มินามีเรื่องเล่า พระธาตุเชิงชุม
พระธาตุเชิงชุมวรวิหาร ตั้งอยู่ที่ตำบลธาตุเชิงชุม
อำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร
เรื่องราวของพระธาตุเชิงชุมมีดังนี้ครับ
พระเจ้าสุรอุทก ปกครองเมืองนครหนองหานหลวง
พระองค์มีพระราชโอรสสองพระองค์ คือ เจ้าชายภิงคารและเจ้าชายคำแดง
ต่อมาพระเจ้าสุรอุทกสวรรคต เมืองหนองหารหลวงถูกน้ำท่วม
เจ้าชายภิงคารและเจ้าชายคำแดงได้พาไพร่พลที่เหลือจากการจมน้ำตายไปอยู่ที่ดอนโพนเมือง
(คุ้มวัดโพนศรีเมือง ในเมืองสกลนคร) ริมฝั่งหนองหาน ทิศตะวันตกเฉียงใต้
เจ้าชายภิงคารแสวงหาชัยภูมิที่จะสร้างเมืองขึ้นใหม่
พระองค์มองเห็นทำเลบริเวณภูน้ำลอดเป็นชัยภูมิที่เหมาะแก่การตั้งเป็นบ้านเมืองได้
จึงตั้งเครื่องสักการะและตั้งสัตยาธิษฐานป่าวประกาศแก่เทพยดาทั้งหลายว่าพระองค์จะสร้างบ้านเมืองที่ตรงนี้
ขอให้เทพเทวดาผู้ดูแลรักษาสถานที่แห่งนี้จงคุ้มครองไพร่ฟ้าประชาชนให้มีความสุข
เมื่อเจ้าชายภิงคารกล่าวคำอธิษฐานจบ มีพญาสุวรรณนาค
มีเกล็ดสีทอง เป็นพญานาคเฝ้ารักษารอยพระพุทธบาทที่ภูน้ำลอดมานาน
ได้สำแดงตัวปรากฏแก่เจ้าชายภิงคาร แจ้งให้พระองค์ทราบว่า
ตนเป็นพญานาคที่รักษารอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าที่ภูน้ำลอดแห่งนี้
พญาสุวรรณนาคได้นำน้ำเต้าทองบรรจุน้ำหอมมารดสรงอภิเษกเจ้าชายภิงคารขึ้นเป็นเจ้าเมือง
ขนานพระนามว่า พญาสุวรรณภิงคาร พระองค์ทรงสร้างเมืองหนองหานหลวงขึ้นมาใหม่นับแต่นั้นสืบมา
ส่วนพระอนุชาของพระองค์ คือ เจ้าชายคำแดง
นั้น ได้มีเสนาอำมาตย์เมืองหนองหานน้อยมาอัญเชิญพระองค์ให้ไปเป็นกษัตริย์แทนเจ้าเมืองของตนที่ว่างลง
เจ้าชายคำแดงทรงครองเมือง
มีพระนามว่า พญาคำแดงแห่งเมืองหนองหานน้อย
ทรงได้สร้างบ้านเมืองปกครองไพร่ฟ้าประชาชนคู่กับเมืองหนองหานหลวงสืบแต่นั้นมา
ครั้งที่พระพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ที่วัดเชตวัน
ใกล้กรุงสาวัตถี ทรงรำลึกถึงพุทธประเพณีของพระพุทธเจ้าในอดีต พระองค์ได้เสด็จโดยทางอากาศ
มีพระอานนท์เป็นผู้ติดตาม เพื่อโปรดเวไนยสัตว์ในอาณาบริเวณลุ่มแม่น้ำโขง
พระพุทธเจ้าทรงมีพุทธทำนายให้พระอานนท์ทราบถึงเหตุการณ์และภูมิสถานในอนาคตกาล
และทรงประทานรอยพระบาทไว้ในสถานที่ต่าง ๆ
เช้าวันหนึ่ง พระพุทธเจ้าทรงเสด็จมายังเมืองหนองหานหลวง
