มินามีเรื่องเล่า อนุสาวรีย์รัชกาลที่ ๖ หน้าบึงพลาญชัย จังหวัดร้อยเอ็ด
ท่านที่มาถึงหน้าทางเข้าบึงพลาญชัย ใจกลางเมืองร้อยเอ็ด ท่านจะเห็นอนุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ ๖ และชาวร้อยเอ็ดและแขกบ้านแขกเมืองต่างน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์มีต่อประเทศไทย
ที่อนุสาวรีย์ของพระองค์
มีป้ายสีดำเขียนบรรยายพระราชกรณียกิจที่พระองค์ได้ทรงปฏิบัติไว้ ป้ายอักษรสีดำค่อนข้างอ่านลำบาก
และมีแท่นสำหรับตั้งไฟสปอร์ตไลท์ขวางป้ายไว้ ทำให้อ่านได้ไม่ชัดเจน ถ่ายภาพไม่ครบถ้วน
ไม่สามารถเก็บใจความที่เขียนไว้ที่ป้ายได้ครบ แต่ผมจะขอนำข้อความมาแยกเป็นข้อๆ
แล้วเล่าสู่กันฟังครับ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระมหากษ้ตริย์อันดับที่ ๖
แห่งราชวงศ์จักรี ทรงเป็นพระราชโอรส ลำดับที่ ๒ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จพระศรีพัชรินทรา
บรมราชินีนาถ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชสมภพเมื่อวันเสาร์ที่
๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๒๓ และเสด็จบรมราชาภิเษกเมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๔ เสด็จดำรงราชสมบัติอยู่
๑๖ ปี เสด็จสวรรคตเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๘
มีพระชนมพรรษา ๔๖ พรรษา
ขอยกตัวอย่างพระปรีชาญาณของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวประมาณ ๑๔
ข้อดังนี้ครับ
๑.
ทรงวางรากฐานการปกครองระบอบประชาธิปไตย
๒.
ทรงส่งเสริมการปกครองระบบเทศาภิบาลและการปกครองท้องถิ่น แบ่งเป็นเมืองกาฬสินธุ์ เมืองสารคาม
และเมืองร้อยเอ็ด
๓. ทรงก่อกำเนิดเสือป่า ลูกเสือ
อนุกาชาด และสภากาชาดไทย
๔.
ทรงประกาศใช้พระราชบัญญัติประถมศึกษาภาคบังคับ
และขยายการศึกษาจนถึงอุดมศึกษาเป็นครั้งแรก
๕.
ทรงตั้งธนาคารออมสินและริเริ่มกิจการสหกรณ์
๖. ทรงวางรากฐานการคมนาคมทางอากาศ
๗. ทรงเปลี่ยนแปลงการใช้ศักราชจาก ร.ศ.
เป็น พ.ศ.
๘. ทรงให้มีการใช้ธงไตรรงค์เป็นธงชาติ
๙. มีการแก้ไขสนธิสัญญา
๑๐.
ทรงพระราชนิพนธ์หนังสือไว้เป็นจำนวนมาก
๑๑. พระราชทานกำเนิดการใช้นามสกุล
๑๒.
ทรงบัญญัติศัพท์เพื่อเรียกคำนำหน้าสตรีและเด็ก
๑๓. ทรงก่อตั้งกองพลทหารราบ
๑๔. ทรงให้ใช้เงินสตางค์แทน
ขอขยายความดังนี้ครับ
๑.
ทรงวางรากฐานการปกครองระบอบประชาธิปไตย
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพยายามเผยแพร่ให้การศึกษาแก่ประชาชน
ทรงฝึกสอนเรื่องการปกครองในระบอบประชาธิปไตยแก่คนในชาติ และทรงนำความรู้เกี่ยวกับการปกครองระบอบประชาธิปไตยเมื่อครั้งที่ทรงศึกษา
ณ ประเทศอังกฤษมาทดลองดำเนินการ ทรงสร้างดุสิตธานี
เพื่อเป็นธานีทดลองรูปแบบการปกครองระบอบประชาธิปไตย ดุสิตธานี
เป็นชื่อเมืองสมมุติที่ทรงสร้างขึ้นแบบย่อส่วนในอัตราส่วน ๑ ต่อ ๒๐ เพื่อใช้ในการทดลองการปกครองแบบประชาธิปไตย
ดุสิตธานีมีชื่อเต็มว่า “มณฑลดุสิตธานี”
๒. ทรงส่งเสริมการปกครองระบบเทศาภิบาลและการปกครองท้องถิ่น
แบ่งเป็นเมืองกาฬสินธ์ เมืองสารคาม และเมืองร้อยเอ็ด
หัวข้อที่ ๒ นี้เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปการปกครองนะครับ
การปฏิรูปการปกครองทางอีสานเริ่มมีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่
๕ โดยแบ่งออกเป็น ๓ ระยะ ได้แก่
ระยะที่
๑ ปี พ.ศ. ๒๔๓๓ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ระยะที่
๑ แบ่งเป็น ๒ ช่วง ได้แก่
ช่วงที่หนึ่ง
ปี พ.ศ. ๒๔๓๓ มีการแบ่งเป็นหัวเมืองเป็น ๔ ฝ่าย ได้แก่
๑.
