Chalermkiat Mina

วันศุกร์, สิงหาคม 18, 2566

มินามีเรื่องเล่า วันที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ที่มาของวันวิทยาศาสตร์ของชาติไทย

 

 


ภาพเมื่อวันที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ ณ อนุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

มินามีเรื่องเล่า วันที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ที่มาของวันวิทยาศาสตร์ของชาติไทย

สวัสดีครับ วันนี้วันที่ ๑๘ สิงหาคม เป็นวันวิทยาศาสตร์ไทย วันนี้เกี่ยวข้องอย่างไรกับเหตุการณ์ของวันที่ ๑๘ สิงหาคม ปีพุทธศักราช ๒๔๑๑ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขออนุญาตนำข้อความจากพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑-๔ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค) หน้าที่ ๒๐๐๙-๒๐๑๐ มาถ่ายทอด ณ ที่นี้นะครับ

“ณ วันอังคาร เดือน ๑๐ ขึ้น ๑ ค่ำ ตรงกับวันที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ เวลา ๒ โมงเช้า เจ้าพนักงานเตรียมกล้องใหญ่น้อย เครื่องทรงทอดพระเนตรสุริยุปราคา เวลาเช้า ๔ โมง ๓ นาที เสด็จออกทรงกล้อง แต่ท้องฟ้าเป็นเมฆฝนคลุ้มไป ในด้านตะวันออกไม่เห็นอะไรเลยต่อเวลา ๔ โมง ๑๖ นาที เมฆจึงจางสว่างออกไปเห็นดวงพระอาทิตย์ไร ๆ แลดูพอรู้ว่าจับแล้วจึงประโคม เสด็จสรงมุรธาภิเษก ครั้นเวลา ๕ โมง ๒๐ นาที แสงแดดอ่อนลงมา ท้องฟ้าตรงดวงอาทิตย์สว่างไม่มีเมฆเลย ที่อื่นแลเห็นดาวใหญ่ด้านตะวันตกและดาวอื่น ๆ มากหลายดวง เวลา ๕ โมง กับ ๓๖ นาที ๒๐ วินาที จับสิ้นดวง เวลานั้นมืดเป็นเหมือนกลางคืนเวลาพลบค่ำ คนที่นั่งใกล้ ๆ กันก็แลดูไม่รู้จักหน้ากัน แล้วพระราชทานเงินแจกพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยซึ่งตามเสด็จโดยพระราชดำเนินออกไปโดยทั่วกัน”

พระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่มีต่อวงการวิทยาศาสตร์ไทยนับว่ายิ่งใหญ่ พระองค์ทรงแสดงพระอัจริยภาพด้านวิทยาศาสตร์ มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ นับว่าเป็น Solf Power ที่ทรงแสดงให้บรรดาทูตานุทูตชาวตะวันตกได้ประจักษ์ เป็นการแสดงตัวตนของประเทศสยามในยุคเริ่มมหันตภัยแห่งการล่าอาณานิคมเริ่มบังเกิดขึ้น นะครับ



วันพฤหัสบดี, สิงหาคม 17, 2566

มินามีเรื่องเล่า บุญกิริยาวัตถุ ๓ ประการ Thai-English-French

 



มินามีเรื่องเล่า บุญกิริยาวัตถุ ๓ ประการ Thai-English-French

สวัสดีครับ วันนี้ขออนุญาตเล่าเรื่อง บุญกิริยาวัตถุนะครับ

บุญกิริยาวัตถุ คือ สิ่งเป็นที่ตั้งแห่งการบำเพ็ญบุญ กล่าวโดยย่อมี ๓ อย่าง ได้แก่

๑. ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการบริจาคทาน

๒. สีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล

๓. ภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการเจริญภาวนา

การตักบาตรถือเป็นทานมัยด้วยนะครับ ทำบุญกันนะครับ

******************

Mina’s stories: the three Punnakiriyavatthu

Good morning. I would like to tell you about the three Punnakiriyavatthu. They refer to the three meritorious fields of action. What are they?

 They are composed of Danamaya, Silamaya and Bhavanamaya.

They are briefly stated as:

1. Danamaya. It is the merit acquired by giving dana, generosity.

2. Silamaya. It is the merit acquired by maintaining Sila, moral behaviour.

3. Bhavanamaya. It is the merit acquired by developing Bhavana, training one's heart mind.

Offerings foods to monks is one of the Danamaya or generosity for all of us.  

 Hence, generosity, moral behaviour and trainings one’s heart mind are the three meritorious actions which can be acquired by all of us.

******************

Histoires de Mina : Les Trois Punnakiriyavatthu

 Bonjour. Aujourd’hui j’aimerais parler des trois Punnakiriyavatthu. Ils signifient trois catégories des actes méritoires. Ce sont : Danamaya, Silamaya et Bhavanamaya.

 1. Danamaya. C'est le mérite acquis en donnant des offrandes ou Dana. Ce sont des actes de générosité.

2. Silamaya. C'est le mérite acquis en maintenant le comportement moral ou Sila.

3. Bhavanamaya. C'est le mérite acquis en entraînant notre cœur et notre esprit vers la concentration. Nous l’appelons « Bhavana ».

Faire des offrandes de nourriture est considéré comme un des actes de Dana pour nous tous.

Donc, la générosité, le comportement décent et moral, et la pratique de la concentration sont les trois actes méritoires importants pour nous.  

………………………

วันอังคาร, สิงหาคม 15, 2566

มินามีเรื่องเล่า ทำไมสัญญาณไฟจราจรถึงเป็นสี เขียว ส้มและแดง? Thai-English-French


 

มินามีเรื่องเล่า ทำไมสัญญาณไฟจราจรถึงเป็นสี เขียว ส้มและแดง? Thai-English-French

สวัสดีครับ วันนี้ขอเล่าถึงไฟจราจรนะครับ

ไฟจราจรช่วยในกำหนดกฎเกณฑ์ในการการจราจรบนท้องถนน มีความสำคัญต่อจราจร และต้องมองเห็นได้ง่าย

ดังนั้นจึง เป็นเหตุผลว่าสีเขียว ส้มและแดง ได้รับการนำมาใช้ สีทั้งสามสีนั้นสมองของเรารับรู้ได้ไวที่สุด

เมื่อประมาณปี ค.ศ. ๑๘๗๐ สัญญาณไฟมีแต่สีเขียวและสีแดงเท่านั้นนะครับ

 โดยเฉพาะสีแดงนะครับ ตาของเราจะรับรู้ได้ไวและเห็นได้ไกล โดยไม่ต้องคิดมากนะครับ สีแดงนี้ทำให้เรานึกถึงเลือด แน่นอนเลือดคืออันตราย ไม่ใช่ต้มเลือดหมูนะครับ

ส่วนสีเขียวถูกกำหนดขึ้นเพื่อประกอบสีแดงในวงจรสีและเป็นสีที่สมองรับรู้ได้ดีเหมือนกันนะครับ

ส่วนสีส้ม (เรื่องไฟจราจรนะครับ ไม่ใช่ผลไม้) หมายถึงการเตือน เป็นสีที่อยู่ตรงกลางระหว่างสีทั้งสองสีครับ

ดังนั้นอย่าฝ่าไฟแดงนะครับ!

