Chalermkiat Mina

วันอาทิตย์, เมษายน 23, 2566

มินามีเรื่องเล่า แหล่งโบราณคดีถ้ำพระเขาเมือง (เขาชัยบุรี)

มินามีเรื่องเล่า แหล่งโบราณคดีถ้ำพระเขาเมือง (เขาชัยบุรี)

สวัสดีครับ เมื่อวันที่ ๑๔ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๖ พวกเราได้มีโอกาสไปเที่ยวชมวนอุทยานเมืองเก่าชัยบุรี คำว่าพวกเราคือ ลูกหลานเมืองพัทลุงที่อยู่บริเวณบ้านควนกรวดนะครับ

                                                 



วนอุทยานเมืองเก่าชัยบุรี ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ ๑ และหมู่ที่ ๑๑ ตำบลชัยบุรี อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง มีเนื้อที่ประมาณ ๑,๘๗๕ ไร่ โดยมีส่วนสำคัญของวนอุทยานคือภูเขา

          


ใช่ครับ ผมกำลังพูดถึงเขาชัยบุรี หรือที่รู้จักกันในนาม เขาเมือง เขาไชยบุรี เขาพิไชยบุรี หรือเขาไชยศรี

วนอุทยานเมืองเก่าชัยบุรีมีสถานที่ท่องเที่ยวและศึกษาที่น่าสนใจ เช่นศาลหลักเมือง ฬาพระ ถ้ำพระนอน จุดชมวิว แท่นท่านยอ (ลานอโศก) ถ้ำน้ำ วัดเขา (เมืองเก่าชัยบุรี)

         


  วันนั้นพวกเราได้รับการต้อนรับและบริการอย่างเป็นกันเองแบบญาติพี่น้องจากคณะเจ้าหน้าที่วนอุทยานเมืองเก่าชัยบุรี

 เมืองเก่าชัยบุรีหรือเขาเมืองมีเรื่องเล่ามากมาย ซึ่งจะขอนำเสนอเป็นเรื่อง ๆ ไปนะครับ 

ขอนำเสนอแหล่งโบราณคดีที่สำคัญในวนอุทยานเมืองเก่าชัยบุรีนะครับ คือถ้ำพระนอนครับ


ที่วนอุทยานเมืองเก่าชัยบุรี หรือที่เรียกว่า เขาเมืองหรือเขาชัยบุรี มีแหล่ง
โบราณคดีที่สำคัญคือถ้ำพระ หรือที่เรียกว่าถ้ำพระนอน


ป้ายนิเทศที่วนอุทยานฯ เขียนอธิบายถ้ำพระนอนไว้ว่า “ถ้ำพระนอนเป็นถ้ำอยู่ทางทิศตะวันออกของเขาชัยบุรี (เขาเมือง) ขุดพบพระพุทธรูปสัมฤทธิ์หลายองค์และช่างปูนพื้นเมืองได้ปั้นพระพุทธรูปนูนต่ำปางไสยาสน์ ซึ่งติดกับเชิงผาภายในถ้ำ ชาวบ้านนับถือเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์”


   

รายงานการสำรวจแหล่งโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์พัทลุง หน้าที่ ๓๒ บรรยายเรื่องถ้ำพระเขาเมืองไว้ว่า

“ถ้ำพระเขาเมืองหรือเขาชัยบุรีเป็นถ้ำหินปูนที่ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของเขาชัยบุรี มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ ๑๐๗ เมตร ปากถ้ำอยู่สูงจากระดับพื้นดินด้านล่างประมาณ ๕ เมตร หันหน้าทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ มีขนาดกว้างประมาณ ๕.๔๐ เมตร บริเวณปากถ้ำมีก้อนหินปูนที่พังทลายลงมาจากเพดานปากถ้ำกองอยู่ภายใตจมีลักษณะเป็นโพรงถ้ำมีขนาดกว้าง ๖-๘ เมตรและลึกประมาณ ๒๖ เมตร ภายในถ้ำมีการขุดปรับสภาพพื้นที่ด้วยการปูอิฐบล๊อกและเทพื้นปูนซีเมนต์เพื่อประดิษฐานพระพุทธรูปและรูปเหมือนพระสงฆ์ ด้านหน้าของตัวถ้ำเป็นสำนักสงฆ์ถ้ำพระเขาเมือง


เมื่อเดินเข้าไปในถ้ำ เราจะเห็นผนังถ้ำที่อยู่ทางขวามือของเรา ถ้าว่ากันตามทิศแล้วจะเรียกว่าผนังถ้ำทางทิศใต้ จะมีพระไสยาสน์ซึ่งเป็นประติมากรรมปูนปั้นนูนต่ำติดกับผนัง พระไสยาสน์ท่านมีความยาว ๑๖ เมตร องค์พระเดิมคงมีการใช้หินกรวดแม่น้ำเป็นส่วนผสมในการพอกปูนปิดทับบนตัวผนังถ้ำ และมีการตกแต่งจีวรด้วยการทาสีแดงชาด ภายหลังจึงมีการซ่อมแซมอีกครั้งด้วยการทาสีทองปิดทับ


