Chalermkiat Mina

วันศุกร์, มิถุนายน 09, 2566

มินามีเรื่องเล่า เจริญกรุง ถนนที่มีครั้งแรกในกรุงรัตนโกสินทร์





มินามีเรื่องเล่า เจริญกรุง ถนนที่มีครั้งแรกในกรุงรัตนโกสินทร์

          สวัสดีครับ พอดีเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ผมได้ไปทำธุระที่แถวถนนเจริญกรุง

          เลยขออนุญาตเล่าเรื่องกำเนิดถนนเจริญกรุงนะครับ

          ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว บริเวณรอบพระบรมมหาราชวังมีแต่ทางเดิน ยามแล้งมีฝุ่นตลบ ยามฝนตกก็ชื้นแฉะ ไปไหนมาไหนไม่สะดวกและดูไม่งดงาม

          ชาวต่างชาติได้ทำหนังสือกราบทูลต่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงมีพระราชดำริ มีใจความว่า

          “...ขาวยุโรปเคยขี่รถม้าเที่ยวตากอากาศได้ความสบายไม่มีไข้ เข้ามาอยู่ที่กรุงเทพมหานคร ไม่มีถนนหนทางจะขี่รถม้าไปเที่ยว พากันเจ็บไข้เนือง ๆ ได้ทราบความหนังสือแล้ว ทรงพระราชดำริเห็นว่า พวกยุโรปเข้ามาอยู่ในกรุงเทพมหานครมากขึ้นทุกปี ด้วยประเทศบ้านเมืองเขามีถนนหนทางก็เรียบรื่นสะอาดไปทุกบ้านทุกเมือง บ้านเมืองของเรา มีแต่รกเลี้ยว หนทางก็เป็นตรอกซอกเล็กน้อย หนทางใหญ่ก็เปรอะเปื้อนไม่เป็นที่เจริญตา ข้ายหน้าแก่ชาวนานาประเทศ เขาว่าเข้ามาเป็นการเตือนสติ เพื่อจะให้บ้านเมืองงดงามขึ้น”

          สืบเนื่องจากพระราชดำรินี้ จึงได้มีการตัดถนนสายแรกในกรุงรัตนโกสินทร์ มีชื่อว่า “ถนนเจริญกรุง”

          ถนนเจริญกรุงเริ่มตั้งแต่สะพานเหล็ก (สะพานดำรงสถิตย์) ข้ามคลองผดุงกรุงเกษมไปจนถึงฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ปลายถนนตก ตำบลบางคอแหลม ถนนตอนนี้เรียกว่าถนนเจริญกรุงตอนนอก

          ต่อมา ในปี พ.ศ. ๒๔๐๖ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างถนนเจริญกรุงตอนใน ตั้งแต่วัดพระเชตุพนฯ (วัดโพธิ์) ไปจนถึงสะพานเหล็ก

          ตอนแรกสร้างถนนเจริญกรุงตอนใน คนนิยมเรียกว่า ถนนใหม่ หรือเรียกชื่อภาษาอังกฤษว่า “New Road

          ถนนเจริญกรุงตอนในนี้ไม่ได้มีการตัดถนนแบบตัดตรงเลยทีเดียว แต่มีการตัดถนนแบบมีการหักโค้ง ทำไมหรือครับ

          คำตอบคือ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงเชี่ยวชาญด้านการปืนใหญ่ ทรงพิจารณาว่า ถ้าข้าศึกนำปืนใหญ่มาตั้งที่ถนน ก็อาจยิงทำลายประตูเมืองได้สะดวกรวดเร็ว จึงต้องทำเป็นถนนหักโค้ง เลี้ยวออกทางสะพานดำรงสถิตไป

          แน่นอน ตอนแรกที่สร้างถนนเจริญกรุงนี้ มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานาว่า ถนนกว้างเกินไป จะใช้ได้คุ้มทุนหรือไม่

          พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงอธิบายว่า

          “แต่ซึ่งทำให้ใหญ่ไว้นี่เผื่อไว้ว่า เมื่อนานไปภายหน้า บ้านสมบูรณ์มีผู้คนมากมายขึ้น รถแลม้าแลจะได้คล่องสะดวก จึงทำให้ใหญ่ไว้”

          สมกับที่พระองค์ท่านได้ทรงอธิบายไว้จริง ๆ ถนนเจริญกรุงที่สร้างแต่แรกมีความกว้างถึง ๘ เมตร กลับคับแคบไปถนัดตา เมื่อกลายเป็นถนนสายสำคัญในพระนครที่มีผู้คนนิยมสร้างตึกแถวแบบสิงคโปร์เรียงรายไปตลอดเส้นทางเพื่อทำการค้าและธุรกิจนานา

          พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเพิ่มความสะดวกในด้านการสัญจรไปมาของชาวพระนคร ในปีเดียวกันนี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างถนนบำรุงเมือง และถนนเพื่องนคร ทำให้ชาวเมืองบางกอกที่เคยใช้เส้นทางคมนาคมทางน้ำเป็นหลัก ได้เริ่มหันมาใช้ถนนซึ่งนับว่าเป็นของแปลกในยุคนั้น

          ถ้าท่านผ่านมาแถวถนนเจริญกรุงแล้วละก้อ จะเห็นว่าถนนสายนี้เป็นหัวใจสำคัญของกรุงเทพฯ และเป็นถนนประวัติศาสตร์สายแรกของกรุงรัตนโกสินทร์นะครับ

 

แหล่งข้อมูลประกอบการเล่าเรื่อง

อำนาจ ขาวเครือม่วง.  (๒๕๔๗). พระราชประวัติ พระราชกรณียกิจ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. ในเรียงความเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว.  กรุงเทพฯ: วัดมกุฏกษัตริยาราม. 

วันจันทร์, มิถุนายน 05, 2566

มินามีเรื่องเล่า พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ พระบิดาแห่งกฎหมายไทย Thai-English-French



มินามีเรื่องเล่า พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ พระบิดาแห่งกฎหมายไทย Thai-English-French

ที่หน้าศาลจังหวัดขอนแก่น มีอนุสาวรีย์ที่ตั้งตระหง่านอยู่หน้าอาคารศาล นี้คืออนุสาวรีย์ของ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ (พระองค์เจ้าชายรพีพัฒนศักดิ์)

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ทรงเป็นพระโอรสองค์ที่ ๑๔ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเป็นพระโอรสลำดับที่ ๒ ของเจ้าจอมมารดาตลับ (ธิดาของพระยาเวียงในนฤบาล [หรั่ง เกตุทัต]) พระองค์ท่านประสูติเมื่อวันพุธที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๑๗

วันอังคารที่ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๒๘ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์เสด็จไปศึกษาวิชากฎหมาย ที่สำนักไครสต์เชิช แห่งมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ

ทรงสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาวิชานิติศาสตร์ และได้รับปริญญาอักษรศาสตรบัณฑิต (Bachelor of arts – B.A.) จากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด (ในสมัยนั้นมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดและเคมบริดจ์ ประสาทปริญญาอักษรศาสตรบัณฑิต แก่ผู้เรียนปริญญาตรีสำเร็จทุกสาขา)

เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว ทรงปฏิบัติงานในกรมราชเลขานุการ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้เป็นข้าหลวงพิเศษไปจัดการตั้งศาลในมณฑลกรุงเก่า


พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์รับตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม ท่านได้ปฏิบัติงานในตำแหน่งนี้ระหว่างวันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ.๒๔๓๙ ถึงวันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๕๓

ปี พ.ศ. ๒๔๔๒ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงโปรดเกล้าฯ สถาปนาท่านเป็น พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ รัชกาลที่ ๕ ทรงระบุพระคุณลักษณ์ของพระองค์ว่า “เฉลียวฉลาดรพี”

ในด้านกฎหมาย พระองค์เจ้ารพีทรงปรับปรุงระเบียบงานศาลสถิตยุติธรรมตามระบบสากล จนประเทศไทยมีเอกราชทางศาลโดยสมบูรณ์


ทรงชำระสะสางบทพระอัยการต่างๆ ประมวลเป็นกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. ๑๒๗ ทรงทำคำอธิบายรวบรวมคำพิพากษาฎีกาบางเรื่องไว้เป็นบรรทัดฐาน ทรงก่อตั้งโรงเรียนกฎหมาย ทรงสอนและนิพนธ์ตำราและทรงจัดให้มีการสอบเนติบัณฑิตไทย ทรงตั้งศาลตามหัวเมือง รวมทั้งศาลข้าหลวงพิเศษ ศาลมณฑลและศาลเมืองตามลำดับที่จะขยายออกไปได้

ต่อมาในสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ พระองค์ทรงโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าพี่ยาเธอกรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์เป็นองคมนตรีระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๕๓-๒๔๖๓ และในปีต่อมา คือ พ.ศ.๒๔๕๔ ทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้พระองค์ท่านเป็นเสนาบดีกระทรวงเกษตราธิการ ทรงดำรงตำแหน่งนี้ระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๕๔-๒๔๖๓

ปี พ.ศ. ๒๔๕๕ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ทรงมีพระบรมราชโองการให้เลื่อนพระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ขึ้นเป็น พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ โดยมีเนื้อความบางตอนในคำประกาศสถาปนาพระยศ ดังนี้

