกถึงพระองค์ผู้ทรงพระคุณต่อประเทศชาติและนักกฎหมายทั้งปวงเป็นเอนกประการ

**********************


Mina’s Stories: Prince Rapee Monument

At Khon Kaen Provincial Court, the monument of Krom Luang Ratchaburi Direk Rit, the father of modern Thai law, is located magnificently in front of the court building.

 Krom Luang Ratchaburi Direk Rit or Phra Ong Chao Chai Rapee Pattanasak was the son of King Rama V and Chao Chom Manda Talab. He was born on Wednesday 21th October 1874.

 On 28th June 1882, Prince Rapee Pattanasak went to study laws in Christ Church College of Oxford University and graduated with the Bachelor of Art.

 In the reign of King Rama V, Krom Luang Ratchaburi Direk Rit or Prince Rapee worked in the Department of Royal Secretariat. Then he worked as the Minister of Justice from 3rd of March, 1896 to 26th of June, 1910.

 In 1910, King Rama VI appointed him as the Privy Councillor. Then in 1911, he was also appointed as Minister of Agriculture.

 On 7th August 1920, Krom Luang Ratchaburi Direk Rit passed away in Paris. He was later considered as the Father of modern Thai law. The 7th of August is considered as Rapee’s Day, an auspicious time to commemorate his great works for Thai law.

*********

Mina raconte : Le monument du Prince Rapee

Le tribunal provincial de Khon Kaen est situé dans la zone du centre administrative de la province. Devant le bâtiment colossal du tribunal, il y a le magnifique monument. C’est le monument Krom Luang Ratchaburi Direk Rit ou simplement appelé le prince Rapee, père de la loi moderne de Thaïlande.

 Krom Luang Ratchaburi Direk Rit ou Phra Ong Chao Chai Rapee Pattanasak est le fils du roi Rama V et de Chao Chom Manda Talab. Il est né le mercredi 21 octobre 1874.

 Le 28 juin 1882, le prince Rapee Pattanasak est allé étudier le droit au collège Christ Church de l'Université d'Oxford et a obtenu sa licence ès lettres (En ce moment-là, l’université d’Oxford remettait la licence ès lettres aux diplômés de toute filière).

 Sous le règne du roi Rama V, Krom Luang Ratchaburi Direk Rit ou Prince Rapee travaillait au Département du secrétariat royal. Puis il travaillait comme ministre de la Justice du 3 mars 1896 au 26 juin 1910.

En 1910, le roi Rama VI le nomma conseiller privé. Puis en 1911, il le nomma ministre de l'Agriculture.

Le 7 août 1920, Krom Luang Ratchaburi Direk Rit fut décède à Paris. Il a ensuite été considéré comme le père de la loi moderne de Thaïlande. Le 7 août est considéré comme le jour Rapee, un jour propice pour commémorer ses grands oeuvres pour le droit thaïlandais.

********** 


วันอาทิตย์, มิถุนายน 04, 2566

มินามีเรื่องเล่า สร้อยพระนามของกรมหลวงชุมพรฯ เขตรหรือเขต

มินามีเรื่องเล่า สร้อยพระนามของกรมหลวงชุมพรฯ เขตรหรือเขต

          สวัสดีครับ วันนี้ขออนุญาตเล่าเรื่องสร้อยพระนามของพระองค์เจ้าชายอาภากรเกียรติวงศ์ พลเรือเอกกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ นะครับ

          โดยทั่วไปสร้อยพระนามของพระองค์ท่านจะเขียนเป็นสองแบบ คือ เขตรอุดมศักดิ์ (มี ร เรือในคำว่า “เขตร” และเขตอุดมศักดิ์ (ไม่มี ร เรือในคำว่าเขต)

          ตกลงมี ร เรือ หรือไม่มี ร เรือ ในคำว่าเขต ครับ

คำอธิบายคือว่า เมื่อพิจารณาจากหลักฐานใน ราชกิจจานุเบกษา พบว่า ตามประกาศสถาปนาพระอิสริยยศในปี พ.ศ. ๒๔๔๗ พระองค์ท่านทรงกรมเป็น กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ มี ร เรือในคำว่า “เขตร” นะครับ

          แต่ต่อมาเมื่อมีการสถาปนาขึ้นเป็นกรมหลวงในปี พ.ศ. ๒๔๖๓ คำประกาศสะกดพระนามว่า ชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ไม่มี ร เรือ นะครับ

          ในเรื่องนี้ หม่อมเจ้าจารุพัตรา อาภากร พระธิดาของพระองค์ท่านได้เคยชี้แจงว่า พระองค์ท่านทรงใช้ตัวสะกดว่า “เขตร” มาตั้งแต่ต้นจนตลอดพระชนม์ชีพ

