Chalermkiat Mina

วันอาทิตย์, พฤศจิกายน 27, 2565

Français : Accord des adjectifs de couleur

 


Accord des adjectifs de couleur

การทำสัมพันธ์ด้านเพศพจน์ของคำคุณศัพท์บอกสี

สวัสดีครับ วันนี้เรามาดูเรื่องคำคุณศัพท์บอกสีในภาษาฝรั่งเศสกัน คำคุณศัพท์บอกสี (les adjectifs de couleur) ในภาษาฝรั่งเศสวางไว้หน้าคำนามหรือหลังคำนามกันหนอ

คำตอบคือหลังคำนาม มีคำใดบ้าง ลองมาดูกัน

          rouge (สีแดง), jaune (สีเหลือง), rose (สีชมพู), noir (สีดำ), brun (สีน้ำตาล), bleu (สีน้ำเงิน), blanc (สีขาว), orange (สีส้ม)

คำคุณศัพท์บอกสีแบ่งเป็นสองประเภท ได้แก่

1.     l’adjectif désignant la couleur simple

2.     l’adjectif désignant la couleur composée

1. l’adjectif désignant la couleur simple เป็นคำคุณศัพท์ที่มีหลักการเหมือนคำคุณศัพท์โดยทั่วไป คือ เป็นคำที่เปลี่ยนรูปได้ (mot variable) หมายความว่า ต้องสัมพันธ์ตามเพศพจน์ของคำนาม ตัวอย่างเช่น

les chaussures noires (ร้องเท้าสีดำ)

les maisons blanches (บ้านสีขาว)

des yeux bleus (ตาสีฟ้า)

une robe bleue (กระโปรงสีน้ำเงิน)

 

หลักการคิดโดยทั่วไป คือ การเปลี่ยนจากเพศชายให้เป็นเพศหญิง เราเติม e เช่น noir เป็น noire, bleu เป็น bleue

ถ้าคำคุณศัพท์เพศชาย ลงท้ายด้วย e อยู่แล้ว เมื่อเป็นเพศหญิงก็ไม่ต้องเติม e เช่น jaune เป็นต้น

แต่คำว่า blanc เราต้องเปลี่ยนเป็น blanche

นอกจากนี้คำว่า brun ออกเสียงว่า เบริง เมื่อเติม e เป็น brune จะออกเสียงว่า บรูน  

 

การทำให้เป็นพหูพจน์

เราเติม s ที่คำคุณศัพท์บอกสี

          un vélo rouge (รถจักรยานสีแดง)

          une voiture rouge (รถยนต์สีแดง)

          des voitures rouges (รถยนต์สีแดง)

          des stylos noirs (ปากกาสีดำ)

          des voitures blanches (รถยนต์สีขาว)

แต่ถ้าไม่มีอะไรแปลกๆ ก็ไม่แปลก แต่

un vélo orange (รถจักรยานสีส้ม)

des rubans orange (ริบบิ้นสีส้ม)

เราจะสังเกตว่า คำคุณศัพท์บอกสี คือ orange (สีส้ม) ไม่ทำสัมพันธ์ด้านเพศพจน์กับคำนาม กลายเป็นคำที่ไม่เปลี่ยนรูป

          ไฉนเป็นเช่นนี้

            เรื่องนี้ ทำให้เราได้รับรู้ว่า ยังมีคำคุณศัพท์บอกสีที่ไม่เปลี่ยนรูปตามเพศและพจน์ของคำนาม

เราถือว่าเป็นพวกคำที่ไม่เปลี่ยนรูป (le mot invariable) คำคุณศัพท์บอกสีพวกนี้คือพวกไหน มีมากไหม มีข้อสังเกตอย่างไร

          คำคุณศัพท์บอกสีที่ไม่เปลี่ยนรูป ได้แก่

๑. คำคุณศัพท์ประสม (l’adjectif désignant la couleur composée) หรือเรียกง่ายๆ ว่า  (les adjectifs composés) ซึ่งจะไม่เปลี่ยนรูป คือ ไม่ทำสัมพันธ์ด้านเพศพจน์ตามคำนาม

ตัวอย่างเช่น คำว่า bleu foncé (สีน้ำเงินเข้ม), bleu roi (สีน้ำเงินสด), bleu marine, bleu horizon, bleu lavande, bleu ardoise ตัวอย่างเช่น  

une cravate bleu foncé (เน็คไทสีน้ำเงินเข้ม),

des uniformes bleu roi (เครื่องแบบสีน้ำเงินสด),

          des manteaux bleu-vert (เสื้อคลุมสีน้ำเงินแกมเขียว)
         
นอกจากนี้ยังมีคำคุณศัพท์บอกสีที่นำมาจากคำนาม หรือพูดง่ายๆ ว่า นำคำนามมาใช้เป็นคำคุณศัพท์บอกสี ซึ่งจะไม่ทำสัมพันธ์ด้านเพศพจน์กับคำนาม  

          ตัวอย่างเช่น สีส้มเป็นสีที่นำมาจากส้ม จึงไม่เปลี่ยนรูป

          des pantalons orange (กางเกงขายาวสีส้ม)

          des rubans orange (ริบบิ้นสีส้ม) (มาจาก de la coulour de l’orange)

des robes marron (กระโปรงสีผลเกาลัด) (มาจาก de la couleur du marron)

          ยกเว้น ยังมีคำคุณศัพท์บอกสีที่นำมาจากคำนาม และเป็นที่ยอมรับว่าเป็นคุณศัพท์บอกสีแล้ว

          ดังนั้นคำเหล่านี้ถือเป็นคำที่เปลี่ยนแปลงรูปได้ (les mots variables) ต้องทำสัมพันธ์ด้านเพศและพจน์ของคำนาม

          ส่วนมากเป็นคำคุณศัพท์ที่เราไม่ค่อยรู้จักกัน มีที่รู้จักก็คือ rose (สีชมพู คำนามคือดอกกุหลาบ)

          คำนามเหล่านี้ที่แบ่งภาคเป็นคุณศัพท์บอกสีและทำสัมพันธ์กับเพศพจน์ของคำนาม ได้แก่

          rose (สีชมพู)

écarlate (สีแดงเข้ม)

fauve (สีน้ำตาลเข้มหรือสีเหลืองแกมแดง)

incarnat (สีกุหลาบ, สีชมพู)

mauve (สีม่วงอ่อน)

pourpre (สีม่วง, สีแดงเข้ม)

roux (สีเหลืองแกมแดง, สีแดงอย่างสนิม)