**************** 

Mina’s Stories: Why are traffic lights green, orange and red?

Traffic lights allow the regulation of road traffic. They are therefore an essential part of the highway code. So, they must be very easy to see.

This is the reason why green, orange and red were chosen: these colors are indeed the ones that our brain can notice the fastest.

Originally, around 1870, the lights were only green and red.

This is particularly the case for red, to which the human eye is very sensitive and which it can be perceived from afar.

Moreover, unconsciously, red evokes blood and therefore danger.

The choice of green was also imposed because it is the complement of red on the chromatic circle and is well perceived by the brain.

As for the orange, signifying the warning, it is located at equal chromatic distance between the two.

So don't run through  a red light!

**************

Mina raconte : Pourquoi les feux tricolores sont-ils vert, orange et rouge ?

 Les feux de circulation permettent la régulation du trafic routier. Ils sont donc un élément essentiel du code de la route. Ils doivent donc être très faciles à voir.

 C’est la raison pour laquelle le vert, l’orange et le rouge ont été choisis : ces couleurs sont en effet celles que notre cerveau capte le plus vite.

A l’origine, vers 1870, les feux étaient uniquement vert et rouge.

C’est particulièrement le cas pour le rouge, auquel l’œil humain est très sensible et qu’il perçoit de loin.

De plus, inconsciemment, le rouge évoque le sang et donc le danger.

 Le choix du vert s’est aussi imposé car il est le complément du rouge sur le cercle chromatique et est bien perçu par le cerveau.

Quant à l’orange, signifiant l’avertissement, il se situe à égale distance chromatique entre les deux.

Donc, il ne faut pas griller un feu rouge ! 


วันจันทร์, สิงหาคม 14, 2566

มินามีเรื่องเล่า ทำไมถึงมีแว่นตา Thai-English-French


มินามีเรื่องเล่า ทำไมถึงมีแว่นตา Thai-English-French

สวัสดีครับ วันนี้ขอพูดเรื่องแว่นตา นะครับ 

แว่นตามีขึ้นเพราะคนเราไม่สามารถที่จะมองเห็นได้อย่างชัดเจนตลอดเวลา 

อริสโตเติลเป็นคนค้นพบอาการสายตาสั้นและสายตายาว

แว่นตามีขึ้นเมื่อไร 
แว่นตามีขึ้นในช่วงศตวรรษที่ ๑๓ ในประเทศอิตาลี
 
ใครประดิษฐ์แว่นตา? 

น่าจะเป็นนายซาลวิโน เดอกริ อาร์มาติ ที่เป็นคนประดิษฐ์แว่นตาขึ้นครับ 

แต่แว่นตานั้นยังไม่มีกรอบแว่นนะครับ กรอบแว่นตาประดิษฐ์ขึ้นในปี ค.ศ. ๑๗๒๘ 

ดังนั้นแว่นตาจึงเกิดขึ้นเป็นเวลาหลายศตวรรษเพื่อช่วยเราให้มองเห็นชัดเจน สามารถอ่านและเขียนหนังสือได้ และสะดวกต่อการมองนะครับ   

Mina’s Stories: Why did glasses appear?

Good morning. Today I will talk about glasses. We wear glasses because we do not see well. Do you know that it was Aristotle who detected presbyopia.

When did glasses appear? They appeared in the 13th century in Italy.

Who invented glasses? 

It is believed that a certain Salvino Deglis Armati invented them. But at that time, the glasses had no frame. The frame was invented in 1728.

Glasses have therefore appeared for centuries in order to allow us to see better, to be able to read, write and to have better visual comfort.
******* 

Mina raconte : Pourquoi les lunettes sont apparues ?

Bonjour. Aujourd’hui, je vais parler des lunettes. Evidemment, les lunettes sont apparues parce que l'homme n'y voit pas toujours bien. Savez-vous que c’est Aristote qui a détecté la presbytie ? 
 
Quand les lunettes sont-elles apparues ? 

Elles sont apparues au XIIIème siècle en Italie. 

Qui a inventé les lunettes ? 

On pense que c'est un certain Salvino Deglis Armati qui les aurait inventées.
Seulement, ces lunettes n'avaient pas de monture et cette dernière a été inventée en 1728.
 
Les lunettes sont donc apparues depuis des siècles déjà afin de nous permettre de voir mieux, de pouvoir lire, écrire et d'avoir un meilleur confort visuel.
*******

วันเสาร์, สิงหาคม 12, 2566

มินามีเรื่องเล่า “ฉันรักที่จะเป็นแม่มากที่สุด”

                                     ที่มาของภาพ https://queen.kapook.com/mobile/history.html 

มินามีเรื่องเล่า “ฉันรักที่จะเป็นแม่มากที่สุด”

วันนี้เป็นวันแม่แห่งชาติ เป็นวันเฉลิมพระชนม ๙๑ พรรษาของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชินีนาถ พระบรมราชินีพันปีหลวง

ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายพระพรให้พระองค์ทรงพระเจริญ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ

หนังสือพิมพ์สตาร์บุลเลตินแห่งฮ่อนโนลูลู สดุดีสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ว่า “บารมีของความงดงามประหนึ่งตุ๊กตาที่อาจชนะตำแหน่ง “ราชินีแห่งราชินี” หากมีการประกวดพระราชินีกันขึ้น”

ผู้สื่อข่าวในฮาวายถวายบังคมทูลถึงความรับผิดชอบของพระองค์ และฐานะพระราชินีแห่งสมเด็จเจ้าฟ้าชายหญิง ทรงมีพระราชเสาวนีย์ตอบว่า ทรงพอพระทัยในพระราชกิจต่าง ๆ ในฐานะพระราชินี แต่ทว่า

“ฉันรักที่จะเป็นแม่มากที่สุด”

นิวยอร์กไทม์ หนังสือพิมพ์ชั้นำและมีอิทธิพลฉบับหนึ่งของสหรัฐอเมริกา ฉบับประจำวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๐๓ ลงพิมพ์ข้อความตอนหนึ่งว่า

“สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจทั้งสองประการคือ ทรงเป็นทั้งสมเด็จพระบรมราชินีนาถ และพระราชมารดาของสมเด็จเจ้าฟ้าทั้งสี่พระองค์อย่างสมบูรณ์ยิ่ง”

ข้อมูล

พิมาน แจ่มจรัส.  (๒๕๔๙).  ๔๙ ราชินีไทย.  กรุงเทพฯ : สร้างสรรค์บุ๊คส์.