หัวเมืองลาวฝ่ายเหนือ
๒.
หัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออก
๓.
หัวเมืองลาวฝ่ายตะวันตก
๔. หัวเมืองลาวฝ่ายกลาง
ช่วงที่สอง
ปี พ.ศ. ๒๔๓๔ ห่างจากช่วงที่หนึ่งเพียงปีเดียว คือมีการยุบหัวเมืองลง เหลือเพียง
๓ หัวเมือง โดยมีข้าหลวงใหญ่จากรัฐบาลกลางมากำกับดูแล ได้แก่
๑.
หัวเมืองลาวพวน เป็นชื่อใหม่ของ หัวเมืองลาวฝ่ายเหนือ มีกองบัญชาการที่เมืองหนองคาย
๒.
หัวเมืองลาวฝ่ายกลาง มีกองบัญชาการที่เมืองนครราชสีมา
๓.
หัวเมืองลาวกาว เป็นการยุบรวมหัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออกและหัวเมืองลาวฝ่ายตะวันตกเข้าด้วยกัน
แล้วเรียกชื่อใหม่ว่า หัวเมืองลาวกาว มีกองบัญชาการที่เมืองอุบลราชธานี
โดยสรุป ในระยะที่ ๑ มีหัวเมือง ๓
หัวเมือง ได้แก่ หัวเมืองลาวพวน หัวเมืองลาวฝ่ายกลาง และหัวเมืองลาวกาว
ระยะที่ ๒ พ.ศ. ๒๔๓๗-๒๔๕๗ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ในระยะที่
๒ มีการปฎิรูปการปกครองทั้งระดับกว้างและลึก จนถึงระดับหมู่บ้าน
ทำให้จำนวนเมืองเล็กหายไป ถูกยุบไปเป็นอำเภอ ตำบล ส่วนเมืองใหญ่กลายเป็นจังหวัดขึ้นกับข้าหลวงใหญ่และข้าหลวงเทศาภิบาล
มีการกำหนดอำนาจหน้าที่ของแต่ละหน่วยอย่างจัดเจน
ระยะที่ ๓ พ.ศ. ๒๔๕๘-๒๔๗๖ ปลายสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
และในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ในระยะที่ ๓ มีการยุบตำแหน่งต่างๆ
เนื่องจากฐานะทางการคลังไม่ดี
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปรับเปลี่ยนระบบการบริหารของประเทศให้มีความเหมาะสม
ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ตรา “ข้อบังคับลักษณะการปกครองหัวเมืองชั่วคราว” เพื่อบริหารราชการส่วนภูมิภาค
ทรงเปลี่ยนคำเรียกชื่อ “เมือง” เป็น “จังหวัด” ทรงรวมมณฑลเป็น
“ภาค” และทรงประกาศยกฐานะจาก“ตำบลนคร” ขึ้นเป็น “เมือง”
๓.
ทรงก่อกำเนิดเสือป่า ลูกเสือ อนุกาชาด และสภากาชาดไทย
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นบิดาแห่งการลูกเสือไทย
ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งกองเสือป่า ขึ้นเมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๔ และทรงพระราชทานกำเนิดกิจการลูกเสือขึ้นในวันที่
๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๔ ประเทศไทยเป็นประเทศที่ ๓ ที่ก่อกำเนิดลูกเสือขึ้นในโลก
นับว่าทรงมีสายพระเนตรก้าวไกลในการปลูกนิสัยให้พสกนิกรรักชาติ ศาสน์
กษัตริย์และมีความเข้มแข็ง มีระเบียบวินัย ดังนั้น วันที่ ๑ กรกฏาคมของทุกปี
จึงเป็นวันลูกเสือแห่งชาติ
๔.
