Chalermkiat Mina

วันพุธ, พฤศจิกายน 16, 2565

มินามีเรื่องเล่า อนุสาวรีย์รัชกาลที่ ๖ หน้าบึงพลาญชัย Thai-English-French

 มินามีเรื่องเล่า อนุสาวรีย์รัชกาลที่ ๖ หน้าบึงพลาญชัย จังหวัดร้อยเอ็ด

         ท่านที่มาถึงหน้าทางเข้าบึงพลาญชัย ใจกลางเมืองร้อยเอ็ด ท่านจะเห็นอนุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ และชาวร้อยเอ็ดและแขกบ้านแขกเมืองต่างน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์มีต่อประเทศไทย

         ที่อนุสาวรีย์ของพระองค์ มีป้ายสีดำเขียนบรรยายพระราชกรณียกิจที่พระองค์ได้ทรงปฏิบัติไว้ ป้ายอักษรสีดำค่อนข้างอ่านลำบาก และมีแท่นสำหรับตั้งไฟสปอร์ตไลท์ขวางป้ายไว้ ทำให้อ่านได้ไม่ชัดเจน ถ่ายภาพไม่ครบถ้วน ไม่สามารถเก็บใจความที่เขียนไว้ที่ป้ายได้ครบ แต่ผมจะขอนำข้อความมาแยกเป็นข้อๆ แล้วเล่าสู่กันฟังครับ
        
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระมหากษ้ตริย์อันดับที่ ๖ แห่งราชวงศ์จักรี ทรงเป็นพระราชโอรส ลำดับที่ ๒ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชสมภพเมื่อวันเสาร์ที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๒๓ และเสด็จบรมราชาภิเษกเมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๔ เสด็จดำรงราชสมบัติอยู่ ๑๖ ปี เสด็จสวรรคตเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๘ มีพระชนมพรรษา ๔๖ พรรษา

         ขอยกตัวอย่างพระปรีชาญาณของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวประมาณ ๑๔ ข้อดังนี้ครับ

๑. ทรงวางรากฐานการปกครองระบอบประชาธิปไตย

๒. ทรงส่งเสริมการปกครองระบบเทศาภิบาลและการปกครองท้องถิ่น แบ่งเป็นเมืองกาฬสินธุ์ เมืองสารคาม และเมืองร้อยเอ็ด

๓. ทรงก่อกำเนิดเสือป่า ลูกเสือ อนุกาชาด และสภากาชาดไทย

๔. ทรงประกาศใช้พระราชบัญญัติประถมศึกษาภาคบังคับ และขยายการศึกษาจนถึงอุดมศึกษาเป็นครั้งแรก

๕. ทรงตั้งธนาคารออมสินและริเริ่มกิจการสหกรณ์

๖. ทรงวางรากฐานการคมนาคมทางอากาศ

๗. ทรงเปลี่ยนแปลงการใช้ศักราชจาก ร.ศ. เป็น พ.ศ.

๘. ทรงให้มีการใช้ธงไตรรงค์เป็นธงชาติ

๙. มีการแก้ไขสนธิสัญญา

๑๐. ทรงพระราชนิพนธ์หนังสือไว้เป็นจำนวนมาก

๑๑. พระราชทานกำเนิดการใช้นามสกุล

๑๒. ทรงบัญญัติศัพท์เพื่อเรียกคำนำหน้าสตรีและเด็ก

๑๓. ทรงก่อตั้งกองพลทหารราบ

๑๔. ทรงให้ใช้เงินสตางค์แทน


ขอขยายความดังนี้ครับ

๑. ทรงวางรากฐานการปกครองระบอบประชาธิปไตย

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพยายามเผยแพร่ให้การศึกษาแก่ประชาชน ทรงฝึกสอนเรื่องการปกครองในระบอบประชาธิปไตยแก่คนในชาติ และทรงนำความรู้เกี่ยวกับการปกครองระบอบประชาธิปไตยเมื่อครั้งที่ทรงศึกษา ณ ประเทศอังกฤษมาทดลองดำเนินการ ทรงสร้างดุสิตธานี เพื่อเป็นธานีทดลองรูปแบบการปกครองระบอบประชาธิปไตย ดุสิตธานี เป็นชื่อเมืองสมมุติที่ทรงสร้างขึ้นแบบย่อส่วนในอัตราส่วน ๑ ต่อ ๒๐ เพื่อใช้ในการทดลองการปกครองแบบประชาธิปไตย ดุสิตธานีมีชื่อเต็มว่า “มณฑลดุสิตธานี”
        
๒. ทรงส่งเสริมการปกครองระบบเทศาภิบาลและการปกครองท้องถิ่น แบ่งเป็นเมืองกาฬสินธ์ เมืองสารคาม และเมืองร้อยเอ็ด

         หัวข้อที่ ๒ นี้เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปการปกครองนะครับ

การปฏิรูปการปกครองทางอีสานเริ่มมีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ โดยแบ่งออกเป็น ๓ ระยะ ได้แก่

         ระยะที่ ๑ ปี พ.ศ. ๒๔๓๓ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

         ระยะที่ ๑ แบ่งเป็น ๒ ช่วง ได้แก่

         ช่วงที่หนึ่ง ปี พ.ศ. ๒๔๓๓ มีการแบ่งเป็นหัวเมืองเป็น ๔ ฝ่าย ได้แก่

         ๑. หัวเมืองลาวฝ่ายเหนือ

         ๒. หัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออก

         ๓. หัวเมืองลาวฝ่ายตะวันตก

๔. หัวเมืองลาวฝ่ายกลาง

         ช่วงที่สอง ปี พ.ศ. ๒๔๓๔ ห่างจากช่วงที่หนึ่งเพียงปีเดียว คือมีการยุบหัวเมืองลง เหลือเพียง ๓ หัวเมือง โดยมีข้าหลวงใหญ่จากรัฐบาลกลางมากำกับดูแล ได้แก่

         ๑. หัวเมืองลาวพวน เป็นชื่อใหม่ของ หัวเมืองลาวฝ่ายเหนือ มีกองบัญชาการที่เมืองหนองคาย

         ๒. หัวเมืองลาวฝ่ายกลาง มีกองบัญชาการที่เมืองนครราชสีมา

         ๓. หัวเมืองลาวกาว เป็นการยุบรวมหัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออกและหัวเมืองลาวฝ่ายตะวันตกเข้าด้วยกัน แล้วเรียกชื่อใหม่ว่า หัวเมืองลาวกาว มีกองบัญชาการที่เมืองอุบลราชธานี

โดยสรุป ในระยะที่ ๑ มีหัวเมือง ๓ หัวเมือง ได้แก่ หัวเมืองลาวพวน หัวเมืองลาวฝ่ายกลาง และหัวเมืองลาวกาว