องค์พระในปัจจุบันถูกทุบทำลายเพื่อหาทรัพย์สมบัติจนเหลือเพียงพระกรรณซ้ายและส่วนพระองค์บางส่วนเท่านั้น นอกจากนี้ยังพบชิ้นส่วนพระชานุซ้ายของพระพุทธรูปหินทรายแดงภายในถ้ำอีกด้วย”

คุณ Jareeporn Thongdoerm เจ้าหน้าที่และวิทยากรประจำวนอุทยานเขาชัยบุรี ได้นำพวกเราชมสถานที่ต่าง ๆ ในวนอุทยานฯ ซึ่งต้องขอขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้

         


คุณ Jareeporn ได้เล่าความเป็นมาของถ้ำพระนอนไว้ว่า “พระปางไสยาสน์ปูนขาว ช่างสมัยอยุธยาท่านมาแกะสลักไว้ พวกที่มาแกะเอาทองไปอยู่ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ในสมัยก่อน ก่อนที่จะมีการออกศึก ทหารจะเข้ามาขอพร แต่ก่อนที่นี่สันนิษฐานว่าเป็นถ้ำที่สวยงามมาก ดูได้จากลักษณะหินย้อยตอนที่เป็นหินเป็นตอนที่ยังไม่ได้โดนตัด คิดดูว่าจะเป็นวับๆ สวยงามแค่ไหน และมีพระพุทธรูปประทับอยู่ สมัยก่อนจะดูสวยงามมาก กลายเป็นว่าหินตายไปแล้ว แสงยิบยับหายไปหมดเลย ถ้าหินเป็นจะค่อย ๆ ย้อยลงมาเรื่อย ๆ


ด้านหลังของพระมีทางลงไปประมาณ ๓-๔ เมตร และจะแคบลงไปเรื่อย ๆ ถ้ำแห่งนี้ใช้เป็นที่นั่งสมาธิของแม่ชี ท่านแม่ชีชื่อชีพและชาวบ้านได้มาพัฒนาถ้ำแห่งนี้ สาเหตุที่มีการปิดประตูใส่กุญแจตรงทางเข้าถ้ำเพราะว่ามีพวกพวกขี้ยา มาเล่นยากันอยู่ตรงนั้น เป็นที่หวั่นเกรงของแม่ชีที่ท่านมาปฎิบัติธรรม ก่อนหน้านี้มีการล๊อคประตู เวลาเจ้าหน้าที่จะพานักเรียนมาศึกษาต้องขออนุญาตท่านแม่ชี แต่ตอนนี้ท่านแม่ชีท่านเสียไปประมาณ ๓ ปีแล้ว ก็เลยเปิดถ้ำให้เข้ามาได้”


โอกาสหน้าจะมาเล่าเรื่องสถานที่อื่น ๆ ภายในวนอุทยานเมืองเก่าชัยบุรีอีกนะครับ

 

                    Khun Jareeporn Thongdoerm 


แหล่งข้อมูลประกอบการเขียน

- คำบรรยายของคุณ Jareeporn Thongdoerm เจ้าหน้าที่และวิทยากรที่วนอุทยานเมืองเก่าชัยบุรี

- สำนักศิลปากรที่ ๑๔ นครศรีธรรมราช กรมศิลปากร.  ๒๕๕๖.  รายงานการสำรวจแหล่งโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์พัทลุง. นครศรีธรรมราช: โรงพิมพ์เม็ดทราย.


มินามีเรื่องเล่า ศาลหลักเมืองจังหวัดพัทลุง Th/ENG/FR

มินามีเรื่องเล่า ศาลหลักเมืองจังหวัดพัทลุง Th/ENG/FR

          สวัสดีครับ วันนี้ขออนุญาตเล่าเรืองศาลหลักเมืองจังหวัดพัทลุงนะครับ

ก่อนอื่นมีคำถามที่ว่า ศาลหลักเมืองมีความสำคัญอย่างไร

          ตามประเพณีโบราณแล้ว ท่านนิยมสร้างหลักเมืองไว้เป็นมิ่งขวัญ เป็นนิมิตมงคล สำหรับให้ผู้คนได้รู้ว่าหลักบ้านหลักเมืองอยู่ที่ไหน ประชาชนบ้านเมืองนั้นย่อมอยู่ร่มเย็นเป็นสุข เพราะมีเทพรักษาเมือง ได้แก่ พระทรงเมือง พระเสื้อเมือง เทวดา และเทพารักษ์ทั้งหลาย

          ท่านสร้างศาลหลักเมืองไว้ที่ใด

          หลักเมืองต้องฝังไว้ในย่านกลางเมืองหรือให้ทำเลที่ชัยภูมิตามทิศทางของเมือง และในสมัยโบราณ เมืองเอกหรือเมืองชั้นราชธานีจะต้องมีหลักเมืองไว้เป็นนิมิตมงคลสำหรับเมืองทุกเมือง 