วันจันทร์, สิงหาคม 07, 2566

มินามีเรื่องเล่า เทิดพระเกียรติกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์

มินามีเรื่องเล่า เทิดพระเกียรติกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์

ผมชอบอ่านเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ และ เคารพเทิดทูนพระมหากษัตริย์ เชื้อพระวงศ์ ตลอดจนบุคคลสำคัญที่ปกป้องผืนแผานดินไทยไว้ให้ลูกหลาน

เสด็จเตี่ย กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระบิดาแห่งกองทัพเรือไทย เป็นหนึ่งในบุคคลที่ผมเคารพเทิดทูน และได้เขียนเล่าเรื่องเทิดพระเกียรติพระองค์ท่านมาบ้าง ซึ่งจะเล่าต่อแน่นอนครับ 

ขอรวบรวมตอนที่ได้เล่าเรื่องของพนะองค์ท่าน ในมินามีเรื่องเล่า มานำเสนออีกครั้งนะครับ มีดังนี้ครับ

๒๐ พ.ค. ๒๕๖๖
http://vieuxnobita.blogspot.com/2023/05/blog-post_20.html

๒๑ พ.ค. ๒๕๖๖
http://vieuxnobita.blogspot.com/2023/05/thai-english-french_21.html

๒๔ พ.ค. ๒๕๖๖
http://vieuxnobita.blogspot.com/2023/05/blog-post_24.html

๒๖ พ.ค. ๒๕๖๖
http://vieuxnobita.blogspot.com/2023/05/blog-post_26.html

๒๗ พ.ค. ๒๕๖๖
http://vieuxnobita.blogspot.com/2023/05/blog-post_27.html

๒๘ พ.ค. ๒๕๖๖
http://vieuxnobita.blogspot.com/2023/05/blog-post_28.html

๒๙ พ.ค. ๒๕๖๖
http://vieuxnobita.blogspot.com/2023/05/blog-post_29.html

๓๐ พ.ค. ๒๕๖๖
http://vieuxnobita.blogspot.com/2023/05/thai-english-french_18.html

๓๐ พ.ค. ๒๕๖๖
http://vieuxnobita.blogspot.com/2023/05/blog-post_30.html

๓๑ พ.ค. ๒๕๖๖
http://vieuxnobita.blogspot.com/2023/05/thai-englishfrench.html

๑ มิ.ย. ๖๖
http://vieuxnobita.blogspot.com/2023/06/blog-post.html

๒ มิ.ย. ๖๖
http://vieuxnobita.blogspot.com/2023/06/blog-post_3.html

๓ มิ.ย. ๖๖
http://vieuxnobita.blogspot.com/2023/06/blog-post_3.html

๑๒ มิ.ย. ๖๖
http://vieuxnobita.blogspot.com/2023/06/blog-post_97.html

๑๕ มิ.ย. ๖๖
http://vieuxnobita.blogspot.com/2023/06/blog-post_4.html

๑๕ มิ.ย. ๖๖
http://vieuxnobita.blogspot.com/2023/05/blog-post_25.html

๗ ส.ค. ๖๖
http://vieuxnobita.blogspot.com/2023/05/blog-post_23.html


วันอาทิตย์, สิงหาคม 06, 2566

มินามีเรื่องเล่า เราเป็นญาติกันที่พัทลุง ตอนพระยาพัทลุง (ทองขาว)

 

มินามีเรื่องเล่า เราเป็นญาติกันที่พัทลุง ตอนพระยาพัทลุง (ทองขาว)

เมื่อพระศรีไกรลาศ เจ้าเมืองพัทลุง ได้รับพระราชอาชญาและถูกถอดถอนจากตำแหน่งเจ้าเมืองพัทลุง เพราะไม่คิดต่อสู้กับพวกแขกเซียะ

 พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ ฉบับที่ ๑-๔ แต่งโดยเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุญนาค) บันทึกไว้ว่า

“พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งหลวงศักดิ์นายเวรมหาดเล็ก ซึ่งเป็นบุตรพระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) ให้ลงไปดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองพัทลุงแทนพระศรีไกรลาศ”

หลวงศักดิ์นายเวรมหาดเล็ก คือท่านทองขาว ซึ่งเป็นบุตรชายคนโตของพระยาพัทลุง (ขุนคางเหล็ก) กับท่านแป้น

พระยาวิชิตเสนามหาพิชัย อภัยพิริยศรีสงคราม หรือพระยาพัทลุง (ทองขาว) เป็นบุตรของพระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) กับท่านแป้น

พระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) สมรสกับท่านแป้น ธิดาของขุนนางรามัญที่อยู่แถบคลองมอญ ซึ่งขุนนางรามัญนี้ได้สืบสายสกุลรามัญ (มอญ) จากพระยาเกียรติและพระยารามในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทั้งสองท่านมีบุตรธิดา รวม ๑๑ คน บุตรชายคนโต ชื่อทองขาว ได้เป็นพระยาพัทลุง (ทองขาว) บุตรคนที่ ๓ ชื่อท่านกลิ่น ต่อมาได้เป็นเจ้าจอมมารดากลิ่น ในรัชกาลที่ ๑

พระยาพัทลุง (ทองขาว) มีน้องสาวคือ เจ้าจอมมารดากลิ่น ในรัชกาลที่ ๑

พระยาพัทลุง (ทองขาว) ได้สมรสกับท่านปล้อง บุตรีของพระยาราชวังสัน (หวัง)
พระยาราชวังสัน (หวัง) มีบุตรี ๓ คน คือท่านเพ็ง ท่านปล้องและท่านรอด

 พระยาพัทลุง (ทองขาว) และท่านปล้องมีบุตรธิดารวม ๙ คน ได้แก่

๑. ท่านผ่อง  (ญ) สมรสกับพระอักษรสมบัติ (หม่อมทับ)  

๒. หลวงสัจจาภักดี (นก) (ช) เจ้ากรมเกณฑ์บุญบ้านสนามควาย สมรสกับท่านเอม บุตรของท่านนาง ผู้เป็นภรรยาของนายนุ่น หลานชายเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (พัฒน์)  

๓. ท้าวสมศักดิ์ (พึ่ง) ได้ถวายตัวเป็นเจ้าจอมในสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นท้าวสมศักดิ์ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว

๔. ท่านน้อย ได้ถวายตัวเป็นเจ้าจอมในสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้เป็นหม่อมพนักงานในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว  

๕. พระยาพัทลุง (ทับ หรือทัพ)

๖. ท่านฟัก (ญ) ภรรยาพระพลสงคราม (บัว) บุตรพระยาพัทลุง (เผือก)  

