Chalermkiat Mina

วันพุธ, ธันวาคม 21, 2565

มินามีเรื่องเล่า สัตว์หิมพานต์ ๓๖ ตัว

 

https://www.m-culture.go.th/phuket/ewt_news.php?nid=1518&filename=index

มินามีเรื่องเล่า สัตว์หิมพานต์ ๓๖ ตัว

 

          สวัสดีครับ วันนี้คุณอยากเลี้ยงสัตว์กันไหม ผมมีสัตว์จำนวน ๓๖ ตัวมานำเสนอ ถ้าคุณเลี้ยงตัวใดตัวหนึ่งใน ๓๖ ตัวนี้ รับรองได้เลยว่า คุณจะมีชื่อเสียงโด่งดัง คนทั่วประเทศ หรืออาจจะทั่วโลกจะมาเยี่ยมชมสัตว์เลี้ยงของคุณอย่างแน่นอน

          สัตว์ทั้ง ๓๖ ตัวที่ผมแนะนำให้คุณเลี้ยงเรียกรวมว่า สัตว์หิมพานต์

          สงสัยใช่ไหม สัตว์หิมพานต์คืออะไร

 

ภาพสัตว์หิมพานต์

สัตว์หิมพานต์คือสัตว์ในจินตนาการ อยู่ในป่าหิมพานต์ มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นได้ สัตว์หิมพานต์มีรูปลักษณ์แตกต่างกันตามลักษณะของสัตว์แต่ละตัว และมักเป็นสัตว์ที่ผสมกันระหว่างสัตว์สองหรือสามชนิด ทำให้มีรูปร่างแปลกๆ เช่น ไกรสรนาคา เป็นสัตว์ผสมกันระหว่างราชสีห์กับนาค เหมราชทักทอ สกุณไกรสร กาฬสิงห์ เป็นต้น

ช่างเขียนจินตนาการสัตว์หิมพานต์จากตำนาน ส่วนมากเป็นตำนานที่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์  ช่างไทยนำรูปสัตว์หิมพานต์มาตกแต่งอาคารสถาปัตยกรรมไทยเช่น ครุฑแบกฐานโบสถ์ วิหาร เจดีย์ บุษบก หรือผูกเป็นภาพตามเรื่องราวในวรรณคดี เช่น รามเกียรติ์ ชาดก เพื่อเขียนเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนัง ลายรดน้ำ เป็นต้น

ตัวอย่างของสัตว์หิมพานต์ มีดังต่อไปนี้ครับ

๑.    กระบิลปักษา
สัตว์หิมพานต์ที่มีรูปเหมือนกระบี่หรือพญาวานร มีปีกเหมือนนกที่หัวไหล่สองข้าง มีครีบที่ท้องแขน หาง

เป็นหางไก่ กายสีดำ มักใช้ผูกหุ่นเป็นที่ตั้งเครื่องสังเค็ดในงานพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลพระบรมศพ

๒.    กรินทปักษา

สัตว์หิมพานต์ที่มีรูปร่างอย่างช้าง แต่มีปีกคู่ตรงสะบักทั้งสองข้าง มีหางอย่างนก กายสีแดงชาด ใช้ผูกหุ่น

เป็นเครื่องตั้งสังเค็ดในงานพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลพระบรมศพ

๓.    กินนรกินรี  
สัตว์หิมพานต์ครึ่งมนุษย์ครึ่งนก มีหัวเป็นมนุษย์ มีปีก มีหางอย่างนก ปรากฏในงานจิตรกรรมและ

ประติมากรรมไทย ใช้ตกแต่งสถาปัตยกรรมไทย เช่น กินนรและกินรีหน้าปราสาทพระเทพบิดรในพระบรมมหาราชวัง กรุงเทพฯ กินนรประดับฐานปรางค์ เป็นต้น

๔.    กินนรเนื้อ
สัตว์หิมพานต์ครึ่งมนุษย์สตรีเพศ มีร่างกายครึ่งร่างคล้ายกวาง แต่มีสองขา

๕.    กินนรยักษ์

มนุษย์พวกหนึ่งทำเป็นรูปครึ่งคนครึ่งนก มีหัวเป็นยักษ์ ติดปีกปีกหาง ปรากฏในงานจิตรกรรมและ

ประติมากรรมไทย เช่น กินนรยักษ์ที่ฐานไพทีปราสาทพระเทพบิดร  พระบรมมหาราชวัง กรุงเทพฯ

๖.    กิเลน  

สัตว์หิมพานต์ที่ช่างเขียนไทยเขียนขึ้นตามจินตนาการจากสัตว์ในเทพนิยายจีน กิเลนมีหัวเป็นมังกร ลำตัว

คล้ายม้า เท้าเป็นกีบ ตัวมีเกล็ด ตัวเป็นสีน้ำเงิน เกล็ดเป็นสีม่วงแก่ กิเลนอีกพวกหนึ่งมีหัวเหมือนเหรา ตัวเป็นสิงห์ มีเกล็ดและมีปีก จึงเรียกว่า กิเลนปีก