อนึ่ง พระเจ้าพี่ยาเธอฯ พระองค์นี้ ตั้งแต่เมื่อทรงศึกษาอยู่ในประเทศยุโรปแล้ว ได้ทรงเป็นผู้ที่ต้องพระราชอัธยาศัยแห่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นผู้ที่สนิทสนมตั้งแต่สมัยกาลอันนั้นสืบมาจนกาลบัดนี้ ได้ทรงสังเกตเห็นได้ถนัดว่า พระเจ้าพี่ยาเธอฯ ทรงมีความจงรักภักดีในพระองค์โดยซื่อสัตย์สุจริตแท้มิได้ขาดเลย เป็นผู้ที่เข้าพระทัยพระบรมราโชบายได้โดยง่าย เพราะมีทางที่ทรงพระดำริต้องกันในกิจการโดยมาก จึงสมควรที่จะเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย และสมควรที่จะทรงสถาปนาไว้ในตำแหน่งพระองค์เจ้าต่างกรมผู้ใหญ่พระองค์ ๑ ได้”

กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์สิ้นพระชนม์ด้วยโรควัณโรคในพระวักกะ (ไต) ณ กรุงปารีส เมื่อเสาร์ที่ ๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๓ พระชันษา ๔๗ ปี พระราชทานเพลิงศพที่กรุงปารีส แล้วอัญเชิญพระอัฐิกลับประเทศไทยเมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๓ พระองค์ทรงเป็นต้นราชสกุล รพีพัฒน์ ณ อยุธยา

ภายหลังสิ้นพระชนม์ ทรงได้รับการเทิดพระเกียรติเป็น “พระบิดาแห่งวิชากฎหมายไทย”

นักกฎหมายถือเอาวันที่ ๗ สิงหาคมของทุกปี เป็น “วันรพี” เพื่อน้อมรำลึกถึงพระองค์ผู้ทรงพระคุณต่อประเทศชาติและนักกฎหมายทั้งปวงเป็นเอนกประการ

**********************


Mina’s Stories: Prince Rapee Monument

At Khon Kaen Provincial Court, the monument of Krom Luang Ratchaburi Direk Rit, the father of modern Thai law, is located magnificently in front of the court building.

 Krom Luang Ratchaburi Direk Rit or Phra Ong Chao Chai Rapee Pattanasak was the son of King Rama V and Chao Chom Manda Talab. He was born on Wednesday 21th October 1874.

 On 28th June 1882, Prince Rapee Pattanasak went to study laws in Christ Church College of Oxford University and graduated with the Bachelor of Art.

 In the reign of King Rama V, Krom Luang Ratchaburi Direk Rit or Prince Rapee worked in the Department of Royal Secretariat. Then he worked as the Minister of Justice from 3rd of March, 1896 to 26th of June, 1910.

 In 1910, King Rama VI appointed him as the Privy Councillor. Then in 1911, he was also appointed as Minister of Agriculture.

 On 7th August 1920, Krom Luang Ratchaburi Direk Rit passed away in Paris. He was later considered as the Father of modern Thai law. The 7th of August is considered as Rapee’s Day, an auspicious time to commemorate his great works for Thai law.

*********

Mina raconte : Le monument du Prince Rapee

Le tribunal provincial de Khon Kaen est situé dans la zone du centre administrative de la province. Devant le bâtiment colossal du tribunal, il y a le magnifique monument. C’est le monument Krom Luang Ratchaburi Direk Rit ou simplement appelé le prince Rapee, père de la loi moderne de Thaïlande.

 Krom Luang Ratchaburi Direk Rit ou Phra Ong Chao Chai Rapee Pattanasak est le fils du roi Rama V et de Chao Chom Manda Talab. Il est né le mercredi 21 octobre 1874.

 Le 28 juin 1882, le prince Rapee Pattanasak est allé étudier le droit au collège Christ Church de l'Université d'Oxford et a obtenu sa licence ès lettres (En ce moment-là, l’université d’Oxford remettait la licence ès lettres aux diplômés de toute filière).

 Sous le règne du roi Rama V, Krom Luang Ratchaburi Direk Rit ou Prince Rapee travaillait au Département du secrétariat royal. Puis il travaillait comme ministre de la Justice du 3 mars 1896 au 26 juin 1910.

En 1910, le roi Rama VI le nomma conseiller privé. Puis en 1911, il le nomma ministre de l'Agriculture.

Le 7 août 1920, Krom Luang Ratchaburi Direk Rit fut décède à Paris. Il a ensuite été considéré comme le père de la loi moderne de Thaïlande. Le 7 août est considéré comme le jour Rapee, un jour propice pour commémorer ses grands oeuvres pour le droit thaïlandais.