ระยะที่ ๒ พ.ศ. ๒๔๓๗-๒๔๕๗ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

         ในระยะที่ ๒ มีการปฎิรูปการปกครองทั้งระดับกว้างและลึก จนถึงระดับหมู่บ้าน ทำให้จำนวนเมืองเล็กหายไป ถูกยุบไปเป็นอำเภอ ตำบล ส่วนเมืองใหญ่กลายเป็นจังหวัดขึ้นกับข้าหลวงใหญ่และข้าหลวงเทศาภิบาล มีการกำหนดอำนาจหน้าที่ของแต่ละหน่วยอย่างจัดเจน

 

ระยะที่ ๓ พ.ศ. ๒๔๕๘-๒๔๗๖ ปลายสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

และในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

ในระยะที่ ๓ มีการยุบตำแหน่งต่างๆ เนื่องจากฐานะทางการคลังไม่ดี

         พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปรับเปลี่ยนระบบการบริหารของประเทศให้มีความเหมาะสม ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ตรา “ข้อบังคับลักษณะการปกครองหัวเมืองชั่วคราว” เพื่อบริหารราชการส่วนภูมิภาค ทรงเปลี่ยนคำเรียกชื่อ “เมือง” เป็น “จังหวัด” ทรงรวมมณฑลเป็น “ภาค” และทรงประกาศยกฐานะจาก“ตำบลนคร” ขึ้นเป็น “เมือง”

         ๓. ทรงก่อกำเนิดเสือป่า ลูกเสือ อนุกาชาด และสภากาชาดไทย

         พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นบิดาแห่งการลูกเสือไทย ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งกองเสือป่า ขึ้นเมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๔ และทรงพระราชทานกำเนิดกิจการลูกเสือขึ้นในวันที่ ๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๔ ประเทศไทยเป็นประเทศที่ ๓ ที่ก่อกำเนิดลูกเสือขึ้นในโลก นับว่าทรงมีสายพระเนตรก้าวไกลในการปลูกนิสัยให้พสกนิกรรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์และมีความเข้มแข็ง มีระเบียบวินัย ดังนั้น วันที่ ๑ กรกฏาคมของทุกปี จึงเป็นวันลูกเสือแห่งชาติ

         ๔. ทรงประกาศใช้พระราชบัญญัติประถมศึกษาภาคบังคับ และขยายการศึกษาจนถึงอุดมศึกษาเป็นครั้งแรก

         พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นนักการศึกษาที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ใช้ “พระราชบัญญัติประถมศึกษา เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๔ เพื่อเป็นการบังคับให้เด็กทุกคนที่มีอายุตั้งแต่ ๗ ปีบริบูรณ์ เรียนหนังสืออยู่ในโรงเรียนจนอายุครีบ ๑๔ ปีบริบูรณ์

         ๕. ทรงตั้งธนาคารออมสินและริเริ่มกิจการสหกรณ์

         พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าให้ตั้ง “คลังออมสิน” ในวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๖ เพื่อให้ประชาชนรู้จักการประหยัดและการออมทรัพย์เพื่อให้มีฐานะมั่นคงตลอดไป

         นอกจากนี้ ทรงเปิดสหกรณ์แห่งแรกของประเทศไทย คือ “สหกรณ์วัดจันทร์ ไม่จำกัดสินใช้” ที่ตำบลวัดจันทร์ อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก นอกจากนี้ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้ง “กรมสรรพากร” และ “กรมตรวจเงินแผ่นดิน” อีกด้วย

         ๖. ทรงวางรากฐานการคมนาคมทางอากาศ

         พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นผู้วางรากฐานการคมนาคมทางอากาศ หรือ “การบินพาณิชย์” โดยมีการขนส่งไปรษณีย์ภัณฑ์ทางอากาศระหว่างกรุงเทพฯ กับจังหวัดนครราชสีมาเป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๓

         นอกจากนี้ยังโปรดเกล้าให้ตั้ง “กองบินทหารบก” ขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๔๕๖ ต่อมาได้พัฒนาเป็น “กรมอากาศยาน” และยกฐานะเป็น “กองทัพอากาศ” อีกทั้งยังทรงตั้ง “ทหารรักษาวัง” ที่จังหวัดภาคใต้ เพื่อป้องกันพระราชอาณาเขตตั้งแต่เพชรบุรีลงไปอีกด้วย

         ๗. ทรงเปลี่ยนแปลงการใช้ศักราชจาก ร.ศ. เป็น พ.ศ.

         พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประกาศให้เลิกใช้รัตนโกสินทร์ศก มาเป็นพุทธศักราชศก ในปี พ.ศ. ๒๔๕๖ เพื่อให้มีความสอดคล้องกับการนับถือพระพุทธศาสนาของคนไทยและเป็นเอกลักษณ์ของชาติที่ผูกพันกับพระพุทธศาสนาอย่างแน่นแฟ้น

         ๘. ทรงให้มีการใช้ธงไตรรงค์เป็นธงชาติ

         ธงชาติเป็นเครื่องหมายของความเป็นศรีสง่าและแสดงถึงเกียรติภูมิของชาติ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่งส่งทหารเข้าร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ ๑ และทรงพิจารณาว่าควรเปลี่ยนธงช้างเป็นธงสามสี คือ สีขาว สีแดง และสีน้ำเงิน ตามลักษณะธงชาติของประเทศที่เป็นสัมพันธมิตรกับกรุงสยาม

         นอกจากนี้ เพื่อเป็นเครื่องหมายให้เห็นว่าได้ร่วมสุขทุกข์และเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับสัมพันธมิตร ได้พระราชทานชื่อธงสามสีว่า ธงไตรรงค์ นับได้ว่าเป็นพระปรีชาญาณอันลึกซึ่งที่พระองค์นำสถาบันหลักของชาติมาเป็นสัญลักษณ์บนผืนธงได้อย่างงดงาม

         ๙. มีการแก้ไขสนธิสัญญา

         หลังจากสงครามโลกครั้งที่ ๑ สยามได้ส่งทหารไทยเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตร ทำให้มีการแก้ไขสนธิสัญญาเบาริ่งที่เคยทำไว้ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๔

         ๑๐. ทรงพระราชนิพนธ์หนังสือไว้เป็นจำนวนมาก

         พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นกษัตริย์แห่งอักษรศาสตร์ ทรงพระราชนิพนธ์วรรณกรรมทั้งร้อยแก้ว ร้อยกรอง ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ นับพันเรื่อง ตัวอย่างเช่น มัทนะพาธา หัวใจนักรบ พระร่วง ฯลฯ ดังนั้นพระองค์ได้รับพระสมัญญานามว่า “สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า” สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นนักปราชญ์