๗.    กิเลนปีก  

กิเลนปีกเป็นสัตว์หิมพานต์ มีหัวเหมือนเหรา ตัวเป็นสิงห์ มีเกล็ด มีปีก พื้นตัวเป็นสีน้ำเงิน

๘.    กิหมี  
สัตว์หิมพานต์ที่มีใบหน้าและลำตัวมีขนเป็พวงคล้ายสุนัขปักกิ่ง หางเป็นพวง เท้าเป็นอุ้งซ่อนเล็บ

๙.    กุญชรราชปักษา  

สัตว์หิมพานต์ที่มีหัวเป็นช้าง ตัวเป็นมังกร สี่เท้า มีปีกอย่างนก บางทีเรียกว่า พญามังกร กุญชรราชปักษา

๑๐. เกษรสิงหะ
สัตว์หิมพานต์ ตัวเป็นสิงห์ หัวมีหงอน เท้าเป็นกีบ สีตัวเหมือนสีนกเขา

๑๑. ไกรสรคาวี
สัตว์หิมพานต์ที่ เป็นสัตว์ สี่เท้าหลายชนิดผสมกัน คือ หัวและคอเป็นอย่างม้า มีเขาเหมือนโค มีใบหูเหมือน

เสือ มีลำตัวเป็นราชสีห์ มีหางเป็นพวงอย่างม้า ตัวสีดำ ปลายเท้าสีขาว ใช้ผูกหุ่นเป็นที่ตั้งเครื่องสังเค็ดในงานพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลพระบรมศพ

๑๒. ไกรสรนาคา
สัตว์หิมพานต์ที่เป็นสัตว์สี่เท้า มีหัวเป็นนาค มีหางอย่างพญานาค เล็บเท้าอย่างเล็บสิงห์ ลำตัวมีเกล็ด ผิว

กายสีน้ำทะเลอ่อน ใช้ผูกหุ่นเป็นที่ตั้งเครื่องสังเค็ด ในงานพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลพระบรมศพ

๑๓. ไกรสรปักษา
สัตว์หิมพานต์ที่เป็นสัตว์สี่เท้า เท้ามีอุ้งอย่างสิงห์ หัวเป็นนกอินทรีย์ มีหงอนตั้งไปข้างหน้า ปีกขยับกางขึ้น

ทั้งสองข้าง ลำตัวมีเกล็ด ปลายหางมีขนเป็นแผง กายสีตองอ่อน ใช้ผูกหุ่นเป็นที่ตั้งเครื่องสังเค็ดในงานพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลพระบรมศพ

๑๔. ไกรสรราชสีห์

สัตว์หิมพานต์มีรูปร่างอย่างราชสีห์ ผิวกายสีขาว อย่างดั่งสีหอยสังข์ เส้นขนานเป็นวงทักขิณาวัฏ เขียนด้วย

สีชาด เป็นสัตว์หิมพานต์ประเภทหนึ่งในกลุ่มราชสีห์ ซึ่งมี สี่ชนิด คือ บัณฑุราชสีห์ กาฬราชสีห์ ติณราชสีห์ และไกรสรราชสีห์

๑๕. ไกรสรวิหก

สัตว์หิมพานต์มีหัวเป็นสิงห์ ตัวเป็นนก มีปีกและหางอย่างนก

๑๖. คชปักษา
สัตว์หิมพานต์มีตัวเป็นครุฑ หัวมีงวงมีงาอย่างช้าง บนหัวมีช่อกระหนก คอประดับด้วยกรองศอ รัดอก

เกราะอ่อน ทับทรวง อย่างเครื่องทรง มีขนปีกและหางคล้ายนก มีช่อกระหนกต่อเป็นส่วนหาง

๑๗. คชสิงห์

สัตว์หิมพานต์มีหัวเป็นสิงห์แต่มีงวงมีงาอย่างช้าง ตัวเป็นสิงห์ ปรากฏในลายรดน้ำตู้พระธรรม และ

จิตรกรรมฝาผนังในโบสถ์หรือวิหาร

๑๘. คชสิงหสกุณี
สัตว์หิมพานต์มีหัวเป็นช้าง ตัวเป็นนก มีปีก มีหางเป็นพวง

๑๙. คชสีห์

สัตว์หิมพานต์มีรูปร่างเหมือนราชสีห์ หัวเป็นช้าง ช่างไทยนำมาทำเป็นลายกระหนกประกอบ มีหงอน กาย

สีม่วงอ่อน สร้างเป็นรูปประติมากรรมหรือผูกเป็นหุ่นเป็นที่ตั้งเครื่องสังเค็ดในงานพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลพระบรมศพ 

๒๐. ครุฑ
มนุษย์จำพวกหนึ่ง ในศาสนาพราหมณ์ถือว่าครุฑเป็นพญานก รูปร่างครึ่งนกครึ่งคน คือมีหัว ปีก เล็บและ

ปากเหมือนนกอินทรีย์ ตัวและแขนเหมือนคน หน้าขาว ปีกแดง ลำตัวเป็นสีทอง อาศัยอยู่บนต้นงิ้ว ครุฑกึ่งเทพคือ พญาครุฑ อาศัยอยู่บนวิมานฉิมพลี ซึ่งเป็นสถานที่ลี้ลับยากที่จะไปถึง