          เมืองพัทลุงเคยมีศาลหลักเมืองไหมครับ

          เมืองพัทลุงเป็นเมืองโบราณที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนาน แม้จะเคยมีหลักเมืองเป็นศูนย์กลางของเมืองมาก่อน แต่มีการย้ายเมืองมาตลอด

          จากหลักฐานของราชการ เมืองพัทลุงคือเมืองสทิงพาราณสี ซึ่งต่อมาถูกรุกรานจากโจรสลัดมลายูบ่อยครั้ง ทำให้อ่อนกำลังลง ผู้คนจึงอพยพข้ามทะเลสาบไปก่อตั้งชุมชนขึ้นใหม่ที่โคกเมืองบางแก้ว เรื่องนี้เกี่ยวกับตำนานนางเลือดขาว ซึ่งจะเล่าให้ฟังต่อไปครับ

 

 

          ต่อมาได้เกิดการปกครองระบบกินเมือง เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงตัวเจ้าเมืองก็มักจะย้ายที่ตั้งเมืองไปตามความพอใจของเจ้าเมืองเมืองพัทลุง

          ดังนั้นเมืองพัทลุงจึงมีการย้ายเมืองหลายครั้ง โดยเริ่มจาก ๑. บ้านบางแก้ว ๒. ควนแร่ ๓. เขาเมือง ๔. เมืองท่าเสม็ด ๕. บ้านควนมะพร้าว ๖. บ้านม่วง ๗. โคกลุง ๘. ศาลาโต๊ะวัก จนย้ายมาตั้งที่ตรงบริเวณฝั่งเหนือคลองลำปำ หลังจากนั้นได้ย้ายมาอยู่ที่ตรงบริเวณวังเก่าวังใหม่

          ปี พ.ศ. ๒๔๖๖ ได้มีการย้ายเมืองมาอยู่ที่ตำบลคูหาสวรรค์  แต่ยังไม่มีการสร้างศาลหลักเมืองแต่อย่างใด

          เริ่มสร้างหลักเมืองเมื่อไรครับ

          เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๘ – ๒๕๓๙ ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุงในขณะนั้น คือนายประสิทธิ์ พรรณพิสุทธิ์ และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันก่อสร้างศาลหลักเมืองพัทลุง ณ บริเวณสวนสาธารณะตำบลคูหาสวรรค์ อำเภอเมืองพัทลุง และได้รับพระบรมราชานุญาตให้สร้างหลักเมืองประจำจังหวัดพัทลุงได้ แต่ไม่สามารถก่อสร้างให้แล้วเสร็จได้

          ได้มีการสร้างศาลหลักเมืองใหม่เมื่อใด

 

          ในปี พ.ศ. ๒๕๕๓  นายวินัย ครุวรรณพัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุงและผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ได้ดำเนินการจัดสร้างศาลหลักเมืองพัทลุงขึ้นอีกครั้ง 

          ที่ประชุมได้เลือกสถานที่บริเวณวัดควนปรง หมู่ที่ ๒ ตำบลท่ามิหรำ อำเภอเมืองพัทลุง เป็นสถานที่สร้างศาลหลักเมืองพัทลุง เนื่องจากมีทำเลเหมาะสม อยู่บริเวณเนินสูง สวยงาม เส้นทางคมนาคมสะดวก และเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในอดีต 

          ขั้นตอนการดำเนินการสร้างเป็นอย่างไร

          ผู้ว่าราชการจังหวัดได้ทำเรื่องขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต จากพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อจัดสร้างศาลหลักมืองประจำจังหวัดพัทลุง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในโอกาสทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี

          เมื่อได้รับพระบรมราชานุญาตแล้ว จึงได้จัดสร้างศาลหลักเมือง และเสาหลักเมือง ประจำจังหวัดพัทลุง โดยเริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๓ และแล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๕๔

          ต่อมาได้มีการปรับปรุงองค์ประกอบของศาลหลักเมืองเพิ่มเติม โดยก่อสร้างบันไดทางขึ้นศาลหลักเมือง ระบบไฟฟ้าส่องสว่าง รวมถึงปรับปรุงทัศนียภาพบริเวณโดยรอบศาลหลักเมือง เสร็จเรียบร้อยสมบูรณ์ เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๖๒
          รายละเอียดของศาลหลักเมืองเป็นอย่างไรครับ      

          ศาลหลักเมืองพัทลุงอยู่ด้านทิศใต้ของวัดควนปรง หมู่ที่ ๒ ตำบลท่ามิหรำ อำเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง ผู้ออกแบบสร้างศาลหลักเมืองนี้คือ รศ.ดร.ภิญโญ สุวรรณคีรี ศิลปินแห่งชาติราชบัณฑิตสำนักศิลปกรรม