         ๑๑. พระราชทานกำเนิดการใช้นามสกุล

         พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชโองการให้ตรา พระราชบัญญัติขนานนามสกุล ในปี พ.ศ. ๒๔๕๖ เนื่องจากมีพระราชดำริว่าบุคคลทุกคนควรต้องมีทั้งชื่อตัวและนามสกุลต่อท้ายชื่อ ทำให้สามารถบัญญัติวิธีจดทะเบียนคนเกิด คนตาย และการสมรสได้ชัดเจน

         ๑๒. ทรงบัญญัติศัพท์เพื่อเรียกคำนำหน้าสตรีและเด็ก

         ทรงบัญญัติศัพท์ขึ้นใช้แทนคำไทยที่ไม่เหมาะสม เช่น นาง นางสาว ใช้แทน อำแดง, โรคระบาด ใช้แทน โรคติดต่อ, กรมชลประทาน ใช้แทน กรมทดน้ำ หรือ สภากาชาด ใช้แทน สภาอุณาโลมแดง นอกจากนี้ยังทรงคิดศัพท์ภาษาไทยจากคำภาษาอังกฤษ เช่น วิทยุ จากคำ radio, คมนาคม จากคำ Communication, ไปรษณียบัตร จากคำ postcard เป็นต้น

         ๑๓. ทรงก่อตั้งกองพลทหารราบ

         ๑๔. ทรงให้ใช้เงินสตางค์แทนเงินสมัยโบราณ

         นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ท่านมีต่อปวงชนชาวไทยนะครับ

พระราชกรณียกิจของพระองค์ยังมีอีกมากนะครับ โดยเฉพาะงานด้านภาษา ซึ่งคงต้องนำมาเล่ากันในโอกาสต่อไปครับ

         *******

แหล่งข้อมูลประกอบการเล่าเรื่อง

กัญญรัตน์ เวชศาสตร์. (๒๕๕๔).  พระอัจฉริยภาพราชปราชญ์ : สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า.  กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์บ้านดวงดาว.  

สุวิทย์ ธีรศาศวัต. (๒๕๕๗).  ประวัติศาสตร์อีสาน พ.ศ. ๒๓๒๒-๒๔๘๘ เล่ม ๑.  ขอนแก่น: โรงพิมพ์คลังนานาวิทยา.

สุวิทย์ ธีรศาศวัต. (๒๕๕๗).  ประวัติศาสตร์อีสาน พ.ศ. ๒๓๒๒-๒๔๘๘. (เล่ม ๒). ขอนแก่น: โรงพิมพ์คลังนานาวิทยา.

*******

Mina’s Stories: The monument of King Vajiravuth, Rama VI at Beung Phalan Chai, Roi-Et.

Before entering Beung Phalan Chai Recreation Park, located in the city center of Roi-et, tourists pay homage to the monument of King Vajiravuth, Rama VI.

King Vajiravuth is the sixth king of the Chakri dynasty. He is the son of King Chulachomklao, Rama V and Queen Si Phatcharindra.

King Vijiravuth was born on Saturday January 1st, 1880. He ascended the throne on December 2nd, 1991 and spent 16 years ruling Siam. He died on November 26th, 1925, at the age of 46.

Our prominent king developed the country with his talents. The board located in front of the monument describes his works: the foundation of democracy, the reform of state administrations, the promulgation of the decree on compulsory education, the foundation of the savings bank and cooperation affairs, the creation of boy scouts and of the Red Cross of Siam, the air transportation, the adoption of the Buddhist era and the Tri-Rong Flag (Tricolor) of Siam, the use of surnames and appellations for women and children, amendments to treaties, and many books, especially on literature.

 *******

Histoires de Mina : Le monument du Roi Vajiravuth, Rama VI à Beung Phalan Chai, Roi-Et

Avant d’entrer dans le parc de recréation Beung Phalan Chai, situé dans le centre- ville de Roi-et, les touristes rendent hommage au monument du roi Vajiravuth, Rama VI. 

Le roi Vajiravuth est le sixième roi de la dynastie Chakri. Il est le fils du roi Chulachomklao, Rama V et de la reine Si Phatcharindra. Le roi Rama VI fut né le samedi 1er janvier, 1880. Il monta sur le trône le 2 décembre 1991 et passa 16 ans à gouverner le Siam. Il mourra le 26 novembre 1925, à l’âge de 46 ans.

Notre roi éminent fit développer le pays avec ses talents. Le panneau situé devant le monument décrivit ses grandes œuvres : la fondation de la démocratie, la réforme des administrations d’état, la promulgation du décret portant sur l’éducation obligatoire, la fondation de la caisse d’épargne et des affaires de la coopération, la création de boy scouts et de la croix rouge du Siam, le transport aérien, l’adoption de l’ère bouddhique et du drapeau tricolore du Siam, l’emploi des noms de famille et les appellations pour femme et enfant, les amendements des traités, et de nombreux livres, en particulier sur la littérature.

 ******

 

วันอังคาร, พฤศจิกายน 15, 2565

มินามีเรื่องเล่า สาเกตนคร ตอนที่ ๙ พระขัติยวงษา (ท้าวเภา) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ ๗

 

มินามีเรื่องเล่า สาเกตนคร ตอนที่ ๙ พระขัติยวงษา (ท้าวเภา) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ ๗

         สวัสดีครับ เรื่องเจ้าเมืองสาเกตนครของเราดำเนินมาถึงตอนที่ ๙ แล้วนะครับ ตอนนี้จะกล่าวถึงพระขัติยวงษา (ท้าวเภา) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ ๗ นะครับ

         พระขัติยวงษา (ท้าวเภา) เป็นบุตรของท้าวสุริยวงศ์ (เภา) ท่านรับราชการโดยเป็นราชวงศ์ (เภา) ในสมัยของพระขัติยวงษา (ท้าวเสือ) เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๒๓ ต่อมาท่านได้รับตำแหน่งอุปฮาด (เภา) เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๒๔

         ในปี พ.ศ. ๒๔๒๕ พระขัติยวงษา (ท้าวเสือ) ถึงแก่กรรม ยังมิได้มีการโปรดเกล้าฯ ให้ใครเป็นเจ้าเมืองร้อยเอ็ด บรรดาเมืองแสนและท้าวเพียกรมการเมืองร้อยเอ็ดจึงมีใบบอกไปยังพระยามหาอำมาตยาธิบดี (หรุ่น ศรีเพ็ญ) ข้าหลวงกำกับการหัวเมืองตะวันออก เพื่อขอแต่งตั้งท้าวโสม บุตรพระยาขัติยวงษา (ท้าวเสือ) เป็นเจ้าเมืองร้อยเอ็ด และขอแต่งตั้งเมืองกลางเป็นราชวงศ์

