มินามีเรื่องเล่า
เดือนแปดสองหนในปฏิทินทางจันทรคติ
สวัสดีครับ วันนี้ผมจะขอเล่าเรื่องปฏิทินทางจันทรคติ นะครับ
เรามาพูดถึงความรู้เกี่ยวกับการนับวันเดือนปีกันนะครับ เราจะเริ่มจากปฏิทินที่นิยมใช้ในประเทศไทย
ก่อนอื่นเรามาพูดถึงความหมายของคำศัพท์กันก่อนนะครับ
คำว่า อธิก- ออกเสียงว่า อะ-ทิ-กะ หมายถึง เกิน หรือ เพิ่ม
ส่วนคำว่า
วาร แปลว่า วัน
คำว่า
มาส แปลว่า เดือน
ในคำว่า
สุรทิน มีคำว่า สุร แปลว่า พระอาทิตย์ ส่วนคำว่า ทิน
แปลว่า วัน
ปฏิทินหลัก ๆ ที่นิยมใช้ในประเทศไทยมีปฏิทินทาง
สุริยคติและปฏิทินทางจันทรคติ
ปฏิทินทางสุริยคติ
หรือที่เรียกว่า ปกติสุรทิน แบ่งตามรอบการโคจรของพระอาทิตย์
ส่วนปฏิทินทางจันทรคติแบ่งตามรอบการโคจรของพระจันทร์ครับ
ปฏิทินทางสุริยคติแบ่งเป็นสองแบบ แบบแรกคือ ปกติปฏิทิน
มี ๓๖๕ วัน โดยกำหนดให้เดือนกุมภาพันธ์มี ๒๘ วัน
แบบที่สอง คือ อธิกสุรทิน มี ๓๖๖
วัน โดย
กำหนดให้เดือนกุมภาพันธ์มี
๒๙ วันครับ ทั้งนี้เป็นการกำหนดตามการโคจรของรอบดวงอาทิตย์
ส่วนปฏิทินทางจันทรคติแบ่งเป็นสามแบบครับ
ได้แก่
แบบที่หนึ่ง ปกติมาส-ปกติวาร แปลว่า เดือนปกติ วันปกติ แบบที่สอง คือ ปกติมาส-อธิกวาร แปลว่าเดือนปกติ แต่วันเพิ่ม และแบบที่สามคือ
อธิกมาส-ปกติวาร แปลว่า มีเดือนเพิ่ม แต่วันปกติ ฟังแล้วอาจจะงง มาดูรายละเอียดกันครับ
ทบทวนประเภทของปฏิทินทางจันทรคตินะครับ
ปฏิทินทางจันทรคติ มีสามประเภท ได้แก่ ปกติมาส-ปกติวาร
ปกติมาส-อธิกวารและอธิกมาส-ปกติวาร
เรามาดูแบบที่หนึ่งกันนะครับ
ปกติมาส-ปกติวาร แปลว่า เดือนปกติ วันปกติ
ถือเป็นปีที่เป็นปกติ มีเดือนคู่ข้างขึ้น ๑๕ วัน ข้างแรม ๑๕ วัน
และมีเดือนคี่ข้างขึ้น ๑๕ วัน และข้างแรม ๑๔ วัน รวมเป็น ๓๕๔ วัน
คิดเป็นสูตรตัวเลข คือ ๓๐x๖+๒๙x๖ = ๓๕๔ แปลความหมายว่า เดือนคู่ ปกติมี ๓๐ วัน ๖ เดือน
และเดือนคี่ ปกติ มี ๒๙ วัน ๖ เดือน รวม ๓๕๔ วันครับ
แบบที่สอง คือ ปกติมาส-อธิกวาร
แปลว่า เดือนปกติ แต่วันเพิ่ม ถือเป็นปีที่เป็นปกติ มีวันเพิ่มในเดือน
๗ ซึ่งเป็นเดือนคี่ สิ่งที่เพิ่มขึ้นคือเดือน ๗ นี้จะมีข้างแรม ๑๕ วัน ไม่ได้มี ๑๔
วัน เหมือนปฏิทินจันทรคติแบบปกติมาส-ปกติวาร ดัวนั้น รวมวันในหนึ่งปี ของปฏิทินจันทรคติแบบปกติมาส-อธิการ
จะเป็น ๓๕๔+๑ = ๓๕๕ วันครับ
แบบที่สาม คือ อธิกมาส-ปกติวาร แปลว่า ปีที่มีเดือนแปดเพิ่มอีกเดือน โดยมีวันปกติ เราอาจเรียกว่าปีที่มีเดือนแปดสองหน (๘๘) ก็ได้ครับ