๒๑. ช้างฉัททันต์

สัตว์หิมพานต์อาศัยอยู่บริเวณฉัททันตสระ เป็นพญาช้างกายสีขาวบริสุทธิ์ ดุจสีเงินยวง เท้าทั้งสี่และปากสี

แดงอย่างน้ำครั่ง มีช้างตระกูลต่างๆ 10 ตระกูลเป็นบริวาร

๒๒. ติณสีหะ

สัตว์หิมพานต์เป็นราชสีห์ที่กินหญ้าเป็นอาหาร บางตำราว่ามีลักษณะคล้ายโค สีกายหม่นเหมือนสีนกพิราบ

บางตำราว่าสีกายแดงอย่างขานกพิราบ หรือสีแดงคล้ายหญ้าแห้ง เท้าเป็นกีบอย่างโค รูปติณสีหะใช้ผูกหุ่นกำหนดให้เป็นสีเขียว

๒๓. ทักกะทอ

สัตว์หิมพานต์ รูปร่างอย่างราชสีห์ อาจสร้างให้คล้ายคชสสีห์เพื่อคู่กัน มีกายสีม่วงอ่อนคล้ายกัน แต่หัวทัก

กะทอคล้ายไกรสรสีหะ เกสรสีหะ กิเลนไทย หรือโลโต ซึ่งเป็นสิงห์พวกหนึ่งที่มีงวงและงาเล็กๆ

๒๔. เทพอัสดร
สัตว์หิมพานต์ ตัวเป็นม้า หัวเป็นสิงโต คอและหลังสีเขียว หางและกีบสีแดงชาด ใช้ผูกหุ่นที่ตั้งเครื่องสังเค็ด

ในงานพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลพระบรมศพ

๒๕. ทัณฑิมา
สัตว์หิมพานต์ ตัวเป็นครุฑ หัวเป็นนก มีหงอน จะงอยปากใหญ่และงุ้มงอ มีเขี้ยวหนึ่งคู่ หูเหมือนหูวัว ตา

แบบจระเข้ มี ห้านิ้ว เล็บเหมือนนก มีแผงขนใต้ท้องแขนและน่อง กลางหลังมีปีก หางเหมือนหางไก่ ถือไม้เท้าทองหรือกระบองอยู่เสมอ

๒๖. เทพนรสิงห์
สัตว์หิมพานต์  ท่อนบนเป็นเทพ ท่อนล่างเป็นราชสีห์ เท้าเป็นกีบ ปรากฏในงานจิตรกรรมและ

ประติมากรรม

๒๗. เทพปักษี
สัตว์หิมพานต์รูปร่างเป็นเทพ แต่มีปีก หางอย่างนก ตัวเป็นสีขาว เครื่องแต่งกายสีเหลือง ปีกและหางสีชาด

๒๘. นกการวิก  
สัตว์หิมพานต์มีหัวเป็นนก มีปีกและหางอย่างนก ตัวสีหงเสนอ่อน มักปรากฏในลายรดน้ำตู้พระธรรม บาน

ประตูโบสถ์ วิหาร

๒๙. นกเทศ

สัตว์หิมพานต์ที่มีรูปร่างคล้ายนกอินทรีย์ สีหงชาด ปรากฏในงานจิตรกรรมและประติมากรรม เช่น

จิตรกรรมฝาผนังพระอุโบสถวัดสุทัศน์เทพวราราม กรุงเทพฯ หุ่นที่เป็นเครื่องสังเค็ดในพระราชพิธี
บำเพ็ญพระราชกุศลพระบรมศพ เป็นต้น

๓๐. นกหัสดิน

สัตว์หิมพานต์มีรูปร่างคล้ายนกหรือหงส์ มีหัวเป็นนาค มีงวง มีปีกและหางอย่างนก พื้นสีขาว ปีกสีหงดิน

อ่อน  ปรากฏในงานจิตรกรรมและประติมากรรม

๓๑. นกหัสดีลิงค์
สัตว์หิมพานต์ ตัวเป็นนก หัวเป็นช้างหรือหัวเป็นนก มีจะงอยปากเป็นงวงช้าง ตัวเป็นนก มีปีก ขา และหาง

อย่างนก นกหัสดีลิงค์อยู่ในป่าหิมพานต์ เป็นนกสำคัญที่ปรากฏในงานศิลปกรรมไทยทั้งจิตรกรรมและประติมากรรม

๓๒. นกอินทรี
สัตว์หิมพานต์ มีรูปร่างเหมือนนก หางเป็นลายกระหนก พื้นสีเขียวอ่อน ปีกสีหงดิน

๓๓. นาคปักษิณ  
สัตว์หิมพานต์มีหัวเป็นนาค ตัวเป็นนก สีหงชาดหางเป็นกระหนก ปรากฏในงานจิตรกรรมประติมากรรม

และศิลปะประยุกต์ของไทย เช่นทำเป็นหุ่นในงานพระบรมศพ

๓๔. นาคปักษี

สัตว์หิมพานต์มีท่อนบนเป็นมนุษย์ผู้ชาย กายสีขาว สวมมงกุฎยอดนาค ขาเป็นนก หางเป็นนาค  ปรากฏที่