********** 


วันอาทิตย์, มิถุนายน 04, 2566

มินามีเรื่องเล่า สร้อยพระนามของกรมหลวงชุมพรฯ เขตรหรือเขต

มินามีเรื่องเล่า สร้อยพระนามของกรมหลวงชุมพรฯ เขตรหรือเขต

          สวัสดีครับ วันนี้ขออนุญาตเล่าเรื่องสร้อยพระนามของพระองค์เจ้าชายอาภากรเกียรติวงศ์ พลเรือเอกกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ นะครับ

          โดยทั่วไปสร้อยพระนามของพระองค์ท่านจะเขียนเป็นสองแบบ คือ เขตรอุดมศักดิ์ (มี ร เรือในคำว่า “เขตร” และเขตอุดมศักดิ์ (ไม่มี ร เรือในคำว่าเขต)

          ตกลงมี ร เรือ หรือไม่มี ร เรือ ในคำว่าเขต ครับ

คำอธิบายคือว่า เมื่อพิจารณาจากหลักฐานใน ราชกิจจานุเบกษา พบว่า ตามประกาศสถาปนาพระอิสริยยศในปี พ.ศ. ๒๔๔๗ พระองค์ท่านทรงกรมเป็น กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ มี ร เรือในคำว่า “เขตร” นะครับ

          แต่ต่อมาเมื่อมีการสถาปนาขึ้นเป็นกรมหลวงในปี พ.ศ. ๒๔๖๓ คำประกาศสะกดพระนามว่า ชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ไม่มี ร เรือ นะครับ

          ในเรื่องนี้ หม่อมเจ้าจารุพัตรา อาภากร พระธิดาของพระองค์ท่านได้เคยชี้แจงว่า พระองค์ท่านทรงใช้ตัวสะกดว่า “เขตร” มาตั้งแต่ต้นจนตลอดพระชนม์ชีพ

          ดังนั้นที่ปรากฏในปัจจุบันจะเห็นว่ามีการสะกดทั้งสองแบบ ตามแต่จะยึดถือเกณฑ์อย่างใดอย่างหนึ่ง กล่าวคือ ยึดถือตอนทรงกรมเป็นกรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ จะมีตัวสะกด ร เรือ ในคำว่าเขต แต่ถ้ายึดถือตอนทรงกรมเป็นกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ จะไม่มีตัวสะกด ร เรือ ในคำว่า เขต

          กองทัพเรือยึดถือสร้อยพระนามตามเอกสารราชการ คือ เขตอุดมศักดิ์ แต่หน่วยราชการอื่น ๆ เช่น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตรชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ หรือสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง วิทยาเขตชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ที่ตั้งอยู่ที่อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร ใช้คำว่า เขตร ที่มี ร สะกดครับ

ข้อมูลประกอบการเล่าเรื่อง

- ศรัณย์ ทองปาน.  (๒๕๖๓). ให้โลกทั้งหลายเขาลือ เสด็จเตี่ย กรมหลวงชุมพรฯ. นนทบุรี: สารคดี.

- ไพรัช มณฑาพันธุ์.  (๒๕๕๐).  เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินที่เกี่ยวข้องกับกองทัพเรือ.  ในหนังสืออนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ เรือเอกไพฑูรย์ มณฑาพันธุ์ ท.ช., ท.ม.







วันเสาร์, มิถุนายน 03, 2566

มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ตอนเรือหลวงชุมพร ตอนที่ ๒




มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ตอนเรือหลวงชุมพร ตอนที่ ๒

          สวัสดีครับ วันนี้ขออนุญาตเล่าเรื่องเรือหลวงชุมพรต่อนะครับ

          ปัจจุบัน เรือหลวงชุมพรปลดระวางแล้ว และจอดอย่างโดดเด่นเป็นสง่าที่บริเวณศาลเจ้ากรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ณ หาดทรายรี จังหวัดชุมพร

เรือหลวงชุมพรเป็นเรือตอร์ปิโด ที่ต่อมาจากอู่กันติเอริ ริอูนิติ เดลล์ลอริอาติโก ประเทศอิตาลี เรือหลวงชุมพรมีชุดเรือพี่เรือน้องที่ต่อในชุดเดียวกันอีก ๘ ลำ รวมทั้งเรือหลวงชุมพร รวมเป็น ๙ ลำ ซึ่งเรือเหล่านี้ใช้ชื่อจังหวัดชายทะเลเป็นชื่อของเรือหลวงทั้งสิ้นครับ

          เรือเหล่านี้ได้แก่ ๑. เรือหลวงชุมพร ๒. เรือหลวงจันทบุรี ๓. เรือหลวงระยอง ๔. เรือหลวงตราด ๕. เรือหลวงชลบุรี ๖. เรือหลวงสงขลา ๗. เรือหลวงภูเก็ต ๘. เรือหลวงปัตตานี และ ๙. เรือหลวงสุราษฎร์ ปัจจุบันเรือหลวงเหล่านี้น่าจะปลดระวางประจำการไปหมดแล้วครับ

          มาพิจารณาศักยภาพของเรือหลวงชุดนี้นะครับ สมรรถนะของเรือหลวงชุดนี้มีดังนี้ครับ เป็นเรือขนาดเล็ก มีระวางขับน้ำ ๔๓๑ ตัน ความยาวตลอดลำ ๖๘ เมตร ตัวเรือกว้างประมาณ ๖.๕๕ เมตร มีตอร์ปิโดขนาด ๔๔ เซนติเมตร (ประมาณ ๑ ฟุตครึ่ง) ๔ ท่อ ปืนขนาด ๗๕/๕๑ มิลิเมตร ๒ กระบอก และปืนอื่น ๆ ประจำเรือ ได้แก่ ปืนแมดเสน และปืนขนาด ๔๐/๖๐ มิลิเมตร มีค่าเท่ากับ ๑ เซนติเมตร ปากกระบอกปืนมีความกว้างประมาณ ๔-๗.๕ เซนติเมตร หรือประมาร ๒-๓ นิ้ว

