Chalermkiat Mina

วันจันทร์, พฤษภาคม 29, 2566

มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ตอนออกฝึกทางทะเล


มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ตอนออกฝึกทางทะเล

          สวัสดีครับ เมื่อกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์เข้ารับราชการเป็นครูฝึกนักเรียนนายเรือ นอกจากการสอนแล้ว ยังมีการออกฝึกทางทะเลอีกด้วย

          ขอนำบันทึกเกร็ดพระประวัติเสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ของท่านผู้หญิงเริงจิตแจรง อาภากร พระธิดาของเสด็จในกรมฯ ในเรื่องการออกฝึกทางทะเล มาเล่าสู่กันฟังครับ

          ท่านผู้หญิงเริงจิตแจรง อาภากร เล่าไว้ว่า เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๐ เสด็จในกรมฯ ทรงนำนักเรียนและนักเรียนช่างกลไปอวดชาวต่างประเทศ คือ สิงคโปร์ ปัตตาเวีย ชวาและบิลลิทัน โดยเดินทางโดยเรือมกุฎราชกุมาร เสด็จในกรมฯ ทรงเป็นผู้บังคับการเรือด้วยพระองค์เอง ไม่มีชาวต่างประเทศไปด้วยเลย พลประจำเรือใช้นักเรียนไทยล้วน ๆ สำหรับทหารประจำเรือเอาไปน้อยที่สดเฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น

          ถือเป็นครั้งแรกที่ทหารเรือไทยได้ออกเรือไปฝึกถึงต่างประเทศ โดยมีคนไทยทั้งลำอยู่บนเรือ เรื่องอาหารในเรือให้กินขนมปังอย่างในเรือรบอังกฤษใช้ ซึ่งมีคำกล่าวว่า ขนมปังแข็งยิ่งกว่าเหล็ก ซึ่งขนมปังคงจะทำไม่ถูกส่วน ทั้งนี้เมื่อเอาออกจากหีบแล้ว ขนมปังแข็งจริง ๆ จนกัดไม่เข้า

          เรื่องขนมปังแข็งยิ่งกว่าเหล็กเกี่ยวข้องกับ “ลูกตน” ด้วย กล่าวคือ มีนักเรียนคนหนึ่งได้เอา “ลูกตน” คือเหล็กหรือทองเหลืองรูปเหมือนกระบอง ยาวประมาณ ๑๐ นิ้ว ที่เสียบไว้รอบโคนเสา เพื่อผูกเชือกเพลาใบมาทุบขนมปัง ผลคือ “ลูกตน” หัก อาจจะเป็นเพราะเหล็กลูกตนเดาะอยู่แล้วก็เป็นได้ ทำให้ลือกันว่าขนมปังแข็งยิ่งกว่าเหล็ก

          เรื่องกินขนมปังนั้น เสด็จในกรมฯ ทรงเห็นว่า ขนมปังกินสะดวกเพราะเก็บไว้ได้นาน ๆ ไม่เหมือนข้าวที่ต้องหุงกันทุวัน เวลาเดินเรือมีคลื่นมากลำบากแก่การหุงหา

          มีคราวหนึ่งไปฝึกทางทะเล มีหม่อมเจ้าพรปรีชา ซึ่งทรงเป็นทหารเรือใหม่ในเรือ ในเรือตั้งกฎให้กินไข่ได้คนละ ๒ ฟอง ปรากฏว่าหม่อมเจ้าพรปรีชาเสวยไป ๑๐ ฟอง เสด็จในกรมฯ ท่านกริ้ว รับสั่งว่านิสัยอย่างนี้เป็นทหารเรือไม่ได้ ทหารเรือต้องไม่ขี้ขโมย บังคับให้หม่อมเจ้าพรปรีชาโดดทะเล ถ้าไม่โดดจะยิงเอา

          หม่อมเจ้าพรปรีชาไปนั่งรออยู่ปลายขั้นบันไดเรือ เสด็จในกรมฯ ถือปืนคุมอยู่ช้างบนหัวกระได กั้นไม่ให้ขึ้น ให้หม่อมเจ้าพรปรีชากระโดดลงทะเล

          ขณะนั้นเห็นเสากระโดงปลาฉลามอยู่ไกล เสด็จในกรมฯ มีรับสั่งว่า “แกต้องลงไปเดี๋ยวนี้ จะให้ฉลามมาใกล้แล้วลงไปก็ได้ แต่เนื้อแกจะไปไหนฉันไม่รู้ ถึงอย่างไรก็ต้องลง ถ้าไม่ลงก็โดนยิง”

          หม่อมเจ้าพรปรีชาจำต้องโดดลงไปว่ายในน้ำทะเล เมื่อฉลามใกล้เข้ามา เสด็จในกรมฯ รับสั่งให้เฉยไว้ยังไม่ให้ขึ้น เมื่อฉลามใกล้เข้ามาอีกจึงรับสั่งให้หม่อมเจ้าพรปรีชาขึ้นเรือได้

          หม่อมเจ้าพรปรีชากลัวจนตัวสั่นไปหมด เสด็จในกรมฯ ทรงกล่าวว่า “แกไม่ดื้อฉันถึงให้ขึ้น” ในตอนหลังทรงรับสั่งว่า “ฉันไม่บ้าที่จะยิงแกหรอก แต่จะยิงปลาฉลามเมื่อมาใกล้า เมื่อฉลามได้กลิ่นเลือดแล้วก็จะไปทางนั้น แกจะได้ไม่เป็นอันตราย”

          ในการฝึกทหารเรือนั้น นอกจากเสด็จในกรมฯ จะฝึกสอนการเดินเรือแล้ว ยังทรงสอนจนกระทั่งการซ่อมแซมเรือด้วย โดยในเวลาน้ำขึ่ให้นำเรือขึ้นไปให้ใกล้ฝฝั่งที่สุด เมื่อน้ำลง เรือค้างที่แห้งก็ให้รีบซ่อมให้เสร็จแล้วจึงนำเรือออก

          ในตอนต่อไป เราจะมาดูวิธีการที่พระองค์ท่านแก้ทหารเรือเมาคลื่นกันนะครับ โปรดติดตาม

วันอาทิตย์, พฤษภาคม 28, 2566

มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ตอนที่มาของชื่อ “หมอพร” ของชาวบ้าน


มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ตอนที่มาของชื่อ “หมอพร” ของชาวบ้าน

          กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ได้ออกจากราชการ ตั้งแต่วันที่ ๑๔ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๔ ท่านได้กลับเข้ารับราชการอีกครั้งในเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๐

          ตลอดเวลา ๕-๖ ปีที่กรมหลวงชุมพระเขตอุดมศักดิ์ทรงว่างราชการอยู่นั้น พระองค์ได้ทรงใช้เวลาว่างอย่างมีคุณค่าต่ออาณาประชาราษฎร์และแผ่นดินสยาม ทรงรักษาเยียวยาอาการเจ็บไข้โรคภัยต่าง ๆ ให้ชาวบ้านโดยไม่คิดค่ารักษา จนกระทั่งชื่อของ “หมอพร” เลื่องลือไปทั่วแผ่นดิน

          ท่านหญิงเริงจิตรแจรง อาภากร พระธิดาของกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ได้บันทึกไว้ในหนังสือ “อนุสรณ์ท่านหญิงเริง” เล่าเรื่องที่มาของชื่อ “หมอพร” ไว้ว่า

          ในตอนแรกคนที่ตามมารักษาไม่รู้จักว่าเสด็จในกรมฯ เป็นใคร วันหนึ่งคนไข้อยากรู้ชื่อ ถามหมอ “หมอชื่ออะไร” ทรงคิดอยู่นาน ไม่อยากดัง ก็รับสั่งว่าเรียก “หมอพร” ก็แล้วกัน คนจึงเรียกกันว่า “หมอพร”

          พวกคนจีนนิยมรักใคร่บูชาหมอพรกันมาก พระองค์มีกุศลและใจที่ทำ ไม่เคยคิดจะเอาอะไร จึงรักษาได้ดี บุญกุศลของพระองค์ส่งให้รักษาหายเกือบทุกราย

เสด็จในกรมฯ พระองค์ท่านโปรดให้เรียกพระองค์ว่า “หมอพร” มากกว่าการที่จะเรียกพระองค์เป็นเจ้านายว่า “เสด็จในกรม”

ท่านหญิงเริงจิตรแจรง อาภากร เล่าเรื่องของหมอพรในวัยพระชันษา ๓๑ ปีไว้ว่า

          “หลังจากที่ทรงออกจากประจำการมา เสด็จในกรมฯ ได้ซื้อเรือใบและแล่นเรือใบไปยังสถานที่ต่าง ๆ ต่อมาพระองค์ทรงคิดว่า ไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากนัก ทรงอยู่ว่าง ๆ ทรงคิดว่าการเป็นหมออาจจะได้ช่วยชีวิตคนยากจน เป็นการกุศลที่ดีที่สุด

          ดังนั้นเสด็จในกรมฯ จึงได้เสด็จไปหาพระยาพิษณุประสาทเวช (คง ถาวรเวช, ๒๓๙๖-๒๔๕๗) หัวหน้าแพทย์หลวงฝ่ายยาไทย ขอเป็นลูกศิษย์

          พระยาพิษณุประสาทเวช ยินดีถ่ายทอดความรู้ให้พระองค์ นอกจากนั้นแล้วพระองค์ยังมีพระอาจารย์อื่น ๆ อีกหลายท่าน เช่น หมอฝรั่งชาวอิตาลี ชื่อ โบโตนี หมอญี่ปุ่นชื่อ มิตตานี่ พระชื่ออาจารย์ป๊อด (ท่านหญิงเริงจิตรแจรง อาภากรและคนอื่น ๆ เรียกพระท่านนี้ว่า “หลวงลุง”)

          ท่านหญิงเริงจิตรแจรง อาภากร เล่าไว้ว่า

          “...รับสั่งว่าที่หาได้ในกรุงเทพฯ ไม่ค่อยแท้ มีพระชื่อ อาจารย์ป๊อต เราเรียกท่านว่าหลวงลุง นำเสด็จหาสมุนไพรในป่าสูง ต้องปีนเขาท่องป่า ข้ามห้วยหนทางลำบากกว่าจะได้ว่านยาที่แท้และดี ไปครั้งหนึ่งอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า ๑๐ วัน บางทีก็เดือน มีเจ้ากรมฯ มหาดเล็กตามเสด็จไปด้วย แต่งตัวกันอย่างคนพื้นเมือง”

          ในเรื่องความเคารพที่มีต่อครูบาอาจารย์นั้น นับว่าพระองค์ท่านเป็นแบบอย่างที่ดีต่อพวกเรา ท่านหญิงเริงจิตรแจรง อาภากร เล่าให้ฟังว่า

          “เสด็จพ่อ จะลงกราบอาจารย์ที่เป็นไทยทุกคนที่เวลาพบ ทรงยกย่องและนับถือจริง ๆ ซึ่งคุณย่าไม่เห็นด้วย ท่านเห็นว่าทำเกินไป”

          คุณย่าคือเจ้าจอมมารดาโหมด พระชนนีของเสด็จในกรมฯ

          จะเห็นได้ว่า เสด็จในกรมฯ ทรงทุ่มเทพระทัยและเวลาทั้งหมดให้กับการแยกธาตุ การผสมยาสมุนไพรต่าง ๆ ทรงทดลองรักษากับเป็ด ไก่ สัตว์เล็ก ๆ ก่อน แล้วลองรักษากับสัตว์ใหญ่ จึงทรงค่อยใช้รักษาคน จนกระทั่งทรงเห็นผลก่อนว่ารักษาได้จริง เมื่อนั้นจึงค่อยประกาศว่า ทรงรักษาคนไข้ได้แล้ว

          ท่านหญิงเริงจิตรแจรง อาภากร ให้รายละเอียดในการใส่พระทัยด้านการแพทย์ของเสด็จในกรมฯ ว่า