๗. ท่านหงส์  (ช) 

๘. หมื่นสนิทภิรมย์ (นิ่ม) (ช) เป็นปลัดในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นไกรสรวิชิต (พระองค์เจ้าชายสุทัศน์) พระโอรสของเจ้าจอมมารดากลิ่นกับพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก

๙. พระทิพกำแหงสงครามปลัด (สุก) (ช) ได้เป็นหลวงรองราชมนตรี แล้วเป็นพระทิพกำแหงสงครามปลัด ตำแหน่งปลัดเมืองพัทลุง

 

ท่านผ่อง เป็นธิดาคนโตของพระยาพัทลุง (ทองขาว) กับท่านปล้อง ท่านผ่องได้สมรสกับพระอักษรสมบัติ (ทับ หรือหม่อมทับ หรือหม่อมราชวงศ์ทับ) มีบุตรธิดารวม ๖ คน ได้แก่

๑. ท่านป้อม (ญ) เป็นผู้คอยอภิบาลสมเด็จเจ้าฟ้าจาตุรนตรัศมี กรมพระจักรพรรดิพงศ์ พระราชอนุชาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

๒. ท่านฉิม (ภายหลังเปลี่ยนเป็นชื่อรอด) ภรรยาของพระเทพเพชรรัตน์ (นาค) และเป็นย่าของพระนมปริก พระนมเอกในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

๓. เจ้าจอมมารดาทรัพย์ ในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ๔. ท่านน้อย (ญ) ภรรยาพระเทพอรชุน (แสง) เป็นสายสกุลศิริสัมพันธ์

๕. ท่านแขก (ช)

และ ๖. ท่านฝรั่ง (ช) 

ธิดาคนที่ ๓ ของท่านผ่องและพระอักษรสมบัติ (ทับ) ชื่อท่านทรัพย์ ได้เป็นเจ้าจอมมารดาทรัพย์ พระสนมเอก ในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว

เจ้าจอมมารดาทรัพย์และพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชโอรสธิดา ๒ พระองค์ คือ สมเด็จพระมาตมหัยยิกาเธอ กรมหมื่นมาตยาพิทักษ์ (พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าศิริวงศ์) ต้นราชสกุล ศิริวงศ์ ณ อยุธยา และพระเจ้าบรมมหัยยิกาเธอ กรมสมเด็จพระสุดารัตนราชประยูร (พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าหญิงลม่อม)

 

ดังนั้นพระยาวิชิตเสนามหาพิชัย อภัยพิริยศรีสงคราม หรือพระยาพัทลุง (ทองขาว) จึงเป็นคุณตาของเจ้าจอมมารดาทรัพย์ พระสนมเอกในรัชกาลที่ ๓ และเป็นทวดของ สมเด็จพระมาตมหัยยิกาเธอ กรมหมื่นมาตยาพิทักษ์ (พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าศิริวงศ์)

 

สมเด็จพระมาตมหัยยิกาเธอ กรมหมื่นมาตยาพิทักษ์ (พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าศิริวงศ์) ทรงเป็นพระบิดาของหม่อมเจ้าหญิงรำเพย ซึ่งต่อมาได้เป็นสมเด็จพระเทพศิรินทรา บรมราชินี ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเป็นพระบรมราชชนนีในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

สมเด็จพระมาตมหัยยิกาเธอ กรมหมื่นมาตยาพิทักษ์ (พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าศิริวงศ์) จึงเป็นพระอัยกา (ตา) ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

 

ย้อนมากล่าวถึงประวัติการรับราชการของพระยาวิชิตเสนามหาพิชัย อภัยพิริยศรีสงคราม หรือพระยาพัทลุง (ทองขาว)

ในสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ท่านทองขาว หรือศักดิ์ (ทองขาว) ได้รับการโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นเจ้าเมืองพัทลุงในปี พ.ศ. ๒๓๓๔  

 

พระยาพัทลุง (ทองขาว) เป็นผู้กล้าหาญเหมือนพระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) ผู้เป็นบิดาของท่าน ครั้งหนี่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ทรงยกทัพไปตีเมืองทวาย ตะนาวศรีและมะริดของพม่า ในครั้งนี้พระยาพัทลุง (ทองขาว) ได้เกณฑ์กองทัพโดยสมเด็จพระบวรราชเจ้าฯ เสด็จไปด้วย

 

นอกจากนี้ท่านได้ร่วมต้านทัพของพม่าที่ท่าเสม็ด จนชนะและไปตีเมืองปัตตานีจนได้รับชัยชนะเป็นครั้งที่ ๒

 

ในปี พ.ศ. ๒๓๕๒ พม่ายกทัพเข้ามาตีเมืองถลาง (ภูเก็ต) พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้โปรดเกล้าฯ ให้พระยาพัทลุง (ทองขาว) ยกทัพไปร่วมกับทัพหลวงที่เมืองตรัง ท่านสามารถยกทัพไปตีเมืองถลางคืนจากพม่าได้สำเร็จ

 

พระยาพัทลุง (ทองขาว) มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนามาก ท่านได้สร้างวัดวัง เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๕๙ ที่บ้านลำปำ จังหวัดพัทลุง


พระยาพัทลุง (ทองขาว) ได้ปกครองเมืองพัทลุง ระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๓๔-๒๓๖๐ รวม ๒๖ ปี ท่านถึงแก่อนิจกรรมในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

 น่าสนใจนะครับ ทวนอีกครั้งนะครับว่า พระยาพัทลุง (ทองขาว) เป็นบุตรของพระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) กับท่านแป้น นะครับ


พระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก)



มินามีเรื่องเล่า เราเป็นญาติกันที่พัทลุง ตอนพระศรีไกรลาศ

 

มินามีเรื่องเล่า เราเป็นญาติกันที่พัทลุง ตอนพระศรีไกรลาศ

 พระศรีไกรลาศ เป็นเจ้าเมืองพัทลุง ที่ปกครองเมืองต่อจากพระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) นะครับ

เมื่อพระยาพัทลุงแก้วโกรพพิชัย (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) ถึงแก่อนิจกรรม พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้พระศรีไกรลาศจากราชธานีมาแทน โดยได้ตั้งเมืองที่ศาลาโต๊ะวัก ตำบลลำปำ

 เรื่องราวของพระศรีไกรลาศ มีดังนี้ครับ

หลังจากที่พระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) ครองเมืองพัทลุงระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๑๕ ถึง พ.ศ. ๒๓๓๒ ท่านถึงแก่อสัญกรรมในปี พ.ศ. ๒๓๓๒