          เครื่องจักรของเรือหลวงชุมพร เป็นเครื่องจักรไอน้ำ แบบพาร์สัน ๒ เครื่อง ใบจักรคู่ ความเร็วสูงสุด ๒๐ นอต (ประมาณ ๓๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง)

          เรือหลวงชุมพรขึ้นระวางประจำการเมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๑ ปลดระวางประจำการเมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๘ ปัจจุบันเรือลำนี้ได้รับการอนุรักษ์เป็นอนุสรณ์ไว้ที่หาดทรายรี จังหวัดชุมพร นะครับ

          เรือหลวงชุมพรไม่ได้เกี่ยวข้องกับกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ในสมัยที่พระองค์ท่านยังมีชีวิตอยู่นะครับ ในเวลานั้นเรือหลวงชุมพรยังไม่ได้สร้างขึ้นนะครับ เรือหลวงชุมพรได้รับการต่อและขึ้นระวางประจำการภายหลังที่กรมหลวงชุมพรฯ พระองค์ท่านสิ้นพระชนม์แล้วกว่า ๑๕ ปี

 

          เมื่อถึงวาระที่เรือหลวงชุมพรต้องได้รับการปลดระวาง เรือลำนี้ได้ถูกนำไปเป็นอนุสรณ์สถานที่ในจังหวัดชุมพร ซึ่งจังหวัดชุมพรเป็นจังหวัดหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดพระราชทานชื่อให้พระองค์เจ้าชายอาภากรเกียรติวงศ์ทรงกรมเป็น “กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์” (เรื่องพระราชทานชื่อโดยให้ทรงกรมนั้น จะขอเล่าในโอกาสต่อไปครับ)

          กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ได้สิ้นพระชนม์ที่หาดทรายรี จังหวัดชุมพร หาดทรายรีจึงกลายเป็นเหตุการณ์เกี่ยวเนื่องที่เราเรียกว่า Joint Event ของเรือหลวงชุมพรและพลเรือเอกพระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ นะครับ

          อันที่จริงกรมหลวงชุมพระเขตอุดมศักดิ์ พระองค์ท่านเกี่ยวข้องกับเรือหลวงพระร่างมากกว่านะครับ ซึ่งจะขอเล่าเรื่องนี้ในโอกาสต่อไปครับ

          ท่านมาที่หาดทรายรี มานมัสการศาลเจ้ากรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์และขอเชิญทัศนาความสง่างามของเรือหลวงชุมพรนะครับ

ข้อมูลประกอบการเล่าเรื่อง

- ไพรัช มณฑาพันธุ์.  (๒๕๕๐).  เรือหลวงชุมพร.  ในหนังสืออนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ เรือเอกไพฑูรย์ มณฑาพันธุ์ ท.ช., ท.ม.


วันพฤหัสบดี, มิถุนายน 01, 2566

มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ตอนเรือรบหลวงชุมพร ตอนที่ ๑



มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ตอนเรือรบหลวงชุมพร ตอนที่ ๑

          สวัสดีครับ ขออนุญาตเล่าเรื่องเรือรบหลวงชุมพร ซึ่งจอดอยู่ที่หาดทรายรี จังหวัดชุมพร นะครับ

          วันนี้ขอเล่าเรื่องการตั้งชื่อเรือรบก่อนนะครับ

          เท่าที่ผมทราบนะครับ เราจะสังเกตว่าหัวเรือรบมีตัวเลขกำกับ ท้ายเรือรบมีป้ายสีดำเขียนด้วยอักษรสีทอง บอกชื่อเรือว่าชื่ออะไร

          ชื่อเรือเป็นชื่อจังหวัด สถานที่อื่น ๆ รวมทั้งชื่อแม่น้ำเป็นส่วนมาก มีชื่อของบุคคลสำคัญด้วย เช่นเรือหลวงปิ่นเกล้า เป็นต้น

          มีข้อสังเกตว่าประเภทของเรือรบจะมีความสัมพันธ์กับการตั้งชื่อเรือ มีแนวทางการตั้งชื่อเรือที่น่าสนใจนะครับ มาลองดูกันครับ

          เรือบรรทุกเครื่องบิน แนวทางในอดีตที่เคยกำหนดกันมา ชื่อเรือจะมาจากชื่อสัตว์ที่มีอิทธิฤทธิ์ทางการบิน เหาะเหิน