          ดังนั้นที่ปรากฏในปัจจุบันจะเห็นว่ามีการสะกดทั้งสองแบบ ตามแต่จะยึดถือเกณฑ์อย่างใดอย่างหนึ่ง กล่าวคือ ยึดถือตอนทรงกรมเป็นกรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ จะมีตัวสะกด ร เรือ ในคำว่าเขต แต่ถ้ายึดถือตอนทรงกรมเป็นกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ จะไม่มีตัวสะกด ร เรือ ในคำว่า เขต

          กองทัพเรือยึดถือสร้อยพระนามตามเอกสารราชการ คือ เขตอุดมศักดิ์ แต่หน่วยราชการอื่น ๆ เช่น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตรชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ หรือสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง วิทยาเขตชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ที่ตั้งอยู่ที่อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร ใช้คำว่า เขตร ที่มี ร สะกดครับ

ข้อมูลประกอบการเล่าเรื่อง

- ศรัณย์ ทองปาน.  (๒๕๖๓). ให้โลกทั้งหลายเขาลือ เสด็จเตี่ย กรมหลวงชุมพรฯ. นนทบุรี: สารคดี.

- ไพรัช มณฑาพันธุ์.  (๒๕๕๐).  เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินที่เกี่ยวข้องกับกองทัพเรือ.  ในหนังสืออนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ เรือเอกไพฑูรย์ มณฑาพันธุ์ ท.ช., ท.ม.







วันเสาร์, มิถุนายน 03, 2566

มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ตอนเรือหลวงชุมพร ตอนที่ ๒




มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ตอนเรือหลวงชุมพร ตอนที่ ๒

          สวัสดีครับ วันนี้ขออนุญาตเล่าเรื่องเรือหลวงชุมพรต่อนะครับ

          ปัจจุบัน เรือหลวงชุมพรปลดระวางแล้ว และจอดอย่างโดดเด่นเป็นสง่าที่บริเวณศาลเจ้ากรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ณ หาดทรายรี จังหวัดชุมพร

เรือหลวงชุมพรเป็นเรือตอร์ปิโด ที่ต่อมาจากอู่กันติเอริ ริอูนิติ เดลล์ลอริอาติโก ประเทศอิตาลี เรือหลวงชุมพรมีชุดเรือพี่เรือน้องที่ต่อในชุดเดียวกันอีก ๘ ลำ รวมทั้งเรือหลวงชุมพร รวมเป็น ๙ ลำ ซึ่งเรือเหล่านี้ใช้ชื่อจังหวัดชายทะเลเป็นชื่อของเรือหลวงทั้งสิ้นครับ

          เรือเหล่านี้ได้แก่ ๑. เรือหลวงชุมพร ๒. เรือหลวงจันทบุรี ๓. เรือหลวงระยอง ๔. เรือหลวงตราด ๕. เรือหลวงชลบุรี ๖. เรือหลวงสงขลา ๗. เรือหลวงภูเก็ต ๘. เรือหลวงปัตตานี และ ๙. เรือหลวงสุราษฎร์ ปัจจุบันเรือหลวงเหล่านี้น่าจะปลดระวางประจำการไปหมดแล้วครับ

          มาพิจารณาศักยภาพของเรือหลวงชุดนี้นะครับ สมรรถนะของเรือหลวงชุดนี้มีดังนี้ครับ เป็นเรือขนาดเล็ก มีระวางขับน้ำ ๔๓๑ ตัน ความยาวตลอดลำ ๖๘ เมตร ตัวเรือกว้างประมาณ ๖.๕๕ เมตร มีตอร์ปิโดขนาด ๔๔ เซนติเมตร (ประมาณ ๑ ฟุตครึ่ง) ๔ ท่อ ปืนขนาด ๗๕/๕๑ มิลิเมตร ๒ กระบอก และปืนอื่น ๆ ประจำเรือ ได้แก่ ปืนแมดเสน และปืนขนาด ๔๐/๖๐ มิลิเมตร มีค่าเท่ากับ ๑ เซนติเมตร ปากกระบอกปืนมีความกว้างประมาณ ๔-๗.๕ เซนติเมตร หรือประมาร ๒-๓ นิ้ว

          เครื่องจักรของเรือหลวงชุมพร เป็นเครื่องจักรไอน้ำ แบบพาร์สัน ๒ เครื่อง ใบจักรคู่ ความเร็วสูงสุด ๒๐ นอต (ประมาณ ๓๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง)