คำว่า อธิกมาส หมายถึง เดือนที่เพิ่มขึ้นทางจันทรคติ คือ ในปีนั้นมีเดือน ๑๓ เดือน โดยมีเดือน ๘ สองหน
ทวนอีกครั้งครับ ปีปกติมาส-ปกติวาร จะมี ๓๕๔ วัน ส่วนปีปกติมาส-อธิกวาร มีวันเพิ่มเป็น ๓๕๕ วัน เพิ่มในวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๗ ครับ ส่วนปีอธิกมาส-ปกติวาร เป็นปีที่มีเดือนแปดเพิ่มสองหน (๘๘) รวมเป็น ๑๓ เดือน หรือ ๓๘๔ วันครับ
แต่ยังไม่มีปีใดที่เป็นปี
อธิกมาส-อธิกวาร คือ มีทั้งเดือนแปดสองหนและ เดือน ๗
เพิ่มวันอีกวันหนึ่งพร้อม ๆ กันครับ
ในเรื่องของเดือนทางจันทรคตินั้น เราอธิบายได้แบบนี้ครับ
เดือนจันทรคติไทยมี
๑๒ เดือน เริ่มจากเดือนอ้าย (๑), เดือนยี่ (๒),
เดือนสาม (๓), เดือนสี่ (๔), เดือนห้า (๕), เดือนหก (๖), เดือนเจ็ด
(๗), เดือนแปด (๘) (เดือนแปดหลัง(๘๘) สำหรับปีอธิกมาส,
เดือนเก้า (๙), เดือนสิบ (๑๐) , เดือนสิบเอ็ด (๑๑), เดือนสิบสอง (๑๒)
ทีนี้ เรามาดูเดือนคู่กันครับ เดือนคู่มี
๓๐ วัน คือ
วันขึ้น
๑ ค่ำถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ และวันแรม ๑ ค่ำ ถึงวันแรม ๑๕ ค่ำ
ส่วนเดือนคี่มี
๒๙ วัน คือวันขึ้น ๑ ค่ำถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ และวันแรม ๑ ค่ำถึงวันแรม ๑๔ ค่ำ
ทำไมเราต้องมีเดือนแปด ๒ ครั้ง คำถามนี้น่าสนใจมากนะครับ
เราอธิบายตามหลักการทางวิทยาศาสตร์คือ ปฏิทินจันทรคติ จะมีข้างขึ้นกับข้างแรมสลับกันไป ขึ้น ๑๔-๑๕ ค่ำ แรม ๑๔-๑๕ ค่ำ แล้วแต่เดือน พอเอามารวมกัน ๑๒ เดือน จะได้ทั้งหมด ประมาณ ๓๕๔ วัน
ในปฏิทินสุริยคตินั้น
โดยปกติปีหนึ่งมีวันทั้งหมด ๓๖๕ วัน ซึ่งต่างจากปฏิทินจันทรคติปีละประมาณ ๑๑ วัน
ในปฏิทินทางจันทรคตินั้น
ถ้าเรานับวันไปเรื่อย ๆ โดยไม่ทำอะไร จะทำให้เดือนตามปฏิทินจันทรคติ
ไม่สามารถบอกฤดูกาลได้ เพราะมีการคลาดเคลื่อนของเวลา นี้เป็นเหตุผลเดียวกันกับปฏิทินทางสุริยคติที่เราต้องเพิ่มวันที่
๒๙ กุมภาพันธ์ ในทุกๆ ๔ ปี
ต่อคำถามที่ว่า ใครใช้ปฏิทินจันทรคติ
ถ้าจะตอบให้ใกล้ตัวเราที่สุดคือ เราใช้ปฏิทินทางจันทรคติในทางโหราศาสตร์เพื่อดูฤกษ์ ดูยาม หรือในทางศาสนาพุทธ เราปฏิทินจันทรคติดูวันสำคัญของศาสนาพุทธ เหมือนที่เราเคยท่องตอนเด็ก ๆ ว่า มา-สาม วิ-หก อา-แปด ครับ
มา-สาม
วิ-หก อา-แปด เป็นคำย่อหมายความว่า ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ เป็นวันมาฆบูชา
และขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ เป็นวันวิสาขบูชา และขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ เป็นวันอาสาฬหบูชา
