มินามีเรื่องเล่า สาเกตนคร ตอนที่ ๙ พระขัติยวงษา (ท้าวเภา) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ ๗
สวัสดีครับ
เรื่องเจ้าเมืองสาเกตนครของเราดำเนินมาถึงตอนที่ ๙ แล้วนะครับ
ตอนนี้จะกล่าวถึงพระขัติยวงษา (ท้าวเภา) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ ๗ นะครับ
พระขัติยวงษา
(ท้าวเภา) เป็นบุตรของท้าวสุริยวงศ์ (เภา) ท่านรับราชการโดยเป็นราชวงศ์
(เภา) ในสมัยของพระขัติยวงษา (ท้าวเสือ) เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๒๓ ต่อมาท่านได้รับตำแหน่งอุปฮาด
(เภา) เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๒๔
ในปี พ.ศ. ๒๔๒๕ พระขัติยวงษา (ท้าวเสือ) ถึงแก่กรรม ยังมิได้มีการโปรดเกล้าฯ ให้ใครเป็นเจ้าเมืองร้อยเอ็ด บรรดาเมืองแสนและท้าวเพียกรมการเมืองร้อยเอ็ดจึงมีใบบอกไปยังพระยามหาอำมาตยาธิบดี (หรุ่น ศรีเพ็ญ) ข้าหลวงกำกับการหัวเมืองตะวันออก เพื่อขอแต่งตั้งท้าวโสม บุตรพระยาขัติยวงษา (ท้าวเสือ) เป็นเจ้าเมืองร้อยเอ็ด และขอแต่งตั้งเมืองกลางเป็นราชวงศ์
ขออธิบายตำแหน่งทางการปกครองที่อ้างถึง
๓ ตำแหน่งนะครับ คือ เมืองแสน เมืองกลาง และท้าวเพีย
ในการปกครองแบบล้านช้างนั้น คณะอาญาสี่จะมีเจ้าเมือง
อุปฮาด ราชวงศ์ และราชบุตร ส่วนในคณะผู้ช่วยอาญาสี่ ประกอบด้วย ท้าวสุริยะหรือท้าวขัติยะ
ท้าวสุริโย ท้าวโพธิสาร และท้าวสุทธิสาร
ตำแหน่งรองลงไปจะเรียกว่า ขื่อบ้านขางเมือง
มี ๑๗ ตำแหน่ง ตัวอย่างเช่น เมืองแสน เป็นตำแหน่งแรกนะครับ มีหน้าที่ควบคุมดูแลกองทหารครับ
เมืองจันทร์ เป็นตำแหน่งที่สอง มีหน้าที่กำกับฝ่ายพลเรือน ส่วนเมืองกลาง เป็นตำแหน่งที่สาม
มีหน้าที่ดูแลพัสดุของเมือง ดูแลเรือนจำ รวมถึงการสร้างและปฏิสังขรณ์วัด
งานบริหารทั่วไปและตัดสินคดีต่างๆ
ส่วนตำแหน่งเพียนั้น
ถ้าเป็นเมืองที่ไม่มีกษัตริย์ มีเจ้าเมืองปกครองจะเรียกเพียนำหน้าตำแหน่ง
เช่นเพียเมืองแสน เพียเมืองจันทร์ นอกจากนี้เพียยังเป็นตำแหน่งพิเศษ (ท้าวผู้น้อย)
มีหลายเพียครับ เช่น เพียซาโนชิต เพียงซาบรรทม ฯลฯ
ย้อนกลับมาที่เมืองร้อยเอ็ดนะครับ
ภายหลังทางกรมการเมืองใด้ทำใบบอกใหม่ไปยังพระยามหาอำมาตยาธิบดี (หรุ่น ศรีเพ็ญ)
โดยขอให้อุปฮาด (เภา) เป็นเจ้าเมืองร้อยเอ็ด และขอท้าวไชยเสนเป็นอุปฮาด
ขอท้าวสุเมร์เป็นราชวงศ์ และขอท้าวสุริยะ (อุทา) เป็นราชบุตร
ปี พ.ศ. ๒๔๒๕ พระยามหาอำมาตยาธิบดี
(หรุ่น ศรีเพ็ญ) ข้าหลวงกำกับการหัวเมืองตะวันออก
ได้มีใบบอกมายังกรุงเทพฯ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้อุปฮาด
