Chalermkiat Mina

วันพฤหัสบดี, พฤศจิกายน 10, 2565

มินามีเรื่องเล่า สาเกตนคร ตอนที่ ๔

 


มินามีเรื่องเล่า สาเกตนคร ตอนที่ ๔

สวัสดีครับ เล่าเรื่องเมืองสาเกตนครหรือเมืองร้อยเอ็ดของเรามาถึงตอนที่ ๔ นะครับ

วันนี้จะกล่าวถึงการปกครองเมืองของลูกหลานพระขัติยวงษา (ท้าวทนต์) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ ๑ นะครับ

ก่อนอื่นต้องขอบอกอีกครั้งว่า การเล่าเรื่องนั้นต้องมีหลักการเน้น ย้ำ ซ้ำ ทวน นะครับ ไม่ใช่อะไรหรอกครับ ผู้เล่าเองต้องใช้หลักการนี้บ่อยๆ มิฉะนั้น จะหลงลืมเสมอ

เรารู้ว่า พระขัติยวงษา (ท้าวทนต์) เป็นเจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ ๑ เมื่อท่านถึงแก่กรรม บุตรชายของท่านคือท้าวสีลัง ได้เป็นพระขัติยวงษา (ท้าวสีลัง) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่สอง

         พระขัติยวงษา (ท้าวสีลัง) มีบุตร ๔ คน ได้แก่ พระพิไสยสุริยวงศ์ อุปฮาดสิงห์ ท้าวจอมและราชวงศ์อินทร์

พระพิไสยสุริยวงศ์ท่านเป็นพี่ชายต่างมารดากับอุปฮาดสิงห์ ท้าวจอมและราชวงศ์อินทร์นะครับ

พระยาขัติยวงษา (ท้าวสีลัง) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ ๒ ถึงแก่กรรมในปี พ.ศ. ๒๓๘๙ ตรงกับสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว

ราชวงศ์อินทร์ (หรือท้าวอินทร์) บุตรของท้าวสีลังได้รับการโปรดเกล้าฯ จากพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวให้เป็นพระขัติยวงษา (ท้าวอินทร์) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ ๓ ต่อจากพระขัติยวงษา (ท้าวสีลัง) ในปี พ.ศ. ๒๓๙๒

ท่านอาจจะมีคำถามว่า พระขัติยวงษา (ท้าวสีลัง) เสียชีวิตในปี พ.ศ. ๒๓๘๙ แต่มีการแต่งตั้งราชวงศ์อินทร์ (ท้าวอินทร์) ให้เป็นเจ้าเมืองในปี พ.ศ. ๒๓๙๒

ท่านอาจจะสงสัยว่าทำไมเป็นท้าวอินทร์ ทำไมไม่เป็นพระพิไสยสุริยวงศ์ พี่ชายคนโตล่ะครับ

เรื่องนี้มีประเด็น

พระพิไสยสุริยวงศ์ หรือที่เรียกว่า เจ้าตาดี หรือเจ้าโพนแพง ท่านไปเป็นเจ้าเมืองโพนพิสัย ท่านมาเสียชีวิตที่เมืองร้อยเอ็ดครับ

เกิดอะไรขึ้น

เมื่อทราบข่าวว่าพระขัติยวงษา (ท้าวสีลัง) ผู้เป็นบิดาถึงแก่กรรม พระพิไสยสุริยวงศ์ ได้เดินทางมาจัดการปลงศพบิดาที่เมืองร้อยเอ็ด

พระพิไสยสุริยวงศ์ พร้อมด้วยอุปฮาดสิงห์ (ท้าวสิงห์) และราชวงศ์อินทร์ (ท้าวอินทร์) ซึ่งทั้งสองท่านเป็นน้องชายต่างมารดาของพระพิไสยสุริยวงศ์ ทั้งสามท่านได้เดินทางไปเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่กรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าให้พระพิไสยสุริยวงศ์กลับไปรักษาราชการเมืองร้อยเอ็ดอยู่ก่อน

พระพิไสยสุริยวงศ์กลับมาที่เมืองร้อยเอ็ดและจัดการเผาศพบิดาเสร็จแล้ว คืนวันหนึ่ง อุปราชสิงห์ ตั้งบ่อนโป นัดให้พระพิไสยสุริยวงศ์ กับพวกนักเลงมาเล่นที่หอนั่งบ้านพระยาขัติยวงศา (ท้าวสีลัง)

