มินามีเรื่องเล่า สาเกตนคร ตอนที่ ๗ พระขัติยวงษา (ท้าวสาร) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ ๕
สวัสดีครับ
วันนี้ขอเล่าเรื่องต่อถึงเจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ ๕ นะครับ
แน่นอนครับ
ขอย้อนเริ่มต้นที่ชื่อเจ้าเมืองคนที่๑ เหมือนเดิมนะครับ จะได้คุ้นชินและจำได้ (สำหรับผู้เล่าเรื่องนะครับ)
เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ ๑ คือ
พระขัติยวงษา (ท้าวทนต์) คนที่ ๒ คือ พระขัติยวงษา (ท้าวสีลัง) คนที่ ๓ คือ
พระขัติยวงษา (ท้าวอินทร์) คนที่ ๔ คือพระขัติยวงษา (ท้าวจันทร์)
ขอย้อนความจากตอนที่แล้วนะครับ
พระขัติยวงษา (จันทร์) ท่านอายุมาก
ดังนั้นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ ตั้งให้พระขัติยวงษา
(ท้าวจันทร์) เป็นพระนิคมจางวาง
และในปี พ.ศ.
๒๓๙๘ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแต่งตั้งราชวงศ์ (สาร) เป็นพระขัติยวงษา
(ท้าวสาร) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดท่านที่ ๕
คณะอาญาสี่ปกครองเมือง ประกอบด้วย เจ้าเมือง
คือ พระขัติยวงษา (ท้าวสาร) อุปฮาด (จอม) ราชวงศ์ (ก่ำ) และราชบุตร
(เสือ)
พระขัติยวงษา (ท้าวสาร)
เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ ๕ ท่านเป็นบุตรของพระพิไสยสุริยวงศ์
พระพิไสยสุริยวงศ์
เป็นบุตรของพระขัติยวงษา (ท้าวสีลัง) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ ๒
พระขัตยวงษา (ท้าวสีลัง)
เป็นบุตรของพระขัติยวงษา (ท้าวทนต์) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ ๑
ดังนั้น พระขัติยวงษา (ท้าวสาร)
จึงเป็นหลานของพระขัตยวงษา (ท้าวสีลัง) เป็นเหลนของพระขัติยวงษา (ท้าวทนต์)
ท่านยังเป็นหลานของพระขัติยวงษา (ท้าวอินทร์) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ ๓
ซึ่งเป็นอาของท่าน และท่านเป็นลูกพี่ลูกน้องกับพระขัติยวงษา (ท้าวจันทร์)
เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ ๔ ซึ่งพระขัติยวงษา (ท้าวจันทร์) เป็นบุตรของพระขัตยวงษา
(ท้าวอินทร์)
ไม่ต้องงุนงงสงสัยครับ
เรื่องของวงศาคณาญาติเชื่อมโยงกันตลอดครับ
ย้อนกลับมาที่พระขัติยวงษา (ท้าวสาร)
เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ ๕ ท่านได้รับการโปรดเกล้าฯ
จากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวให้เป็นเจ้าเมืองร้อยเอ็ดเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๙๘
ในปี พ.ศ. ๒๔๑๘
ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ มีศึกฮ่อเกิดขึ้น
พวกฮ่อเป็นพวกจีนที่เป็นกบฏในประเทศจีนแล้วอพยพหนีมารวมตัวกันในดินแดนญวน
ต่อมาถูกปราบปรามจึงย้ายขึ้นไปตั้งกองกำลังอยู่บนเขาสูงชายแดนสิบสองจุไทย
และยกพลเข้ามาตีหัวเมืองต่างๆ ในการปกครองของไทย