ลายรดน้ำบานประตูพระอุโบสถวัดนางนอง กรุงเทพฯ

๓๕. นาคพด  

สัตว์หิมพานต์ตัวเป็นนาคแต่มีขาอย่างสิงห์ หางเหมือนปลา พบในลายรดน้ำตู้พระธรรม จิตรกรรมเรื่อง

รามเกียรติ์ ผนังระเบียงวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ประติมากรรมบันไดพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ ซุ้มเรือนแก้วพระพุทธชินราช วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลก เป็นต้น บางครั้งเรียกว่า เหรา หรือ เหราพต

๓๖. มกร
มกรเป็นสัตว์ที่ช่างอินเดียสร้างขึ้นจากจินตนาการมีลักษณะต่างๆ กัน เช่น มีหัวคล้ายจระเข้ มีจะงอยปาก

ออกไปทางด้านหลังคล้ายงวง มีฟัน มีขาคล้ายสิงโตหรือสุนัข มีสี่ขา มีหางอย่างหางปลา ปรากฏในศิลปะขอมแบบกุเรน ราว พ.ศ. 1370 ถึง 1520 ในประเทศไทยพบมกรในศิลปะศรีวิชัย ใช้ตกแต่งอาคาร เช่นทำหน้ามกรไว้ที่ชายคา ทำปากเป็นท่อน้ำ ปูนปั้นประดับซุ้มเจดีย์ทรงดอกบัวตูมหรือทรงข้าวบิณฑ์ที่วัดมหาธาตุ เมืองเก่าสุโขทัย จังหวัดสุโขทัย  พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงอธิบายว่า มกร คือ เหรา

          เป็นอย่างไรบ้างครับ สนใจนำสัตว์ตัวไหนไปเลี้ยงบ้างไหมครับ

 

แหล่งข้อมูลประกอบการเล่าเรื่อง

วิบูลย์ ลี้สุวรรณ.  ๒๕๕๙.  พจนานุกรมศัพท์ศิลปกรรมไทย.  นนทบุรี: สำนักพิมพ์เมืองโบราณ.


วันจันทร์, ธันวาคม 19, 2565

มินามีเรื่องเล่า ต้นพระศรีมหาโพธิ์

 

https://medthai.com/โพธิ์ศรี/

มินามีเรื่องเล่า ต้นพระศรีมหาโพธิ์

          สวัสดีครับ วันนี้ ผมขอเล่าเรื่องต้นพระศรีมหาโพธิ์ นะครับ    ต้นโพธิ์ มีความสำคัญทางพระพุทธศาสนาด้วยเป็นต้นไม้ที่เป็นที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า

          ที่วัดต่างๆ นิยมปลูกต้นโพธิ์ไว้เพื่อเป็นสัญลักษณ์ทางพระพุทธศาสนา ถือเป็นตันไม้ศักดิ์สิทธิ์ของพุทธศาสนิกชน

          อันที่จริง การบูชาต้นโพธิ์ในฐานะต้นไม้ใหญ่ซึ่งเป็นที่สถิตของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อาจมีมาแล้วตั้งแต่ก่อนพุทธกาล

แนวคิดเรื่องการบูชาต้นไม้ใหญ่สามารถสืบย้อนไปได้ถึงอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ ซึ่งมีมาราว ๕, ๐๐๐ ปีมาแล้ว

ได้มีการพบตราประทับรูปบุคคลอยู่ท่ามกลางกิ่งก้านต้นไม้ใหญ่ มีคนกำลังทำพิธีบวงสรวงสักการะ สะท้อนให้เห็นได้เป็นอย่างดีถึงความเชื่อที่ว่าต้นไม้ใหญ่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์พิทักษ์รักษาหรือสิงสถิตอยู่

          พุทธศาสนามิได้ปฏิเสธความเชื่อเรื่องเทพยดาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำต้นไม้ เห็นได้จากในคัมภีร์พุทธศาสนาได้กล่าวถึงเรื่องราวนี้บ่อยครั้ง เช่นสิกขาบทข้อหนึ่งของภิกษุที่ห้ามมิให้ภิกษุตัดหรือทำลายต้นไม้ หรือวานให้ผู้อื่นกระทำแทน

          ในนิทานต้นบัญญัติได้อธิบายเหตุไว้ว่า

          กาลครั้งหนึ่งผู้คนติเตียนการตัดต้นไม้ของพวกพระสาวก เพราะถือเป็นการทำลายที่อยู่อาศัยของเทวดา และครั้งนั้นการตัดต้นไม้ยังพลาดทำให้แขนของลูกรุกขเทวดาขาดด้วย

          ต้นโพธิ์คงได้รับการนับถือบูชามาแล้วตั้งแต่ก่อนสมัยพุทธกาล ทั้งนี้เพราะเป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ซึ่งเชื่อกันว่ามีเทพยดาสถิตอยู่ กระทั่งต่อมาเมื่อพระพุทธองค์ตรัสรู้ใต้ต้นไม้พันธุ์นี้ จึงทำให้ต้นโพธิ์กลายเป็นต้นไม้สำคัญในพุทธศาสนา และถือเป็นสิ่งแทนองค์พระพุทธเจ้า