          “ท่านทรงศึกษาอย่างจริงจัง ได้ทรงสั่งกล้องจุลทัศน์มาสำหรับตรวจโรค มีห้องพิเศษเรียกว่าห้องเคมีวิทยาศาสตร์ ท่านชอบทดลอง มีการค้นคว้าแก้โรคต่าง ๆ ทำเล่นแร่แปรธาตุสกัดหัวยาจากสมุนไพร เครื่องสกัดนี้ทำจากนอก ห้องเคมีนี้เล็กก็จริง แต่ลงทุนมาก มีตัวยาอันตรายและสำคัญ เป็นยาผง น้ำกรด น้ำกลั่น และหัวยาสกัดออกมาใส่ขวดปิดฉลากภาษาไทย ภาษาต่างประเทศต็ม ๔ ตู้ ลูก ๔ คน จะรักษากุญแจคนละตู้ ห้องนั้นลั่นกุญแจเสมอ ทรงถือกุญแจเอง ทรงงานเดี่ยวบ้าง กับแพทย์ชาวต่างประเทศบ้าง มีลูก ๆ คอยรับใช้ ทรงแต่งองค์อย่างหมอฝรั่ง มีผ้ากันเปื้อน พวกเราเป็นผู้ช่วยก็แต่งตัวเรียบร้อยอย่างเดียวกัน เครื่องกลั่นใช้การได้ดีนอกจากสกัดสมุนไพร เคยสกัดดอกไม้ทำน้ำหอมก็ได้”

          เรื่องของหมอพรยังไม่จบนะครับ โปรดติดตามต่อนะครับ

ข้อมูลประกอบการเล่าเรื่อง

- นิตยสารเทิดพระเกียรติ พระประวัติอันยิ่งใหญ่ นานไปเขาไม่ลืม พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวศ์ กรมหลวงขุมพรเขตอุดมศักดิ์

- เวนิสา เสนีวงศ์ฯ.  ๒๕๔๐.  กรมหลวงชุมพรฯ พระบิดาทหารเรือไทย.  กรุงเทพฯ: บางกอกบุ๊ค.

- ศรัณย์ ทองปาน.  (๒๕๖๓). ให้โลกทั้งหลายเขาลือ เสด็จเตี่ย กรมหลวงชุมพรฯ. นนทบุรี: สารคดี. 

วันเสาร์, พฤษภาคม 27, 2566

มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ตอนกอดหมอนนอนนิ่งเซ่อ



มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ตอนกอดหมอนนอนนิ่งเซ่อ

          สวัสดีครับ วันนี้ขอเล่าเรื่อง “กอดหมอนนอนนิ่งเซ่อ” จากบันทึกเกร็ดพระประวัติเสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ของท่านผู้หญิงเริงจิตรแจรง อาภากร พระธิดาของเสด็จในกรมฯ นะครับ

          ท่านผู้หญิงเริงจิตรแจรง อาภากร ได้เล่าไว้ว่า

          เมื่อเสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ได้ศึกษาวิชาทหารเรือและสอบได้เป็นนักเรียนนายเรือแล้ว พระองค์ท่านเสด็จกลับประเทศไทยเมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๔๓

          พระราชบิดา คือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้พระองค์รับราชการทหารเรือเป็นครูสอนในโรงเรียนทหารเรือตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๔๓

          กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์เป็นเจ้านายพระองค์แรกที่สำเร็จการศึกษาวิชาการทหารเรือจากประเทศอังกฤษ เมื่อตอนที่พระองค์เข้ารับราชการนั้นมีพระยาชลยุทธโยธินทร์ เป็นผู้บัญชาการทหารเรือ

           ก่อนที่เสด็จในกรมฯ จะรับราชการในกองทัพเรือในโรงเรียนทหารเรือ ประเทศไทยต้องจ้างชาวต่างประเทศมาเป็นผู้บังคับการ

เมื่อพระองค์ทรงเข้ารับราชการทหารเรือแล้ว ทรงมีพระทัยมุ่งมั่นที่จะฝึกให้ทหารเรือไทยเดินเรือทะเลได้ สามารถทำการรบทางเรือได้ รวมทั้งมีความชำนาญในกิจการกองทัพเรือแทนชาวต่างประเทศที่ประเทศสยามต้องจ้างมาฝึกสอน

          เรื่องการสอนทหารเรือไทยนั้น นับว่าตรงกับพระราชประสงค์ของพระราชบิดาที่ตั้งพระทัยที่จะให้พระราชโอรสได้ไปศึกษาเพื่อมาปรับปรุงกิจการทหารในประเทศไทย

          เสด็จในกรมฯ ได้ทรงแก้ไขปรับปรุงระเบียบการในโรงเรียนนายเรือทั้งฝ่ายปกครอง ฝ่ายบังคับบัญชา และฝ่ายวิชาการให้เหมาะสมเท่าเทียมอารยประเทศ

          นอกจากมีการสอนและการฝึกหัดแล้ว ยังมีการสอบไล่ให้กับนักเรียนชั้นสูงสุดที่สำเร็จครบหลักสูตร และสามารถออกมาเป็นนายทหารเรือชั้นหนึ่งก่อน

          วิชาที่สอนเป็นวิชาใหม่ ไม่เหมือนกระทรวง หรือทบวงกรมอื่น ๆ ซึ่งมีหลักเกณฑ์มาก่อนแล้ว

          ก่อนนั้นในโรงเรียนนายเรือใช้ฝรั่งชาวต่างประเทศริเริ่มสอนนักเรียน อาจารย์ฝรั่งจะสอนให้นักเรียนทำความเคารพโดยพูดว่า “Good Morning, Sir.” แต่คนต่อไปไม่ได้พูดเช่นนั้น กลับพูดว่า “กอดหมอนนอนนิ่งเซ่อ” ครูฝรั่งฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ นึกว่าพูดไม่ชัด กว่าจะรู้กันก็นานเป็นเดือน ๆ พวกทหารก็นำไปหัวเราะขำขัน นายนี่สอนอะไรให้พูดชอบกล

          ระหว่างที่ชาวต่างประเทศเป็นผู้บังคับบัญชานั้น หาได้ตั้งใจฝึกฝนคนไทยให้มีความรู้สำหรับทำการตามหน้าที่ หรือจัดบังคับบัญชาให้เป็นระเบียบตามธรรมเนียมของทหาร อีกทั้งมีความประพฤติเกะกะละเมิดตัวบทกฎหมายหรือต้องโทษอย่างไรก็ช่าง ไม่ต้องรับผิดชอบการเสียหายอะไร เพราะถือว่าเป็นชาวต่างประเทศ และมักจะมีทางแก้ตัวว่า ไม่รู้ภาษาพอที่จะให้โอวาทสั่งสอนคนไทยที่อยู่ในบังคับบัญชา (แค่สอน “Good Morning, Sir.” พวกนักเรียนก็ว่าเป็น “กอดหมอนนอนนิ่งเซ่อ” เสียแล้ว