เพื่อรับบิณฑบาตจากชาวเมือง
ความทราบถึงพญาสุวรรณภิงคารและพระมเหสีคือ
พระนางจรวยเจงเวงราชเทวี ทั้งสองพระองค์ทรงออกไปอาราธนาให้พระพุทธเจ้าและพระอานนท์มารับบิณฑบาตพร้อมกับทำภัตกิจในปราสาทของพญาสุวรรณภิงคาร
พระพุทธองค์ทรงแสดงเทศนาให้กับพญาสุวรรณภิงคารและชาวเมือง
พร้อมกันนี้ทรงล้วงบาตร และนำข้าวที่เหลืออยู่นั้นมาปั้นเป็นก้อนเท่าปลายนิ้วก้อย
มอบให้กับพญาสุวรรณภิงคารไว้เป็นที่ระลึก
ก้อนข้าวนี้ เรียกว่า ก้อนข้าวใหญ่
หมายถึง ข้าวก้นบาตรของพระพุทธเจ้า
จากนั้นพระพุทธเจ้าเสด็จลงจากปราสาทมายังภูน้ำลอดเชิงชุม
พญาสุวรรณนาคได้นำแผ่นศิลาประดิษฐานรอยพระพุทธบาทของอดีตพระพุทธเจ้า
แทรกแผ่นดินขึ้นมาประดิษฐานไว้เบื้องหน้าพระพุทธองค์
พระพุทธเจ้าทรงประทับรอยพระบาทเบื้องขวาลงบนแผ่นศิลานั้น
เกิดปาฏิหาริย์ดวงแก้วมณี ๔ ดวง ลอยออกมาจากรอยพระบาทเป็นลำดับ
พระพุทธองค์ทรงอธิบายว่า ดวงแก้วมณี ๓ ดวง
หมายถึง พระพุทธเจ้า ๓ พระองค์ ได้แก่ พระกุกกุสันธพระพุทธเจ้า พระโกนาคมนพุทธเจ้าและพระกัสสปพุทธเจ้า
ส่วนดวงแก้วมณีดวงที่ ๔ หมายถึงพระองค์
คือพระโคตมพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ในภัทรกัปนี้จะมาประทับชุมนุมรอยพระพุทธบาท
ณ ภูน้ำลอดเชิงชุม
เมื่อพญาสุวรรณภิงคารได้แจ้งในคำอธิบายของพระพุทธองค์แล้ว
บังเกิดศรัทธาจะตัดเศียรของตนบูชารอยพระพุทธบาท
แต่พระนางเจ้าจรวยเจงเวงราชเทวีเห็นกริยาอาการของพระราชสวามี
จึงตรงเข้าจับพระหัตถ์และแย่งพระขรรค์ พร้อมกล่าวเตือนพระราชสวามีว่า
ถ้าพระองค์ทรงมีพระชนมายุยืนนาน
จะได้ทรงอุปถัมภ์บำรุงรอยพระบาทเพื่อสืบพระพุทธศาสนาต่อไป
พญาสุวรรณภิงคารทรงตระหนักได้ และรำลึกถึงคุณพระรัตนตรัย
ทรงเลื่อมใสในพระพุทธบาท จึงทรงนำกระโจมทองคำมาบูชารอยพระพุทธบาทแทน
ต่อมาศิลาที่บรรจุรอยพระพุทธบาทได้จมลงในพื้นดินที่ภูน้ำรอดเชิงชุม
พญาสุวรรณภิงคารนำชาวเมืองสร้างอูบมูงหินครอบรอยพระพุทธบาทไว้
และนำปั้นข้าวที่พระพุทธเจ้าประทานให้นั้นมาประดิษฐานไว้ภายในเพื่อให้เป็นที่สักการะสืบมา
ตรงบริเวณที่พญาสุวรรณภิงคารทรงสร้างพระธาตุครอบพระพุทธบาทไว้
คือ พระธาตุเชิงชุม ครับ
ที่มาของภาพ https://th.trip.com/moments/detail/sakon-nakhon

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น