ขออธิบายตำแหน่งทางการปกครองที่อ้างถึง ๓ ตำแหน่งนะครับ คือ เมืองแสน เมืองกลาง และท้าวเพีย

ในการปกครองแบบล้านช้างนั้น คณะอาญาสี่จะมีเจ้าเมือง อุปฮาด ราชวงศ์ และราชบุตร ส่วนในคณะผู้ช่วยอาญาสี่ ประกอบด้วย ท้าวสุริยะหรือท้าวขัติยะ ท้าวสุริโย ท้าวโพธิสาร และท้าวสุทธิสาร

ตำแหน่งรองลงไปจะเรียกว่า ขื่อบ้านขางเมือง มี ๑๗ ตำแหน่ง ตัวอย่างเช่น เมืองแสน เป็นตำแหน่งแรกนะครับ มีหน้าที่ควบคุมดูแลกองทหารครับ เมืองจันทร์ เป็นตำแหน่งที่สอง มีหน้าที่กำกับฝ่ายพลเรือน ส่วนเมืองกลาง เป็นตำแหน่งที่สาม มีหน้าที่ดูแลพัสดุของเมือง ดูแลเรือนจำ รวมถึงการสร้างและปฏิสังขรณ์วัด งานบริหารทั่วไปและตัดสินคดีต่างๆ

ส่วนตำแหน่งเพียนั้น ถ้าเป็นเมืองที่ไม่มีกษัตริย์ มีเจ้าเมืองปกครองจะเรียกเพียนำหน้าตำแหน่ง เช่นเพียเมืองแสน เพียเมืองจันทร์ นอกจากนี้เพียยังเป็นตำแหน่งพิเศษ (ท้าวผู้น้อย) มีหลายเพียครับ เช่น เพียซาโนชิต เพียงซาบรรทม ฯลฯ

ย้อนกลับมาที่เมืองร้อยเอ็ดนะครับ ภายหลังทางกรมการเมืองใด้ทำใบบอกใหม่ไปยังพระยามหาอำมาตยาธิบดี (หรุ่น ศรีเพ็ญ) โดยขอให้อุปฮาด (เภา) เป็นเจ้าเมืองร้อยเอ็ด และขอท้าวไชยเสนเป็นอุปฮาด ขอท้าวสุเมร์เป็นราชวงศ์ และขอท้าวสุริยะ (อุทา) เป็นราชบุตร

ปี พ.ศ. ๒๔๒๕ พระยามหาอำมาตยาธิบดี (หรุ่น ศรีเพ็ญ) ข้าหลวงกำกับการหัวเมืองตะวันออก ได้มีใบบอกมายังกรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้อุปฮาด (เภา) เป็นพระขัติยวงษา (ท้าวเภา) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ ๗

แต่ตำแหน่งอุปฮาดและราชบุตรนั้น พระยาพระยามหาอำมาตยาธิบดี (หรุ่น ศรีเพ็ญ) ได้มีตราจุลราชสีห์ให้ท้าวโสม เป็นอุปฮาด (โสม) และเมืองกลาง เป็นราชวงศ์ ตามที่คณะกรมการเมืองขอมาแต่ครั้งแรก

ปี พ.ศ. ๒๔๓๒ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ พระราชทานสัญญาบัตรให้ท้าวไชยเสนเป็นอุปฮาด (ไชยเสน) ให้ท้าวสุเมร์เป็นราชวงศ์ (สุเมร์) และท้าวสุริยะ (อุทา) เป็นราชบุตร (อุทา)

พระขัติยวงษา (ท้าวเภา) ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน พ.ศ. ๒๔๓๓

หลังจากการถึงแก่กรรมของพระขัติยวงษา (ท้าวเภา) แล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่ได้โปรดเกล้าฯ ให้ใครดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองร้อยเอ็ด จนถึงสมัยที่พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นสรรพสิทธิประสงค์ (ฐานันดรศักดิ์ในช่วงเวลานั้น) ซึ่งเป็นข้าหลวงต่างพระองค์สำเร็จราชการมณทลตะวันออกเฉียงเหนือ เสด็จมาตรวจราชการเมืองร้อยเอ็ดในปี พ.ศ. ๒๔๔๒ โปรดตั้งให้ซานนท์ (เหลา) ซึ่งเป็นอุปฮาดรักษาราชการเมืองร้อยเอ็ดเป็นพระสตาเนทประชาธรรม ตำแหน่งปลัดเมือง

ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๔๘ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นสรรพสิทธิประสงค์ได้ทรงขอพระราชทานสัญญาบัตรให้พระสตาเนทประชาธรรม (เหลา) เป็นพระยาขัติยวงษาเอกาธิกะสตานันท์ ผู้ว่าราชการเมืองร้อยเอ็ด

ครับ เรื่องของเมืองสาเกตนคร ชุดพระขัติยวงษา เจ้าเมืองคนที่ ๑ ถึงคนที่ ๗ ได้จบลงนะครับ

ตอนต่อไปจะเล่าเรื่องเมืองจตุรพักตรพิมาน และเมืองอื่นๆ นะครับ

พร้อมกันนี้จะเล่าเรื่องเกี่ยวกับการปฏิรูปการปกครองภาคอีสาน ๓ ระยะ  คือ ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๓๓-๒๔๓๖ ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๓๖ (ตุลาคม) – ๒๔๕๗ และระหว่าง พ.ศ. ๒๔๕๘-๒๔๗๖ ครับ

************************  

แหล่งข้อมูลประกอบการเล่าเรื่อง

เติม วิภาคย์พจนกิจ.  (๒๕๓๐). ประวัติศาสตร์อีสาน ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๒.  กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.

พันคำทอง สุวรรณธาดา.  (๒๕๖๓).  ครรลองไทอีสาน-ล้านช้าง.  มหาสารคาม : หยกศึกษาภัณฑ์และการพิมพ์.

สุวิทย์ ธีรศาศวัต.  (๒๕๕๗).  ประวัติศาสตร์อีสาน พ.ศ. ๒๓๒๒-๒๔๘๘ เล่ม ๑.  ขอนแก่น : คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น.