          เมื่อเริ่มแรกที่กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ทรงสอน นักเรียนบางคนอายุตั้ง ๓๐ ปี บางคนอายุยังน้อย มีหัวดี ๆ หลายคน เช่น พลเรือโทพระยาราชวังสัน (ศรี กมลนาวิน) พระยาหาญกลางสมุทร (บุญมี พันธุมนาวิน) พระยากาจกำแห่ง (ห้อง ทังสนาวิน) และศิษย์เก่ง ๆ อีกหลายคน

          เป็นอย่างไรบ้างครับ การเริ่มสอนนักเรียนนายเรือของเสด็จในกรมฯ ที่มีต่อพวกนักเรียน “กอดหมอนนอนนิ่งเซ่อ” นับว่าน่าสนุกสนานไม่น้อย

          ในตอนต่อไป จะขอนำเรื่องการออกฝึกทะเลมาเล่าสู่กันฟังครับ โปรดติดตามนะครับ

ข้อมูลประกอบการเล่าเรื่อง

คัดลอกและเรียบเรียงจากนิตยสารเทิดพระเกียรติ พระประวัติอันยิ่งใหญ่ นานไปเขาไม่ลืม นายพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์


วันศุกร์, พฤษภาคม 26, 2566

มินามีเรื่องเล่า เมื่อกรมหลวงชุมพรฯ ได้พบหลวงพ่อศุข เกสโร และหลวงพ่อศุขเสกคนให้เป็นจระเข้

มินามีเรื่องเล่า เมื่อกรมหลวงชุมพรฯ ได้พบหลวงพ่อศุข เกสโร และหลวงพ่อศุขเสกคนให้เป็นจระเข้

          สวัสดีครับ วันนี้ขอเล่าเรื่องจากเสี้ยวหนึ่งในพระประวัติกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ต่อจากตอนที่แล้วนะครับ

          เมื่อตอนที่แล้ว กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ได้มีโอกาสเห็นหลวงพ่อศุข เกสโร แห่งวัดมะขามเฒ่า เศกหัวปลีให้เป็นกระต่ายได้

          ต่อมาหลวงพ่อได้เชิญพระองค์ท่านให้มาสนทนากับท่าน หัวข้อสนทนาวนเวียนเกี่ยวกับเรื่องเสกหัวปลีให้เป็นกระต่าย

          ในวันต่อมา พระองค์ได้สนทนากับหลวงพ่อศุข และตรัสถามหลวงพ่อศุขว่า พระองค์ได้ยินมาว่าหลวงพ่อสามารถเสกคนให้เป็นจระเข้ได้

          หลวงพ่อศุขถามกรมหลวงชุมพรฯ ว่า พระองค์ปรารถนาจะใคร่ชมคนกลายเป็นจระเข้หรือไม่

          ยังไม่ทันจบสิ้นคำถาม กรมหลวงชุมพรฯ พร้อมทหารเรือทั้งหลายที่อยู่ ณ ที่นั้น รีบตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “อยากเห็นให้เป็นที่ประจักษ์ตา”

          หลวงพ่อศุขกล่าวว่า

          “เมื่อท่านปรารถนาจะชมการเสกคนให้เป็นจระเข้ อาตมาก็ยินดีจะทำให้ท่านทั้งหลายชม แต่ขอให้จัดคนของท่านมาให้อาตมาคนหนึ่ง คัดเลือกเอาคนที่ค่อนข้างล่ำสันแข็งแรงหน่อยนะ เพื่ออาตมาจะเสกเป่าให้เป็นจระเข้ พวกท่านจะได้ชมเป็นขวัญตา”

          กรมหลวงชุมพรฯ ตรัสถามพลทหารเรือคนหนึ่งว่ายินดีจะเป็นจระเข้ให้เจ้านายดูสักครู่ไหม พลทหารเรือตอบยินดีด้วยความเต็มใจ

          เมื่อนำพลทหารเรือมาให้หลวงพ่อศุขดู หลวงพ่อสอบถามพลทหารคนนนั้นอีกครั้งหนึ่งเพื่อความแน่ใจว่า เขายินดีจะยอมให้เสกเป่าให้กลายร่างเป็นจระเข้เพื่อให้เจ้านายทั้งหลายได้ชมเป็นขวัญตาหรือไม่

          พลทหารตอบเต็มเสียงว่าเต็มใจ ตนเองอยากลองเป็นจระเข้ให้เจ้านายได้ชมเป็นขวัญตาสักครั้งหนึ่ง

          ต่อจากนั้น หลวงพ่อได้สั่งให้นำเชือกเส้นใหญ่มีความยาวพอสมควรมาผูกมัดที่เอวของพลทหารผู้นั้น ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างระทึกใจ เมื่อมัดเอวเสร็จแล้วก็ยกขบวนแห่กันไปยังบ่อน้ำในวัดมะขามเฒ่านั้น

          ในวัดมะขามเฒ่า มีบ่อน้ำใหญ่อยู่บ่อหนึ่ง น้ำใสเย็นเยียบ แต่ค่อนข้างลึกกว่าบ่อใด ๆ เมื่อมาถึงบ่อน้ำ หลวงพ่อศุขให้พลทหารผู้นั้นนั่งคุกเข่าลง สั่งให้หลับตาและพนมมืออยู่นิ่ง ๆ และหันหน้าเข้าหาบ่อ

          ส่วนตัวหลวงพ่อจับปลายเชือกไว้แน่น พลางบริกรรมพระเวทศักดิ์สิทธิ์สักครู่หนึ่ง แล้วก็เป่าพรวดลงไปที่ศีรษะของพลทหาร พร้อมกับใช้ฝ่ามือที่ไม่ได้จับปลายเชือกตบลงไปที่กลางหลัง ผลักพลทหารผู้นั้นตกลงไปในบ่อน้ำเสียงดังตูมใหญ่

          สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาทุกคู่คือ พลทหารผู้นั้นกลายเป็นจระเข้ตัวใหญ่ว่าดำผุดดำว่ายในบ่อน้ำ สร้างความตะลึงพรึงเพริดต่อทุกคน

          หลวงพ่อศุขถามกรมหลวงชุมพรฯ ว่า จะให้จระเข้ตัวนี้กลับเป็นคนอย่างเดิม หรือจะให้เป็นจระเข้ตลอดไป