          กองทัพเรือไทยมีเรือบรรทุกเครื่องบินหนึ่งลำ ได้รับชื่อพระราชทานที่เป็นมงคลนามจากพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรเป็นการเฉพาะว่า “เรือหลวงจักรีนฤเบศร” แปลว่า “ผู้เป็นใหญ่ในราชวงศ์จักรี” ครับ

          เรือประจัญบาน กองทัพเรือจะกำหนดหลักเกณฑ์ในการตั้งชื่อให้เป็นชื่อบุคคลสำคัญ วีรบุรุษของชาติ เป็นต้น

          เรือพิฆาต แต่เดิมกองทัพเรือจะใช้ชื่อบุคคลสำคัญของประเทศเป็นชื่อเรือ เช่น เรือหลวงปิ่นเกล้าหรือเรือหลวงมกุฎราชกุมาร ต่อมามีการพัฒนาเรือปราบเรือดำน้ำที่พัฒนาต้นแบบจากเรือพิฆาต มีเกณฑ์การกำหนดชื่อโดยใช้ชื่อแม่น้ำเป็นชื่อเรือ เช่น เรือหลวงท่าจีน เรือหลวงประแสร์ เรือหลวงเจ้าพระยา เรือหลวงตาปี เรือหลวงคีรีรัฐ เรือหลวงบางปะกง รวมทั้งเรือหลวงแม่กลอง ซึ่งเป็นเรือครูใช้ฝึกนักเรียนทหารเรือ ทางเทคนิคจะเรียกเรือครูนี้ว่า เรือสลุป ครับ

          เรือดำน้ำ ไทยเราเคยมีเรือดำน้ำที่ใช้งานระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ และสงครามอินโดจีน เป็นเรือดำน้ำที่ต่อจากประเทศญี่ปุ่น ปลดระวางไปนานแล้วครับ ญี่ปุ่นแพ้สงคราม เราหาอะไหล่และอุปกรณ์ซ่อมบำรุงไม่ได้ครับ

          เรือดำน้ำก็มีเกณฑ์การตั้งชื่อนะครับ มีการกำหนดให้ใช้ชื่อบุคคลสำคัญในวรรณคดีที่มีอิทธิฤทธิ์ทางน้ำ กองทัพเรือไทยเราเคยมีเรือดำน้ำประจำการชื่อ วิรุฬ สินสมุทร พลายชุมพล และมัจฉานุ ครับ

          เรือปืน มีเกณฑ์การตั้งชื่อเรือรบประเภทนี้โดยใช้เมืองหลวงของประเทศเป็นชื่อเรือรบครับ เช่นเรือหลวงธนบุรี ที่เคยสร้างชื่อเสียงในยุทธนาวีที่เกาะช้างมาแล้วครับ เรายังมีเรือหลวงรัตนโกสินทร์ เรือหลวงสุโขทัย (น่าเสียดายครับ เพิ่งอับปางลงไปเมื่อเร็ว ๆ นี้) และเรือหลวงศรีอยุธยา (ที่เกี่ยวข้องกับสมัยจอมพล ป พิบูลสงคราม เป็นที่น่าเสียดายเช่นกันครับ)

          เรือทุ่นระเบิด มีเกณฑ์การตั้งชื่อโดยใช้สมรภูมิที่บรรพบุรุษไทยทำการรบกับอริราชศัตรูในอดีต ส่วนมากเป็นชื่อสนามรบ เช่น เรือหลวงโพสามต้น เรือหลวงท่าดินแดง เรือหลวงบางระจัน เรือหลวงหนองสาหร่าย เป็นต้นครับ

          เรือตอร์ปิโด (กว่าจะมาถึงชื่อเรื่องของเราว่า เรือหลวงชุมพร ผ่านเรือมาหลายประเภทนะครับ) พระเอกของเราคือเรือตอร์ปิโด กองทัพเรือไทยมีเรือรบประเภทนี้หลายลำ เรือประเภทนี้ใช้ชื่อจังหวัด หัวเมืองชายทะเลเป็นชื่อเรือ เช่น เรือหลวงสงขลา เรือหลวงระยอง เรือหลวงชลบุรี และแน่นอนครับเรือหลวงชุมพร (ซึ่งคงจะต้องเล่ารายละเอียดในตอนหน้าครับ)

          เรือยกพลขึ้นบกและเรือลำเลียง เรือประเภทนี้ กองทัพเรือจะใช้ชื่อเกาะเป็นชื่อเรือ เช่น เรือหลวงช้าง เรือหลวงพงัน เรือหลวงไผ่ เป็นต้น

          เรือสำรวจ จะใช้ชื่อดวงดาวเป็นชื่อเรือ เช่น เรือหลวงจันทร

          ครับ เกณฑ์และที่มาของชื่อเรือประเภทต่าง ๆ นับได้ว่าน่าสนใจไม่น้อยครับ

          ตอนต่อไปมาดูเรือหลวงชุมพรกันนะครับ มาจอดที่หาดทรายรีได้อย่างไร มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ได้อย่างไร โปรดติดตามและตามติดนะครับ 