          พื้นที่สร้างมีขนาด กว้าง ๒๕ เมตร ยาว ๓๐ เมตร อาคารประธานอยู่ตรงกลาง ขนาดกว้าง ๘ เมตร ยาว ๘ เมตร สูงจากระดับพื้นดิน ๑๕.๗๙ เมตร

          ด้านซ้ายของอาคารประธาน เป็นศาลาจำหน่ายดอกไม้ ธูปเทียน มีบันไดขึ้นจากด้านทิศเหนือ เป็นสถาปัตยกรรมไทยรูปทรง

จตุรมุข หลังคาซ้อนชั้นสองชั้น

          เสาหลักเมืองทำด้วยไม้ราชพฤกษ์ เป็นไม้มงคล ได้รับบริจาคมาจากวัดเขาเจียก มอบหมายให้เรือนจำกลางพัทลุง แกะสลักเป็นเสาหลักเมือง

          เมื่อวันศุกร์ที่ ๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๓ จังหวัดพัทลุงได้ทำพิธีอัญเชิญเสาหลักเมืองมาประดิษฐานคู่กับเสาหลักเมืองพัทลุง

          วันเสาร์ที่ ๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๓ ได้มีการทำพิธีปลุกเสกเสาหลักเมือง แผ่นยันต์สยมภูว์ และดินทั้ง ๔ ทิศ

          วันอาทิตย์ที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๓ มีพิธีอัญเชิญเสาหลักเมืองประดิษฐาน โดยพระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณ

       


           เมื่อวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๓ เวลา ๑๘.๐๔ น.พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ  และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินมาทรงประกอบพิธีเปิดศาลหลักเมืองพัทลุง ณ ศาลหลักเมืองพัทลุง ตำบลท่ามิหรำ อำเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง โดยมีรายละเอียดดังนี้

          เมื่อเสด็จพระราชดำเนินถึงศาลหลักเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง เสด็จเข้าพลับพลาพิธี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงจุดรูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระพุทธนวราชบพิตร ทรงศีล พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้นายฉัตรชัย อุตสาหะ และนางปราณี รัตนประยูร รองผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง ทูลกล้า ฯ ถวายสูจิบัตรและหนังสือที่ระลึก พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กราบบังคมทูลรายงานวัตถุประสงค์ และความป็นมาของศาลหลักเมืองพัทลุง พร้อมทั้งขอพระราชทานกราบบังคมทูลเชิญเสด็จทรงประกอบพิธีเปิดศาลหลักเมืองพัทลุง ตามลำดับ

          จากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระสุหร่าย ทรงเจิมแผ่นยันต์ ทรงม้วนแผ่นยันต์แล้วสวมแหวนนพรัตน์ที่ม้วนยันต์ พระราชทานแผ่นยันต์ที่จะบรรจุหัวเม็ดทรงมัณฑ์ คืนเจ้าพนักงานภูษามาลา เสด็จออกจากพลับพลาพิธี ไปยังภายในศาลหลักเมืองพัทลุง ทรงหยิบแผ่นยันต์ แล้วทรงบรรจุลงที่หัวเม็ดทรงมัณฑ์ ทรงสวมยอดหัวเม็ดทรงมัณฑ์ที่ยอดเสาศาลหลักเมือง ทรงพระสุหร่าย ทรงเจิม ทรงปิดทอง ทรงผูกผ้าสีชมพู แล้วทรงคล้องพวงมาลัยเสาหลักเมือง
          พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยสักการะศาลหลักเมืองพัทลุง เสด็จ ฯ ไปยังบริเวณที่ปลูกต้นไม้ ทรงปลูกต้นพะยอมอันเป็นต้นไม้ประจำจังหวัดพัทลุง จำนวน ๒ ต้น เสร็จแล้วเสด็จ ฯ เข้าพลับพลาพิธี ทรงประเคนตุปัจจัยไทยธรรมถวายพระสงฆ์ ทรงหลั่งทักษิโณทก (พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก)
          จากนั้น พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้นายกู้เกียรติ วงศ์กระพันธุ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง กราบบังคมทูลเบิกผู้มีอุปการคุณในการบูรณะซ่อมแชมศาลหลักเมืองพัทลุง เข้าเฝ้า ฯ รับพระราชทานของที่ระลึกจำนวน ๑๐๐ ราย ตามลำดับ
************

The City Pillar Shrine of Phatthalung

          The city pillar is considered as the most important center of souls for the citizens. We can find the city pillars in all cities. In the past, Phatthalung city had been founded in many places: Ban Bangkaeo, Khuanrae, Khao Mueang, Mueang Tha Samet, Ban Khuan Maphrao, Ban Muang, Khok Lung, Sala Towak, Wang Kao Wang Mai in the north of Lumpum Canal and the present area of Kuhasawan. The city pillar shrine is not in built.