ตัวอย่างเช่น

des cheveux roux (ผมสีแดงแบบสีสนิม)

la lune rousse (พระจันทร์สีแดงเข้ม พระจันทร์เดือนเมษายน)

des robes mauves (กระโปรงสีม่วงอ่อน)

des chaussures roses (รองเท้าสีชมพู)

avoir les lèvres incarnates (มีริมฝีปากสีชมพูเรื่อ)

          ตัวอย่างคำว่า mauve เป็นคำนามเพศหญิง หมายถึง พืชที่มีดอกสีชมพูหรือสีม่วงอ่อน เป็นต้น   
         
มีคำถามว่าทำไม les adjectifs composés จึงไม่เปลี่ยนรูป หนังสือ Le bon usage ของ Maurice Grevisse หน้าที่ 413 เขาบอกว่า คำคุณศัพท์บอกสีที่เป็นคำคุณศัพท์ผสมนั้น เกิดจากคำคุณศัพท์บอกสีคำแรก ขยายด้วยคำคุณศัพท์อีกคำหนึ่ง หรือตามด้วยคำนามอีกคำหนึ่ง ให้ถือว่าทั้งสองคำไม่เปลี่ยนรูป (invariable) ทั้งนี้เพราะว่า ให้ถือว่าคำคุณศัพท์คำแรกเป็นคำนาม (Le premier adjectif est pris substantivement.) และมีการลบคำว่า d’un ออกไป (l’ellipse de « d’un ») ตัวอย่างเช่น

          des yeux bleu clair (= d’un bleu clair)

          des gants jaune paille (= d’un jaune paille)  

          des robes bleu de ciel (= d’un bleu de ciel)   

          des tissus vert pomme (= d’un vert pomme) 

          des tenus bleu horizon (=d’un bleu horizon)

 

เป็นอย่างไรครับ คุณศัพท์บอกสี มีเสน่ห์มากไหม De quelle couleur est votre maison ? (บ้านของคุณสีอะไร)

**************


มินามีเรื่องเล่า ตำนานเรื่องพญานาคกับทุ่งกุลาร้องไห้ Thai-French

 

มินามีเรื่องเล่า ตำนานเรื่องพญานาคกับทุ่งกุลาร้องไห้ Thai-French

สวัสดีครับ วันนี้ผมมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับชื่อทุ่งกุลาร้องไห้นะครับ

เรื่องมีอยู่ว่า มีชนเผ่ากุลา ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยมาจากเมืองเมาะตะมะ ประเทศมอญ ชนกลุ่มนี้มีอาชีพค้าขายระหว่างเมือง

ชาวกุลาได้เดินทางผ่านทุ่งแห่งนี้ ใช้เวลาเดินทางกลายวัน ไม่พบผู้คน ไม่พบหมู่บ้าน ไม่พบแหล่งน้ำ ไม่มีต้นไม้ให้ร่มเงา มีแต่หญ้าขึ้นสูงเต็มไปหมด

กลางวันมีแดดร้อนมาก พื้นดินก็มีแต่ดินปนทราย พวกเขาทั้งหิวและเหนื่อย ร่างกายขาดน้ำ จึงนอนร้องไห้ จนมีชนเผ่าพื้นเมืองผ่านมาพบ จึงได้เข้าช่วยเหลือนำไปพยาบาลในหมู่บ้าน

พวกชาวบ้านเห็นอาการนอนร้องไห้รอความช่วยเหลือของชนเผ่ากุลา จึงเรียกบริเวณแห่งนี้ว่า ทุ่งกุลาร้องไห้

          ในจังหวัดร้อยเอ็ดมีนิทานเรื่องความเป็นมาของทุ่งกุลาร้องไห้ที่เล่าสู่กันฟังว่า เดิมทีทุ่งกุลาเคยเป็นทะเลสาบและพระยานาคทำให้น้ำหายไป เรามาฟังเนื้อเรื่องกันครับ

ในกาลครั้งหนึ่งเจ้าเมืองริมทะเลสาบองค์หนึ่งมีพระธิดาสององค์ ทรงรักพระธิดาทั้งสองมาก

แต่พระธิดาทั้งสองพระองค์ต่างหลงรักชายหนุ่มคนเดียวกัน ชายหนุ่มคนนี้ชื่อทุกขตะ

ทุกขตะมีฐานะยากจน อาศัยอยู่ที่บ้านซึ่งตั้งอยู่ริมทะเลสาบ แต่เขาเป็นคนมีหน้าตาดี

พระธิดาทั้งสองกลัวว่าพระบิดาจะไม่ทรงยินยอมในเรื่องนี้ จึงได้ขอร้องให้ทุกขตะช่วยพาหนีโดยนั่งเรือออกสู่ท้องทะเล 

ต่อมาพระราชบิดาทรงทราบเรื่อง จึงให้ทหารออกเรือเที่ยวตามหาทั้งสามคน

ทหารกลับมาทูลว่าไม่พบคนทั้งสาม

พระราชาเป็นเพื่อนรักกับพญานาค จึงขอร้องให้พญานาคช่วยค้นหาพระธิดาทั้งสอง พญานาคได้สูบเอาน้ำในทะเลสาบออกจนแห้งขอดเพื่อจะได้ค้นหาพระธิดากับชายหนุ่ม

แต่เมื่อสูบน้ำออกหมดแล้วก็ค้นหาไม่พบ ไม่ทราบว่าคนทั้งสามไปอยู่ที่ใด ทะเลสาบจึงแห้งขอดตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทำให้ทุ่งกุลาแห้ง ไม่มีน้ำ บรรดาปู ปลาในทะเลสาบต่างตกเป็นอาหารของนกอินทรีย์ จนมีขี้นกอินทรีย์ตกค้างให้เราได้พบเห็นมาจนทุกวันนี้

          สรุปคือ ยังตามหาคนทั้งสามไม่เจอ มีแต่ทุ่งกุลาแห้งแล้ง

*******

Histoires de MINA : Le roi Naga et le vaste champ Kula Ronghai

Kula Ronghai est le nom d’un vaste champ couvrant les terrrains de 5 provinces : Roi-Et, Kalasin, Mahasarakham, Surin et Buriram. La légende expliquant l’origine du nom de Thung Kula Ronghai mentionne une tribu de Kula, ethnie minoritaire habitant dans la ville de Mortama, ville célèbre du royaume de Mon.