นอกจากนี้เรายังมีวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ เป็นวันเข้าพรรษา ส่วนแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ เป็นวันออกพรรษา และวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ เป็นวันลอยกระทง
มีคำถามว่า การเพิ่มเดือนแปดเกี่ยวข้องกับศาสนาพุทธอย่างไรครับ
คำตอบคือ ศาสนาพุทธใช้ปฏิทินจันทรคติ ในการบอกวันสำคัญ และวันเข้าพรรษาจะเป็นวันที่กำหนดว่าพระสงฆ์ต้องอยู่ที่พำนัก ไม่ออกไปไหนเป็นเวลา ๓ เดือน ทั้งนี้เพื่อให้การบอกวัน เวลาเป็นไปตามฤดูกาล เดือนที่เพิ่มมาเลยเป็นเดือน ๘ และจะใช้เดือน ๘ หนหลังในการกำหนดว่าเป็นวันเข้าพรรษา หากไม่เลื่อนเดือน ระยะเวลาจำพรรษาจะไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย (วัสสูปนายิกาขันธกะ) ที่พระสงฆ์ต้องจำพรรษา ๓ เดือน เพราะในปีทางจันทรคติที่เป็นปีอธิกมาส ถ้านับวันเข้าพรรษาจากแรม ๑ ค่ำเดือนแปด (๘) รวมเดือนแปดหลัง (๘๘) อีก ๑ เดือน จนถึงวันออกพรรษา วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนสิบเอ็ด (๑๑) ระยะเวลาจะรวม ๔ เดือน ถือว่าไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย
ในปีใดที่เป็นปีอธิกมาส
วันสำคัญทางพุทธศาสนาจะเลื่อนออกไป ตัวอย่างเช่น ปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ที่ผ่านมา เกณฑ์ปฏิทินจันทรคติไทยเป็น
ปีอธิกมาศ (เดือนแปดสองหน) ดังนั้นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา จะเลื่อนไป ๑ เดือน
กล่าวคือ
วันมาฆบูชา เลื่อนเป็น วันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือนสี่ (๔) ส่วนวันวิสาขบูชา วันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือนเจ็ด (๗) ส่วนวันอาสฬหบูชา วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนแปดหลัง (๘๘) และวันเข้าพรรษาวันแรม ๑ ค่ำ เดือนแปดหลัง (๘๘) ส่วนวันออกพรรษาจะเหมือนเดิมคือ วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนสิบเอ็ด (๑๑)
การกำหนดวันพระในปีอธิกมาส กำหนดอย่างไรครับ
เรากำหนดวันพระไว้ดังนี้ครับ
วันพระตรงกับวันขึ้น ๘ ค่ำ, ขึ้น ๑๕ ค่ำ (วันเพ็ญ), แรม ๘ ค่ำ, แรม ๑๕ ค่ำ
หากเดือนใดเป็นเดือนขาดหรือเดือนคี่ (เดือน ๑, ๓, ๕, ๗, ๙, ๑๑) ให้ถือเอาแรม ๑๔ ค่ำ เป็นวันพระ
เป็นอย่างไรบ้างครับ อย่างน้อยเราพอจะเข้าใจเรื่องราวของปฏิทินทางจันทรคติกันนะครับ

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น