In 2010, The governor and the people of Phatthalung found a suitable place for having the city pillar shrine constructed, the hill near Khuan Prong Temple of Tha Miram Sub-district, Mueang District, Phatthalung. The shrine construction was begun on 18th June, 2010. The project was completed in 2011.

          On 28th November 2021, His Majesty King Maha Vajiralongkorn Phra Vajiraklaochaoyuhua and Her Majesty the Queen Suthida Bajrasudhabimalalakshana presided over the shrine inauguration ceremony. Phatthalung people rejoiced at this auspicious event.

          On your next visit to Phatthalung, come and worship the City Pillar and appreciate a panoramic view of the city.

****************         

Le sanctuaire du pilier de la ville de Phatthalung

            Le pilier de la ville est considéré comme le centre d'âmes le plus important pour les habitants.

            Le pilier de la ville est installé au centre de la ville. Dans le passé, la ville de Phatthalung avait été fondée dans de nombreux endroits : Ban Bang Kaeo, Khuan Rae, Khao Mueang, Mueang Tha Samet, Ban Khuan Maphrao, Ban Muang, Khok Lung, Sala Towak, Wang Kao Wang Mai au nord du canal Lumpum et la zone actuelle de Kuhasawan. Néanmoins, le sanctuaire abritant le pilier de la ville n'est pas encore construit.

            En 2010, le gouverneur et les habitants de Phatthalung ont trouvé un endroit approprié pour faire construire le sanctuaire du pilier de la ville. C’est la colline situant au sud du temple Khuan Prong, sous-district de Tha Miram, district de Mueang, Phatthalung. La construction du sanctuaire a débuté le 18 juin 2010. L'achèvement du projet a eu lieu en 2011.

            Le 28 novembre 2021, Sa Majesté le Roi Maha Vajiralongkorn Phra Vajiraklaochaoyuhua et Sa Majesté la Reine Suthida Bajrasudhabimalalakshana ont présidé la cérémonie d'inauguration du sanctuaire. Les gens de Phatthalung se sont réjouis de cet événement de bon augure. 

            Lors de votre prochaine visite à Phatthalung, n’oubliez pas de venir vénérer le pilier de la ville et admirer une vue panoramique de la ville. 

วันจันทร์, มีนาคม 20, 2566

มินามีเรื่องเล่า มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี Th-Eng-Fr

 


มินามีเรื่องเล่า
มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี 

เมื่อปี ๒๕๖๕ ผมได้ไปเยี่ยมปัตตานีมา เลยขอนำภาพมัสยิดกลางจังหวัดปัตตานีมาให้ชมกันครับ 

มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานีตั้งอยู่ที่ ต. อาเนาะรู ใจกลางเมืองปัตตานี เป็นศาสนสถานศูนย์รวมจิตใจอขงพี่น้องไทยมุสลิมภาคใต้ มัสยิดแห่งนี้ถือเป็นสถาปัตยกรรมที่สวยงาม ภายนอกของมัสยิดมีต้นแบบมาจากทัชมาฮาล มียอดโดมสีเขียวขนาดใหญ่ และโดมขนาดเล็กลงไปล้อมรอบ ๔ ด้าน ด้านข้างมีหออะซาน ๒ หอ มีสระน้ำส่องสะท้อนแสงเงาของมัสยิดสวยงามมาก

****** 



Mosquée centrale de la province de Pattani

J’ai visité Pattani en 2022. Je vous montre les photos de la mosquée centrale de Pattani.

La mosquée centrale de Pattani est située au centre de la ville de Pattani, dans le sous-district d'Anoru. Ce site religieux exceptionnel unit les cœurs et les esprits des musulmans thaïs qui habitent dans le sud de la Thaïlande. L'extérieur de la mosquée est inspiré du Taj Mahal. La mosquée porte un grand dôme vert et quatre dômes plus petits sur les quatre côtés. Les côtés de la mosquée contiennent deux minarets. La piscine située devant la mosquée offre un excellent reflet de cette mosquée sacrée.

Aller à Pattani est si facile. Il y a un vol entre Khon Kaen et Hat Yai le mardi, le jeudi et le samedi. Depuis l'aéroport de Hat Yai, nous pouvons louer une voiture. Nous pouvons prendre un taxi ou une camionnette jusqu'à Pattani. La distance est d'environ 104 kilomètres. Voyager sur la route à quatre voies de Hat Yat à Pattani est comme ce que vous faites de Khon Kaen à Korat. Donc, Pattani n'est pas si loin de Khon Kaen, croyez-moi.

***********

 


Pattani Provincial Central Mosque

I visited Pattani in 2022. Let me show you the photos of the central mosque of Pattani.

Pattani Provincial Central Mosque is located in the center of Muang Pattani, in Anoru Sub-district. This outstanding religious site unites the hearts and minds of southern Thai Muslims. The exterior of the mosque is modeled after the Taj Mahal. The mosque carries a large green dome and four smaller domes in four surrounding sides. The sides of the mosque contain two minarets. The pool situated in front of the mosque offers a great reflection of this sacred mosque.