Les membres de cette tribu erraient dans les villes pour faire du commerce. Une fois, ils traversèrent un vaste champ. Il leur fallut des jours pour sortir de ce champ. Le temps passait et ils ne rencontrèrent personne, et ne trouvèrent aucune source pour se désaltérer. Ils n’avaient aucun arbre sous lequel s’abriter. Il n’y avait que de hautes herbes.  Le terrain était sablonneux. Le soleil brillait horriblement sur la terre. Il faisait tellement chaud que leurs corps eurent besoin d’eau. Ayant faim et étant épuisés, ils se couchèrent par terre et pleurèrent. Heureusement, un groupe d’indigène vint à leur rencontre, les emmena au village pour les nourrir et les laisser se reposer.

Comme les indigènes reconnurent la scène des Kula qui pleurent, ils nommèrent le champ à partir de ce moment-là « Tung Kula Ronghai », ce qui signifie « Le champ des Kulas qui pleurent. »

          Une légende de Tung Kula Ronghai racontée par des habitants de la province de Roi-Et explique qu’autrefois Tung Kula était un lac et que la disparition d’eau dans le champ fut causée par le Naga. L’histoire est la suivante :

Il était une fois le roi d’une ville située près d’un lac. Il eut deux belles filles. Les deux princesses étaient trop aimées par leur père. Malheureusement, les deux princesses tombèrent amoureuses du même homme qui s’appelait « Tukkata ». C’était un homme pauvre qui vivait tout seul près du lac mais il était beau.

Craignant que le roi ne soit pas d’accord avec leur amour, les deux princesses demandèrent à Tukkata de les emmener vivre ailleurs. Ils prirent un bateau pour aller jusqu’à la mer. Ayant su que ses deux filles étaient parties avec un homme sans lui en demander l’autorisation, le roi fut fâché. Il ordonna aux soldats de partir en bateau pour les chercher.

Les soldats revinrent et l’informèrent qu’ils ne les avaient pas trouvées.

Le roi était ami intime du roi Naga, serpent mythique. Il demanda à son ami Naga de l’aider à trouver ses filles.

Naga but l’eau du lac jusqu’à ce qu’il n’en reste plus une seule goutte. Mais il ne trouva pas les fugitifs.

C’est pourquoi à partir de ce moment-là le lac devint sec. Les poissons et les crabes habitant dans le lac firent le repas des aigles. C’est la raison pour laquelle il y a toujours maintenant des excréments d’aigles dans le champ Tung Kula Ronghai.  

          **************************

วันศุกร์, พฤศจิกายน 25, 2565

มินามีเรื่องเล่า ตำนานเขาสมอคอน ลพบุรี

 มินามีเรื่องเล่า ตำนานเขาสมอคอน ลพบุรี

          เขาสมอคอนตั้งอยู่ในเขตท้องที่อำเภอท่าวุ้ง ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองลพบุรี

เขาสมอคอนเป็นภูเขาเตี้ยๆ มีหลายลูก ไม่ติดกันเป็นเทือกเดียว และตั้งอยู่กลางทุ่งอันเป็นที่ราบลุ่ม

ในฤดูน้ำหลากจะกลายเป็นเกาะกลางน้ำ การเดินทางไปมาสะดวกกว่าฤดูแล้งเพราะมีเรือไปถึงเชิงเขา

ชาวลพบุรีชอบไปพักผ่อนในวันหยุด เพราะที่เขาสมอคอนนั้นมีถ้ำหลายถ้ำ เช่น ถ้ำช้างเผือก ถ้ำตะโก ถ้ำเขาสมอคอน มีวัดสองสามวัด

          บริเวณเขาสมอคอนเป็นพื้นที่ที่มีลิงป่าอาศัยอยู่มากมาย

 ตำนานเรื่องเขาสมอคอน

          เนื่องจากเขาสมอคอนมีหลายลูก แต่ไปอยู่กลางที่ราบลุ่ม จึงมีตำนานที่เล่าต่อๆ กันมาซึ่งมีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับรามเกียรติ์ แต่เล่าแตกต่างกันเป็นสองเรื่องครับ

          ตำนานแรกเล่าว่า ครั้งหนึ่งพระรามทรงกริ้วทศกัณฐ์มาก พระองค์ทรงขว้างจักรจากทะเลชุบศรหวังจะให้ทศกัณฐ์แหลกราน แต่เผอิญจักรของพระรามได้เฉี่ยวยอดเขาสูงลูกหนึ่ง เศษหินที่ถูกจักรหมุนไปกระทบได้กระเด็นไปตกหล่นเป็นหมู่เขาสมอคอน ส่วนยอดเขาที่ถูกเฉี่ยวแหว่งไปนั้นชาวเมืองเรียกว่า “เขาช่องลพ”

ปัจจุบันเขาช่องลพอยู่ในตำบลโคกกระเทียม อำเภอเมืองจังหวัดลพบุรี

ส่วนตำนานอีกเรื่องหนึ่งกล่าวว่า เมื่อตอนที่พระลักษณ์ต้องออกโมกขศักดิ์ของกุมภกรรณ ถ้าไม่มียามารักษาก่อนพระอาทิตย์ขึ้น พระลักษณ์จะทิวงคต

          หนุมานซึ่งเป็นทหารเอกของพระรามจึงได้ขันอาสาออกไปหายาวิเศษที่มีชื่อว่า “ต้นสังกรณีตรีชวา” ที่เขาสรรพยา (เขานี้ปัจจุบันอยู่ที่จังหวัดชัยนาท) เพื่อนำยามาฝนทาที่หอกที่ปักอยู่ หอกจึงจะหลุดออกมา

หนุมานไปหาต้นสังกรณีดีชวาไม่พบเพราะเป็นเวลามืด เกรงว่าจะรุ่งสางเสียก่อน

หนุมานทำอย่างไรดี

          ว่าแล้วหนุมานจึงได้คอนเอาภูเขามาทั้งลูก

          เผอิญหนุมานคอนภูเขาผ่านมาทางเมืองลพบุรี ซึ่งไฟกำลังลุกไหม้ตั้งแต่ครั้งที่หนุมานเอาหางกวาดเมือง ขณะที่ลอยอยู่เหนือเมืองลพบุรี แสงสว่างจากไฟทำทำให้หนุมานมองเห็นต้นสังกรณีตรีชวาที่อยู่บนเขาซึ่งหนุมานคอนมา