ทรงประกาศใช้พระราชบัญญัติประถมศึกษาภาคบังคับ
และขยายการศึกษาจนถึงอุดมศึกษาเป็นครั้งแรก
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นนักการศึกษาที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ใช้ “พระราชบัญญัติประถมศึกษา เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๔
เพื่อเป็นการบังคับให้เด็กทุกคนที่มีอายุตั้งแต่ ๗ ปีบริบูรณ์
เรียนหนังสืออยู่ในโรงเรียนจนอายุครีบ ๑๔ ปีบริบูรณ์
๕.
ทรงตั้งธนาคารออมสินและริเริ่มกิจการสหกรณ์
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าให้ตั้ง
“คลังออมสิน” ในวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๖
เพื่อให้ประชาชนรู้จักการประหยัดและการออมทรัพย์เพื่อให้มีฐานะมั่นคงตลอดไป
นอกจากนี้
ทรงเปิดสหกรณ์แห่งแรกของประเทศไทย คือ “สหกรณ์วัดจันทร์ ไม่จำกัดสินใช้”
ที่ตำบลวัดจันทร์ อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก นอกจากนี้ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ตั้ง “กรมสรรพากร” และ “กรมตรวจเงินแผ่นดิน” อีกด้วย
๖.
ทรงวางรากฐานการคมนาคมทางอากาศ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นผู้วางรากฐานการคมนาคมทางอากาศ
หรือ “การบินพาณิชย์” โดยมีการขนส่งไปรษณีย์ภัณฑ์ทางอากาศระหว่างกรุงเทพฯ
กับจังหวัดนครราชสีมาเป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๓
นอกจากนี้ยังโปรดเกล้าให้ตั้ง
“กองบินทหารบก” ขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๔๕๖ ต่อมาได้พัฒนาเป็น “กรมอากาศยาน”
และยกฐานะเป็น “กองทัพอากาศ” อีกทั้งยังทรงตั้ง “ทหารรักษาวัง”
ที่จังหวัดภาคใต้ เพื่อป้องกันพระราชอาณาเขตตั้งแต่เพชรบุรีลงไปอีกด้วย
๗.
ทรงเปลี่ยนแปลงการใช้ศักราชจาก ร.ศ. เป็น พ.ศ.
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประกาศให้เลิกใช้รัตนโกสินทร์ศก
มาเป็นพุทธศักราชศก ในปี พ.ศ. ๒๔๕๖ เพื่อให้มีความสอดคล้องกับการนับถือพระพุทธศาสนาของคนไทยและเป็นเอกลักษณ์ของชาติที่ผูกพันกับพระพุทธศาสนาอย่างแน่นแฟ้น
๘.
ทรงให้มีการใช้ธงไตรรงค์เป็นธงชาติ
ธงชาติเป็นเครื่องหมายของความเป็นศรีสง่าและแสดงถึงเกียรติภูมิของชาติ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่งส่งทหารเข้าร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ ๑
และทรงพิจารณาว่าควรเปลี่ยนธงช้างเป็นธงสามสี คือ สีขาว สีแดง และสีน้ำเงิน
ตามลักษณะธงชาติของประเทศที่เป็นสัมพันธมิตรกับกรุงสยาม
นอกจากนี้
เพื่อเป็นเครื่องหมายให้เห็นว่าได้ร่วมสุขทุกข์และเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับสัมพันธมิตร
ได้พระราชทานชื่อธงสามสีว่า ธงไตรรงค์
นับได้ว่าเป็นพระปรีชาญาณอันลึกซึ่งที่พระองค์นำสถาบันหลักของชาติมาเป็นสัญลักษณ์บนผืนธงได้อย่างงดงาม
๙.
มีการแก้ไขสนธิสัญญา
หลังจากสงครามโลกครั้งที่
๑ สยามได้ส่งทหารไทยเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตร ทำให้มีการแก้ไขสนธิสัญญาเบาริ่งที่เคยทำไว้ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่
๔
๑๐.
ทรงพระราชนิพนธ์หนังสือไว้เป็นจำนวนมาก
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นกษัตริย์แห่งอักษรศาสตร์
ทรงพระราชนิพนธ์วรรณกรรมทั้งร้อยแก้ว ร้อยกรอง ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ นับพันเรื่อง
ตัวอย่างเช่น มัทนะพาธา หัวใจนักรบ พระร่วง ฯลฯ
ดังนั้นพระองค์ได้รับพระสมัญญานามว่า “สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า”
สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นนักปราชญ์
๑๑.
พระราชทานกำเนิดการใช้นามสกุล
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชโองการให้ตรา
พระราชบัญญัติขนานนามสกุล ในปี พ.ศ. ๒๔๕๖
เนื่องจากมีพระราชดำริว่าบุคคลทุกคนควรต้องมีทั้งชื่อตัวและนามสกุลต่อท้ายชื่อ
ทำให้สามารถบัญญัติวิธีจดทะเบียนคนเกิด คนตาย และการสมรสได้ชัดเจน
๑๒.