          เรือหลวงชุมพรขึ้นระวางประจำการเมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๑ ปลดระวางประจำการเมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๘ ปัจจุบันเรือลำนี้ได้รับการอนุรักษ์เป็นอนุสรณ์ไว้ที่หาดทรายรี จังหวัดชุมพร นะครับ

          เรือหลวงชุมพรไม่ได้เกี่ยวข้องกับกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ในสมัยที่พระองค์ท่านยังมีชีวิตอยู่นะครับ ในเวลานั้นเรือหลวงชุมพรยังไม่ได้สร้างขึ้นนะครับ เรือหลวงชุมพรได้รับการต่อและขึ้นระวางประจำการภายหลังที่กรมหลวงชุมพรฯ พระองค์ท่านสิ้นพระชนม์แล้วกว่า ๑๕ ปี

 

          เมื่อถึงวาระที่เรือหลวงชุมพรต้องได้รับการปลดระวาง เรือลำนี้ได้ถูกนำไปเป็นอนุสรณ์สถานที่ในจังหวัดชุมพร ซึ่งจังหวัดชุมพรเป็นจังหวัดหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดพระราชทานชื่อให้พระองค์เจ้าชายอาภากรเกียรติวงศ์ทรงกรมเป็น “กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์” (เรื่องพระราชทานชื่อโดยให้ทรงกรมนั้น จะขอเล่าในโอกาสต่อไปครับ)

          กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ได้สิ้นพระชนม์ที่หาดทรายรี จังหวัดชุมพร หาดทรายรีจึงกลายเป็นเหตุการณ์เกี่ยวเนื่องที่เราเรียกว่า Joint Event ของเรือหลวงชุมพรและพลเรือเอกพระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ นะครับ

          อันที่จริงกรมหลวงชุมพระเขตอุดมศักดิ์ พระองค์ท่านเกี่ยวข้องกับเรือหลวงพระร่างมากกว่านะครับ ซึ่งจะขอเล่าเรื่องนี้ในโอกาสต่อไปครับ

          ท่านมาที่หาดทรายรี มานมัสการศาลเจ้ากรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์และขอเชิญทัศนาความสง่างามของเรือหลวงชุมพรนะครับ

ข้อมูลประกอบการเล่าเรื่อง

- ไพรัช มณฑาพันธุ์.  (๒๕๕๐).  เรือหลวงชุมพร.  ในหนังสืออนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ เรือเอกไพฑูรย์ มณฑาพันธุ์ ท.ช., ท.ม.


วันพฤหัสบดี, มิถุนายน 01, 2566

มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ตอนเรือรบหลวงชุมพร ตอนที่ ๑



มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ตอนเรือรบหลวงชุมพร ตอนที่ ๑

          สวัสดีครับ ขออนุญาตเล่าเรื่องเรือรบหลวงชุมพร ซึ่งจอดอยู่ที่หาดทรายรี จังหวัดชุมพร นะครับ

          วันนี้ขอเล่าเรื่องการตั้งชื่อเรือรบก่อนนะครับ

          เท่าที่ผมทราบนะครับ เราจะสังเกตว่าหัวเรือรบมีตัวเลขกำกับ ท้ายเรือรบมีป้ายสีดำเขียนด้วยอักษรสีทอง บอกชื่อเรือว่าชื่ออะไร

          ชื่อเรือเป็นชื่อจังหวัด สถานที่อื่น ๆ รวมทั้งชื่อแม่น้ำเป็นส่วนมาก มีชื่อของบุคคลสำคัญด้วย เช่นเรือหลวงปิ่นเกล้า เป็นต้น

          มีข้อสังเกตว่าประเภทของเรือรบจะมีความสัมพันธ์กับการตั้งชื่อเรือ มีแนวทางการตั้งชื่อเรือที่น่าสนใจนะครับ มาลองดูกันครับ

          เรือบรรทุกเครื่องบิน แนวทางในอดีตที่เคยกำหนดกันมา ชื่อเรือจะมาจากชื่อสัตว์ที่มีอิทธิฤทธิ์ทางการบิน เหาะเหิน

          กองทัพเรือไทยมีเรือบรรทุกเครื่องบินหนึ่งลำ ได้รับชื่อพระราชทานที่เป็นมงคลนามจากพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรเป็นการเฉพาะว่า “เรือหลวงจักรีนฤเบศร” แปลว่า “ผู้เป็นใหญ่ในราชวงศ์จักรี” ครับ

          เรือประจัญบาน กองทัพเรือจะกำหนดหลักเกณฑ์ในการตั้งชื่อให้เป็นชื่อบุคคลสำคัญ วีรบุรุษของชาติ เป็นต้น