 เมื่อท่านถึงแก่กรรมแล้ว พระศรีไกรลาศ ได้มาเป็นเจ้าเมืองพัทลุงระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๓๒ ถึงกลางเดือน ๖ ปี พ.ศ. ๒๓๓๔

ทำไมพระศรีไกรลาศครองเมืองพัทลุงไม่ถึงสองปี นับเป็นระยะเวลาที่สั้นนัก

เรื่องของเรื่องคือ มีแขกเซียะมาตีเมืองสงขลา

แล้วเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพระศรีไกรลาศอย่างไร

 พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ ฉบับที่ ๑-๔ แต่งโดยเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุญนาค) บันทึกไว้มีใจความว่า

“ณ เดือน ๖ ปี พ.ศ. ๒๓๓๔ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก แขกมลายูเมืองเซียะอยู่นอกพระราชอาณาเขตยกกองทัพเรือมาตีเมืองสงขลา เจ้าเมืองกรมการเมืองไม่สามารถสู้รบได้ จึงพาครอบครัวและชาวเมืองหนีไปอยู่แขวงเมืองพัทลุง

พระยาศรีไกรลาศซึ่งเป็นพระยาพัทลุง ต่างพลอยตกใจกลัวกองทัพแขกมลายูเมืองเซียะ ทั้ง ๆ ที่กองทัพแขกเซียะยังไม่ได้ยกมาถึงเมืองพัทลุง”

 พระยาศรีไกรลาศทำอย่างไรกับเรื่องนี้ครับ พงศาวดารกล่าวต่อไปว่า

“พระยาศรีไกรลาศ ผู้เป็นเจ้าเมืองพัทลุง มิได้คิดตั้งมั่นเพื่ออยู่สู้รับกับกองทัพแขกเซียะ ด้วยความตระหนกตกใจกลัว รีบอพยพครอบครัวและกรมการเมืองหนีเข้าป่า”

 ทางด้านเมืองนครศรีธรรมราชนั้น เมื่อเจ้าพระยานครศรีธรรมราชได้ข่าวว่ากองทัพแขกมลายูเมืองเซียะยกมาตีเมืองสงขลา จึงได้เกณฑ์กองทัพเมืองนครศรีธรรมราชยกออกไปช่วยเมืองสงขลา ได้รบกับกองทัพแขกมลายูเมืองเซียะ จนพวกแขกแตกพ่ายหนีไป

หลังจากนั้น เจ้าพระยานครศรีธรรมราชได้แจ้งข้อราชการมายังกรุงเทพมหานคร ท่านมอบหมายให้สมุหพระกลาโหมกราบบังคมทูลพระกรุณาให้ทรงทราบ

เมื่อทราบความเกี่ยวกับเรื่องการหนีเข้าป่าของพระศรีไกรลาศ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงพิโรธแก่พระยาศรีไกรลาสผู้เป็นเจ้าเมืองพัทลุง พระองค์มีพระราชดำรัสว่า ข้าศึกยังมิทันจะถึงเมืองก็แตกหนี

 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงโปรดเกล้าฯ ให้ข้าหลวงถือท้องตราออกไปถอดพระยาศรีไกรลาศออกจากตำแหน่งเจ้าเมืองพัทลุง แล้วลงพระราชอาชญาให้คุมตัวเข้ามา ณ กรุงเทพมหานคร

 คราวนี้ เราได้ทราบแล้วนะครับว่า ทำไมพระศรีไกรลาศจึงดำรงตำแหน่งพระยาพัทลุงได้ไม่นานนะครับ

 หลังจากที่พระศรีไกรลาศ ถูกถอดออกจากเจ้าเมืองพัทลุง ทางกรุงเทพฯ ได้ให้หลวงนายศักดิ์ (ทองขาว) นายเวรมหาดเล็ก บุตรพระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) มาเป็นเจ้าเมืองเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๓๔ ท่านได้ตั้งเมืองที่ฝั่งเหนือคลองลำปำ

 พระยาพัทลุง (ทองขาว) เป็นบุตรของพระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) กับท่านแป้น เรื่องราวของพระยาพัทลุง (ทองขาว) จะเล่าต่อนะครับ โปรดติดตาม



วันเสาร์, สิงหาคม 05, 2566

มินามีเรื่องเล่า สุสานพราหมณ์ที่บริเวณใกล้วัดควนกรวด อ. เมือง จ.พัทลุง Thai-English-French


มินามีเรื่องเล่า  สุสานพราหมณ์ที่บริเวณใกล้วัดควนกรวด อ. เมือง จ.พัทลุง Thai-English-French
********
ศาสนาพราหมณ์ถือว่าเก่าแก่มีมาก่อนศาสนาพุทธ - พราหมณ์เป็นวรรณะหนึ่งตามคติของชาวสังคมฮินดูใน 4 วรรณะ คือ 

1. วรรณะกษัตริย์ ได้แก่ นักรบ, นักปกครอง  
2. วรรณะพราหมณ์ เป็นนักบวชและเจ้าพิธีการ 
3. วรรณะแพศย์เป็นพ่อค้า 
4. วรรณะศูทร เป็นวรรณะต่ำสุด  ได้แก่ พวกอาชีพทำการเกษตร กรรมกรรับจ้าง

จังหวัดพัทลุง มีศาสนาพราหมณ์เป็นศาสนาที่แพร่หลายเข้ามาในจังหวัดพัทลุงมาช้านานแล้ว โดยมีการผสมกลมกลืนกับพุทธศาสนาอย่างแนบแน่น ทางศาสนาพุทธ มีวัดเป็นศูนย์รวมจิตใจ และมีป่าช้าหรือฌาปนสถานอยู่ในวัดหรือบริเวณข้างวัด 

ที่พัทลุงมีสุสานพราหมณ์หรือป่าช้าพราหมณ์เช่นเดียวกัน เท่าที่ทราบนั้น สุสานพราหมณ์หรือป่าช้าพราหมณ์พัทลุงที่สำคัญมี 4 แห่ง คือ
1. สุสานพราหมณ์หรือป่าช้าพราหมณ์อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของวัดเขียนบางแก้ว ชาวบ้านเรียกว่า "ป่าช้าแขกชี" เป็นป่าช้าโบราณที่เลิกใช้แล้ว 

2. สุสานพราหมณ์หรือป่าช้าพราหมณ์หน้าวัดควนกรวด เป็นป่าช้าที่ใช้ฝังศพพราหมณ์สืบต่อจนปัจจุบัน 

3. สุสานพราหมณ์หรือป่าช้าพราหมณ์วัดนิโครธาราม และ 

4. สุสานพราหมณ์หรือป่าช้าพราหมณ์วัดโพธิ์ตำนาน ตำบลตำนาน ใช้ฝังศพผู้มีเชื้อสายพราหมณ์