          ร่องรอยของความคิดในคัมภีร์พุทธศาสนาบางตอนสะท้อนให้เห็นถึงแนวความคิดที่ว่า ต้นโพธิ์เป็นสื่อระลึกแทนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เช่น อรรถกถากาลิงคโพธิชาดก มีความว่าพระอานนท์ทูลต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงคราวที่พระพุทธองค์ละจากเชตวัน เพื่อเสด็จออกโปรดเวไนยสัตว์ ทำให้พุทธบริษัทไม่มีสิ่งใดสักการะบูชา

          พระอานนท์จึงทูลถามพระพุทธเจ้าว่า จะมีสิ่งใดใช้ระลึกถึงแทนพระพุทธเจ้าได้บ้าง

          พระพุทธองค์ได้ตรัสตอบว่า ต้นพระศรีมหาโพธิ์เป็นเจติยะวัตถุแทนพระองค์ได้

          พระอานนท์จึงปรารถนาจะปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ์ไว้ที่วัดเชตวัน จึงให้พระโมคคัลลานะไปนำลูกโพธิ์สุกจากต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่พระพุทธองค์ตรัสรู้มาปลูกไว้ที่วัดเชตวัน

          ดังนั้นต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่พุทธคยา ซึ่งเป็นสถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธองค์ จึงกลายเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของชาวพุทธ มีการนำกิ่งก้านสาขาของต้นโพธิ์ไปปลูกยังอารามต่างๆ 

ตัวอย่างเช่น ต้นพระศรีมหาโพธิ์ซึ่งพระสังฆมิตตาเถรีนำไปปลูกไว้ยังสำนักมหาวิหาร เมืองอนุราธปุระ ประเทศศรีลังกา ตั้งแต่ครั้งที่พุทธศาสนาเผยแผ่มายังเกาะแห่งนี้เมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๓ จวบจนปัจจุบันพุทธศาสนิกชนชาวศรีลังกายังสักการะบูชาต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นนี้อย่างไม่เสื่อมคลาย 

ที่มาของข้อมูลประกอบการเล่าเรื่อง

รุ่งโรจน์ ธรรมรุ่งเรือง.  ๒๕๖๓.  รู้เรื่องพระพุทธรูป. พิมพ์ครั้งที่ ๓.  นนทบุรี: หสม.สำนักพิมพ์มิวเซียมเพรส.


วันพฤหัสบดี, ธันวาคม 15, 2565

มินามีเรื่องเล่า ข้อควรรู้เกี่ยวกับอาหารของประเทศ ๖ ประเทศ

ที่มาของภาพ https://en.wikipedia.org/wiki/Baguette

 

มินามีเรื่องเล่า ข้อควรรู้เกี่ยวกับอาหารของประเทศ ๖ ประเทศ

          ผมจำได้ว่าได้เดินทางไปประเทศบาหลี เมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยใช้บริการสายการบิน Air Asia ผมได้หยิบวารสารของสายการบิน Air Asia Inflight Magazine ชื่อวารสารคือ Travel 3sixty ขึ้นมาอ่าน บังเอิญเห็นคอลัมม์หนึ่งที่น่าสนใจ จึงขอนำมาเล่าสู่กันฟัง จริงแท้ประการใดเป็นเรื่องที่ผู้เขียนท่านบอกไว้นะครับ

          คอลัมม์นี้มีชื่อว่า Food Etiquette From Around the World ถ้าจะแปลเป็นไทย คงแปลได้ความว่า ข้อควรรู้เกี่ยวกับอาหารทั่วโลก

          คอลัมม์นี้กล่าวถึงข้อควรรู้เกี่ยวกับอาหารของประเทศ ๖ ประเทศ ได้แก่ ฝรั่งเศส ชิลี อิตาลี จีน อินเดีย และญี่ปุ่น

          ในประเทศฝรั่งเศส จะวางขนมปังบาแก๊ต (baguette) ไว้บนโต๊ะได้เลย ไม่ต้องวางไว้บนจานก็ได้ คนฝรั่งเศสนิยมวางขนมปังบาแก๊ตไว้บนโต๊ะมากกว่าใส่จาน อีกสิ่งหนึ่งที่ควรใส่ใจคือ อย่าทานขนมปังบาแก๊ตเหมือนเป็นของขบเคี้ยวเล่น ชาวฝรั่งเศสทานขนมปังบาแก๊ตขณะทานอาหารจานหลัก หรือทานพร้อมเนยแข็งหลังจากทานอาหารจานหลักแล้ว

          ในประเทศชิลี ถ้าจะทานของทอด เช่นเนื้อทอด ไก่ทอด อย่าใช้มือจับชิ้นอาหาร ชาวชิลีถือว่าเป็นมารยาทที่ไม่ดี ควรใช้ส้อมหรือมีดหั่นของทอดนั้นแล้วค่อยทานดีกว่า