          หนุมานจึงถอนเอาแต่ต้นสังกรณีตรีชวาไปและทิ้งภูเขาที่คอนมาลงกลางทุ่งทะเลเพลิง

ภูเขาที่ทิ้งลงมาได้ถูกไฟเผากลายเป็นหินสีขาว และมีชื่อเรียกว่า “เขาสมอคอน” ผ่านมาเมืองลพบุรี แวะเที่ยวเขาสมอคอนกันนะครับ

วันพฤหัสบดี, พฤศจิกายน 24, 2565

มินามีเรื่องเล่า เขาตะเภาล่มและเขาเจ้ากงจีน ที่เมืองลพบุรี

 

มินามีเรื่องเล่า เขาตะเภาล่มและเขาเจ้ากงจีน ที่เมืองลพบุรี

สวัสดีครับ เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๕ ผมได้มีโอกาสมาเมืองลพบุรี ขออนุญาตเล่าตำนานสถานที่ต่างๆ พอได้ทราบกันนะครับ

สถานที่ที่เกี่ยวข้องกับตำนานมีดังนี้ครับ คลองบางขันหมาก เขาจีนแล เขาจีนโจน เขาตะเภา เขาพับผ้า เขาแก้ว เขาขนมบูด เขาตะเข้ เขาวงพระจันทร์ และเขาตระกร้า

เรื่องราวน่าสนใจมาก ติดตามดูนะครับ

มีตำนานที่เกี่ยวข้องระหว่างชาวเมืองลพบุรีกับพ่อค้าชาวจีนที่เดินทางเข้ามาติดต่อค้าขาย และตำนานเหล่านี้เกี่ยวข้องกับชื่อตำบล หมู่บ้าน และชื่อของภูเขาในเขตจังหวัดลพบุรี โดยเฉพาะตำนานเรื่องเขาตะเภาล่ม และตำนานเรื่องเขาเจ้ากงจีน ซึ่งมีเรื่องราวดังนี้

นานมาแล้วเมืองลพบุรีในขณะนั้นอยู่ใกล้ทะเล มีลักษณะเป็นเมืองท่าค้าขาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งค้าขายกับเมืองจีน มีเรือสำเภาซึ่งชาวพื้นเมืองเรียกว่า เรือตะเภา นำสินค้ามาค้าขายแลกเปลี่ยนกับสินค้าของชาวพื้นเมืองอยู่เป็นประจำ

มีพ่อค้ามหาเศรษฐีจีนคนหนึ่งซึ่งชาวเมืองลพบุรีเรียกกันว่า เจ้า มีชื่อว่า กงจีน รวมเรียกชื่อว่า เจ้ากงจีน” บางตำนานเรียกว่า พระเจ้ากรุงจีน

เจ้ากงจีนเป็นคนมีเมียหลายคนจนนับไม่ถ้วน เมื่อไปค้าขายเมืองใด ได้พบสาวงามถูกใจก็มักจะสู่ขอมาเป็นเมียของตน โดยทำพิธีแต่งงานมีขบวนขันหมากอย่างใหญ่โต เมื่อเสร็จพิธีเจ้ากงจีนก็จะนำภรรยากลับไปไว้เมืองจีนทุกราย

เมื่อเศรษฐีผู้นี้ได้นำสินค้ามาขายยังเมืองลพบุรีก็ได้พบสาวงามคนหนึ่ง นางมีชื่อว่า นางนงประจันทร์” จึงเกิดรักใคร่ ได้ทำการสู่ขอและกำหนดวันแต่งงานไว้ โดยจะนำขันหมากและสินสอดทองหมั้นมาจากเมืองจีน พ่อของนางนงประจันทร์ตอบตกลงเพราะเห็นแก่เงิน

แต่นางนงประจันทร์นั้นไม่ยินยอมพร้อมใจเพราะมีคนรักอยู่แล้ว คนรักของนางนั้นเป็นชายหนุ่มผู้เรืองวิทยาคมที่สามารถแปลงกายเป็นอะไรก็ได้

เมื่อขบวนเรือขันหมากจากเมืองจีนแล่นเข้ามาใกล้เมืองลพบุรี ได้มารวมกลุ่มและแปรขบวนเพื่อแล่นเข้าสู่เมืองลพบุรี ต่อมาสถานที่นั้นกลายเป็นคลอง ปัจจุบันเรียกว่า คลองบางขันหมาก

ขณะที่เรือใกล้จะถึงฝั่ง ชายหนุ่มคนรักของนางนงประจันทร์ ได้แปลงกายเป็นจระเข้ตัวใหญ่มหึมาและคอยหาโอกาสที่จะทำลายเรือขันหมากให้ล่มจมทะเล

จระเข้ได้โผล่ขึ้นพ้นน้ำ พวกลูกเรือเห็นเข้าก็ตกใจจึงเตรียมตัวหนี เผอิญมีลมพัดมาอย่างแรง ขบวนเรือจึงได้ลมแล่นไปทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองลพบุรี จระเข้เกิดความโกรธเป็นอย่างยิ่งจึงไล่กวดขบวนเรือไปอย่างรวดเร็ว เมื่อกวดทันก็ใช้หางฟาดน้ำทำให้เรือบางลำเอียงทำท่าจะล่ม

บรรดาลูกเรือต่างตกใจกลัว แต่เห็นว่ามีพื้นดินตื้นๆ จึงกระโดดลงไปบนพื้นดินเพื่อหนีเอาตัวรอด พื้นที่ที่ลูกเรือกระโดดลงไปนั้นในปัจจุบันเป็นภูเขาลูกเตี้ยๆ มีชื่อว่า เขาจีนโจน”

เมื่อพวกลูกเรือกระโดดลงไปแล้ว ก็พยายามจะตะเกียกตะกายขึ้นไปสู่พื้นดินที่สูงกว่า แล้วชะเง้อมองข้าวของขันหมากที่หลุดลอยออกจากเรือสำเภาที่ล่มลงแล้ว สถานที่นี้จึงเรียกว่า เขาจีนแล” มีลักษณะคล้ายคนกำลังยืนจังก้า ปัจจุบันนี้ทั้งเขาจีนโจนและเขาจีนแลอยู่ในเขตห้วยซับเหล็ก อำเภอเมืองลพบุรี