Going to Pattani is so easy. This is a airplane from Khon Kaen airport to Hat Yai airport on Tuesday, Thursday and Saturday. From Hat Yai airport, we can hire a car, take a taxi or a van to Pattani. The distance is about 104 kms. Travelling on the four-lane roadway from Hat Yat to Pattani is like what you do from Khon Kaen to Korat. So, Pattani is not so far from Khon Kaen, believe me.







วันศุกร์, มีนาคม 10, 2566

มินามีเรื่องเล่า วัดปรางค์หลวง นนทบุรี



                                             
 
 


                     ที่มาของภาพ 
                     wantanee wichaidist (facebook) 12 May 2023

มินามีเรื่องเล่า วัดปรางค์หลวง นนทบุรี

         สวัสดีครับ วันนี้ขออนุญาตนำชมวัดปรางค์หลวง ที่อำเภอเมืองนนทบุรี นะครับ

         วัดปรางค์หลวงเป็นโบราณสถานที่เก่าแก่ที่สุดของจังหวัดนนทบุรี 

 

วัดนี้มีอายุกว่า ๖๕๐ ปี ตั้งอยู่ริมคลองบางกอกน้อย ต.บางม่วง อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี

         วัดปรางค์หลวงสร้างขึ้นในสมัยของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) ปฐมกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรศรีอยุธยา เมื่อประมาณปี พ.ศ.๑๘๙๐

  

         เดิมวัดแห่งนี้มีชื่อว่า วัดหลวง” บางหลักฐานกล่าวว่า สร้างเมื่อปี พ.ศ. ๑๙๐๔ ในช่วงเวลานั้นสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) ได้อพยพผู้คนหนีโรคระบาดมาประทับอยู่ที่บริเวณนี้ ก่อนที่จะทรงสร้างกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี พระองค์ได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดขึ้นชื่อว่า วัดหลวง”

         ต่อมาในสมัยสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส สมเด็จพระสังฆราชเจ้า พระองค์ที่ ๑๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้ทรงพิจารณาว่าองค์พระปรางค์ได้สร้างขึ้นไว้พร้อมกับการสร้างวัด จึงได้ทรงเปลี่ยนนามวัดนี้ว่า วัดปรางค์หลวง” โดยมีพระปรางค์เป็นสัญลักษณ์



         ภายในวัดปรางค์หลวง มีโบราณสถานและโบราณวัตถุสำคัญมากมาย แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดอยู่ที่ “องค์พระปรางค์” เป็นศิลปกรรมสมัยอยุธยาตอนต้น ฐานเป็นอิฐ ส่วนที่เป็นเรือนธาตุทั้งสี่ด้าน แต่ละด้านมีพระปูนปั้นนูนสูง นักโบราณคดีได้ค้นหา หลักฐานอันเป็นจุดเด่นของโครงสร้างก่ออิฐสอดิน ยอดเจ็ดชั้นย่อมุมไม้ยี่สิบ ประดับลายปูนปั้น เรือนธาตุมีซุ้มจรนำทั้ง ๔ ทิศ ประดิษฐานพระพุทธรูปยืนปูนปั้นลงรักปิดทอง

         สภาพองค์พระปรางค์ชำรุดมาก กลางเรือนธาตุมีกรุอยู่ภายในแต่ไม่มีช่องทางขึ้นสู่ยอดปรางค์ ผนังเรือนธาตุเป็นผนังทึบไม่มีประตู เป็นฝีมือของช่างในสมัยอยุธยาตอนต้น และพระวิหารน้อย เป็นอาคารขนาดเล็กก่อด้วยอิฐ ลักษณะของอาคารแต่ละหลังมีผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ประกอบด้วย อาคาร ๒ หลัง อาคารหลังเล็กตั้งอยู่ด้านหน้า และอาคารหลังใหญ่ตั้งอยู่ด้านหลัง ด้านหน้ามีมุขยื่นออกมาคล้ายระเบียง อาคารทั้ง ๒ หลัง มีประตูทางเข้าเพียงทางเดียวลักษณะในการก่อสร้างใช้ระบบผนังรองรับเครื่องบน ไม่มีคาน ไม่มีเสา หลังคามุงกระเบื้องดินเผา ปัจจุบันพระปรางค์อยู่ในสภาพที่สวยงามเพิ่งผ่านการบูรณะมาครับ


                              

          นอกจากพระปรางค์แล้ว วัดปรางค์หลวงยังมีวิหารน้อยซึ่งเป็นกุฏิกรรมฐานในสมัยอยุธยา มี “หลวงพ่ออู่ทอง” ซึ่งเป็นพระพุทธรูปก่ออิฐถือปูนปิดทองปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง ๙ คืบ