          ในประเทศจีนหรือประเทศอื่นๆ ที่ใช้ตะเกียบคีบอาหาร อย่าชี้ตะเกียบไปที่คนอื่น ที่แย่เข้าไปอีกคือ อย่าเอาตะเกียบปักบนอาหาร ถือว่าเป็นเรื่องต้องห้ามอย่างร้ายแรง

          ชาวอินเดียใช้มือหยิบอาหาร แต่อย่าใช้มือซ้ายหยิบอาหารเข้าปาก หรือใช้มือซ้ายแกะหรือฉีกอาหาร ชาวอินเดียถือว่ามือซ้ายไม่สะอาด ใช้งานในห้องสุขามาแล้ว

          ในประเทศญี่ปุ่น จงลืมสิ่งที่เคยได้รับการอบรมมาว่า อย่ากินอาหารด้วยเสียงดัง (slurp) การกินอาหารเสียงดัง ยิ่งแสดงว่าคุณชื่นชอบอาหารมาก

          เวลาเราไปทานอาหารที่บ้านของชาวอิตาลี พยายามอย่าขอดื่มคาปูชิโนหลังจากเวลาบ่ายสามโมงไปแล้ว เหตุผลนะหรือ บางคนเชื่อว่าคาปูชิโนอาจทำให้ปวดท้อง ไม่ควรดื่มคาปูชิโนตอนบ่ายหรือตอนกลางคืน (Drinking a cappucino late in the day or at night is a no-no.) บางคนคิดว่าคาปูชิโนจะไปทดแทนอาหารเย็น ทำให้ไม่อยากทานอาหารเย็น ว่ากันว่าชาวอิตาลีดื่มคาปูชิโนถ้วยเดียวในตอนเช้า ไม่ดื่มหรือกินอะไรอีก

          ลองพิจารณาดูนะครับ

วันพุธ, ธันวาคม 14, 2565

มินามีเรื่องเล่า คำว่า “ยา” ในสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ

 

มินามีเรื่องเล่า คำว่า “ยา” ในสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ

         วันหนึ่งหลานชายของผมถามว่า พระเจ้าลูกเธอกับพระเจ้าลูกยาเธอ ใช้แตกต่างกันอย่างไร

         ผมได้อธิบายให้หลานรู้ เลยขออนุญาตนำมาเล่าสู่กันฟังครับ

         คำว่า "ยา" เป็นคำมาจากภาษาเขมร แปลว่า "เพศชาย" จะใช้เรียกพระบรมวงศานุวงศ์ ๓ องค์ คือ

. พี่ชายของพระมหากษัตริย์ คือ สมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ ถ้าเป็นพี่สาว เรียกว่า สมเด็จพระเจ้าพี่เธอ

. น้องชายของพระมหากษัตริย์ คือ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ ถ้าเป็นน้องสาว เรียกว่า สมเด็จพระเจ้าน้องเธอ

. ลูกชายของพระมหากษัตริย์ คือ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ ส่วนลูกสาวของพระมหากษัตริย์ เรียกว่า สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ

         ครับ ขออนุญาตนำมาเล่าสู่กันฟังครับ

วันจันทร์, ธันวาคม 12, 2565

มินามีเรื่องเล่า เมตตาที่บริสุทธิ์ แท้จริง นำชัยชนะมาสู่ตนได้ Thai-English-French

 

                                                  ที่มาของภาพ https://th.wikipedia.org/wiki/


มินามีเรื่องเล่า เมตตาที่บริสุทธิ์ แท้จริง นำชัยชนะมาสู่ตนได้ Thai-English-French

         ผมได้อ่านพระนิพนธ์ของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เรื่อง “เมตตาที่บริสุทธิ์ แท้จริง นำชัยมาสู่ตนได้” จึงขอนำมาถ่ายทอดให้ทุกท่านทราบครับ

         เด็กหญิงน่ารักอายุ ๒ ขวบคนหนึ่ง อบรมเมตตาให้เพื่อนรุ่นราวคราวกัน และควรจะเป็นการอบรมจิตใจผู้ใหญ่ที่ได้รู้ ได้ยินด้วย คือวันหนึ่งเมื่อเพื่อนตัวน้อยๆ เท่ากัน จะบี้มดที่กำลังเดินอยู่กับพื้น เด็กหญิงห้ามทันที มีเหตุผลจากใจจริงที่จับใจผู้ใหญ่ทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง

"อย่าทำ! เดี๋ยวแม่มดกลับมา ไม่เห็นลูกมด"

         แม้ใครทั้งหลายที่กำลังคิดจะทำลายชีวิตสัตว์น้อยสัตว์ใหญ่ หรือกระทั่งชีวิตมนุษย์ ก็น่าจะนำเสียงห้ามของเด็กหญิงน้อยๆ ดังกล่าว มาเตือนตนเองบ้าง

         "อย่าทำ! เดี๋ยวแม่ปลาหาลูกปลา ไม่พบ" หรือ "อย่าทำ! เดี๋ยวลูกยุงร้องไห้ คิดถึงแม่ยุง" หรือ "อย่าทำ! เดี๋ยวลูกนกไม่มีแม่นก" หรือ "อย่าทำ! เดี๋ยวไม่มีใคร เลี้ยงลูกเขา"

เตือนตนเองด้วยจริงใจ ให้รู้สึกจริงจังดังที่คิด หรือที่เปล่งวาจา ก็ย่อมเป็นการอบรมเมตตาอีกวิธีหนึ่งที่ง่ายและน่าทำเสมอๆ เมตตานั้นไม่จำเป็นที่ผู้ใหญ่จะเป็นฝ่ายสอนเด็กเสมอไป แม้เด็กก็สอนผู้ใหญ่ได้ ทั้งๆ ที่เด็กไม่ได้รู้ว่ากำลังเป็นผู้สอน และเด็กก็ไม่รู้ว่าความคิดของตนเกิดแต่เมตตาที่บริสุทธิ์แท้จริง.