ส่วนเรือสำเภาที่ล่มนี้ต่อมากลายเป็นภูเขาซึ่งมีลักษณะคล้ายเรือสำเภาล่มตะแคงอยู่ ชาวบ้านจึงเรียกว่า เขาตะเภา” ปัจจุบันอยู่ในท้องที่ตำบลพะเนียด อำเภอโคกสำโรง

เมื่อเรือสำเภาล่มลงแล้ว บรรดาสิ่งของเครื่องขันหมากต่างๆ ก็จมลงบ้าง ลอยตามน้ำไปบ้าง สำหรับผ้าแพอย่างดีเป็นพับๆ ที่นำมาเป็นของกำนัลได้ลอยไปตามแรงคลื่นลม และไปติดรวมกันอยู่ที่แห่งหนึ่ง ต่อมากลายเป็นภูเขามีลักษณะเป็นชั้นๆ คล้ายผ้าแพรพับไว้ ชาวบ้านจึงเรียกว่า เขาพับผ้า” หรือ เขาหนีบ” อยู่ทางตะวันออกของเมืองลพบุรีราว ๘ กิโลเมตร

ส่วนแก้วแหวนเงินทองที่บรรทุกมาได้เป็นจมลงที่บริเวณเขาแก้วซึ่งภูเขาลูกนี้มีลักษณะเป็นหย่อมๆ ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวคล้ายกับมีคนนำหินมากองซ้อนกันไว้ เขาแก้วนี้อยู่ริมทางเข้านิคมลพบุรีและมีวัดตั้งอยู่บนเขาลูกนี้ คือ วัดแก้วหรือ วัดคีรีรัตนาราม

สำหรับตะกร้าที่ใส่ของต่างๆ มาในเรือก็ลอยไปจมลง ต่อมากลายเป็นภูเขาอีกลูกหนึ่งชื่อ เขาตะกร้า” มีลักษณะเหมือนตะกร้าคว่ำ เขาตะกร้าอยู่ติดกับบริเวณอ่างเก็บน้ำซับเหล็ก

บรรดาขนมต่างๆ ที่ลอยไปติดอยู่ใกล้ๆ กัน ซึ่งต่อมากลายเป็นภูเขาที่มีลักษณะเหมือนขนมเข่งถูกน้ำแล้วขึ้นรา ชาวบ้านจึงเรียกว่า เขาขนมบูด” และที่น่าแปลกเสียด้วยที่ว่าหินที่ภูเขาขนมบูดลูกนี้ เมื่อหยิบขึ้นมาดมดูยังมีกลิ่นคล้ายๆ ขนมที่บูดแล้ว

ส่วนนางนงประจันทร์นั้นยืนดูขบวนขันหมากถล่มอยู่บนฝั่ง ก็เกิดความดีใจที่ไม่ต้องตกเป็นเมียของเศรษฐีจีน จึงกระโดดโลดเต้นอย่างลืมตัวจนพลาดตกลงไปในทะเล บังเอิญนางว่ายน้ำไม่เป็น จึงจมน้ำตาย บริเวณที่นางนงประจันทร์จมน้ำตายนี้ต่อมากลายเป็นภูเขา ชาวบ้านเรียกว่า เขานงประจันทร์” หรือ เขานางพระจันทร์”ภายหลังมีชื่อเรียกที่เพื้ยนเสียงไปเป็น เขาวงพระจันทร์”

สำหรับจระเข้หนุ่มเมื่อเห็นขบวนขันหมากถล่มหมดแล้ว ก็ว่ายน้ำมายังฝั่ง แต่ได้เห็นคนรักตกน้ำตายจึงเสียใจมาก ประกอบกับเหน็ดเหนื่อยต่อการอาละวาดไล่ล่าขบวนขันหมาก ถึงกับเป็นลมและสิ้นใจตาย กลายเป็นหินเฝ้าสำเภาอยู่ ชาวบ้านจึงเรียกว่า เขาตะเข้”หรือ เขาจระเข้” ซึ่งอยู่ห่างจากเขาตะเภาไปทางทิศเหนือไม่มากนัก

เป็นอย่างไรครับ ตำนานสถานที่ต่างๆ ในเมืองลพบุรีน่าสนใจไหมครับ

 

วันพุธ, พฤศจิกายน 23, 2565

มินามีเรื่องเล่า ประวัติศาลเจ้าเล่งจูเกียง (ศาลเจ้าแม่ลิ้มก่อเหนี่ยว) Thai-English-French

 



มินามีเรื่องเล่า ประวัติศาลเจ้าเล่งจูเกียง (ศาลเจ้าแม่ลิ้มก่อเหนี่ยว) Thai-English-French

          ปัตตานีเริ่มติดต่อกับจีนในสมัยราชวงศ์หมิงยุคพระเจ้าซ่งไท่จง ประมาณ พ.ศ. ๑๘๙๒ 

          ต่อมาได้มีชุมชนชาวจีนในจังหวัดปัตตานีขึ้นตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา มีการสร้างศาลเจ้าบนถนนอาเนาะรู โดยมีเทพประจำศาลองค์แรกคือแปะกง 

          ปีพ.ศ. ๒๔๐๗ หลวงสำเร็จกิจกรจางวาง (เตียงซิ่น หรือ ปุ่ย แซ่ตัน) ต้นตระกูลคณานุรักษ์ได้อัญเชิญพระหมอ หรือโจ๊วชูกง มาเป็นเทพประธานประจำศาลเจ้า จึงเรียกชื่อว่า “ศาลเจ้าชูก๋ง” หรือ “ศาลเจ้าโจ๊วชูกง” 

          ปี พ.ศ. ๒๔๒๒ พระจีนคณานุรักษ์ (ตันจูล่าย) บุตรชายของหลวงสำเร็จกิจกรจางวาง ได้ทำการบูรณะศาลเจ้า ท่านมีความศรัทธาต่อเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ซึ่งเดิมประทับอยู่บริเวณศาลเจ้าใกล้สุสานฝังศพเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว บ้านกรือเซะ ท่านจึงอัญเชิญรูปแกะสลักเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวมาประทับที่ศาลเจ้าโจ๊วซูกง และเรียกชื่อศาลเจ้าว่าศาลเจ้าเล่งจูเกียงแปลว่า “ศาลเจ้าแห่งความเมตตาและศักดิ์สิทธิ์” แต่ชาวบ้านเรียกติดปากว่าศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว

เรามารู้จักสุสานเจ้าแม่ลิ้มก่อเหนี่ยว กันนะครับ 

          สุสานเจ้าแม่ลิ้มก่อเหนี่ยว ตั้งอยู่ใกล้มัสยิดกรือเซะ มีตำนานเล่าว่า

          ในสมัยของพระเจ้าชื่อจงฮ่องเต้ แห่งราชวงศ์หมิง ประมาณปี พ.ศ. ๒๐๖๕-๒๑๐๙ ครอบครัวตระกูลลิ้มมีบุตรชายชื่อลิ้มโต๊ะเคี่ยม และมีบุตรสาวชื่อ ลิ้มกอเหนี่ยว

          ต่อมาบิดาถึงแก่กรรม ลิ้มโต๊ะเคี่ยมได้รับราชการอยู่ที่มณฑลฮอกเกี้ยน พวกขุนนางต่างอิจฉาชายหนุ่มผู้นี้ ลิ้มโต๊ะเคี่ยมถูกขุนนางกล่าวหาว่าคบกับโจรสลัดญี่ปุ่นเข้าปล้นตีเมืองตามชายฝั่ง

          ก่อนถูกจับกุมตัว ลิ้มโต๊ะเคี่ยมพร้อมกลุ่มกับพรรคพวกหนีออกจากประเทศจีน ไปพำนักอยู่ที่เกาะไต้หวัน และลงเรือเดินทางต่อมาขึ้นท่าเรือบ้านกรือเซะ ปัตตานี

          ลิ้มโต๊ะเคี่ยมทำงานให้เจ้าเมืองปัตตานี เขาเป็นผู้หล่อปืนใหญ่ ๓ กระบอกให้เจ้าเมืองปัตตานี ได้แก่ ศรีนครี มหาลาลอ และนางพระยาตานี 

          เจ้าเมืองปัตตานีพอพระทัยมาก และได้มอบธิดาให้แต่งงานกับลิ้มโต๊ะเคี่ยม เขายอมเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม

          ทางด้านเมืองจีน ลิ้มก่อเหนี่ยวต้องดูแลมารดาเพียงลำพัง หลายปีต่อมามารดาไม่เห็นบุตรชายกลับมา และไม่ส่งข่าว มีความคิดถึงและเป็นห่วงลูกชายของตนมาก ลิ้มกอเหนี่ยวสงสารมารดา จึงออกติดตามพี่ชาย

          ลิ้มก่อเหนี่ยวออกเดินทางโดยเรือสำเภา ตามหาพี่ชายมาจนถึงปัตตานีและได้พบกับพี่ชายของนาง ลิ้มกอเหนี่ยวชักชวนให้พี่ชายกลับไปพบมารดาที่ประเทศจีน ชักชวนหลายๆ ครั้ง แต่ลิ้มโต๊ะเคี่ยมปฏิเสธน้องสาว เนื่องด้วยขณะนั้นเขากำลังเป็นผู้อำนวยการก่อสร้างมัสยิดกรือเซะ 

          ลิ้มกอเหนี่ยวเศร้าใจมาก จึงได้ผูกคอตายที่ใต้ต้นมะม่วงหิมพานต์ ลิ้มโต๊ะเคี่ยมเสียใจมากและสร้างฮวงซุ้ยฝังศพน้องสาวไว้ที่ใต้ต้นมะม่วงหิมพานต์

          ต่อมาชาวบ้านให้ความเคารพสักการะฮวงซุ้ยนี้ จึงได้นำเอาต้นมะม่วงหิมพานต์มาแกะสลักเป็นองค์เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวตั้งเป็นศาลไว้สักการะเรื่อยมา

*******

Mina’s Stories

Leng Chu Kiang, Shrine of Mercy and Holy: Chao Mae Lim Ko Niao Shrine

          The relation between Pattani and China was established in 1349, in the reign of King Song Thai Chong of Ming Dynasty.        

          Later on, in Ayutthaya period, the first Chinese community was settled down in the city and the sacred shrine was constructed on Anoru Road. The first deity statue was placed in the shrine was Pae Kong.

In 1864, Luang Samret Kitchakon Jangwang (Tiasin ou Pui Saetun) who was the forefather of “Khananurak” family name had Phra Mo statue (Cho Chu Kong) placed in the shrine. Hence, the shrine was called “Chu Kong” or “Cho Chu Kong Shrine.”

          In 1879, Phra Chin Khananurak (Tun Chu Lai), who was Luang Saret Kitjakon Jangwang’s son, had the shrine restored. He respected and had faith in Chao Mae Lim Ko Niao. So, he had the carved statue of Chao Mae Lim Ko Niao moved from the tomb located near Krue Sae Mosque and had the statue placed in Cho Chu Kong Shrine. The shine was later on called as “Leng Chu Kiang Shrine” which meant “the Shrine of Mercy and Holy”. But the locals called this sacred place as “Chao Mae Lim Ko Niao Shrine”.

 The tomb of Chao Mae Lim Ko Niao

          The tomb of Chao Mae Lim Ko Niao was located near Krue Sae Mosque. According to the legend, a Chinese family was composed of a father, a mother, a son and a daughter. In the reign of King Chue Chong of Ming Dynasty, around 1522 -1566.

          The father passed away. The son, Lim To Kiam, took charge of the family. He was an official in Hok Kian County. Later on, other noblemen were jealous of him. He was charged of helping Japanese pirates to plunder the cities in coastal areas. Before being arrested, Lim To Kiam and his friends escaped from China to Taiwan Island. Then, they continued their journey on a big ship and arrived at a harbour of Krue Sae Village in Pattani.

          Lim To Kiam worked for the Pattani King. He made three canons: Sinakari, Mahalalo and Nang Phraya Tani. Pattani King was fond of him and married his daughter to him. Later on, Lim To Kiam converted to Isam.

          As for Lim Ko Nieo, she had to take care of her mother, who always thought of her son. She wanted to see her son. Lim Ko Nieo decided to travel on a big ship to search for her brother. She arrived in Pattani and met her brother. She asked her brother to go back with her. Lim To Kiam who was always busy on constructing Krue Sae Mosque denied to go back to China.