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ ให้พระยามหาอำมาตยธิบดี (ชื่น กัลยาณมิตร) ซึ่งขณะนั้นเป็นข้าหลวงใหญ่ที่เมืองจำปาศักดิ์ นำทัพไปปราบพวกฮ่อ และโปรดเกล้าฯ ให้เกณฑ์กำลังคนทางหัวเมืองตะวันออก มีเมืองหนองคาย เมืองอุบลราชธานี เมืองร้อยเอ็ด ไปปราบพวกฮ่อที่เมืองหนองคายและเมืองเวียงจันทน์
ในเวลานั้นพระยามหาอำมาตยธิบดี (ชื่น
กัลยาณมิตร) ท่านอยู่ที่เมืองอุบลราชธานี ท่านได้ให้เจ้าพรหมเทวานุเคราะห์
(เจ้าหน่อคำ) เจ้าเมืองอุบลราชธานี นำทัพไปหนองคายด้วย
เมื่อมาถึงเมืองร้อยเอ็ด พระขัติยวงษา
(ท้าวสาร) และราชบุตร (เสือ) ได้สมทบกองทัพของพระยามหาอำมาตยธิบดี
(ชื่น กัลยาณมิตร) ไปปราบพวกกบฏฮ่อด้วย
ในการสู้รบ ปรากฏว่าราชบุตร (เสือ)
ถูกปืนฮ่อที่มือขวา เลือดไหล บ่าวไพร่พาท่านหนีมาได้
ส่วนพระขัติยวงษา (ท้าวสาร)
ท่านหนีกลับมาเมืองร้อยเอ็ด
เมื่อเสร็จศึกแล้ว พระยามหาอำมาตยธิบดี
(ชื่น กัลยาณมิตร) ซึ่งยังอยู่ที่เมืองหนองคาย ได้มีหนังสือสั่งให้ควบคุมตัวพระขัติยวงษา
(ท้าวสาร) ไว้
แต่พระขัติยวงษา
(ท้าวสาร) ท่านกลับหนีไปอยู่ที่เมืองนครราชสีมา
เจ้าเมืองนครราชสีมาได้จับกุมตัวท่านและจำตรวนส่งไปให้พระยามหาอำมาตยธิบดี
(ชื่น กัลยาณมิตร) ที่เมืองหนองคาย ต่อมาพระยาขัติยวงษา (ท้าวสาร) ได้ถูกจำขังจนถึงแก่กรรมที่เมืองหนองคาย
ในเวลาต่อมาพระยามหาอำมาตยธิบดี (ชื่น
กัลยาณมิตร) ได้มาจัดราชการบ้านเมืองที่เมืองร้อยเอ็ด ท่านได้ตั้งให้ราชบุตร
(เสือ) เป็นผู้รักษาราชการเมืองร้อยเอ็ด
ในปี พ.ศ. ๒๔๒๐
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้าฯ ให้พระยามหาอำมาตยธิบดี
(ชื่น กัลยาณมิตร) เดินทางกลับกรุงเทพฯ ในครั้งนี้มี ราชวงศ์ (คำสิงห์)
ราชบุตร (เสือ) หลวงรัตนวงศา (บุญตา) และกรมการเมืองสุวรรณภูมิ
ได้ติดตามพระยามหาอำมาตยธิบดี (ชื่น กัลยาณมิตร) ลงไปเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทที่กรุงเทพฯ
ด้วย
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ตั้งให้ราชบุตร (เสือ) ซึ่งมีความดีความชอบในการไปต่อสู้กับทัพฮ่อให้เป็นพระขัติยวงษา
(ท้าวเสือ) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ ๖ ต่อไป
ในตอนต่อไปจะกล่าวถึงพระขัติยวงษา
(ท้าวเสือ) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ ๖ นะครับ โปรดติดตาม
*******
แหล่งข้อมูลประกอบการเล่าเรื่อง
เติม วิภาคย์พจนกิจ. (๒๕๓๐). ประวัติศาสตร์อีสาน ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
พันคำทอง สุวรรณธาดา. (๒๕๖๓). ครรลองไทอีสาน-ล้านช้าง. มหาสารคาม : หยกศึกษาภัณฑ์และการพิมพ์.
สุวิทย์ ธีรศาศวัต. (๒๕๕๗). ประวัติศาสตร์อีสาน พ.ศ. ๒๓๒๒-๒๔๘๘ เล่ม ๑. ขอนแก่น : คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น.

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น