วันนี้ขอแนะนำสุสานพราหมณ์ที่บ้านควนกรวด สุสานนี้ตั้งอยู่ด้านทิศใต้ของวัดควนกรวด ซึ่งมีถนนสายพัทลุง-ควนขนุน ตัดผ่านที่ดินทั้งด้านตะวันตกและด้านตะวันออกของถนนสายดังกล่าว มีคลองภู่ กั้นเป็นที่ฝังศพ เรียกว่า "สุสานพราหมณ์" ปัจจุบันมีสุสานพราหมณ์เฉพาะทางด้านตะวันออกของถนน ซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 1.5 ไร่ 
สถานที่เกี่ยวกับป่าช้าพราหมณ์ บ้านควนกรวด มีความสัมพันธ์ทั้งด้านสถานที่ และเครือญาติของผู้คน "ตระกูลพราหมณ์" ที่ตั้งรกรากอยู่ในบริเวณนั้น 

ตระกูลพราหมณ์ถือศีล 5 การถือบวชพราหมณ์จะสืบสายสกุลเฉพาะบุตรชายเท่านั้น ลูกหญิงที่แต่งงานกับชายพุทธและมีบุตรชาย จะบวชพราหมณ์ไม่ได้ บวชพราหมณ์ได้ต้องมีอายุ 42 ปีขึ้นไป บวซได้ปีละ 1 คนเท่านั้น (บวซรับศีล 5) แต่งชุดขาว บนศีรษะมีผมกระจุก เป็นเอกลักษณ์สำหรับผู้ถือบวช 

การถือบวช เป็นพิธีกรรมของพราหมณ์ กำหนดเดือน 4 ขึ้น 1 ค่ำ ทำพิธีข้าวเม่าบวชตามคติของพราหมณ์ โดยนิมนต์พระสงฆ์ 5 รูป ถวายภัตตาหารเช้า สวดชัยยันต์โต มีเครื่องสังเวยบูชาในพิธีเรียกเครื่อง 12 ชนิด ได้แก่ ข้าว แกง กลัวย อ้อย ถั่ว งา ขนมแดง ขนมขาว ขนมบัว ฯลฯ พิธีมีขึ้นเวลาประมาณ 09.00 น. ตักบาตร กรวดน้ำ เป็นอันเสร็จพิธี

รูปเคารพของพราหมณ์ที่ท่านใช้ในพิธีการ มี 4 องค์ คือ 
1. พระอิศวร 
2. พระอุมา 
3. พระนารายณ์ 
และ 4. พระพิฆเนศวร

ท่านที่เดินทางไปพัทลุง เมื่อถึงวัดควนกรวด จะมองเห็นสุสานพราหมณ์ตั้งอยู่ติดถนน นับว่าเป็นวัฒนธรรมพราหมณ์พุทธที่อยู่ร่วมกันได้เป็นอย่างดีครับ
*********
Mina tells a story: The Brahman cemetery near Wat Kuan Kruad, Phatthalung

 Brahmanism has existed in Phatthalung for a long time. Apart from the Buddhist cemeteries, there are 4 Brahman cemeteries in Phatthalung. 

Near Wat Kuan Kruad, the temple situated in the center of Phatthalung, there is a Brahman cemetery situated near the road. The Brahman families live in the nearby area. Thailand is a country for every religion.
********
Mina raconte : Le cimetière Brahman près de Wat Kuan Kruad, Phatthalung

Le Brahmanisme existait à Phatthalung depuis longtemps. Outre les cimetières bouddhistes, il y a 4 cimetières brahmaniques à Phatthalung.

Près de Wat Kuan Kruad, le temple qui se situe au centre de Phatthalung, il y a un cimetière Brahman situé près de la route. Les familles Brahman vivent au village Ban Kuan Kruad. Voici un bon exemple montrant que la Thaïlande est un pays accueillant des religions.
photo credits: เฉลิมพล รามทอง

มินามีเรื่องเล่า เราเป็นญาติกันที่พัทลุง ตอน ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นเสมือนเกราะป้องกันอันตรายทั้งปวง คนมีสัจจะแม้สิ้นชีพไปแล้วเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายย่อมสรรเสริญ

 



มินามีเรื่องเล่า เราเป็นญาติกันที่พัทลุง พระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) ตอนนำทัพพัทลุงรบพม่า

สวัสดีครับ วันนี้ขอเล่าเรื่องการต่อสู้กับพม่าในศึกสงครามเก้าทัพ นะครับ

ในปี พ.ศ. ๒๓๒๕ มีการเปลี่ยนแผ่นดินใหม่จากกรุงธนบุรีเป็นกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยาพัทลุงแก้วโกรพพิชัย (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) เป็นเจ้าเมืองพัทลุงต่อไป

ในปี พ.ศ. ๒๓๒๘ เกิดสงคราม ๙ ทัพ พระเจ้าปดุง กษัตริย์พม่า ยกทัพมาตีไทยถึง ๙ ทัพ เฉพาะทางภาคใต้ พม่าใช้กำลังทัพที่ ๑ กับทัพที่ ๒ รวมพลได้ ๒๐,๐๐๐ คน ยึดเมืองชายฝั่งทะเลทิศตะวันออกได้ตั้งแต่ชุมพรเรื่อยลงมาถึงนครศรีธรรมราช และเตรียมทัพตีเมืองพัทลุงและสงขลาต่อไป

 

พระยาแก้วโกรพพิชัย (ขุนคางเหล็ก) รวบรวมกำลังพลได้เพียง ๑,๐๐๐ คนเศษ ไปชุมนุมกันที่วัดป่าลิไลย์ โดยมีพระมหาช่วย เจ้าอาวาสวัดป่าลิไลย์ ให้กำลังใจพร้อมปลุกเสกเครื่องรางของขลังให้ป้องกันตัว (ต่อมาพระมหาช่วย ได้ลาสิกขาและได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่ง พระยาทุกขราฎร์ อนุสาวรีย์ของท่านตั้งอยู่ทีท่ามิหรำ อ.เมือง จ.พัทลุง) โปรดอ่านเรื่องของพระยาทุกขราษฏร์ ได้ในมินามีเรื่องเล่า วันที่ ๓๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๖ https://vieuxnobita.blogspot.com/2023/07/blog-post_31.html นะครับ

 

พระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) ได้นำกองทัพพัทลุงจำนวนคนเพียง ๑,๐๐๐ คน ไปสกัดกั้นกองทัพพม่าที่ตำบลปันแต คนละฝั่งของคลองเสม็ด (คลองชะอวด) ที่ตำบลท่าเสม็ด ชายเขตแดนเมืองพัทลุง

แต่กองทัพพัทลุงยังไม่ได้ปะทะกับกองทัพพม่า เนื่องจากสมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรมหาสุรสีหนาทยกทัพหลวงมาตีทัพพม่าแตกพ่ายไปจนหมด