          กรมหลวงชุมพรฯ ตรัสว่าอยากให้กลับเป็นคนอย่างเดิม

          หลวงพ่อบอกให้ทุกคนช่วยกันจับปลายเชือกให้มั่น อย่าให้เชือกหลุดมือ มิฉะนั้นจระเข้จะดำน้ำไปกบดานอยู่ในก้นบ่อ ทำให้ยากในการกระทำให้กลับเป็นคนอย่างเดิม

          คนทั้งหลายเมื่อได้ฟังก็รีบจับปลายเชือกจากหลวงพ่อมาช่วยกันดึงช่วยกันรั้งมิให้จระเข้ดำลึกลงไปยังก้นบ่อ

          หลวงพ่อเดินเข้าไปในกุฏิ ท่านเอาน้ำใส่บาตรจนเต็มเปี่ยมแล้วก็บริกรรมพระเวทย์ที่ศักดิ์สิทธิ์ของท่านสักครู่ใหญ่ เสร็จแล้วก็ประคองบาตรน้ำมนต์กลับมายังบ่อน้ำ บอกให้ทุกคนดึงเชือกให้ตึงเพื่อให้จระเข้ลอยขึ้นมาเหนือน้าเต็มตัว

          เมื่อจระเข้ลอยขึ้นมาเต็มตัวแล้ว หลวงพ่อก็อ่านมนต์พร้อมกับเทน้ำมนต์ในบาตรราดลงไปที่ศีรษะและลำตัวของจระเข้นั้น

          พอน้ำมนต์หมดบาตร ทุกคนเกิดความตะลึงอีกครั้งหนึ่ง ทุกคนเห็นจระเข้ที่มีเชือกมัดอยู่กลายเป็นพลทหารเช่นเดิม คนเหล่านั้นพากันสาวเชือกขึ้นมาจนถึงปากบ่อ

          กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์เห็นอิทธิปาฏิหาริย์ในพระเวทย์อันสุดยอดของหลวงพ่อศุข ทรงก้มลงกราบหลวงพ่อพร้อมขอฝากองค์เป็นลูกศิษย์ ขอเล่าเรียนวิทยาการในทางไสยศาสตร์ในวันนั้นเป็นต้นมา

          พลทหารผู้กลายเป็นจระเข้ชั่วคราวตอบคำถามแก่บรรดาผู้ใคร่รู้เกี่ยวกับความรู้สึกขณะเป็นจระเข้นั้นว่ารู้สึกอย่างไร เขาตอบว่า ก่อนจะยอมตัวเป็นเครื่องทดลองในคุณวิเศษของหลวงพ่อ เขาเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ไม่แน่ใจว่าหลวงพ่อจะทำได้ แต่หลังจากที่หลวงพ่อเป่าพรวดลงบนศีรษะ แล้วตบที่กลางหลังพร้อมผลักเขาตกลงไปในน้ำ เขารู้สึกใจหายวาบ ขนลุกซู่ไปทั้งตัว

          เมื่อตกลงไปในบ่อน้ำ เขารู้สึกว่ามีกำลังวังชาอย่างประหลาด เลยดำผุดดำว่าวไปมาอย่างสนุกสนาม โดยตัวเขาเองได้เห็นตัวเองเป็นคนอย่างเดิม ไม่ได้รู้สึกหรือเข้าใจว่าตัวเองเป็นจระเข้ เขาก็แปลกใจว่าทำไมใคร ๆ จึงมีกริยางงงัน เขาไม่มีความรู้สึกเป็นจระเข้เลย เขายังสงสัยว่าทำไมผู้คนจึงอ้าปากนัยน์ตาค้าง มองเห็นเขาเป็นจระเข้ ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นคนธรรมดา

          เป็นอย่างไรบ้างครับ เรื่องราวของการเสกคนให้เป็นจระเข้ของหลวงพ่อศุข เราคงเข้าใจแล้วนะครับว่าทำไมเสด็จในกรมฯ พระองค์ท่านจึงทรงเคารพนับถือหลวงพ่อศุขเป็นพระอาจารย์ของท่าน

 

ข้อมูลประกอบการเล่าเรื่อง

คัดลอกและเรียบเรียงจากนิตยสารเทิดพระเกียรติ พระประวัติอันยิ่งใหญ่ นานไปเขาไม่ลืม นายพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ 








วันพฤหัสบดี, พฤษภาคม 25, 2566

มินามีเรื่องเล่า เมื่อกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์พบหลวงปู่ศุข: หัวปลีกับกระต่าย

มินามีเรื่องเล่า เมื่อกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์พบหลวงปู่ศุข: หัวปลีกับกระต่าย
*********
สวัสดีครับ วันนี้ขออนุญาตเล่าเหตุการณ์ที่เสด็จในกรมฯ พระองค์ท่านได้พบหลวงปู่ศุข นะครับ

ครั้งหนี่ง กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระองค์ท่านได้เสด็จไปตากอากาศทางภาคเหนือ ระหว่างทางที่เสด็จกลับกรุงดทพฯ ได้ทรงใช้เรือของทหารเรือล่องลงมาตามลำแม่น้ำเจ้าพระยา ทรงใช้เรือกลไฟลำหนึ่งเป็นเรือลากจูงเรือประเทียบ

เมื่อล่องเรือมาถึงจังหวัดชัยนาท แทนที่พระองค์จะล่องมาตามแม่น้ำเจ้าพระยาจนถึงกรุงเทพฯ พระองค์มีรับสั่งให้เรือกลไฟจูงเรือประเทียบล่องลงมาตามลำน้ำท่าจีน

เมื่อล่องมาถึงวัดมะขามเฒ่าเรือกลไฟเกิดขัดข้อง เครื่องยนต์เรือดับ ไม่สามารถแก้ไขได้ ในที่สุดต้องชะลอเรือทั้งหมดเข้าไปจอดที่ศาลาท่าน้ำวัดมะขามเฒ่า 

ในขณะที่เสด็จในกรมฯ ทรงสั่งให้เรือประเทียบและเรือกลไฟเข้ามาเทียบอยู่ที่ศาลาท่าน้ำ ทรงแลเห็นพวกเด็กลูกศิษย์วัดกำลังชุลมุนอยู่กับการตัดหัวปลีเอามากองที่ข้างศาลาที่ละหัวสองหัว จนกระทั่งเรือเข้ามาเทียบท่าเรียบร้อยแล้ว จึงได้เห็นหัวปลีที่เด็กช่วยกันขนมากองสูงเป็นกองโต เมื่อเด็กกองหัวปลีแล้วต่างรวมกลุ่มนั่งเฝ้าดูหัวปลีกองนั้น