ทรงบัญญัติศัพท์เพื่อเรียกคำนำหน้าสตรีและเด็ก
ทรงบัญญัติศัพท์ขึ้นใช้แทนคำไทยที่ไม่เหมาะสม
เช่น นาง นางสาว ใช้แทน อำแดง, โรคระบาด ใช้แทน
โรคติดต่อ, กรมชลประทาน ใช้แทน กรมทดน้ำ หรือ สภากาชาด ใช้แทน สภาอุณาโลมแดง
นอกจากนี้ยังทรงคิดศัพท์ภาษาไทยจากคำภาษาอังกฤษ เช่น วิทยุ จากคำ radio, คมนาคม จากคำ Communication, ไปรษณียบัตร จากคำ postcard เป็นต้น
๑๓.
ทรงก่อตั้งกองพลทหารราบ
๑๔.
ทรงให้ใช้เงินสตางค์แทนเงินสมัยโบราณ
นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ท่านมีต่อปวงชนชาวไทยนะครับ
พระราชกรณียกิจของพระองค์ยังมีอีกมากนะครับ
โดยเฉพาะงานด้านภาษา ซึ่งคงต้องนำมาเล่ากันในโอกาสต่อไปครับ
*******
แหล่งข้อมูลประกอบการเล่าเรื่อง
กัญญรัตน์ เวชศาสตร์. (๒๕๕๔). พระอัจฉริยภาพราชปราชญ์ : สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์บ้านดวงดาว.
สุวิทย์ ธีรศาศวัต. (๒๕๕๗). ประวัติศาสตร์อีสาน พ.ศ. ๒๓๒๒-๒๔๘๘ เล่ม ๑. ขอนแก่น: โรงพิมพ์คลังนานาวิทยา.
สุวิทย์ ธีรศาศวัต. (๒๕๕๗). ประวัติศาสตร์อีสาน พ.ศ. ๒๓๒๒-๒๔๘๘. (เล่ม ๒). ขอนแก่น: โรงพิมพ์คลังนานาวิทยา.
*******
Mina’s Stories: The monument of King Vajiravuth, Rama VI at Beung
Phalan Chai, Roi-Et.
Before entering Beung Phalan Chai Recreation Park, located in the
city center of Roi-et, tourists pay homage to the monument of King Vajiravuth,
Rama VI.
King Vajiravuth is the sixth king of the Chakri dynasty. He is the
son of King Chulachomklao, Rama V and Queen Si Phatcharindra.
King Vijiravuth was born on Saturday January 1st, 1880.
He ascended the throne on December 2nd, 1991 and spent 16 years
ruling Siam. He died on November 26th, 1925, at the age of 46.
Our prominent king developed the country with his talents. The board
located in front of the monument describes his works: the foundation of
democracy, the reform of state administrations, the promulgation of the decree
on compulsory education, the foundation of the savings bank and cooperation
affairs, the creation of boy scouts and of the Red Cross of Siam, the air
transportation, the adoption of the Buddhist era and the Tri-Rong Flag
(Tricolor) of Siam, the use of surnames and appellations for women and
children, amendments to treaties, and many books, especially on literature.
Histoires de Mina : Le monument du Roi Vajiravuth,
Rama VI à Beung Phalan Chai, Roi-Et
Avant d’entrer dans le parc de recréation Beung Phalan
Chai, situé dans le centre- ville de Roi-et, les touristes rendent hommage au
monument du roi Vajiravuth, Rama VI.
Le roi Vajiravuth est le sixième roi de la dynastie
Chakri. Il est le fils du roi Chulachomklao, Rama V et de la reine Si
Phatcharindra. Le roi Rama VI fut né le samedi 1er janvier, 1880. Il
monta sur le trône le 2 décembre 1991 et passa 16 ans à gouverner le Siam. Il
mourra le 26 novembre 1925, à l’âge de 46 ans.
Notre roi éminent fit développer le pays
avec ses talents. Le panneau situé devant le monument décrivit ses grandes
œuvres : la fondation de la démocratie, la réforme des administrations
d’état, la promulgation du décret portant sur l’éducation obligatoire, la
fondation de la caisse d’épargne et des affaires de la coopération, la création
de boy scouts et de la croix rouge du Siam, le transport aérien, l’adoption de
l’ère bouddhique et du drapeau tricolore du Siam, l’emploi des noms de famille
et les appellations pour femme et enfant, les amendements des traités, et de nombreux livres, en particulier sur la
littérature.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น