ครั้นเวลาดึกมีคนลอบแทงพระพิไสยสุริยวงศ์ถูกที่สีข้างซ้าย ท่านถึงแก่กรรม สอบถามได้ความว่าอุปฮาดสิงห์เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

ครั้นความทราบถึงกรุงเทพฯ จึงมีตราโปรดเกล้าฯ ให้พระรัตนวงษา (ภู) เจ้าเมืองสุวรรณภูมิ ส่งตัวอุปฮาดสิงห์และบรรดาบุตรหลานพระยาขัติยวงษา (ท้าวสีลัง) ลงมากรุงเทพฯ

พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ ให้มีตุลาการชำระความอุปฮาดสิงห์ พิจารณาได้ความว่า อุปฮาดสิงห์ เป็นผู้ใช้จีนจั้นแทงพระพิไสยสุริยวงศ์ อุปฮาดสิงห์ต้องถูกคุมขังและเสียชีวิต

ในช่วงเวลานั้นจึงยังไม่ได้โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเจ้าเมืองร้อยเอ็ด

ในปี พ.ศ. ๒๓๙๒ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงใด้ทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ราชวงศ์อินทร์ เป็นพระขัติยวงษา (ท้าวอินทร์) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ ๓ ต่อไป

ตอนต่อไปผมจะกล่าวถึงตำแหน่งอุปฮาด ราชวงศ์และราชบุตรนะครับ ว่ามีความเป็นมาอย่างไร

***************

แหล่งข้อมูลประกอบการเล่าเรื่อง

เติม วิภาคย์พจนกิจ.  ๒๕๓๐. ประวัติศาสตร์อีสาน ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๒.  กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.


วันพุธ, พฤศจิกายน 09, 2565

มินามีเรื่องเล่า สาเกตนคร ตอนที่ ๓

 


 มินามีเรื่องเล่า สาเกตนคร ตอนที่ ๓

สวัสดีครับ วันนี้ขอเล่าเรื่องเมืองสาเกตนคร หรือร้อยเอ็ดต่อนะครับ

ก่อนอื่น ขอกล่าวถึงเจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ ๑ ก่อนนะครับ ท่านคือ พระขัติยวงษา (ท้าวทนต์) ท่านเป็นเจ้าเมืองระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๑๘ ถึงปี พ.ศ. ๒๓๒๖

         ปี พ.ศ. ๒๓๑๘ ท้าวทนต์ได้รับพระบรมราชโองการจากพระเจ้าตากสินมหาราชให้เป็น พระขัติยวงศาสุทนตมณี เจ้าเมืองคนแรกของร้อยเอ็ด

         จำกันได้ไหมครับว่า พระขัติยวงษา (ท้าวทนต์) ท่านเป็นบุตรของเจ้าแก้วมงคล (หรือที่เรียกว่า จารย์แก้ว) ผู้เป็นเจ้าเมืองท่ง หรือที่เรียกว่าเมืองท่งศรีภูมิ

         เจ้าแก้วมงคล มีบุตรสองคน คนแรกคือท้าวมืด คนที่สองคือท้าวทนต์

         ในช่วงเวลานั้นเมืองท่ง ขึ้นอยู่กับนครจำปาศักดิ์นะครับ  เมื่อเจ้าแก้วมงคลถึงแก่กรรม ท่านมีอายุได้ ๘๔ ปี เจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูล เจ้าผู้ครองนครจำปาศักดิ์ จึงแต่งตั้งให้ท้าวมืด ผู้เป็นบุตรของเจ้าแก้วมงคล เป็นเจ้าเมืองท่งสืบต่อจากบิดา โดยมีท้าวทนต์ เป็นอุปฮาด

         ท้าวมืดเป็นเจ้าเมืองท่งจนถึงแก่กรรมในปี พ.ศ. ๒๓๐๖

         ทางเมืองจำปาศักดิ์ได้แต่งตั้งท้าวทนต์ ผู้เป็นอุปฮาดและเป็นน้องท้าวมืดให้รักษาการณ์เจ้าเมืองท่งระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๐๖ ถึงปี พ.ศ. ๒๓๑๐

         ในช่วงรักษาการณ์เจ้าเมืองท่ง ปรากฏว่า ท้าวทนต์มีเรื่องขัดแย้งกับท้าวเชียงและท้าวสูน ซึ่งเป็นบุตรของท้าวมืดและเป็นหลานของท้าวทนต์