(เภา) เป็นพระขัติยวงษา (ท้าวเภา) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ ๗
แต่ตำแหน่งอุปฮาดและราชบุตรนั้น
พระยาพระยามหาอำมาตยาธิบดี (หรุ่น ศรีเพ็ญ) ได้มีตราจุลราชสีห์ให้ท้าวโสม
เป็นอุปฮาด (โสม) และเมืองกลาง เป็นราชวงศ์ ตามที่คณะกรมการเมืองขอมาแต่ครั้งแรก
ปี พ.ศ. ๒๔๓๒ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ
พระราชทานสัญญาบัตรให้ท้าวไชยเสนเป็นอุปฮาด (ไชยเสน) ให้ท้าวสุเมร์เป็นราชวงศ์
(สุเมร์) และท้าวสุริยะ (อุทา) เป็นราชบุตร (อุทา)
พระขัติยวงษา (ท้าวเภา) ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่
๑๖ กันยายน พ.ศ. ๒๔๓๓
หลังจากการถึงแก่กรรมของพระขัติยวงษา
(ท้าวเภา) แล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่ได้โปรดเกล้าฯ
ให้ใครดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองร้อยเอ็ด จนถึงสมัยที่พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นสรรพสิทธิประสงค์
(ฐานันดรศักดิ์ในช่วงเวลานั้น) ซึ่งเป็นข้าหลวงต่างพระองค์สำเร็จราชการมณทลตะวันออกเฉียงเหนือ
เสด็จมาตรวจราชการเมืองร้อยเอ็ดในปี พ.ศ. ๒๔๔๒ โปรดตั้งให้ซานนท์ (เหลา)
ซึ่งเป็นอุปฮาดรักษาราชการเมืองร้อยเอ็ดเป็นพระสตาเนทประชาธรรม ตำแหน่งปลัดเมือง
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๔๘ พระเจ้าน้องยาเธอ
กรมหมื่นสรรพสิทธิประสงค์ได้ทรงขอพระราชทานสัญญาบัตรให้พระสตาเนทประชาธรรม
(เหลา) เป็นพระยาขัติยวงษาเอกาธิกะสตานันท์ ผู้ว่าราชการเมืองร้อยเอ็ด
ครับ เรื่องของเมืองสาเกตนคร
ชุดพระขัติยวงษา เจ้าเมืองคนที่ ๑ ถึงคนที่ ๗ ได้จบลงนะครับ
ตอนต่อไปจะเล่าเรื่องเมืองจตุรพักตรพิมาน
และเมืองอื่นๆ นะครับ
พร้อมกันนี้จะเล่าเรื่องเกี่ยวกับการปฏิรูปการปกครองภาคอีสาน
๓ ระยะ คือ ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๓๓-๒๔๓๖ ระหว่าง
พ.ศ. ๒๔๓๖ (ตุลาคม) – ๒๔๕๗ และระหว่าง พ.ศ. ๒๔๕๘-๒๔๗๖ ครับ
************************
แหล่งข้อมูลประกอบการเล่าเรื่อง
เติม วิภาคย์พจนกิจ.
(๒๕๓๐). ประวัติศาสตร์อีสาน ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
พันคำทอง สุวรรณธาดา.
(๒๕๖๓). ครรลองไทอีสาน-ล้านช้าง. มหาสารคาม : หยกศึกษาภัณฑ์และการพิมพ์.
สุวิทย์ ธีรศาศวัต.
(๒๕๕๗). ประวัติศาสตร์อีสาน พ.ศ.
๒๓๒๒-๒๔๘๘ เล่ม ๑. ขอนแก่น : คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น.

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น