         หลวงพ่ออู่ทองได้รับการบูรณะซ่อมแซมโดยฝีมือช่างในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ จนเปลี่ยนแปลงไปจากแบบเดิม แต่ยังมีเค้าร่องรอยของพระพุทธรูปในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น มีพุทธลักษณะงดงาม อีกทั้งหลวงพ่ออู่ทองยังเป็นพระพุทธรูปที่ชาวบ้านในชุมชนนับถือเป็นอย่างมาก

         บริเวณรอบพระอุโบสถของวัดปรางค์หลวง มีใบเสมาอยู่ภายในเขตกำแพงแก้ว ปักอยู่ตามตำแหน่งต่าง ๆ รอบพระอุโบสถจำนวน ๔ แห่ง คือ บริเวณด้านหลังของพระอุโบสถ ๓ แห่ง

         ตรงกลางด้านทิศตะวันตกของพระอุโบสถ ใบเสมามีขนาดใหญ่ทำจากหินชนวน ชาวบ้านในชุมชนเรียกว่า หินกาบ” ลักษณะไม่มีลวดลาย ปักลงบนดินรายรอบพระอุโบสถหลังเก่า เป็นใบเสมาสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ปัจจุบันเหลือใบเสมาที่มีสภาพสมบูรณ์เหลือเพียง ๑ ใบ ตั้งอยู่ที่ด้านหน้าของพระอุโบสถ

         มาเที่ยวเมืองนนทบุรี ขอเชิญแวะมานมัสการ “หลวงพ่ออู่ทอง” ที่วัดปรางค์หลวงกันนะครับ


วันพุธ, มีนาคม 08, 2566

มินามีเรื่องเล่า พระธาตุเชิงชุม

 

มินามีเรื่องเล่า พระธาตุเชิงชุม

         พระธาตุเชิงชุมวรวิหาร ตั้งอยู่ที่ตำบลธาตุเชิงชุม อำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร

         เรื่องราวของพระธาตุเชิงชุมมีดังนี้ครับ

พระเจ้าสุรอุทก ปกครองเมืองนครหนองหานหลวง พระองค์มีพระราชโอรสสองพระองค์ คือ เจ้าชายภิงคารและเจ้าชายคำแดง

ต่อมาพระเจ้าสุรอุทกสวรรคต เมืองหนองหารหลวงถูกน้ำท่วม เจ้าชายภิงคารและเจ้าชายคำแดงได้พาไพร่พลที่เหลือจากการจมน้ำตายไปอยู่ที่ดอนโพนเมือง (คุ้มวัดโพนศรีเมือง ในเมืองสกลนคร) ริมฝั่งหนองหาน ทิศตะวันตกเฉียงใต้

         เจ้าชายภิงคารแสวงหาชัยภูมิที่จะสร้างเมืองขึ้นใหม่  พระองค์มองเห็นทำเลบริเวณภูน้ำลอดเป็นชัยภูมิที่เหมาะแก่การตั้งเป็นบ้านเมืองได้ จึงตั้งเครื่องสักการะและตั้งสัตยาธิษฐานป่าวประกาศแก่เทพยดาทั้งหลายว่าพระองค์จะสร้างบ้านเมืองที่ตรงนี้ ขอให้เทพเทวดาผู้ดูแลรักษาสถานที่แห่งนี้จงคุ้มครองไพร่ฟ้าประชาชนให้มีความสุข

         เมื่อเจ้าชายภิงคารกล่าวคำอธิษฐานจบ มีพญาสุวรรณนาค มีเกล็ดสีทอง เป็นพญานาคเฝ้ารักษารอยพระพุทธบาทที่ภูน้ำลอดมานาน ได้สำแดงตัวปรากฏแก่เจ้าชายภิงคาร แจ้งให้พระองค์ทราบว่า ตนเป็นพญานาคที่รักษารอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าที่ภูน้ำลอดแห่งนี้

         พญาสุวรรณนาคได้นำน้ำเต้าทองบรรจุน้ำหอมมารดสรงอภิเษกเจ้าชายภิงคารขึ้นเป็นเจ้าเมือง ขนานพระนามว่า พญาสุวรรณภิงคาร พระองค์ทรงสร้างเมืองหนองหานหลวงขึ้นมาใหม่นับแต่นั้นสืบมา

         ส่วนพระอนุชาของพระองค์ คือ เจ้าชายคำแดง นั้น ได้มีเสนาอำมาตย์เมืองหนองหานน้อยมาอัญเชิญพระองค์ให้ไปเป็นกษัตริย์แทนเจ้าเมืองของตนที่ว่างลง

         เจ้าชายคำแดงทรงครองเมือง มีพระนามว่า พญาคำแดงแห่งเมืองหนองหานน้อย ทรงได้สร้างบ้านเมืองปกครองไพร่ฟ้าประชาชนคู่กับเมืองหนองหานหลวงสืบแต่นั้นมา

