Chalermkiat Mina

วันอังคาร, มีนาคม 07, 2566

มินามีเรื่องเล่า เดือนแปดสองหนในปฏิทินทางจันทรคติ

 



มินามีเรื่องเล่า เดือนแปดสองหนในปฏิทินทางจันทรคติ

         สวัสดีครับ วันนี้ผมจะขอเล่าเรื่องปฏิทินทางจันทรคติ นะครับ

         เรามาพูดถึงความรู้เกี่ยวกับการนับวันเดือนปีกันนะครับ เราจะเริ่มจากปฏิทินที่นิยมใช้ในประเทศไทย

         ก่อนอื่นเรามาพูดถึงความหมายของคำศัพท์กันก่อนนะครับ คำว่า อธิก- ออกเสียงว่า อะ-ทิ-กะ หมายถึง เกิน หรือ เพิ่ม

         ส่วนคำว่า วาร แปลว่า วัน

         คำว่า มาส แปลว่า เดือน

         ในคำว่า สุรทิน มีคำว่า สุร แปลว่า พระอาทิตย์ ส่วนคำว่า ทิน แปลว่า วัน

ปฏิทินหลัก ๆ ที่นิยมใช้ในประเทศไทยมีปฏิทินทาง

สุริยคติและปฏิทินทางจันทรคติ

         ปฏิทินทางสุริยคติ หรือที่เรียกว่า ปกติสุรทิน แบ่งตามรอบการโคจรของพระอาทิตย์

     ส่วนปฏิทินทางจันทรคติแบ่งตามรอบการโคจรของพระจันทร์ครับ

ปฏิทินทางสุริยคติแบ่งเป็นสองแบบ แบบแรกคือ ปกติปฏิทิน มี ๓๖๕ วัน โดยกำหนดให้เดือนกุมภาพันธ์มี ๒๘ วัน 

แบบที่สอง คือ อธิกสุรทิน มี ๓๖๖ วัน โดย

กำหนดให้เดือนกุมภาพันธ์มี ๒๙ วันครับ ทั้งนี้เป็นการกำหนดตามการโคจรของรอบดวงอาทิตย์

ส่วนปฏิทินทางจันทรคติแบ่งเป็นสามแบบครับ

ได้แก่ แบบที่หนึ่ง ปกติมาส-ปกติวาร แปลว่า เดือนปกติ วันปกติ แบบที่สอง คือ ปกติมาส-อธิกวาร แปลว่าเดือนปกติ แต่วันเพิ่ม และแบบที่สามคือ อธิกมาส-ปกติวาร แปลว่า มีเดือนเพิ่ม แต่วันปกติ ฟังแล้วอาจจะงง มาดูรายละเอียดกันครับ

         ทบทวนประเภทของปฏิทินทางจันทรคตินะครับ ปฏิทินทางจันทรคติ มีสามประเภท ได้แก่ ปกติมาส-ปกติวาร ปกติมาส-อธิกวารและอธิกมาส-ปกติวาร

         เรามาดูแบบที่หนึ่งกันนะครับ ปกติมาส-ปกติวาร แปลว่า เดือนปกติ วันปกติ ถือเป็นปีที่เป็นปกติ มีเดือนคู่ข้างขึ้น ๑๕ วัน ข้างแรม ๑๕ วัน และมีเดือนคี่ข้างขึ้น ๑๕ วัน และข้างแรม ๑๔ วัน รวมเป็น ๓๕๔ วัน

         คิดเป็นสูตรตัวเลข คือ ๓๐x+๒๙x = ๓๕๔ แปลความหมายว่า เดือนคู่ ปกติมี ๓๐ วัน ๖ เดือน และเดือนคี่ ปกติ มี ๒๙ วัน ๖ เดือน รวม ๓๕๔ วันครับ

แบบที่สอง คือ ปกติมาส-อธิกวาร แปลว่า เดือนปกติ แต่วันเพิ่ม ถือเป็นปีที่เป็นปกติ มีวันเพิ่มในเดือน ๗ ซึ่งเป็นเดือนคี่ สิ่งที่เพิ่มขึ้นคือเดือน ๗ นี้จะมีข้างแรม ๑๕ วัน ไม่ได้มี ๑๔ วัน เหมือนปฏิทินจันทรคติแบบปกติมาส-ปกติวาร ดัวนั้น รวมวันในหนึ่งปี ของปฏิทินจันทรคติแบบปกติมาส-อธิการ จะเป็น ๓๕๔+= ๓๕๕ วันครับ