วันพุธ, พฤษภาคม 31, 2566

มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ตอน วันสำคัญของกองทัพเรือไทย ๑๙ พฤษภาคม Thai-English–French


มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ตอน วันสำคัญของกองทัพเรือไทย ๑๙ พฤษภาคม
Thai-English – French

          วันศุกร์ที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๖ เป็นวันครบรอบ ๑๐๐ ปีแห่งการสิ้นพระชนม์ของพลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ หรือที่รู้จักกันในนาม เสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ

กองทัพเรือไทยร่วมกับมูลนิธิกรมหลวงชุมพรหาดทรายรี โดยประธานมูลนิธิ พลเรือเอกจุมพล ลุมพิกานนท์ ได้จัดกิจกรรมน้อมรำลึก “เสด็จเตี่ย ณ หาดทรายรี ๑๐๐ ปี ไม่มีลืม” โดยจัดขึ้นที่ศาลกรมหลวงชุมพร หาดทรายรี จังหวัดชุมพร

ช่วงเวลาเช้ามีพิธีบวงสรวงสดุดีพระเกียรติ และตั้งแต่เวลา ๑๓.๐๐ น. ราชนาวีไทยได้จัดพิธีเทิดพระเกียรติพระองค์ท่าน วงดนตรีราชนาวีร่วมบรรเลงเพลงพระนิพนธ์ของพระองค์ท่าน เช่น ดาบของชาติ เกิดมาทั้งที และดอกประดู่ (หะเบสสมอ) เป็นต้น

กิจกรรมเทิดพระเกียรติพระองค์ท่านนี้จัดขึ้นเพื่อให้ประชาชนได้รู้ว่า บิดาแห่งทหารเรือไทยเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับพวกเราชาวไทยทุกคน และพวกเราได้ร่วมน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ได้ทรงวางรากฐานและทรงพัฒนากิจการของทหารเรือให้มีความก้าวหน้าและมั่นคง

พวกเราขอน้อมรำลึกถึงคำสอนของพระองค์ว่า กยิรา เจ กยิรา เถนัง” แปลว่า “ถ้าคิดจะทำสิ่งใดแล้ว ควรทำจริง” โดยขอน้อมนำพระนิพนธ์โคลงกลอนที่ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงนิพนธ์เพื่อพระโอรส พระธิดามาเล่าให้พวกเราฟังครับ

ทำงานทำจริงเจ้า จงทำ

ระหว่างเล่นควรจำ เล่นแท้

หนทางเช่นนี้นำ เป็นสุข

ก่อให้เกิดรื่นเริงแม้ นับถือ ทวีคูณ

 

ทุกสิ่งที่ทำนั้น ควรตรอง

โดยแน่สุดทำนอง ที่รู้

สิ่งใดทำเป็นลอง ครึ่ง ครึ่ง

สิ่งนั้นไม่ควรกู้ ก่อให้ เป็นจริง

 

Mina stories: The Great Day of the Royal Thai Navy

On May19, 2023, at Krom Luang Chumphon Khet Udomsak Shrine, Hat Sairee, Chumphon, the Royal Thai Navy together with the foundation of Krom Luang Chumphon Hat Sairee organized a commemorative ceremony to celebrate the 100th anniversary of the death of Krom Luang Chumphon Khet Udomsak, the father of Royal Thai Navy.

In the morning, the activities of worshiping ceremony took place at the shrine. The new light-house, located magnificently in front of the shrine, was inaugurated to celebrate this auspicious occasion.

The highlight of the evening activities was the performance of the Royal Thai Navy. Krom Luang Chumphon’s songs were played beautifully.

This auspicious occasion allowed Thai people to extend their grateful thanks to his royal highness’s works towards the Royal Thai Navy and our country.

Take action if we want to do something is one of his teachings which always reminds us to do good deeds to our society. I would like to present his poem about his teaching of All that you do, do whit you might.

Work while you work

Play while you play

That is the way

To be cheerful and gay

 

All that you do

Do whit your might

Thing done by half

Are never done right.

Mina raconte : Le grand jour de la Marine Royale Thaïlandaise

Le 19 mai 2023, au sanctuaire de Krom Luang Chumphon Khet Udomsak situé à Hat Sairee, Chumphon, la Marine royale thaïlandaise et la fondation de Krom Luang Chumphon Hat Sairee ont organisé une cérémonie commémorative pour célébrer le 100e anniversaire de la mort de Krom Luang Chumphon Khet Udomsak, le père de la Marine Royale Thaïlandaise.

Le matin, les activités de la cérémonie pour rendre hommage au Prince Chumphon ont eu lieu au sanctuaire. Le nouveau phare nommé « les yeux d’ange de la mer de Chumphon », qui est magnifiquement situé devant le sanctuaire, a été inauguré pour célébrer cette heureuse occasion.