         ท้าวเชียงและท้าวสูนไปขอความช่วยเหลือจากกรุงธนบุรี ทางฝ่ายไทยให้ความช่วยเหลือท้าวทั้งสอง ทำให้ท้าวทนต์ต้องหนีออกจากเมืองไปตั้งหลักอยู่ที่บ้านกุดจอก

         เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๑๐ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงแต่งตั้งท้าวเชียงเป็นเจ้าเมืองท่งหรือท่งศรีภูมิแทนท้าวทนต์

ในสมัยของท้าวเชียงนี้มีการย้ายเมือง และกลายเป็นชื่อเมืองสุวรรณภูมิ กล่าวคือ ปี พ.ศ. ๒๓๑๙ ท้าวเชียงได้ย้ายเมืองท่งศรีภูมิไปอยู่ที่บ้านดงท้าวสาร เพราะดินถูกน้ำกัดเซาะ ต่อมาเมืองใหม่นี้ได้และขนามนามว่า “สุวรรณภูมิ” โดยขอขึ้นกับกรุงธนบุรี เนื่องจากในช่วงเวลานี้ทางนครจำปาศักดิ์อ่อนแอ มีการแย่งชิงอำนาจกันระหว่างเจ้าเมืองกับอุปฮาด

ปี พ.ศ. ๒๓๓๐ ท้าวเชียง เจ้าเมืองสุวรรณภูมิ ถึงแก่กรรม พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งอุปฮาดสูน ผู้เป็นน้องชายท้าวเชียง เป็นเจ้าเมืองสุวรรณภูมิสืบต่อจากพี่ชาย และท่านได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระรัตนวงษา (ท้าวสูน)

         ขอเล่าเรื่องราวทางเมืองสุวรรณภูมิมาถึงสมัยของพระรัตนวงษา (ท้าวสูน) เจ้าเมืองสุวรรณภูมิคนที่ ๕ นะครับ ตอนนี้เรากลับมาดูเรื่องราวของเมืองร้อยเอ็ดกันก่อนนะครับ

บุคคลสำคัญของการก่อตั้งเมืองร้อยเอ็ดในยุคนี้ คือ ท้าวทนต์ ครับ

ย้อนมาเรื่องความขัดแย้งระหว่างท้าวทนต์กับหลานทั้งสองคน คือท้าวเชียงและท้าวสูนกันนะครับ

ในปีพ.ศ. ๒๓๑๘ ท้าวทนต์ขอเข้าพบพระยาพรหมและพระยากรมท่า ซึ่งเป็นข้าหลวงของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เพื่อยอมขึ้นอยู่กับกรุงธนบุรี

         พระยาพรหมและพระยากรมท่าพิจารณาว่าท้าวทนต์มีบ่าวไพร่ในการควบคุมอยู่มาก พระยาทั้งสองท่านจึงมีใบบอก (หนังสือแจ้งราชการมาจากหัวเมือง) ไปยังสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และขอยกบ้านกุ่ม (บางทีเรียกว่า บ้านกุ่มร้าง) ซึ่งเป็นเมืองร้อยเอ็ดเก่าขึ้นเป็นเมือง

         ปี พ.ศ. ๒๓๑๘ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งท้าวทนต์เป็นพระขัติยวงษา และยกบ้านกุ่มเป็นเมืองร้อยเอ็ดตามนามเดิมของเมือง

         มูลเหตุที่เรียกเมืองว่า เมืองร้อยเอ็ด เพราะเมืองนี้มี ๑๑ ประตู แต่ชาวอีสานจะเขียนเป็น ๑๐๑ ประตู คนภาคกลางเข้าใจผิดเป็นร้อยเอ็ดประตู

         พระขัติยวงษา (ท้าวทนต์) เป็นเจ้าเมืองร้อยเอ็ดได้ ๘ ปี ป่วยถึงแก่กรรมในปี พ.ศ. ๒๓๒๖ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (รัชกาลที่๑)

         พระขัติยวงษา (ท้าวทนต์) มีบุตร ๓ คน ได้แก่ ท้าวสีลัง ท้าวภู และท้าวอ่อน

         เมื่อท้าวทนต์ถึงแก่กรรม พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (รัชกาลที่ ๑) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ท้าวสีลัง เป็นพระขัติยวงษา (ท้าวสีลัง) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ ๒ ต่อจากพระขัติยวงษา (ท้าวทนต์)         

         พระขัติยวงษา (ท้าวสีลัง) ทำความดีความชอบ ได้รับพระราชทานยศให้เป็น พระยาขัติยวงษาพิสุทธิบดี