 

**********

Mina’s Stories: A pure kindness brings us victory. (The teaching of Somdet Phra Yanasangvara, Supreme Patriarch Sakon Maha Sangha Parinayok)

         Somdet Phra Yanasangvara, Supreme Patriarch Sakon Maha Sangha Parinayok, wrote many books. I had a chance to read one of his stories. So, I would like to present it to all of you.

         A two-year-old girl told her friends not to use their fingers to crush the ants moving on the floor. She said, “Don’t kill them. If you do that, their mother ants will not find their children when they come back to see them.”

         People who are going to kill animals or human beings should remember the little girl’s words. They should always warn themselves not to do cruel things.

         “Don’t kill them! If you do that, the mother fish will not find their children.”

         “Don’t kill them! If you do that, the little mosquitos will cry, they will miss their mother very much”.

         “Don’t kill this mother bird! If you do this, her little babies will have no mother.”

         “Don’t kill any animals. If you do that, there will be not any parents to look after their children.”

         Generally, the adults teach their children to be kind. Nevertheless, the children can also teach the adults. They do this without realizing that they are teaching the adults. They do not even know that their own thoughts come from their pure loving-kindness.     

*********

Histoires de MINA : Une pure compassion nous apporte la victoire. (L'enseignement de Somdet Phra Yanasangvara, Patriarche Suprême Sakon Maha Sangha Parinayok.)

         Somdet Phra Yanasangvara, Patriarche Suprême Sakon Maha Sangha Parinayok, a écrit de nombreux livres. J'ai eu la chance de lire une de ses histoires. Alors, je voudrais vous en presenter une.

         Une fillette de deux ans a dit à ses amis de ne pas utiliser leurs doigts pour écraser les fourmis se déplaçant sur le sol.

         Elle leur a dit : « Ne les tuez pas. Si vous le faites, leurs mères fourmis ne retrouveront pas leurs enfants quand elles reviendront les voir.

Les gens qui vont tuer des animaux ou des êtres humains devraient penser aux mots de la petite fille. Ils doivent toujours tenir ces mots dans leur cœur.

« Ne tuez les poissons. Si vous faites cela, leurs mères-poissons ne retrouveront pas leurs enfants. »

         « Ne tuez pas la mère moustique ! Si vous faites cela, les petits moustiques pleureront, leur mère leur manquera beaucoup ».

         « Ne tuez pas cet oiseau ! Si vous faites cela, ses petits bébés n'auront pas de mère. »

         « Ne tuez pas les animaux-ci. Si vous faites cela, quiconque s'occupera de leurs enfants. »

         En général, les adultes enseignent à leurs enfants d’avoir l'amour bienveillant mais les enfants peuvent enseigner aux adultes de l’avoir. Ils le font sans savoir qu'ils leur enseignent. Ils ne savaient même pas que leurs propres pensées venaient de leur pure compassion.

*********************


วันจันทร์, ธันวาคม 05, 2565

 

มินามีเรื่องเล่า พ่อของปวงชนชาวไทย


         วันนี้คือ วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๕ เป็นวันคล้ายวันเสด็จพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิต ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณตราบนิรันดร์

         พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๙ แห่งพระราชวงศ์จักรี ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ครองราชสมบัติยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย

         พระองค์เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันจันทร์ที่ ๕ ธันวาคม พ.. ๒๔๗๐ ณ โรงพยาบาลเมานต์ออเบิร์น (Mount Auburn) เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตต์ (Massashusetts) ประเทศสหรัฐอเมริกา

         พระองค์เป็นพระราชโอรสพระองค์เล็กในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ (สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก) และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี

         พระราชบิดาของพระองค์ทรงเป็นพระราชโอรสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า (พระองค์เจ้าหญิงสว่างวัฒนา)

         สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า (พระองค์เจ้าหญิงสว่างวัฒนา) ทรงเป็นพระราชธิดาของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา (เจ้าจอมมารดาเปี่ยม)

         เมื่อแรกประสูตินั้น พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงมีพระนามว่า พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภูมิพลอดุลยเดช

         พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระเชษฐภคินี และพระบรมเชษฐาธิราช คือ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ (เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๖ และเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ ๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๑) และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร (เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๖๘ และเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๙)

         เมื่อพระบิดาของพระองค์ คือ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนกประชวรสวรรคตในวันที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๒ นั้น พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรมีพระชนมพรรษาไม่ถึง ๒ พรรษา