Le point culminant des activités du soir a été le spectacle musical exécuté par la Marine Royale Thaïlandaise. Les chansons de Krom Luang Chumphon ont été magnifiquement interprétées.

Cette occasion propice a permis au peuple thaïlandais d'exprimer ses remerciements reconnaissants aux travaux de son altesse royale qui ont bénéficié sur le pays, surtout la Marine Royale Thaïlandaise.

"Passez à l'action si nous voulons faire quelque chose" est l'un de ses enseignements qui nous rappelle toujours de faire de bonnes actions pour notre société. Voici le poème qu’il a fait :

Travaillez pendant que vous travaillez

Jouez pendant que vous jouez

C’est la façon

D’être joyeux et gai.


Tout ce que tu fais,

Fais vraiment avec ta force.

Chose faite à moitié

Ne sont jamais bien faits.

***************** 



วันอังคาร, พฤษภาคม 30, 2566

มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ตอนวิธีแก้ทหารเรือเมาคลื่น



มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ตอนวิธีแก้ทหารเรือเมาคลื่น

กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ทรงฝึกทหารเรือในสถานการณ์จริง ท่านหญิงเริงจิตรแจรง อาภากร พระธิดาของเสด็จในกรมฯ ในการออกฝึกทางทะเลในอ่าวไทย ท่านหญิงเริงจิตรแจรง อาภากร ได้ตามเสด็จอยู่บ่อยครั้ง และท่านได้บันทึกไว้ในหนังสือ “อนุสรณ์ท่านหญิงเริง” มีใจความว่า

“ในเรือมีที่นอนแคบๆ แต่พอตัว เสด็จในกรมฯ ไม่ทรงโปรดทหารเรือหรือใครที่เมาคลื่น

มีคราวหนึ่งทรงนำนักเรียนนายเรือและนักเรียนช่างกลไปทะเลโดยเรือยงยศอโยชฌิยาแบบเก่า คือเรือกนไฟมีเสาใบ 

การฝึกหัดทางทะเลครั้งนี้ ทรงนำไปชายฝั่งถึงจันทบุรี ปรากฏว่านักเรียนจำนวนหนึ่งเมาคลื่น นอนแบบไม่สมปฤดี เสด็จในกรมฯ ทรงกริ้วว่า เมาคลื่นอย่างนี้จะไปรบกับใครเขาได้ ทรงเรียกแถวทั้งหมด ปรากฏว่ามาเข้าแถวไม่ครบ นอนอาเจียนเขียวเหลืองอยู่บนดาดฟ้าเรือ รับสั่งให้พวกเมาคลื่นไปปีนเสากระโดงเรือถ้าใครคิดว่าจะอาเจียนให้เอาถังสังกะสีผูกคอติดขึ้นไปด้วยเพื่อกันทำเลอะเทอะ แม้กระนั้นยังมีพวกที่เมาจัด ใช้มือยึดเสากระโดงเรือ คอพับไปมาพับมา

เสด็จในกรมฯ ทรงเกรงว่าทหารเรือพวกนี้จะตกลงมา ทรงให้เอาเชือกมัดติดกับเสาไว้อาเจียนจนหายเมา แต่การขึ้นเสากระโดงนี้ นักเรียนบอกว่าทำให้ค่อยยังชั่ว ได้ขึ้นอยู่สูง ๆ ได้อากาศดี แสดงว่าความเป็นทหารเรือจะต้องทรหดอดทน ผลการฝึกทำให้นักเรียนหายเมาคลื่นไปหลายคน แต่มีบางพวกแก้ไม่หายก็ลาออกไปเลย

สำหรับลูกๆ และหม่อมนั้น พระองค์ก็หัดแบบเดียวกับนักเรียน แต่ไม่ต้องขึ้นเสากระโดง รับสั่งไม่ให้นอน ให้ลุกขึ้นทำโน่นทำนี่ วิ่งเดิน อาเจียนไปบ้างก็หายเมาไปเอง มีบางคนเท่านั้นที่หัดไม่ได้จริง ๆ ใจไม่สู้ รับสั่งว่าขืนหัดก็ตายเปล่า”

          เห็นไหมครับว่า กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ท่านเป็นครูฝึกให้นักเรียนนายเรือ รวมทั้งสมาชิกในครอบครัวมีความทรหดอดทน สมกับที่พระองค์กล่าวไว้ว่า กยิรา เจ กยิราเถนํ” แปลได้ว่า “จะทำสิ่งใร ควรทำให้จริง”

ข้อมูลประกอบการเล่าเรื่อง

- นิตยสารเทิดพระเกียรติ พระประวัติอันยิ่งใหญ่ นานไปเขาไม่ลืม พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงขุมพรเขตอุดมศักดิ์




มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French

  มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French กรมหลวงพิพิธมนตรี (พระพันวัสสาน้อย) เป็นพระอัครมเหสีน้อยของสมเด็จพ...