วันจันทร์, พฤศจิกายน 14, 2565

มินามีเรื่องเล่า สาเกตนคร ตอนที่ ๘ พระขัติยวงษา (ท้าวเสือ) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ ๖

 

มินามีเรื่องเล่า สาเกตนคร ตอนที่ ๘ พระขัติยวงษา (ท้าวเสือ) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ ๖

         สวัสดีครับ วันนี้เรามารู้จักเจ้าเมืองร้อยเอ็ดท่านที่ ๖ นะครับ เป็นธรรมเนียมนะครับ เราต้องไล่เรียงเจ้าเมืองร้อยเอ็ดกันก่อนนะครับ

         เริ่มจากเจ้าเมืองร้อยเอ็ดท่านที่ ๑ คือ พระขัติยวงษา (ท้าวทนต์) ท่านที่ ๒ คือ พระขัติยวงษา (ท้าวสีลัง) ท่านที่ ๓ คือ พระขัติยวงษา (ท้าวอินทร์) ท่านที่ ๔ คือ พระขัติยวงษา (ท้าวจันทร์) ท่านที่ ๕ คือ พระขัติยวงษา (ท้าวสาร)

         ท่านที่ ๖ คือ พระขัติยวงษา (ท้าวเสือ)

         จำกันได้นะครับว่า ท้าวเสือ ท่านเป็นราชบุตร (เสือ) ในสมัยของพระขัติยวงษา (ท้าวสาร) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ ๕    

         ราชบุตร (เสือ) ได้มีความดีความชอบในการไปร่วมปราบศึกฮ่อ กอรปกับพระขัติยวงษา (ท้าวสาร) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดถูกคุมขัง จึงใด้มีการแต่งตั้งราชบุตรเสือให้เป็นพระขัติยวงษา (ท้าวเสือ) เจ้าเมืองร้อยเอ็ด แทนพระขัติยวงษา (ท้าวสาร)

         ปี พ.ศ. ๒๔๒๐ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งราชบุตรเสือเป็นพระขัติยวงษา (ท้าวเสือ) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ ๖ ครับ ท่านได้ปกครองเมืองร้อยเอ็ดเป็นเวลา ๕ ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๒๐ ถึงปี พ.ศ. ๒๔๒๕

         ในสมัยของพระขัติยวงษา (ท้าวเสือ) มีการเปลี่ยนแปลงคณะอาญาสี่ คือ คณะผู้ปกครองเมืองหลายชุดครับ เรามาดูกันทีละชุดครับ

         คณะอาญาสี่ชุดที่ ๑ (ปี พ.ศ. ๒๔๒๐)

         คณะอาญาสี่ชุดที่ ๑ ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแต่งตั้งเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๒๐ ได้แก่ พระขัติยวงษา (ท้าวเสือ) อุปฮาดก่ำ ราชวงศ์ (เชียงคำ) และราชบุตร (จักร)

         ท่านใดมาจากไหน ใครเป็นใคร มาพิจารณากันครับ

         เริ่มที่พระขัติยวงษา (ท้าวเสือ) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ ๖

ทบทวนอีกครั้งครับ พระขัติยวงษา (ท้าวสีลัง) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ ๒ มีบุตร คือ พระพิไสยสุริยวงศ์ อุปฮาดสิงห์ อุปฮาดจอม (สมัยพระขัติยวงษา-ท้าวสาร) และราชวงศ์อินทร์ (ต่อมาเป็นพระขัติยวงษา-ท้าวอินทร์ เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ ๓)

         พระพิไสยสุริยวงศ์ ท่านมีบุตร คือ ท้าวสาร (ต่อมาเป็นพระขัติยวงษา-ท้าวสาร เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ ๕) ท้าวเสือ (พระขัติยวงษา-ท้าวเสือ เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ ๖ ที่เรากำลังกล่าวถึงอยู่ครับ และท้าวอุปชิต

         อุปฮาด (ก่ำ) ท่านเป็นบุตรของราชวงศ์ (เหง้า) ท่านราชวงศ์ (เหง้า) เป็นหลานของพระชัติยวงษา (ท้าวสีลัง) และท่านเป็นลูกพี่ลูกน้องของพระรัตนวงษา (ท้าวคำผาย) แห่งเมืองสุวรรณภูมิ ต่อมาท่านราชวงศ์ (เหง้า) ได้เป็นอุปฮาด (เหง้า)ในสมัยของพระรัตนวงษา (ท้าวคำผาย) แห่งเมืองสุวรรณภูมิและต่อมาอุปฮาด (เหง้า) ยังได้เป็นพระศรีเกษตราธิชัย เจ้าเมืองเกษตรวิสัยนะครับ

         ราชวงศ์ (เชียงคำ) ท่านเป็นน้องชายของอุปฮาด (ก่ำ) บิดาของท่าน คือ ราชวงศ์ (เหง้า) ครับ

         ราชบุตร (จักร) ท่านเป็นหลานของพระขัติยวงษา (ท้าวเสือ)

*************

         คณะอาญาสี่ชุดที่ ๒ (ปี พ.ศ. ๒๔๒๓)

         ปี พ.ศ. ๒๔๒๒ อุปฮาด (ก่ำ) ถึงแก่กรรม และต่อมาราชวงศ์ (เชียงคำ) ขณะที่ท่านเดินทางกลับมาเมืองร้อยเอ็ด ท่านถึงแก่กรรมที่บ้านสนามแจง ดังนั้น กรมการเมืองผู้ใหญ่ถึงแก่กรรมถึงสองท่าน คืออุปฺฮาด (ก่ำ) เป็นพี่ชาย และราชวงศ์ (เชียงคำ) ผู้เป็นน้องชาย

         ในปี พ.ศ. ๒๔๒๓ พระขัติยวงษา (ท้าวเสือ) ได้มีใบบอกไปยังกรุงเทพฯ เพื่อขอตั้งตำแหน่งในคณะอาญาสี่ใหม่ โดยขอเลื่อนราชบุตร (จักร) เป็นอุปฮาด (จักร) แทนอุปฮาด (ก่ำ) และขอท้าวสุริยะ (เภา) เป็นราชวงศ์ (เภา) และขอท้าวเครือ เป็นราชบุตร (เครือ) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตามที่เจ้าเมืองร้อยเอ็ดแจ้งมา

         ดังนั้น คณะอาญาสี่ชุดที่ ๒ นี้ จึงมี พระขัติยวงษา (ท้าวเสือ) อุปฮาด (จักร) ราชวงศ์ (เภา) และราชบุตร (เครือ)

         คราวนี้ มาดูกันว่าใครเป็นใครครับ

         อุปฮาด (จักร) คือหลานของพระขัติยวงษา (ท้าวเสือ) ส่วนราชวงศ์ (เภา) คือท้าวสุริย (เภา) บุตรของท้าวสุริยวงศ์ (เภา) ชื่อเหมือนกันนะครับ และราชบุตร (เครือ) คือ ท้าวเครือ บุตรของพระขัติยวงษา (เสือ)  

          เรื่องเศร้าเกิดขึ้น คือ อุปฮาด (จักร) เสียชีวิตระหว่างเดินทางกลับเมืองร้อยเอ็ด ท่านถึงแก่กรรมที่บ้านสาลิกา

*******

         คณะอาญาสี่ ชุดที่ ๓ (ปี พ.ศ. ๒๔๒๔)