กรมหลวงชุมพรฯ พร้อมด้วยทหารเรือที่ติดตามมาก็สนใจเฝ้ามองกองหัวปลีกองนั้นเช่นกัน

จะมีอะไรเกิดขึ้นหรือ ทุกคนต่างรู้สึกระทึกใจไปตาม ๆ กัน

ทันใดนั้นเอง มีพระภิกษุชรารูปหนึ่งเดินตรงเข้ามาที่กองหัวปลี พลางเหลียวมองไปรอบ ๆ ต่อมาท่านได้นั่งลงบนกองหัวปลี ท่านเริ่มภาวนาเสกเป่าอยู่สักครู่หนึ่ง จากนั้นพระภิกษุชรารูปนั้นจึงหยิบหัวปลีมาลูบไล้ไปมา แล้วก็เอาหัวปลีนั้นวางที่พื้นดิน
เสด็จในกรมฯ พร้อมด้วยลูกเรือต่างพากันจ้องมองกันวันว่าจะเกิดอะไรขึ้น

สิ่งอัศจรรย์เกิดขึ้น หัวปลีที่พระภิกษุชราวางลงบนพื้นดินกลับกลายเป็นกระต่ายสีขาว กระโดดโลดเต้นอย่างสนุกสนานอยู่ในบริเวณนั้น

พระภิกษุชราได้หยิบหัวปลีที่เหลือในกองมาลูบไล้และวางบนพื้นดิน ปรากฏว่าหัวปลีกลายเป็นกระต่ายสีขาวออกวิ่งไปมาเต็มบริเวณศาลานั้น
เมื่อเหตุการณ์มหัศจรรย์ปรากฏให้เห็นเช่นนั้น กรมหลวงชุมพรฯ พร้องด้วยนายทหาร พลทหารทั้งปวงก็เข้าไปกราบคารวะต่อพระภิกษุชรารูปนั้น

พระภิกษุชราหรือหลวงพ่อวัดมะขามเฒ่าเปิดโอกาสให้กระต่ายวิ่งเล่นกันไปมาพอสมควร แล้วท่านก็เรียกกระต่ายเข้ามาที่ละตัว ลูบคลำไปมาสักครู่ พอท่านวางกระต่ายบนพื้นดิน กระต่ายกลับกลายเป็นหัวปลีอย่างเดิม ท่านทำอยู่ดังนั้นทุกตัวจนกระทั่งกระต่ายได้กลายเป็นหัวปลีกองโตเหมือนเดิม

กรมหลวงชุมพรฯ สนทนาอยู่กับหลวงพ่อวัดมะขามเฒ่าเป็นเวลานานพอสมควรแล้ว โดยที่หลวงพ่อยังไม่รู้ว่าเสด็จในกรมฯ คือใคร หลวงพ่อได้อนุญาตให้พักจอดเรือที่ท่าศาลาหน้าวัด

วันต่อมา หลวงพ่อได้สอบถามบรรดาลูกศิษย์ได้ความว่า ผู้ที่มาจอดเรือพักนั้น คือกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หลวงพ่อจึงได้สั่งลูกศิษย์ให้เชิญพระองค์ขึ้นมาสนทนากันบนกุฏิ

การสนทนาในวันนั้น ส่วนมากก็วนเวียนกันเฉพาะเรื่องเสกหัวปลีให้เป็นกระต่าย ซึ่งหลวงพ่อไม่ปิดบัง บอกวิธีการให้พระองค์ฟัง

เป็นอย่างไรบ้างครับ การได้พบกับหลวงพ่อศุขครั้งแรก เสด็จในกรมฯ ได้ทรงเห็นการเสกหัวปลีเป็นกระต่าย 

ยังมีอิทธิปาฎิหาริย์อีกเรื่องนะครับที่ทำให้เสด็จในกรมฯ ก้มลงกราบหลวงพ่อศุข และฝากองค์เป็นลูกศิษย์เพื่อขอเล่าเรียนวิทยาการในทางไสยศาสตร์จากหลวงพ่อ 
เรื่องราวเป็นอย่างไร โปรดติดตามในตอนต่อไปนะครับ อย่าพลาดนะครับ
******** 

วันอาทิตย์, พฤษภาคม 21, 2566

มินามีเรื่องเล่า หาดทุ่งวัวแล่น ชุมพร Thai-English-French




มินามีเรื่องเล่า หาดทุ่งวัวแล่น Thai-English-French

 

          สวัสดีครับ เมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๖ พวกเรา ทีม FF (Fantastic Five) ได้มีโอกาสมาเที่ยวที่หาดทุ่งวัวแล่น จึงขอเล่าเรื่องนี้ให้ฟังกันนะครับ

          หาดทุ่งวัวแล่นเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่งดงามมากที่สุดของจังหวัดชุมพร

ตั้งอยู่ที่ หมู่ที่ ๘ ตำบลสะพลี อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร

          ที่มาของชื่อชายหาด มีตำนานว่าสมัยก่อนเป็นป่าทึบ มีสัตว์ป่านานาชนิด พวกพรานนิยมเข้ามาล่าสัตว์ แต่สัตว์ที่ถูกยิงหลบหนีไปได้ทุกครั้ง วันหนึ่งมีพรานฆ่าวัวป่าได้ ขณะที่กำลังถกหนังวัว ปรากฏว่าวัวกลับฟื้นคืนชีพและวิ่งหนีเข้าป่าไป ผู้คนจึงเรียกชายหาดนี้ว่า “หาดทุ่งวัวแล่น” คือ วัววิ่งนั่นเอง

          คำว่า “แล่น” ภาษาถิ่นภาคใต้ หมายถึง “วิ่ง” คำนี้สอดคล้องกับอีสานบ้านเฮานะครับ แล่น คือ วิ่ง คือกัน อีสานบ้านเรามีทุ่งวัวแล่นมากมายเหมือนกันนะครับ

******



Mina’s Story: Thungwualaen Beach

 

Today we would like to take you to the most beautiful beach in Chumphon Province. We are the FF (Fantastic Five) group who had a chance to come to admire this most beautiful beach on 19th May 2023. Yes, we are talking of Thungwualaen Beach.