        แบบที่สาม คือ อธิกมาส-ปกติวาร แปลว่า ปีที่มีเดือนแปดเพิ่มอีกเดือน โดยมีวันปกติ เราอาจเรียกว่าปีที่มีเดือนแปดสองหน (๘๘) ก็ได้ครับ

        คำว่า อธิกมาส หมายถึง เดือนที่เพิ่มขึ้นทางจันทรคติ คือ ในปีนั้นมีเดือน ๑๓ เดือน โดยมีเดือน ๘ สองหน

        ทวนอีกครั้งครับ ปีปกติมาส-ปกติวาร จะมี ๓๕๔ วัน ส่วนปีปกติมาส-อธิกวาร มีวันเพิ่มเป็น ๓๕๕ วัน เพิ่มในวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๗ ครับ ส่วนปีอธิกมาส-ปกติวาร เป็นปีที่มีเดือนแปดเพิ่มสองหน (๘๘) รวมเป็น ๑๓ เดือน หรือ ๓๘๔ วันครับ

         แต่ยังไม่มีปีใดที่เป็นปี อธิกมาส-อธิกวาร คือ มีทั้งเดือนแปดสองหนและ เดือน ๗ เพิ่มวันอีกวันหนึ่งพร้อม ๆ กันครับ

        ในเรื่องของเดือนทางจันทรคตินั้น เราอธิบายได้แบบนี้ครับ

         เดือนจันทรคติไทยมี ๑๒ เดือน เริ่มจากเดือนอ้าย (๑), เดือนยี่ (๒), เดือนสาม (๓), เดือนสี่ (๔), เดือนห้า (๕), เดือนหก (๖), เดือนเจ็ด (๗), เดือนแปด (๘) (เดือนแปดหลัง(๘๘) สำหรับปีอธิกมาส, เดือนเก้า (๙), เดือนสิบ (๑๐) , เดือนสิบเอ็ด (๑๑), เดือนสิบสอง (๑๒)

        ทีนี้ เรามาดูเดือนคู่กันครับ เดือนคู่มี ๓๐ วัน คือ

        วันขึ้น ๑ ค่ำถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ และวันแรม ๑ ค่ำ ถึงวันแรม ๑๕ ค่ำ

        ส่วนเดือนคี่มี ๒๙ วัน คือวันขึ้น ๑ ค่ำถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ และวันแรม ๑ ค่ำถึงวันแรม ๑๔ ค่ำ

         ทำไมเราต้องมีเดือนแปด ๒ ครั้ง คำถามนี้น่าสนใจมากนะครับ

         เราอธิบายตามหลักการทางวิทยาศาสตร์คือ ปฏิทินจันทรคติ จะมีข้างขึ้นกับข้างแรมสลับกันไป ขึ้น ๑๔-๑๕ ค่ำ แรม ๑๔-๑๕ ค่ำ แล้วแต่เดือน พอเอามารวมกัน ๑๒ เดือน จะได้ทั้งหมด ประมาณ ๓๕๔ วัน

          ในปฏิทินสุริยคตินั้น โดยปกติปีหนึ่งมีวันทั้งหมด ๓๖๕ วัน ซึ่งต่างจากปฏิทินจันทรคติปีละประมาณ ๑๑ วัน

         ในปฏิทินทางจันทรคตินั้น ถ้าเรานับวันไปเรื่อย ๆ โดยไม่ทำอะไร จะทำให้เดือนตามปฏิทินจันทรคติ ไม่สามารถบอกฤดูกาลได้ เพราะมีการคลาดเคลื่อนของเวลา นี้เป็นเหตุผลเดียวกันกับปฏิทินทางสุริยคติที่เราต้องเพิ่มวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ ในทุกๆ ๔ ปี