          เรือพิฆาต แต่เดิมกองทัพเรือจะใช้ชื่อบุคคลสำคัญของประเทศเป็นชื่อเรือ เช่น เรือหลวงปิ่นเกล้าหรือเรือหลวงมกุฎราชกุมาร ต่อมามีการพัฒนาเรือปราบเรือดำน้ำที่พัฒนาต้นแบบจากเรือพิฆาต มีเกณฑ์การกำหนดชื่อโดยใช้ชื่อแม่น้ำเป็นชื่อเรือ เช่น เรือหลวงท่าจีน เรือหลวงประแสร์ เรือหลวงเจ้าพระยา เรือหลวงตาปี เรือหลวงคีรีรัฐ เรือหลวงบางปะกง รวมทั้งเรือหลวงแม่กลอง ซึ่งเป็นเรือครูใช้ฝึกนักเรียนทหารเรือ ทางเทคนิคจะเรียกเรือครูนี้ว่า เรือสลุป ครับ

          เรือดำน้ำ ไทยเราเคยมีเรือดำน้ำที่ใช้งานระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ และสงครามอินโดจีน เป็นเรือดำน้ำที่ต่อจากประเทศญี่ปุ่น ปลดระวางไปนานแล้วครับ ญี่ปุ่นแพ้สงคราม เราหาอะไหล่และอุปกรณ์ซ่อมบำรุงไม่ได้ครับ

          เรือดำน้ำก็มีเกณฑ์การตั้งชื่อนะครับ มีการกำหนดให้ใช้ชื่อบุคคลสำคัญในวรรณคดีที่มีอิทธิฤทธิ์ทางน้ำ กองทัพเรือไทยเราเคยมีเรือดำน้ำประจำการชื่อ วิรุฬ สินสมุทร พลายชุมพล และมัจฉานุ ครับ

          เรือปืน มีเกณฑ์การตั้งชื่อเรือรบประเภทนี้โดยใช้เมืองหลวงของประเทศเป็นชื่อเรือรบครับ เช่นเรือหลวงธนบุรี ที่เคยสร้างชื่อเสียงในยุทธนาวีที่เกาะช้างมาแล้วครับ เรายังมีเรือหลวงรัตนโกสินทร์ เรือหลวงสุโขทัย (น่าเสียดายครับ เพิ่งอับปางลงไปเมื่อเร็ว ๆ นี้) และเรือหลวงศรีอยุธยา (ที่เกี่ยวข้องกับสมัยจอมพล ป พิบูลสงคราม เป็นที่น่าเสียดายเช่นกันครับ)

          เรือทุ่นระเบิด มีเกณฑ์การตั้งชื่อโดยใช้สมรภูมิที่บรรพบุรุษไทยทำการรบกับอริราชศัตรูในอดีต ส่วนมากเป็นชื่อสนามรบ เช่น เรือหลวงโพสามต้น เรือหลวงท่าดินแดง เรือหลวงบางระจัน เรือหลวงหนองสาหร่าย เป็นต้นครับ

          เรือตอร์ปิโด (กว่าจะมาถึงชื่อเรื่องของเราว่า เรือหลวงชุมพร ผ่านเรือมาหลายประเภทนะครับ) พระเอกของเราคือเรือตอร์ปิโด กองทัพเรือไทยมีเรือรบประเภทนี้หลายลำ เรือประเภทนี้ใช้ชื่อจังหวัด หัวเมืองชายทะเลเป็นชื่อเรือ เช่น เรือหลวงสงขลา เรือหลวงระยอง เรือหลวงชลบุรี และแน่นอนครับเรือหลวงชุมพร (ซึ่งคงจะต้องเล่ารายละเอียดในตอนหน้าครับ)

          เรือยกพลขึ้นบกและเรือลำเลียง เรือประเภทนี้ กองทัพเรือจะใช้ชื่อเกาะเป็นชื่อเรือ เช่น เรือหลวงช้าง เรือหลวงพงัน เรือหลวงไผ่ เป็นต้น

          เรือสำรวจ จะใช้ชื่อดวงดาวเป็นชื่อเรือ เช่น เรือหลวงจันทร

          ครับ เกณฑ์และที่มาของชื่อเรือประเภทต่าง ๆ นับได้ว่าน่าสนใจไม่น้อยครับ

          ตอนต่อไปมาดูเรือหลวงชุมพรกันนะครับ มาจอดที่หาดทรายรีได้อย่างไร มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ได้อย่างไร โปรดติดตามและตามติดนะครับ 

มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French

  มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French กรมหลวงพิพิธมนตรี (พระพันวัสสาน้อย) เป็นพระอัครมเหสีน้อยของสมเด็จพ...