ครั้งเสร็จศึกพม่าแล้ว สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสีหนาทเสด็จมาประทับที่เมืองสงขลา โปรดให้พระยาหัวเมืองภาคใต้เข้าเฝ้าถวายความอ่อนน้อม แต่ ๔ หัวเมืองที่เป็นกบฏ คือ พระยาจะนะ (อิน) น้องชายต่างมารดาของพระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) พระยาปัตตานี พระยาไทรบุรีและพระยาตรังกานู ไม่ได้มาเข้าเฝ้า

 

สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทโปรดเกล้าฯ ให้พระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) ไปจับตัวพระยาจะนะ ผู้เป็นน้องชายมาชำระความและตัดสินคดี

 

พระยาจะนะ (อิน) ยอมรับว่าได้เห็นผิด คิดเป็นกบฏ และลอบส่งหนังสือไปถึงพม่าจริง พระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) ได้สอนน้องชายว่า ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นเสมือนเกราะป้องกันอันตรายทั้งปวง คนมีสัจจะแม้สิ้นชีพไปแล้วเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายย่อมสรรเสริญ

 

ในเรื่องความเด็ดขาดของพระยาพัทลุง (ขุน หรือ ขุนคางเหล็ก) ที่เกี่ยวข้องกับน้องชายของท่านนั้น พงศาวดารจังหวัดพัทลุง ฉบับที่แต่งโดย หลวงศรีวรฉัตร์ (พิญ จันทโรจวงศ์) ได้กล่าวถึงความเด็ดของของพระยาพัทลุง (ขุนคางเหล็ก) ไว้อีกเรื่องหนึ่ง คือการสั่งประหารชีวิตน้องชายตัวเอง

เหตุเกิดในครั้ง “สงคราม ๙ ทัพ” ที่พม่ายกเข้ามาตีหัวเมืองทางใต้ด้วย ไทยเราไม่มีกำลังพอจะรับกองทัพพม่าที่โหมเข้ามาทุกทิศได้ จึงใช้ยุทธวิธีจัดการกับทัพพม่าทีละทัพ ส่วนทางใต้ก็ให้ช่วยตัวเองไปก่อน อย่างที่เกิดวีรสตรี ท้าวเทพกษัตรี และ ท้าวศรีสุนทร ขึ้นที่เมืองถลาง

ที่พัทลุง พระยาพัทลุง (ขุนคางเหล็ก) ได้ร่วมกับ พระมหาช่วย วัดป่าแขวงเมืองพัทลุง ซึ่งมีความรู้ทางไสยศาสตร์ ได้ลงเลขยันต์ตะกรุดผ้าประเจียดให้พวกพล แต่งทัพไปรับพม่าที่ตำบลคลองท่าเสม็ด พม่าได้มาตั้งค่ายประชิดคนละฟากคลอง แต่ยังไม่ทันรบกันพม่าก็ถอยทัพกลับไป

พระยาพัทลุง (ขุนคางเหล็ก) และพระมหาช่วยได้ไปเฝ้ากรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ที่ทรงยกทัพมาขับไล่พม่า ขณะนั้นทรงประทับที่เมืองสงขลา พระยาพัทลุง (ขุน หรือ ขุนคางเหล็ก) กราบทูลความชอบของพระมหาช่วย จึงโปรดเกล้าฯ ให้พระมหาช่วยลาอุปสมบท แต่งตั้งให้เป็น พระยาทุกขราษฎร์ ผู้ช่วยราชการเมืองพัทลุง

ในครั้งนั้น มีผู้กราบทูลฟ้องว่า พระยาจะนะ (เณร หรือ อินท์ หรืออิน) น้องชายของพระยาพัทลุง (ขุน หรือ ขุนคางเหล็ก) คิดมิชอบ มีหนังสือไปถึงพม่าข้าศึก กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท โปรดเกล้าฯ ให้พระยาพัทลุงผู้พี่เป็นตุลาการชำระความ แล้วรับสั่งถามว่าควรประการใด

พระยาพัทลุงกราบทูลว่าควรประหารชีวิตตามบทพระอัยการ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ประหารชีวิตพระยาจะนะตามคำตัดสิน แล้วโปรดเกล้าฯ ให้พระยาพัทลุง (ขุนคางเหล็ก) เป็นแม่กองคุมทัพเมืองพัทลุงและไพร่พลเมืองจะนะ เป็นทัพเรือโดยเสด็จไปตีเมืองปัตตานีต่อไป 

พระยาพัทลุงแก้วโกรพพิชัย (ขุนคางเหล็ก) ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองพัทลุงอยู่ ๑๗ ปี ก็ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๒

ขอกล่าวถึงความเป็นมาของพระยาจะนะ (อิน) นะครับ

พระยาจะนะ (อิน) เป็นบุตรคนที่ ๒ ของพระยาราชบังสัน (ตะตา) เจ้าเมืองพัทลุง

บุตรของพระยาราชบังสัน (ตะตา) มี ๔ ท่าน ได้แก่

๑. พระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก)

๒. พระยาจะนะ (อิน)

๓. หลวงฤทธิ์เสนีย์ (เมือง หรือเณร)  

๔. พระยาพัทลุง (เผือก)

พระยาจะนะ (อิน) ได้เป็นเจ้าเมืองจะนะในสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

พระยาจะนะ (อิน) มีบุตรคือ หลวงภักดีจางวาง

พระยาจะนะ (อิน) ถึงแก่อนิจกรรม ราวปี พ.ศ. ๒๓๒๘ ในสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก

ยังมีเรื่องราวที่น่าสนใจอีก โปรดติดตามนะครับ

 


วันศุกร์, สิงหาคม 04, 2566

มินามีเรื่องเล่า เราเป็นญาติกันที่พัทลุง ท้าวทรงกันดาล พี่สาวของท่านแป้น ตอนที่ ๘

 


มินามีเรื่องเล่า เราเป็นญาติกันที่พัทลุง ท้าวทรงกันดาล พี่สาวของท่านแป้น ตอนที่ ๘

มารู้จักความเป็นมาของพี่น้องของท่านแป้นกันนะครับ

ท่านที่มีความสำคัญคือ ท้าวทรงกันดาล (ทองมอญ หรือทองคำ)  

ท้าวทรงกันดาล (ทองมอญ หรือทองคำ) มีส่วนสำคัญที่ทำให้เชื้อสายของทั้งสามราชวงศ์ ได้เป็นทองแผ่นเดียวกัน ราชวงศ์ทั้งสาม คือ ราชวงศ์กรุงเก่า ราชวงศ์กรุงธนบุรี และราชวงศ์จักรี

คำว่า “ทรงกันดาล” แปลว่า “อยู่ตรงกลาง” มาจากภาษาเขมร คือผู้ทีอยู่จุดศูนย์กลาง ในสมัยก่อนข้าราชบริพารฝ่ายในมีความสำคัญไม่น้อยกว่าข้าราชบริพารฝ่ายหน้า ในสมัยกรุงธนบุรี ตำแหน่ง “ท้าวทรงกันดาล” เป็นตำแหน่งสูงสุดของข้าราชบริพารฝ่ายใน คล้ายกับตำแหน่ง “แม่วัง” (ปเรตร์ อรรถวิภัชน์.  (๒๕๖๓).  ตามรอยสมเด็จพระเจ้าตากสินและขุนนางคู่พระทัย ใครเป็นใครในวันยึดกรุงธนบุรี.  สำนักพิมพ์สยามความรู้. หน้า ๒๘๘-๒๘๙.)