 

This beautiful sandy beach is located at Moo 8 Sapee Sub-district, Patew District, Chumphon Province. This beach is charmed by the finest sand. That is why we can see the sand castles built in this beach.

 

The name of the beach in Thai is Thungwualan which means the field where bulls run. Why did they run in this field? This is a good question. Let’s know the legend of the beach. Once, this area was covered with dense forest. Hunters liked to hunt wild animals in this area, but it was hard for them to chase and kills wild animals. They ran away quickly.

 

Once, a hunter was able to kill a bull. While he was removing the animal’s skin, the bull revived and ran into the forest.

 

In the southern dialect, the word Lan means RunSo, the beach was named according to this legend. But, in Isan dialect, this word has the same meaning. So, we can find several fields where cow run in our northeastern region.

*****





Mina raconte : la plage de Thungwualaen

 

Aujourd'hui, nous voudrions vous emmener sur la plus belle plage de la province de Chumphon. Nous sommes le groupe FF (Fantastic Five) qui a eu la chance de venir admirer la plus belle plage au jour du beau soleil du 19 mai 2023. Oui, nous parlons de la plage de Thungwualaen.

 

Ce beau site touristique est situé à Mou 8, le sous-district de Sapee, le district de Patew, la province de Chumphon. Cette plage est charmée par le sable le plus fin. C'est pourquoi nous pouvons voir les châteaux de sable construits sur cette plage.

 

Le nom de la plage en thaï est « Thungwualan » qui signifie « le champ où courent les taureux ». Pourquoi ont-ils couru dans ce lieu ? C'est une bonne question à laquelle nous devons en trouver la réponse. Il nous faut connaître la légende de la plage. Autrefois, cette zone était couverte d'une forêt dense. Les chasseurs y aimaient venir chasser les animaux sauvages, mais il leur était difficile de les tuer. Ces bêtes faruches se sont enfuis rapidement.


Une fois, un chasseur a pu tuer un taureau. Pendant qu'il enlevait la peau de l'animal, le taureau a repris vie et s'est enfui dans la forêt.


Dans le dialecte du sud, le mot « Lan » signifie « Courir ». Ainsi, la plage a été nommée d'après cette légende. Mais, en dialecte d’Isan, ce mot a le même sens. Ainsi, nous pouvons trouver plusieurs champs où les taureaux courent dans notre région du nord-est.

********



วันพฤหัสบดี, พฤษภาคม 18, 2566

มินามีเรื่องเล่า ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๖๖ ครบรอบร้อยปีแห่งการรำลึกถึงพระมหากรุณาธคุณของกรมหลวงชุมพรฯ องค์พระบิดาแห่งทหารเรือไทย กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ (เสด็จเตี่ย) Thai-English-French


มินามีเรื่องเล่า ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๖๖ ครบรอบร้อยปีแห่งการรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของกรมหลวงชุมพรฯ องค์พระบิดาแห่งทหารเรือไทย กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ (เสด็จเตี่ย) Thai-English-French
**********
          วันนี้ (๑๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๖) นับว่าเป็นโชคดีของพวกเราที่ได้เดินทางมานมัสการอนุสาวรีย์  พลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ที่ชุมพร
          พวกเราโชคดีอย่างไร โชคดีที่ว่า พวกเรา เดินทางมาถึงชุมพรช่วงเวลาเย็น แต่ ทหารเรือ กำลัง จัดแต่งสถานที่ พร้อมทั้ง จัดซ้อมดนตรีและ พิธีกรรมต่างๆ พวกเราจึงได้มีโอกาส ร่วมชม การเตรียมงานในครั้งนี้
         มีการเตรียมงานอะไรหรือครับ คำตอบคือวันพรุ่งนี้คือวันที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ จะ เป็นวันครบรอบ ๑๐๐ ปีของการสวรรคตของ พลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
         กองทัพเรือจะได้จัดพิธีฉลองครบรอบ ๑๐๐ ปี เพื่อรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านที่มีต่อราชนาวีไทย 
         ดังนั้นจึงถือว่าพวกเราโชคดีที่ได้มาร่วมชมพิธีซ้อมในครั้งนี้และหวังว่าทุกท่านจะได้ติดตามพิธีนี้ในวันพรุ่งนี้นะครับ
          ขออนุญาตเล่าพระประวัติของกรมหลวงชุมพรฯ ให้พวกเราได้รู้จักกันนะครับ
        พลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ หรือที่รู้จักกันในนาม เสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ พระองค์มีพระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ 
         พระองค์ทรงเป็นพระโอรสลำดับที่ ๒๘ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ กับพระมารดาคือ เจ้าจอมมารดาโหมด ป.จ. (โหมด บุนนาค) ธิดาของเจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) สมุหพระกลาโหมในรัชกาลที่ ๕
          เสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ ทรงเป็นพระโอรสลำดับที่ ๑ ของเจ้าจอมมารดาโหมด พระองค์ทรงมีพระกนิษฐาและพระอนุชาร่วมพระมารดา ๒ พระองค์
          ลำดับพระโอรสธิดาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ กับเจ้าจอมมารดาโหมด มีดังนี้
          ๑. กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์)
          ๒. พระองค์เจ้าหญิงอรองค์อรรคยุภา (พระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าอรองค์อรรคยุภา (สิ้นพระชนม์เมื่อทรงพระเยาว์)
           ๓. พระองค์เจ้าสุริยงค์ ประยูรพันธุ์ (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นไชยาศรีสุริโยภาส)
         เสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ ประสูติในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันอาทิตย์ เดือนอ้าย แรม ๓ ค่ำ ปีมะโรง โทศก จ.ศ. ๑๒๔๒ ตรงกับวันที่ ๑๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๒๓
          ต่อมา เมื่อปีมะโรง โทศก จ.ศ. ๑๒๔๒ พ.ศ. ๒๔๔๗ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาเสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ เป็นพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์
         พระองค์ได้เสด็จไปทรงศึกษาวิชาทหารเรือในประเทศอังกฤษ เมื่อศึกษาสำเร็จ ได้กลับมารับราชการด้านงานทหารเรือ
        ทรงเป็นนายพลเรือตรี ราชองครักษ์ ตำแหน่งรองผู้บัญชาการกรมทหารเรือในปี พ.ศ. ๒๔๔๙ และเป็นเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรืออีกตำแหน่งหนึ่ง
          ทรงจัดการโรงเรียนนายทหารเรือและนายช่างกล ทั้งได้ทรงทำแผนการทัพเรือ และทรงจัดการศึกษาทางยุทธศาสตร์ยุทธวิธีกระบวนรบในกองทัพเรือ
          เสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ ทรงวางรากฐานในงานหลายด้าน เช่น การจัดตั้งหน่วยฝึกพลทหารที่บางพระ การจัดระเบียบบริหารราชการกรมทหารเรือขึ้นใหม่ การจัดทำโครงการสร้างกำลังทางเรือ การปรับปรุงด้านการศึกษาของทหารเรือ ทรงปลูกฝังความรักชาติให้กับนักเรียนนายเรือ และทรงจัดตั้งกองดับเพลิงของทหารเรือ จนกระทั่งวันที่พระองค์ทรงออกจากราชการเมื่อวันที่ ๑๔ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๔ รวมระยะเวลาที่เสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ ทรงรับราชการครั้งแรก ๑๑ ปี
       ในสมัยรัชกาลที่ ๖ ประเทศไทยจำเป็นต้องมีส่วนร่วมในสถานการณ์สงครามโลกครั้งที่ ๑ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์มิอาจนิ่งดูดาย พระองค์ทรงกลับเข้ามารับราชการเป็นครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๐ ทรงได้รับการเลื่อนยศเป็นนายพลเรือโท และนายพลเรือเอก ราชองครักษ์
          ครั้นปีวอก โทศก จ.ศ. ๑๒๘๒ พ.ศ. ๒๔๖๓ ทรงดำรงตำแหน่งเสนาธิการทหารเรือ
           ในปีเดียวกัน คือ พ.ศ. ๒๔๖๓ พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงสถาปนาพระอิสริยศักดิ์ เฉลิมพระยศเป็นพระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ สิงหนาม
          ต่อมาในปีจอ จัตวาศก จ.ศ. ๑๒๘๔ พ.ศ. ๒๔๖๕ ทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงทหารเรือ และทรงให้การรักษาแพทย์แผนไทยแก่ราษฎรทั่วไป
          เสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๖ เมื่อวันเสาร์ เดือน ๗ ขึ้น ๕ ค่ำ ปีกุน เบญจศก จ.ศ. ๑๒๘๕ ตรงกับวันที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๖ พระชันษา ๔๔ ปี
          ได้มีการจัดพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ ณ พระเมรุท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ ๒๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๖ ทรงเป็นต้นราชสกุล อาภากร ณ อยุธยา
      ภายหลังสิ้นพระชนม์ทรงได้รับการขนานนามเป็น “องค์พระบิดาแห่งทหารเรือไทย”