     ต่อคำถามที่ว่า ใครใช้ปฏิทินจันทรคติ

        ถ้าจะตอบให้ใกล้ตัวเราที่สุดคือ เราใช้ปฏิทินทางจันทรคติในทางโหราศาสตร์เพื่อดูฤกษ์ ดูยาม หรือในทางศาสนาพุทธ เราปฏิทินจันทรคติดูวันสำคัญของศาสนาพุทธ เหมือนที่เราเคยท่องตอนเด็ก ๆ ว่า มา-สาม วิ-หก อา-แปด ครับ

         มา-สาม วิ-หก อา-แปด เป็นคำย่อหมายความว่า ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ เป็นวันมาฆบูชา และขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ เป็นวันวิสาขบูชา และขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ เป็นวันอาสาฬหบูชา

     นอกจากนี้เรายังมีวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ เป็นวันเข้าพรรษา ส่วนแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ เป็นวันออกพรรษา และวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ เป็นวันลอยกระทง

     มีคำถามว่า การเพิ่มเดือนแปดเกี่ยวข้องกับศาสนาพุทธอย่างไรครับ

           คำตอบคือ ศาสนาพุทธใช้ปฏิทินจันทรคติ ในการบอกวันสำคัญ และวันเข้าพรรษาจะเป็นวันที่กำหนดว่าพระสงฆ์ต้องอยู่ที่พำนัก ไม่ออกไปไหนเป็นเวลา ๓ เดือน ทั้งนี้เพื่อให้การบอกวัน เวลาเป็นไปตามฤดูกาล เดือนที่เพิ่มมาเลยเป็นเดือน ๘ และจะใช้เดือน ๘ หนหลังในการกำหนดว่าเป็นวันเข้าพรรษา หากไม่เลื่อนเดือน ระยะเวลาจำพรรษาจะไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย (วัสสูปนายิกาขันธกะ) ที่พระสงฆ์ต้องจำพรรษา ๓ เดือน เพราะในปีทางจันทรคติที่เป็นปีอธิกมาส ถ้านับวันเข้าพรรษาจากแรม ๑ ค่ำเดือนแปด (๘) รวมเดือนแปดหลัง (๘๘) อีก ๑ เดือน จนถึงวันออกพรรษา วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนสิบเอ็ด (๑๑) ระยะเวลาจะรวม ๔ เดือน ถือว่าไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย

     ในปีใดที่เป็นปีอธิกมาส วันสำคัญทางพุทธศาสนาจะเลื่อนออกไป ตัวอย่างเช่น ปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ที่ผ่านมา เกณฑ์ปฏิทินจันทรคติไทยเป็น ปีอธิกมาศ (เดือนแปดสองหน) ดังนั้นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา จะเลื่อนไป ๑ เดือน กล่าวคือ

     วันมาฆบูชา เลื่อนเป็น วันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือนสี่ (๔)  ส่วนวันวิสาขบูชา วันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือนเจ็ด (๗)  ส่วนวันอาสฬหบูชา วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนแปดหลัง (๘๘)  และวันเข้าพรรษาวันแรม ๑ ค่ำ เดือนแปดหลัง (๘๘) ส่วนวันออกพรรษาจะเหมือนเดิมคือ วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนสิบเอ็ด (๑๑) 

การกำหนดวันพระในปีอธิกมาส กำหนดอย่างไรครับ

เรากำหนดวันพระไว้ดังนี้ครับ 

วันพระตรงกับวันขึ้น ๘ ค่ำ, ขึ้น ๑๕ ค่ำ (วันเพ็ญ), แรม ๘ ค่ำ, แรม ๑๕ ค่ำ

หากเดือนใดเป็นเดือนขาดหรือเดือนคี่ (เดือน ๑, , , , , ๑๑) ให้ถือเอาแรม ๑๔ ค่ำ เป็นวันพระ

         เป็นอย่างไรบ้างครับ อย่างน้อยเราพอจะเข้าใจเรื่องราวของปฏิทินทางจันทรคติกันนะครับ



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French

  มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French กรมหลวงพิพิธมนตรี (พระพันวัสสาน้อย) เป็นพระอัครมเหสีน้อยของสมเด็จพ...