         ในปี พ.ศ. ๒๔๗๕ ขณะที่มีพระชนมพรรษา ๕ พรรษา พระองค์ได้เสด็จเข้าทรงศึกษาที่โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๔๗๖ จึงเสด็จพร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชชนนี (สมเด็จย่า) พระเชษฐภคินี (สมเด็จพระพี่นาง) และสมเด็จพระบรมเชษฐาฐิราช (ในหลวงรัชกาลที่ ๘) ไปประทับที่เมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

         พระองค์ทรงศึกษาที่โรงเรียนเอกอล มีร์มองต์ (École Miremont) แล้วทรงศึกษาต่อที่โรงเรียนเอกอล นูแวล เดอ ลา ซืออิส โรมองต์ (École Nouvelle de la Suisse Romande) เมืองชายยี ซูร โลซาน (Chailly-sur Lausanne)

พ.ศ. ๒๔๘๓ พระองค์ทรงจบการศึกษาจากโรงเรียนยิมนาส คลาสสิค ก็องโตนาล (Gymnase Classique Cantonal) แห่งเมืองโลซาน ทรงได้รับประกาศนียบัตรทางอักษรศาสตร์ หลังจากนั้นทรงเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยโลซาน แผนกวิทยาศาสตร์

หลังจากที่พระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์แล้ว พระองค์ได้เสด็จกลับไปทรงศึกษาต่อที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ พระองค์ทรงตระหนักว่าพระองค์จะต้องเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ปกครองประชาชนให้ร่มเย็นเป็นสุข จึงทรงเปลี่ยนแนวทางการศึกษาใหม่จากวิชาวิทยาศาสตร์มาเป็นวิชาสังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ และนิติศาสตร์ (Licence et Doctorat ès Sciences Sociales) ทั้งนี้เพื่อจะเป็นประโยชน์ในการที่จะทรงดำรงฐานะพระมหากษัตริย์ต่อไป

         ขออนุญาตนำเสนอพระเมตตาธรรมแห่งคำสอนของพระองค์ ซึ่งเป็นพ่อของแผ่นดินไทย มาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตของพวกเรานะครับ

         ครั้งหนึ่ง ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช กราบบังคมทูลถามพระองค์ว่า ทรงเคยเหนี่อย ทรงท้อบ้างหรือไม่ พระองค์ทรงตอบว่า

         “ความจริงมันก็น่าท้อถอยอยู่หรอก บางเรื่องมันน่าท้อถอย แต่ฉันท้อไม่ได้ เพราะเดิมพันของเรานั้นสูงเหลือเกิน เดิมพันของเราคือบ้านเมือง คือความสุขของคนไทยทั่วประเทศ”

         พ่อสอนเราว่า... ให้เรา “จะต้องรับและจะต้องให้”...

         “...คนเราจะเอาแต่ได้ไม่ได้ คนเราจะต้องรับและจะต้องให้ หมายความว่าต่อไปและเดี๋ยวนี้ด้วย เมื่อรับสิ่งของใดมาก็จะต้องพยายามให้ ในการให้นั้น ให้ได้โดยพยายามที่จะสร้างความสามัคคีในหมู่คณะและในชาติ...”

พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่นักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น (๒๐ เมษายน ๒๕๒๑)

พ่อสอนเราว่า ...ให้เรา “รู้จักตนเอง”...

“...สิ่งสำคัญในการฝ่าฟันอุปสรรคในชีวิตคือ ต้องรู้จักตัวเอง รู้ว่าตัวกำลังทำอะไร รู้ว่าตัวต้องการอะไร...”

         พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร วิทยาลัยการเกษตรแม่โจ้ (๓ มกราคม ๒๕๑๖)

         พ่อสอนให้เราเป็นคนดี ด้วยการ “...ปฏิบัติ”...

         “...การเคารพบูชาผู้ควรบูชา นั้นเป็นมงคลประการสำคัญ และการบูชาอย่างสูงสุดนั้น คือ บูชาด้วยการประพฤติปฏิบัติตนให้ดี...”

         พ่อสอนให้เราเป็น “คนดี” ที่ “เข้มแข็ง”...

         “คนดีทำให้คนอื่นดีได้ หมายความว่า คนดี ทำให้เกิดความดีในสังคม คนอื่นก็ดีไปด้วย ความเลวนั้นจะทำให้คนดีเป็นคนเลวก็ยาก แต่เป็นไปได้ ถ้าคนดีเข้มแข็งในความดี จะทำให้คนเลวทำให้คนดีเป็นคนเลวยาก สำคัญอยู่ที่ความเข้มแข็งของคนดี”

         พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา (๔ ธันวาคม ๒๕๓๙)

         ในวโรกาสวันคล้ายวันเสด็จพระราชสมภพของพระองค์ ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์มีต่อปวงชนชาวไทย และขอน้อมนำคำสั่งสอนของพระองค์ท่านมาปฏิบ้ติเพื่อเป็นประโยชน์ต่อสังคมตลอดไป


มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French

  มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French กรมหลวงพิพิธมนตรี (พระพันวัสสาน้อย) เป็นพระอัครมเหสีน้อยของสมเด็จพ...