          Lim Ko Niao was very sad, so she committed suicide by hanging herself on a cashew tree. So her brother brought her to be buried at this cemetery. The locals later carved the cashew tree from which Lim Ko Nieo had hanged herself into a sculpture and constructed a shrine. The locals have paid respect to the shrine since then.

*****

Histoires de Mina

Le sanctuaire de Leng Chu Kiang, sanctuaire sacré et bienfaisant :

Le sanctuaire Chao Mae Lim Ko Niao.

          La relation entre Pattani et la Chine fut établie en 1349, sous le règne du roi Song Thai Chong de la dynastie Ming.

          Plus tard, à l'époque d'Ayutthaya, la première communauté chinoise s’installa dans la ville et le sanctuaire sacré fut construit sur la rue Anoru. La première statue de divinité fut placée dans le sanctuaire était Pae Kong.

          En 1864, Luang Samret Kitchakon Jangwang (Tiasin ou Pui Saetun) qui était l'ancêtre du nom de famille « Khananurak » fit placer la statue de Phra Mo (Cho Chu Kong) dans le sanctuaire. Par conséquent, le sanctuaire s'appelait « Chu Kong » ou « Cho Chu Kong ».

En 1879, Phra Chin Khananurak (Tun Chu Lai), le fils de Luang Saret Kitjakon Jangwang, fit restaurer le sanctuaire. Il respectait et avait la foi en Chao Mae Lim Ko Niao. Ainsi, il fit déplacer la statue sculptée de Chao Mae Lim Ko Niao de la tombe située près de la mosquée Krue Sae et la fit installer dans le sanctuaire Cho Chu Kong. Plus tard, ce sanctuaire fut appelé « Sanctuaire Leng Chu Kiang », ce qui signifie « Sanctuaire sacré et bienfaisant ». Néanmoins les habitants ont l’habitude pour le nom du sanctuaire Chao Mae Lim Ko Niao ».

La tombe de Chao Mae Lim Ko Niao

La tombe de Chao Mae Lim Ko Niao était située près de la mosquée Krue Sae. Selon la légende, une famille chinoise était composée d'un père, d'une mère, d'un fils et d'une fille.

L’histoire avait lieu entre 1522-1566 sous le règne du roi Chue Chong de la dynastie Ming. Puis, le père décède. Le fils, Lim To Kiam, s’occupa de la famille. Il était un fonctionnaire du comté de Hok Kian. Plus tard, d'autres nobles étaient jaloux de lui. Il fut accusé d'avoir aidé des pirates japonais à piller les villes littorales. Avant d'être arrêtés, Lim To Kiam et ses amis fuirent la Chine vers l'île de Taiwan. Ensuite, ils continuèrent leur voyage sur un gros bateau et arrivèrent au port du village de Krue Sae à Pattani.

          Lim To Kiam travaillait pour le roi de Pattani. Il fit trois canons : Sinakari, Mahalalo et Nang Phraya Tani. Le roi de Pattani l'aima et lui épousa sa fille. Plus tard, Lim To Kiam se convertit en Isam.

Quant à Lim Ko Nieo, elle devait s'occuper de sa mère, qui pensait toujours à son fils. Elle voulait voir son fils. Lim Ko Nieo décida de voyager sur un grand bateau pour chercher son frère.

          Elle arriva à Pattani et rencontra son frère. Elle demanda à son frère de retourner en Chine avec elle. Lim To Kiam, toujours occupé à construire la mosquée Krue Sae, refusa de retourner en Chine. Lim Ko Niao était très triste, alors elle se suicida en se pendant à un arbre de noix de cajou. Son frère donc enterra sa sœur dans ce cimetière. Les habitants avaient beaucoup d’affections envers elle. Ils firent une statue en sculptant l’arbre de noix de cajou sur lequel se pendit Lim Ko Nieo. Ils construisirent un sanctuaire pour abriter la statue.

          Les habitants ont rendu hommage au sanctuaire depuis lors.

********


วันอังคาร, พฤศจิกายน 22, 2565

มินามีเรื่องเล่า องค์พระบิดาแห่งทหารเรือไทย กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ Thai-English-French

 



มินามีเรื่องเล่า องค์พระบิดาแห่งทหารเรือไทย กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ (เสด็จเตี่ย) Thai-English-French

          พลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ หรือที่รู้จักกันในนาม เสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ

พระองค์มีพระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ ทรงเป็นพระโอรสลำดับที่ ๒๘ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ กับพระมารดาคือ เจ้าจอมมารดาโหมด ป.จ. (โหมด บุนนาค) ธิดาของเจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) สมุหพระกลาโหมในรัชกาลที่ ๕

          เสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ ทรงเป็นพระโอรสลำดับที่ ๑ ของเจ้าจอมมารดาโหมด พระองค์ทรงมีพระกนิษฐาและพระอนุชาร่วมพระมารดา ๒ พระองค์

          ลำดับพระโอรสธิดาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ กับเจ้าจอมมารดาโหมด มีดังนี้

          ๑. กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์)

๒. พระองค์เจ้าหญิงอรองค์อรรคยุภา (พระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าอรองค์อรรคยุภา (สิ้นพระชนม์เมื่อทรงพระเยาว์)

๓. พระองค์เจ้าสุริยงค์ ประยูรพันธุ์ (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นไชยาศรีสุริโยภาส)

เสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ ประสูติในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันอาทิตย์ เดือนอ้าย แรม ๓ ค่ำ ปีมะโรง โทศก จ.ศ. ๑๒๔๒ ตรงกับวันที่ ๑๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๒๓

          ต่อมา เมื่อปีมะโรง โทศก จ.ศ. ๑๒๔๒ พ.ศ. ๒๔๔๗ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาเสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ เป็นพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์

พระองค์ได้เสด็จไปทรงศึกษาวิชาทหารเรือในประเทศอังกฤษ เมื่อศึกษาสำเร็จ ได้กลับมารับราชการด้านงานทหารเรือ

ทรงเป็นนายพลเรือตรี ราชองครักษ์ ตำแหน่งรองผู้บัญชาการกรมทหารเรือในปี พ.ศ. ๒๔๔๙ และเป็นเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรืออีกตำแหน่งหนึ่ง