*********  

Mina stories: Krom Luang Chumphon Khet Udom Sak

Admiral Prince Abhakara Kiartivongse, Krom Luang Chumphon Khet Udom Sak (Prince of Chumphon) was born in the Royal Palace on Sunday 19th December 1880 (2423 B.E.), on the 3rd night of waning moon of the first lunar month, in the year of great snake, Thai minor era of 1242). He was the 28th child of King Chulachomklao or King Rama V of Chakri Dynasty. His mother, Mod Bunnag, was the daughter of Chao Phraya Surawongchaiwat (Vorn Bunnag) who was the Defense Minister during the reign of King Rama V.

Prince of Chumphon had one brother and one sister from the same parent, Princess Orn-ong Akrayupa, who passed away since she was a child, and Prince Suriyong Prayoonphan.

          Prince of Chumpon achieved his navy studies from England. He initiated many important foundations such as establishing a recruit training center of soldiers at Bang Phra, setting new administration system and structure of the navy, improving education system of the navy, cultivating patriotism among naval cadets, creating a naval fire brigade.

         Prince of Chumpon temporary left his official duty on the 14th of April 1911 (2454 B.E.) after 11 years in the navy.

          Prince of Chumphon then rejoined the navy again on the 1st of August 1917 (2460 B.E.) because Thailand had to participate in the First World War.

           In 1920, King Mongkut Klaochaoyouhua, Rama VI established his rank as His Royal Highness Krom Luang Chumphon Khet Udom Sak.

           Prince of Chumphon held the highest position as the Minister of the Navy on the 1st of April 1922 (2465 B.E.)

          Prince of Chumphon passed away on Saturday 19th May 1923 (2466 B.E.)  

******

Histoires de Mina : Krom Luang Chumphon Khet Udom Sak

L'amiral Prince Abhakara Kiartivongse, Krom Luang Chumphon Khet Udom Sak (Prince de Chumphon) est né au Palais Royal le dimanche 19 décembre 1880 (2423 BE), la 3e nuit de lune décroissante du premier mois lunaire, l'année du grand serpent, époque mineure thaïlandaise de 1242). 

Il était le 28e enfant du roi Chulachomklao ou du roi Rama V de la dynastie Chakri. Sa mère, Mod Bunnag, était la fille de Chao Phraya Surawongchaiwat (Vorn Bunnag) qui était ministre de la Défense sous le règne du roi Rama V.

          Le prince de Chumphon avait un frère et une sœur du même parent, la princesse Orn-ong Akrayupa, décédée depuis qu'elle était enfant, et le prince Suriyong Prayoonphan.

          Le prince de Chumpon a fait ses études navales en Angleterre. Il a initié de nombreuses fondations importantes telles que la création d'un centre de formation des recrues de soldats à Bang Phra, la mise en place d'un nouveau système d'administration et d'une nouvelle structure de la marine, l'amélioration du système éducatif de la marine, la culture du patriotisme parmi les cadets de la marine, la création d'une brigade de pompiers navals.

          Le prince de Chumpon a quitté temporairement ses fonctions officielles le 14 avril 1911 (2454 av.J.-C.) après 11 ans dans la marine. 

         Le prince de Chumphon a rejoint alors à nouveau la marine le 1er août 1917 car la Thaïlande devait participer à la Première Guerre mondiale.

         En 1920, le roi Mongkut Klaochaoyouhua, Rama VI a établi son rang en tant que Son Altesse Royale Krom Luang Chumphon Khet Udom Sak. 
         Le prince de Chumphon a occupé la plus haute position de ministre de la Marine le 1er avril 1922. Il est décédé le samedi 19 mai 1923.
*******

มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French

  มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French กรมหลวงพิพิธมนตรี (พระพันวัสสาน้อย) เป็นพระอัครมเหสีน้อยของสมเด็จพ...