         ครั้งที่พระพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ที่วัดเชตวัน ใกล้กรุงสาวัตถี ทรงรำลึกถึงพุทธประเพณีของพระพุทธเจ้าในอดีต พระองค์ได้เสด็จโดยทางอากาศ มีพระอานนท์เป็นผู้ติดตาม เพื่อโปรดเวไนยสัตว์ในอาณาบริเวณลุ่มแม่น้ำโขง

         พระพุทธเจ้าทรงมีพุทธทำนายให้พระอานนท์ทราบถึงเหตุการณ์และภูมิสถานในอนาคตกาล และทรงประทานรอยพระบาทไว้ในสถานที่ต่าง ๆ

         เช้าวันหนึ่ง พระพุทธเจ้าทรงเสด็จมายังเมืองหนองหานหลวง เพื่อรับบิณฑบาตจากชาวเมือง

         ความทราบถึงพญาสุวรรณภิงคารและพระมเหสีคือ พระนางจรวยเจงเวงราชเทวี ทั้งสองพระองค์ทรงออกไปอาราธนาให้พระพุทธเจ้าและพระอานนท์มารับบิณฑบาตพร้อมกับทำภัตกิจในปราสาทของพญาสุวรรณภิงคาร

         พระพุทธองค์ทรงแสดงเทศนาให้กับพญาสุวรรณภิงคารและชาวเมือง พร้อมกันนี้ทรงล้วงบาตร และนำข้าวที่เหลืออยู่นั้นมาปั้นเป็นก้อนเท่าปลายนิ้วก้อย มอบให้กับพญาสุวรรณภิงคารไว้เป็นที่ระลึก

         ก้อนข้าวนี้ เรียกว่า ก้อนข้าวใหญ่ หมายถึง ข้าวก้นบาตรของพระพุทธเจ้า

         จากนั้นพระพุทธเจ้าเสด็จลงจากปราสาทมายังภูน้ำลอดเชิงชุม

         พญาสุวรรณนาคได้นำแผ่นศิลาประดิษฐานรอยพระพุทธบาทของอดีตพระพุทธเจ้า แทรกแผ่นดินขึ้นมาประดิษฐานไว้เบื้องหน้าพระพุทธองค์

         พระพุทธเจ้าทรงประทับรอยพระบาทเบื้องขวาลงบนแผ่นศิลานั้น เกิดปาฏิหาริย์ดวงแก้วมณี ๔ ดวง ลอยออกมาจากรอยพระบาทเป็นลำดับ

         พระพุทธองค์ทรงอธิบายว่า ดวงแก้วมณี ๓ ดวง หมายถึง พระพุทธเจ้า ๓ พระองค์ ได้แก่ พระกุกกุสันธพระพุทธเจ้า พระโกนาคมนพุทธเจ้าและพระกัสสปพุทธเจ้า

         ส่วนดวงแก้วมณีดวงที่ ๔ หมายถึงพระองค์ คือพระโคตมพุทธเจ้า

         พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ในภัทรกัปนี้จะมาประทับชุมนุมรอยพระพุทธบาท ณ ภูน้ำลอดเชิงชุม

         เมื่อพญาสุวรรณภิงคารได้แจ้งในคำอธิบายของพระพุทธองค์แล้ว บังเกิดศรัทธาจะตัดเศียรของตนบูชารอยพระพุทธบาท

         แต่พระนางเจ้าจรวยเจงเวงราชเทวีเห็นกริยาอาการของพระราชสวามี จึงตรงเข้าจับพระหัตถ์และแย่งพระขรรค์ พร้อมกล่าวเตือนพระราชสวามีว่า ถ้าพระองค์ทรงมีพระชนมายุยืนนาน จะได้ทรงอุปถัมภ์บำรุงรอยพระบาทเพื่อสืบพระพุทธศาสนาต่อไป

         พญาสุวรรณภิงคารทรงตระหนักได้ และรำลึกถึงคุณพระรัตนตรัย ทรงเลื่อมใสในพระพุทธบาท จึงทรงนำกระโจมทองคำมาบูชารอยพระพุทธบาทแทน

         ต่อมาศิลาที่บรรจุรอยพระพุทธบาทได้จมลงในพื้นดินที่ภูน้ำรอดเชิงชุม พญาสุวรรณภิงคารนำชาวเมืองสร้างอูบมูงหินครอบรอยพระพุทธบาทไว้ และนำปั้นข้าวที่พระพุทธเจ้าประทานให้นั้นมาประดิษฐานไว้ภายในเพื่อให้เป็นที่สักการะสืบมา

         ตรงบริเวณที่พญาสุวรรณภิงคารทรงสร้างพระธาตุครอบพระพุทธบาทไว้ คือ พระธาตุเชิงชุม ครับ


                                           ที่มาของภาพ https://th.trip.com/moments/detail/sakon-nakhon


มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French

  มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French กรมหลวงพิพิธมนตรี (พระพันวัสสาน้อย) เป็นพระอัครมเหสีน้อยของสมเด็จพ...