         ปี พ.ศ. ๒๔๒๔ พระยาขัติยวงษา (ท้าวเสือ) มีใบบอกมายังกรุงเทพฯ ขอให้ราชวงศ์ (เภา) เป็นอุปฮาด (เภา) และขอราชบุตร (เครือ) เป็นราชวงศ์ (เครือ) และขอท้าวอุปชิต น้องชายของพระชัติยวงษา (ท้าวเสือ) เป็นราชบุตร (อุปชิต) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตามที่ขอมา

         ปีที่แสนเศร้ามาถึงเร็ว ปี พ.ศ. ๒๔๒๕ เมืองร้อยเอ็ดสูญเสียคณะปกครองอาญาสี่ รวม ๓ ท่าน คือ เจ้าเมือง ราชวงศ์ และราชบุตร ต่างถึงแก่กรรมในปีเดียวกัน

พระขัติยวงษา (ท้าวเสือ) ราชวงศ์ (เครือ) และราชบุตร (อุปชิต) ต่างถึงแก่กรรม เหลืออยู่แต่อุปฮาด (เภา) ที่รักษาราชการเมืองร้อยเอ็ดต่อนะครับ

         ในเรื่องของตำแหน่งคณะอาญาสี่นั้น ยังมีตำแหน่งรองที่เรียกว่า ผู้ช่วยอาญาสี่ อีกสี่ตำแหน่ง ได้แก่ ท้าวสุริยะหรือท้าวขัติยะ ท้าวสุริโย ท้าวโพธิสาร และท้าวสุทธิสาร ซึ่งมักเป็นลูกหลานของคณะอาญาสี่ หน้าที่ต่างๆ ของคณะอาญาสี่และผู้ช่วยอาญาสี่ จะเล่าให้ฟังภายหน้านะครับ

         ครับ เรายังเหลือพระขัติยวงษา (ท้าวเภา) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดท่านที่ ๗ ก่อนจะมีการปฏิรูปการปกครองในภาคอีสานนะครับ โปรดติดตามตอนต่อไปครับ

********

แหล่งข้อมูลประกอบการเล่าเรื่อง

เติม วิภาคย์พจนกิจ.  (๒๕๓๐). ประวัติศาสตร์อีสาน ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๒.  กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.

พันคำทอง สุวรรณธาดา.  (๒๕๖๓).  ครรลองไทอีสาน-ล้านช้าง.  มหาสารคาม : หยกศึกษาภัณฑ์และการพิมพ์.

สุวิทย์ ธีรศาศวัต.  (๒๕๕๗).  ประวัติศาสตร์อีสาน พ.ศ. ๒๓๒๒-๒๔๘๘ เล่ม ๑.  ขอนแก่น : คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น.



วันอาทิตย์, พฤศจิกายน 13, 2565

มินามีเรื่องเล่า สาเกตนคร ตอนที่ ๗ พระขัติยวงษา (ท้าวสาร) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ ๕

 

มินามีเรื่องเล่า สาเกตนคร ตอนที่ ๗ พระขัติยวงษา (ท้าวสาร) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ ๕ 

         สวัสดีครับ วันนี้ขอเล่าเรื่องต่อถึงเจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ ๕ นะครับ

         แน่นอนครับ ขอย้อนเริ่มต้นที่ชื่อเจ้าเมืองคนที่๑ เหมือนเดิมนะครับ จะได้คุ้นชินและจำได้ (สำหรับผู้เล่าเรื่องนะครับ)

         เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ ๑ คือ พระขัติยวงษา (ท้าวทนต์) คนที่ ๒ คือ พระขัติยวงษา (ท้าวสีลัง) คนที่ ๓ คือ พระขัติยวงษา (ท้าวอินทร์) คนที่ ๔ คือพระขัติยวงษา (ท้าวจันทร์)

         ขอย้อนความจากตอนที่แล้วนะครับ

พระขัติยวงษา (จันทร์) ท่านอายุมาก ดังนั้นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ ตั้งให้พระขัติยวงษา (ท้าวจันทร์) เป็นพระนิคมจางวาง  

         และในปี พ.ศ. ๒๓๙๘ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแต่งตั้งราชวงศ์ (สาร) เป็นพระขัติยวงษา (ท้าวสาร) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดท่านที่ ๕

         คณะอาญาสี่ปกครองเมือง ประกอบด้วย เจ้าเมือง คือ พระขัติยวงษา (ท้าวสาร) อุปฮาด (จอม) ราชวงศ์ (ก่ำ) และราชบุตร (เสือ)        

         พระขัติยวงษา (ท้าวสาร) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ ๕ ท่านเป็นบุตรของพระพิไสยสุริยวงศ์

         พระพิไสยสุริยวงศ์ เป็นบุตรของพระขัติยวงษา (ท้าวสีลัง) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ ๒

         พระขัตยวงษา (ท้าวสีลัง) เป็นบุตรของพระขัติยวงษา (ท้าวทนต์) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ ๑

         ดังนั้น พระขัติยวงษา (ท้าวสาร) จึงเป็นหลานของพระขัตยวงษา (ท้าวสีลัง) เป็นเหลนของพระขัติยวงษา (ท้าวทนต์) ท่านยังเป็นหลานของพระขัติยวงษา (ท้าวอินทร์) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ ๓ ซึ่งเป็นอาของท่าน และท่านเป็นลูกพี่ลูกน้องกับพระขัติยวงษา (ท้าวจันทร์) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ ๔ ซึ่งพระขัติยวงษา (ท้าวจันทร์) เป็นบุตรของพระขัตยวงษา (ท้าวอินทร์)

         ไม่ต้องงุนงงสงสัยครับ เรื่องของวงศาคณาญาติเชื่อมโยงกันตลอดครับ

         ย้อนกลับมาที่พระขัติยวงษา (ท้าวสาร) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ ๕ ท่านได้รับการโปรดเกล้าฯ จากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวให้เป็นเจ้าเมืองร้อยเอ็ดเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๙๘

         ในปี พ.ศ. ๒๔๑๘ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ มีศึกฮ่อเกิดขึ้น

         พวกฮ่อเป็นพวกจีนที่เป็นกบฏในประเทศจีนแล้วอพยพหนีมารวมตัวกันในดินแดนญวน ต่อมาถูกปราบปรามจึงย้ายขึ้นไปตั้งกองกำลังอยู่บนเขาสูงชายแดนสิบสองจุไทย และยกพลเข้ามาตีหัวเมืองต่างๆ ในการปกครองของไทย

         พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ ให้พระยามหาอำมาตยธิบดี (ชื่น กัลยาณมิตร) ซึ่งขณะนั้นเป็นข้าหลวงใหญ่ที่เมืองจำปาศักดิ์ นำทัพไปปราบพวกฮ่อ และโปรดเกล้าฯ ให้เกณฑ์กำลังคนทางหัวเมืองตะวันออก มีเมืองหนองคาย เมืองอุบลราชธานี เมืองร้อยเอ็ด ไปปราบพวกฮ่อที่เมืองหนองคายและเมืองเวียงจันทน์

         ในเวลานั้นพระยามหาอำมาตยธิบดี (ชื่น กัลยาณมิตร) ท่านอยู่ที่เมืองอุบลราชธานี ท่านได้ให้เจ้าพรหมเทวานุเคราะห์ (เจ้าหน่อคำ) เจ้าเมืองอุบลราชธานี นำทัพไปหนองคายด้วย

         เมื่อมาถึงเมืองร้อยเอ็ด พระขัติยวงษา (ท้าวสาร) และราชบุตร (เสือ) ได้สมทบกองทัพของพระยามหาอำมาตยธิบดี (ชื่น กัลยาณมิตร) ไปปราบพวกกบฏฮ่อด้วย

         ในการสู้รบ ปรากฏว่าราชบุตร (เสือ) ถูกปืนฮ่อที่มือขวา เลือดไหล บ่าวไพร่พาท่านหนีมาได้

         ส่วนพระขัติยวงษา (ท้าวสาร) ท่านหนีกลับมาเมืองร้อยเอ็ด

         เมื่อเสร็จศึกแล้ว พระยามหาอำมาตยธิบดี (ชื่น กัลยาณมิตร) ซึ่งยังอยู่ที่เมืองหนองคาย ได้มีหนังสือสั่งให้ควบคุมตัวพระขัติยวงษา (ท้าวสาร) ไว้

         แต่พระขัติยวงษา (ท้าวสาร) ท่านกลับหนีไปอยู่ที่เมืองนครราชสีมา

         เจ้าเมืองนครราชสีมาได้จับกุมตัวท่านและจำตรวนส่งไปให้พระยามหาอำมาตยธิบดี (ชื่น กัลยาณมิตร) ที่เมืองหนองคาย ต่อมาพระยาขัติยวงษา (ท้าวสาร) ได้ถูกจำขังจนถึงแก่กรรมที่เมืองหนองคาย

         ในเวลาต่อมาพระยามหาอำมาตยธิบดี (ชื่น กัลยาณมิตร) ได้มาจัดราชการบ้านเมืองที่เมืองร้อยเอ็ด ท่านได้ตั้งให้ราชบุตร (เสือ) เป็นผู้รักษาราชการเมืองร้อยเอ็ด

         ในปี พ.ศ. ๒๔๒๐ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้าฯ ให้พระยามหาอำมาตยธิบดี (ชื่น กัลยาณมิตร) เดินทางกลับกรุงเทพฯ ในครั้งนี้มี ราชวงศ์ (คำสิงห์) ราชบุตร (เสือ) หลวงรัตนวงศา (บุญตา) และกรมการเมืองสุวรรณภูมิ ได้ติดตามพระยามหาอำมาตยธิบดี (ชื่น กัลยาณมิตร) ลงไปเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทที่กรุงเทพฯ ด้วย

         พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งให้ราชบุตร (เสือ) ซึ่งมีความดีความชอบในการไปต่อสู้กับทัพฮ่อให้เป็นพระขัติยวงษา (ท้าวเสือ) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ ๖ ต่อไป

         ในตอนต่อไปจะกล่าวถึงพระขัติยวงษา (ท้าวเสือ) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ ๖ นะครับ โปรดติดตาม

*******

แหล่งข้อมูลประกอบการเล่าเรื่อง

เติม วิภาคย์พจนกิจ.  (๒๕๓๐). ประวัติศาสตร์อีสาน ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๒.  กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.

พันคำทอง สุวรรณธาดา.  (๒๕๖๓).  ครรลองไทอีสาน-ล้านช้าง.  มหาสารคาม หยกศึกษาภัณฑ์และการพิมพ์.

สุวิทย์ ธีรศาศวัต.  (๒๕๕๗).  ประวัติศาสตร์อีสาน พ.ศ. ๒๓๒๒-๒๔๘๘ เล่ม ๑.  ขอนแก่น คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น.

 

ถ่ายภาพร่วมกับท่านอาจารย์จุลนีย์ ครูสอนสังคมศึกษาที่เคารพรัก โรงเรียนร้อยเอ็ดวิทยาลัย และดร. ปรีดา ลำมะนา ประธานชมรมครูเก่าโรงเรียนร้อยเอ็ดวิทยาลัยและอดีตผู้อำนวยการโรงเรียนร้อยเอ็ดวิทยาลัย ในการประชุมใหญ่สามัญประจำปี ๒๕๖๕ ของชมรมครูเก่าโรงเรียนร้อยเอ็ดวิทยาลัย ณ ห้องประชุมโรงแรม The Hi Place จังหวัดร้อยเอ็ด เมื่อวันที่ ๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๕



 

วันเสาร์, พฤศจิกายน 12, 2565

มินามีเรื่องเล่า สาเกตนคร ตอนที่ ๖

 



มินามีเรื่องเล่า สาเกตนคร ตอนที่ ๖

พระขัติยวงษา (ท้าวจันทร์) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ ๔

         สวัสดีครับ วันนี้มารู้จักเจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ ๔ นะครับ

ทวนกันอีกครั้งครับ เจ้าเมืองคนที่หนึ่งคือ พระขัติยวงษา (ท้าวทนต์) ต่อมาคือพระขัติยวงษา (ท้าวสีลัง) และเจ้าเมืองคนที่สามคือ พระขัติยวงษา (ท้าวอินทร์)

         คณะปกครองอาญาสี่ในสมัยของพระขัติยวงษา (ท้าวอินทร์) ประกอบด้วย พระขัติยวงษา (ท้าวอินทร์) เจ้าเมืองร้อยเอ็ด อุปฮาด (จันทร์) ราชวงศ์ (ภู) และราชบุตร (ก่ำ)

         พระขัติยวงษา (ท้าวอินทร์) เป็นเจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่สาม ท่านดำรงตำแหน่งได้ ๙ เดือน ก็ถึงแก่กรรม

บุตรชายของท่านคือ อุปฮาด (จันทร์) ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ จากพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวให้เป็นพระขัติยวงษา (ท้าวจันทร์) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดท่านที่สี่

 

         คณะอาญาสี่ในสมัยของพระขัติยวงษา (ท้าวจันทร์) ประกอบด้วย พระขัติยวงษา (ท้าวจันทร์) เป็นเจ้าเมือง อุปฮาด (ภู) ราชวงศ์ (สาร) ราชบุตร (จอม) 