ประวัติของท้าวทรงกันดาล (ทองมอญ) ได้มีผู้เล่าเรื่องไว้หลายแบบ เท่าที่พอนำเสนอได้มีดังนี้

ในสมัยกรุงศรีอยุธยา หม่อมเจ้าชายท่านหนึ่ง (ไม่ทราบนาม) สมรสกับสาวมอญผู้หนึ่ง มีบุตรธิดา ๓ คน ได้แก่ ซวน (ช) ต่อมารับราชการตำแหน่งเจ้าพระยารามจัตุรงค์ ในสมัยกรุงธนบุรี คนที่สองชื่อทองคำหรือทองมอญ (ญ) และคนสุดท้อง ชื่อ แป้น (ญ) เป็นภรรยาพระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก)

ในสมัยกรุงธนบุรี หม่อมทองมอญได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็น “เจ้าคุณใหญ่ท้าวทรงกันดาล” ดูแลข้าราชบริพารฝ่ายในทั้งหมดของพระราชวังกรุงธนบุรี (ปเรตร์ อรรถวิภัชน์.  (๒๕๖๓).  ตามรอยสมเด็จพระเจ้าตากสินและขุนนางคู่พระทัย ใครเป็นใครในวันยึดกรุงธนบุรี.  สำนักพิมพ์สยามความรู้. หน้า ๒๘๙-๒๙๐.)

ท้าวทรงกันดาล (ทองมอญ หรือทองคำ) สมรสกับหม่อมเจ้าองค์หนึ่ง เป็นเจ้านายจากราชวงศ์กรุงเก่า มีบุตรธิดา ๕ คน คือ (ปเรตร์ อรรถวิภัชน์.  (๒๕๖๓).  ตามรอยสมเด็จพระเจ้าตากสินและขุนนางคู่พระทัย ใครเป็นใครในวันยึดกรุงธนบุรี.  สำนักพิมพ์สยามความรู้. หน้า ๒๘๙-๒๙๐.)

๑. หม่อม (ญ) ไม่ทราบชื่อ ถูกพม่าจับตัวไปตอนเสียกรุง

๒. หม่อมอ่อน (หม่อมราชวงศ์อ่อน) (ช) รับราชการเป็นพระศรีวิโรจน์ เจ้ากรมเศรฐิในรัชกาลที่ ๒ หม่อมอ่อนท่านเป็นปู่ของพระยาสุรบดินทร์ฤไชย (โนรี) ผู้สำเร็จราชการเมืองชัยนาทในรัชกาลที่ ๔ และเป็นคุณทวดของพระยาไชยนันทน์พิพัทธพงศ์ (เชย ไชยนันทน์) ผู้สำเร็จราชการเมืองชัยนาทและองคมนตรีในรัชกาลที่ ๖

๓. หม่อมทิม (หม่อมราชวงศ์ทิม) (ญ) เป็นเจ้าจอมมารดาทิมในสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช มีพระโอรสพระนามว่า พระองค์เจ้าอัมพวัน

๔. (ช) หม่อมทับ (หม่อมราชวงศ์ทับ) รับราชการเป็นเสมียนตราพระคลังมหาสมบัติในรัชกาลที่ ๒ หม่อมทับดำรงตำแหน่งพระอักษรสมบัติ (ทับ) และได้สมรสกับท่านผ่อง (ธิดาของพระยาพัทลุง (ทองขาว) กับท่านปล้อง ท่านผ่องมีศักดิ์เป็นหลานของพระอักษรสมบัติ (ทับ) เนื่องจากท่านผ่องเป็นบุตรีของพระยาพัทลุง (ทองขาว) ซึ่งเป็นบุตรชายของท่านแป้น และท่านแป้นเป็นน้องสาวของท้าวทรงกันดาล (ทองมอญ) ผู้เป็นมารดาของพระอักษรสมบัติ (ทับ) ดังนั้น พระอักษรสมบัติ (ทับ) จึงมีศักดิ์เป็นอาของท่านผ่อง และท่านผ่องมีศักดิ์เป็นหลานของพระอักษรสมบัติ (ทับ) และพระอักษรสมบัติ (ทับ) กับท่านผ่องมีบุตรีชื่อทรัพย์ ซึ่งเป็นเจ้าจอมมารดาทรัพย์ในรัชกาลที่ ๓

๕. หม่อมกมุด (หม่อมราชวงศ์กมุด) (ช) ไม่ทราบประวัติ

หนังสือ “เลาะวัง” (จุลลดา ภักดีภูมินทร์.  ๒๕๖๔.  เลาะวัง.  กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แสงดาว, หน้า ๙) กล่าวว่า ท้าวทรงกันดาล (ทองมอญ) มีบุตรธิดา รวม ๔ ท่านคือ

๑.    หม่อมอ่อน (ช)

๒.    หม่อมทับ (ช)

๓.    หม่อมทิม (ญ)

๔.    หม่อม (ญ) ไม่ทราบชื่อ

เชื้อสายของท้าวทรงกันดาล (ทองมอญ) สืบทอดมาจนถึงสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี พระราชมารดาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

เมื่อครั้งที่สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าฯ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช พระราชอนุชาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเรียบเรียงประวัติราชสกุลของพระองค์ มีผู้เขียนถวายพระองค์ว่า ท้าวทรงกันดาล (ทองมอญ) เป็นหม่อมห้ามของหม่อมเจ้า (พระราชโอรสของพระองค์เจ้าหรือเจ้าฟ้าในพระราชวงศ์อยุธยา) ตั้งบ้านเรือนอยู่ท่าสิบเบี้ย อยุธยา อันเป็นถิ่นของมอญอพยพ (จุลลดา ภักดีภูมินทร์.  ๒๕๖๔.  เลาะวัง.  กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แสงดาว, หน้า ๘)


มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French

  มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French กรมหลวงพิพิธมนตรี (พระพันวัสสาน้อย) เป็นพระอัครมเหสีน้อยของสมเด็จพ...