          ทรงจัดการโรงเรียนนายทหารเรือและนายช่างกล ทั้งได้ทรงทำแผนการทัพเรือ และทรงจัดการศึกษาทางยุทธศาสตร์ยุทธวิธีกระบวนรบในกองทัพเรือ

          เสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ ทรงวางรากฐานในงานหลายด้าน เช่น การจัดตั้งหน่วยฝึกพลทหารที่บางพระ การจัดระเบียบบริหารราชการกรมทหารเรือขึ้นใหม่ การจัดทำโครงการสร้างกำลังทางเรือ การปรับปรุงด้านการศึกษาของทหารเรือ ทรงปลูกฝังความรักชาติให้กับนักเรียนนายเรือ และทรงจัดตั้งกองดับเพลิงของทหารเรือ จนกระทั่งวันที่พระองค์ทรงออกจากราชการเมื่อวันที่ ๑๔ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๔ รวมระยะเวลาที่เสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ ทรงรับราชการครั้งแรก ๑๑ ปี

ในสมัยถึงรัชกาลที่ ๖ ประเทศไทยจำเป็นต้องมีส่วนร่วมในสถานการณ์สงครามโลกครั้งที่ ๑ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์มิอาจนิ่งดูดาย พระองค์ทรงกลับเข้ามารับราชการเป็นครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๐ ทรงได้รับการเลื่อนยศเป็นนายพลเรือโท และนายพลเรือเอก ราชองครักษ์

          ครั้นปีวอก โทศก จ.ศ. ๑๒๘๒ พ.ศ. ๒๔๖๓ ทรงดำรงตำแหน่งเสนาธิการทหารเรือ

ในปีเดียวกัน คือ พ.ศ. ๒๔๖๓ พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงสถาปนาพระอิสริยศักดิ์ เฉลิมพระยศเป็นพระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ สิงหนาม

          ต่อมาในปีจอ จัตวาศก จ.ศ. ๑๒๘๔ พ.ศ. ๒๔๖๕ ทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงทหารเรือ และทรงให้การรักษาแพทย์แผนไทยแก่ราษฎรทั่วไป

          เสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๖ เมื่อวันเสาร์ เดือน ๗ ขึ้น ๕ ค่ำ ปีกุน เบญจศก จ.ศ. ๑๒๘๕ ตรงกับวันที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๖ พระชันษา ๔๔ ปี

ได้มีการจัดพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ ณ พระเมรุท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ ๒๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๖ ทรงเป็นต้นราชสกุล อาภากร ณ อยุธยา

ภายหลังสิ้นพระช



นม์ทรงได้รับการขนานนามเป็น “องค์พระบิดาแห่งทหารเรือไทย”

*********  

Mina stories: Krom Luang Chumphon Khet Udom Sak

Admiral Prince Abhakara Kiartivongse, Krom Luang Chumphon Khet Udom Sak (Prince of Chumphon) was born in the Royal Palace on Sunday 19th December 1880 (2423 B.E.), on the 3rd night of waning moon of the first lunar month, in the year of great snake, Thai minor era of 1242). He was the 28th child of King Chulachomklao or King Rama V of Chakri Dynasty. His mother, Mod Bunnag, was the daughter of Chao Phraya Surawongchaiwat (Vorn Bunnag) who was the Defense Minister during the reign of King Rama V.

Prince of Chumphon had one brother and one sister from the same parent, Princess Orn-ong Akrayupa, who passed away since she was a child, and Prince Suriyong Prayoonphan.

          Prince of Chumpon achieved his navy studies from England. He initiated many important foundations such as establishing a recruit training center of soldiers at Bang Phra, setting new administration system and structure of the navy, improving education system of the navy, cultivating patriotism among naval cadets, creating a naval fire brigade.

         Prince of Chumpon temporary left his official duty on the 14th of April 1911 (2454 B.E.) after 11 years in the navy.

          Prince of Chumphon then rejoined the navy again on the 1st of August 1917 (2460 B.E.) because Thailand had to participate in the First World War.

In 1920, King Mongkut Klaochaoyouhua, Rama VI established his rank as His Royal Highness Krom Luang Chumphon Khet Udom Sak.

Prince of Chumphon held the highest position as the Minister of the Navy on the 1st of April 1922 (2465 B.E.)

          Prince of Chumphon passed away on Saturday 19th May 1923 (2466 B.E.)  

******

Histoires de Mina : Krom Luang Chumphon Khet Udom Sak

L'amiral Prince Abhakara Kiartivongse, Krom Luang Chumphon Khet Udom Sak (Prince de Chumphon) est né au Palais Royal le dimanche 19 décembre 1880 (2423 BE), la 3e nuit de lune décroissante du premier mois lunaire, l'année du grand serpent, époque mineure thaïlandaise de 1242). 

Il était le 28e enfant du roi Chulachomklao ou du roi Rama V de la dynastie Chakri. Sa mère, Mod Bunnag, était la fille de Chao Phraya Surawongchaiwat (Vorn Bunnag) qui était ministre de la Défense sous le règne du roi Rama V.

          Le prince de Chumphon avait un frère et une sœur du même parent, la princesse Orn-ong Akrayupa, décédée depuis qu'elle était enfant, et le prince Suriyong Prayoonphan.

          Le prince de Chumpon a fait ses études navales en Angleterre. Il a initié de nombreuses fondations importantes telles que la création d'un centre de formation des recrues de soldats à Bang Phra, la mise en place d'un nouveau système d'administration et d'une nouvelle structure de la marine, l'amélioration du système éducatif de la marine, la culture du patriotisme parmi les cadets de la marine, la création d'une brigade de pompiers navals.

          Le prince de Chumpon a quitté temporairement ses fonctions officielles le 14 avril 1911 (2454 av.J.-C.) après 11 ans dans la marine. 

         Le prince de Chumphon a rejoint alors à nouveau la marine le 1er août 1917 car la Thaïlande devait participer à la Première Guerre mondiale.

         En 1920, le roi Mongkut Klaochaoyouhua, Rama VI a établi son rang en tant que Son Altesse Royale Krom Luang Chumphon Khet Udom Sak. 

         Le prince de Chumphon a occupé la plus haute position de ministre de la Marine le 1er avril 1922. Il est décédé le samedi 19 mai 1923.

*******

 

 


มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French

  มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French กรมหลวงพิพิธมนตรี (พระพันวัสสาน้อย) เป็นพระอัครมเหสีน้อยของสมเด็จพ...