พระขัติยวงษา (ท้าวจันทร์) ปกครองเมืองร้อยเอ็ดนะครับ ต่อมา อุปฮาด (ภู) ถึงแก่กรรม และพระขัติยวงษา (ท้าวจันทร์) ท่านชราภาพมาก พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ ตั้งให้พระขัติยวงษา (ท้าวจันทร์) เป็นพระนิคมจางวาง   

         ปี พ.ศ. ๒๓๙๘ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแต่งตั้งราชวงศ์ (สาร) เป็นพระขัติยวงษา (ท้าวสาร) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดท่านที่ ๕ และทรงเลื่อนราชบุตร (จอม) เป็นอุปฮาด (จอม) ทรงให้ท้าวก่ำ บุตรของพระขัติยวงษา (ท้าวอินทร์) เป็นราชบุตร (ก่ำ) และให้ท้าวเสือ บุตรของพระพิไสยสุริยวงศ์ เป็นราชบุตร (เสือ)   

         ขอทบทวนวงศาคณาญาติของเจ้าเมืองร้อยเอ็ดกันอีกครั้งครับ

เจ้าเมืองร้อยเอ็ดท่านที่ ๑ พระขัติยวงษา (ท้าวทนต์) เป็นบุตรของเจ้าแก้วบรม (หรือท้าวแก้วบรม หรือจารย์แก้ว)   เจ้าเมืองร้อยเอ็ดท่านที่ ๒ พระขัติยวงษา (ท้าวสีลัง)เป็นบุตรของพระขัติยวงษา (ท้าวทนต์)

เจ้าเมืองร้อยเอ็ดท่านที่ ๓ พระขัติยวงษา (ท้าวอินทร์) เป็นบุตรของพระขัติยวงษา (ท้าวสีลัง) เป็นหลานของพระขัติยวงษา (ท้าวทนต์)

เจ้าเมืองร้อยเอ็ดท่านที่ ๔ พระขัติยวงษา (ท้าวจันทร์) เป็นบุตรของพระขัติยวงษา (ท้าวอินทร์) เป็นหลานของพระขัติยวงษา (ท้าวสีทน) เป็นเหลนของพระขัติยวงษา (ท้าวทนต์)

         ตอนต่อไป เราจะมาดูเรื่องราวของเจ้าเมืองร้อยเอ็ดท่านที่ ๕ คือ พระขัติยวงษา (ท้าวสาร) และเจ้าเมืองร้อยเอ็ดท่านที่ ๖ คือ พระขัติยวงษา (ท้าวเสือ) และเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับกบฏฮ่อ ซึ่งมีผลต่อพระขัติยวงษา (ท้าวสาร) กันนะครับ โปรดติดตาม



วันศุกร์, พฤศจิกายน 11, 2565

มินามีเรื่องเล่า สาเกตนคร ตอนที่ ๕ พระขัติยวงษา (ท้าวอินทร์) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ ๓

 

การจัดประชุมชมรมครูเก่าโรงเรียนร้อยเอ็ดวิทยาลัย เมื่อวันที่ ๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๕

มินามีเรื่องเล่า สาเกตนคร ตอนที่ ๕ พระขัติยวงษา (ท้าวอินทร์) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ ๓

         สวัสดีครับ เราได้รู้จักเจ้าเมืองร้อยเอ็ดมาสองท่านแล้ว มีพระขัติยวงษา (ท้าวทนต์) และพระขัติยวงษา (ท้าวสีลัง)

วันนี้มารู้จัก เจ้าเมืองร้อยเอ็ดท่านที่สามนะครับ คือ พระขัติยวงษา (ท้าวอินทร์)

พระขัติยวงษา (ท้าวอินทร์) เป็นเจ้าเมืองร้อยเอ็ดท่านที่สามนี้ ท่านเป็นบุตรของพระขัติยวงษา (ท้าวสีลัง)  

จำกันได้นะครับว่า พระขัติยวงษา (ท้าวสีลัง) มีบุตรกับภรรยาท่านแรก คือ พระพิไสยสุริยวงศ์ (หรืออีกชื่อหนึ่ง คือ พระพิไชยสุริยวงศ์)

ส่วนบุตรกับภรรยาอีกคนหนึ่ง คือ อุปฮาดสิงห์ ท้าวจอม และราชวงศ์อินทร์

ราชวงศ์อินทร์ ท่านได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นเจ้าเมืองร้อยเอ็ดท่านที่สาม

         ปี พ.ศ. ๒๓๙๒ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ราชวงศ์อินทร์ เป็นพระขัติยวงษา (ท้าวอินทร์) และโปรดเกล้าฯ ให้ท้าวจันทร์ บุตรของพระขัติยวงษา (ท้าวอินทร์) เป็นอุปฮาด ให้ท้าวภู บุตรของราชวงศ์ (หล้า) เป็นราชวงศ์ และให้ท้าวก่ำ บุตรของพระขัติยวงศา (อินทร์) เป็นราชบุตร

         พระขัติยวงษา (ท้าวอินทร์) เป็นเจ้าเมืองร้อยเอ็ดได้ ๙ เดือน ถึงแก่กรรม

         ดังนั้นคณะอาญาสี่สมัยพระขัติยวงษา (ท้าวอินทร์) ประกอบด้วย พระขัติยวงษา (ท้าวอินทร์) เจ้าเมืองร้อยเอ็ด อุปฮาด (จันทร์) ราชวงศ์ (ภู) และราชบุตร (ก่ำ)

         ขออนุญาตเล่าเรื่องคณะอาญาสี่ หรือที่เรียกว่า อาชญาสี่ หรืออัญญา ๔ เป็นตำแหน่งสูงสุด ๔ ตำแหน่ง ประกอบด้วย ตำแหน่งที่หนึ่ง คือ เจ้าเมือง หรือเจ้ามหาชีวิต ตำแหน่งที่สอง คือ อุปฮาด ถ้าเป็นเมืองเล็กจะเรียกตำแหน่งนี้ว่า อัครฮาด หรือ อรรคอาด ตำแหน่งที่สาม คือ ราชวงศ์ เมืองเล็กเรียกตำแหน่งนี้ว่า อัครวงศ์ หรือ อรรควงศ์ ส่วนตำแหน่งที่สี่ คือ ราชบุตร เมืองเล็กเรียกตำแหน่งนี้ว่า อัครบุตร หรือ อรรคบุตร

         รายละเอียดของระบบการปกครองแบบอาญาสี่ ที่มีการแบ่งอำนาจหน้าที่ต่างๆ กัน จะขอเล่าในภายหน้านะครับ

 


มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French

  มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French กรมหลวงพิพิธมนตรี (พระพันวัสสาน้อย) เป็นพระอัครมเหสีน้อยของสมเด็จพ...