         พระขัติยวงษา (ท้าวสีลัง) ท่านเป็นต้นตระกูลของ ธนสีลังกุล  

         พระขัติยวงษา (ท้าวสีลัง) มีบุตร ๔ คน ได้แก่ พระพิไสยสุริยวงศ์ อุปฮาดสิงห์ ท้าวจอมและราชวงศ์อินทร์

         พระขัติยวงษา (ท้าวสีลัง) กับภรรยาคนที่หนึ่ง มีบุตร คือ พระพิไสยสุริยวงศ์ (เจ้าตาดี หรือ เจ้าโพนแพง) เจ้าเมืองโพนพิสัย ต่อมาพระพิไสยสุริยวงศ์ท่านเป็นบิดาของพระขัติยวงษา (ท่าวสาร) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ ๕ และพระขัติยวงษา (ท้าวเสือ) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ ๖ นะครับ

         พระขัติยวงษา (ท้าวสีลัง) มีบุตรกับภรรยาคนที่สอง คือ ท้าวสิงห์ ต่อมาเป็นอุปฮาดสิงห์ และท้าวจอม ได้เป็นอุปฮาดในสมัยที่พระขัติยวงษา (ท้าวสาร) เป็นเจ้าเมืองร้อยเอ็ด และบุตรคนสุดท้อง คือ ท้าวอินทร์ ต่อมาได้เป็นพระขัติยวงษา (ท้าวอินทร์) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ ๓ สืบต่อจากบิดา คือ พระขัติยวงษา (ท้าวสีลัง)

         เรื่องราวยังมีให้ติดตามอีกมากนะครับ โปรดติดตามนะครับ


วันอังคาร, พฤศจิกายน 08, 2565

มินามีเรื่องเล่า สาเกตนคร ตอนที่ ๒

 

 


มินามีเรื่องเล่า: สาเกตนคร (๒)

สวัสดีครับ ขอเล่าต่อเรื่องเมืองสุวรรณภูมิและเมืองร้อยเอ็ดต่อนะครับ

เตรียมตัวทบทวนรายชื่อวงศาคณาญาติให้ดีนะครับ

ขอไล่ชื่อเจ้าเมืองสายสุวรรณภูมิก่อนนะครับ

๑. เจ้าแก้วมงคล (หรือที่เรียกว่า เจ้าแก้วบรม หรือจารย์แก้ว) ครองเมืองทง (หรือที่เรียกว่าเมืองทุ่ง หรือ เมืองท่งศรีภูมิ เดิมเป็นบ้างทุ่งขาวพันนา)

๒. ท้าวมืด เป็นเจ้าเมืองท่งศรีเมืองคนที่ ๒ ท่านเป็นบุตรชายของเจ้าแก้วมงคล

๓. ท้าวทนต์ เจ้าเมืองท่งศรีเมืองคนที่ ๓ ท่านเป็นบุตรชายของเจ้าแก้วมงคล และเป็นน้องชายของท้าวมืด

จับตาท้าวทนต์ให้ดีนะครับ เพราะท่านจะไปเป็นเจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนแรก

     ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๒๙๓ ท้าวมืดถึงแก่กรรม ทางนครจำปาศักดิ์จึงแต่งตั้งท้าวทนต์ ผู้เป็นน้องชายของท้าวมืดให้รักษาการเจ้าเมือง

         ท้าวมืดมีบุตรชายสองคน คือ ท้าวเชียงและท้าวสูน

         บุตรชายทั้งสองคนของท้าวมืดมีเรื่องบาดหมางกับท้าวทนต์ผู้เป็นอา

         ท้าวเชียงและท้าวสูนจึงไปขอความช่วยเหลือจากกรุงธนบุรี  

         ทางฝ่ายไทยให้การช่วยเหลือท้าวเชียงและท้าวสูน

         สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชแห่งกรุงธนบุรีทรงแต่งตั้งให้ท้าวเชียงเป็นเจ้าเมืองสุวรรณภูมิคนที่สี่ ต่อจากเจ้าแก้วมงคลและท้าวมืด และท้าวทนต์ และให้ท้าวสูนเป็นอุปราช

         ฝ่ายท้าวทนต์ ผู้เป็นอา คือเป็นน้องชายของท้าวมืดทำอย่างไรครับ

ท้าวทนต์ ผู้เป็นอาของท้าวเชียงและท้าวสูน ได้หนีออกจากเมืองท่ง ไปตั้งหลักที่บ้านกุ่ม และต่อมาได้ขอให้กรุงธนบุรียกขึ้นเป็นเมือง

         สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งท้าวทนต์เป็นพระขัติยวงศา และยกบ้านกุ่มเป็นเมืองร้อยเอ็ด

         เดี๋ยวเรากลับมาดูรายชื่อเจ้าเมืองร้อยเอ็ดอีกทีนะครับ ตอนนี้กลับมาดูเมืองท่ง (สุวรรณภูมิ) กันก่อนนะครับ

สรุปว่าตอนนี้ เมืองท่ง มีเจ้าเมืองมาได้ ๔ ท่านแล้ว คือ เจ้าแก้วมงคล ท้าวมืด ท้าวทนต์ ท้าวเชียง

ขอเรียงตามลำดับอีกทีนะครับ

๑. เจ้าแก้วมงคล

๒. ท้าวมืด

๓. ท้าวทนต์

๔. ท้าวเชียง

อย่าลืมนะครับว่า ท้าวมืดและท้าวทนต์เป็นบุตรเจ้าแก้วมงคล ท้าวเชียงและท้าวสูน เป็นบุตรท้าวมืด และเป็นหลานท้าวทนต์

จากท้าวเชียงเป็นต้นไป จะมีตำแหน่งเรียกชื่อเจ้าเมืองท่งว่า “พระรัตนวงษา” นะครับ

ทำไมหรือครับ

ท้าวเชียงครองเมืองท่งระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๐๗ ถึง ๒๓๑๕ ท่านได้ย้ายเมืองนะครับ ไปตั้งเมืองใหม่ที่บ้านดงเท้าสาร สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงพระราชทานนามว่า เมืองสุวรรณภูมิราชบุรินทร์ และทรงแต่งตั้งท้าวเชียงให้เป็น “พระรัตนวงษา” เจ้าเมืองสุวรรณภูมิราชบุรินทร์

ดังนั้นตำแหน่งเจ้าเมืองสุวรรณภูมิตั้งแต่ท้าวเชียงจึงเรียกว่า พระรัตนวงษา นะครับ

๕. พระรัตนวงษา (ท้าวสูน) ท่านเป็นน้องชายของพระรัตนวงษา (ท้าวเชียง) และเป็นบุตรของท้าวมืด เจ้าเมืองคนที่ ๒

๖. พระรัตนวงษา (ท้าวอ่อน) ท่านเป็นบุตรของท้าวทนต์ เจ้าเมืองคนที่ ๓

๗. พระรัตนวงษา (ท้าวโอ๊ะ) ท่านเป็นบุตรของพระรัตนวงษา (ท้าวเชียง) เจ้าเมืองคนที่ ๔ ครับ

๘. พระรัตนวงษา (ท้าวภู) ท่านเป็นบุตรคนที่สองของท้าวทนต์ เจ้าเมืองคนที่ ๓

๙. พระรัตนวงษา (ท้าวสาร) ท่านเป็นบุตรคนที่สองของพระรัตนวงษา (ท้าวโอ๊ะ) เจ้าเมืองคนที่ ๗

๑๐. พระรัตนวงษา (ท้าวมหาราช-เลน) ท่านเป็นบุตรของพระรัตนวงษา (ท้าวอ่อน) เจ้าเมืองคนที่ ๖

๑๑. พระรัตนวงษา (ท้าวคำผาย) ท่านเป็นบุตรคนโตของพระรัตนวงษา (ท้าวภู) เจ้าเมืองคนที่ ๘ ต่อมาท่านได้รับราชทินนามเป็นพระยารัตนวงษา

๑๒. พระยารัตนวงษา (ท้าวคำสิงห์) ท่านเป็นบุตรคนที่สองของพระรัตนวงษา (ท้าวภู) เจ้าเมืองคนที่ ๘ ท่านเป็นน้องของพระยารัตนวงษา (คำผาย)

๑๓. พระยารัตนวงษา (ท้าวคำสอน หรือ สอน) ท่านเป็นบุตรคนที่สามของพระรัตนวงษา (ท้าวภู) เจ้าเมืองคนที่ ๘ ท่านเป็นน้องชายของพระยารัตนวงษา (คำผาย)และพระยารัตนวงษา (คำสิงห์)

๑๔. พระรัตนวงษา (ท้าวอำคา) ท่านเป็นบุตรคนโตของพระรัตนวงษา (ท้าวคำสอน) เจ้าเมืองคนที่ ๑๓ ครับ

ต่อมามีการปฏิรูปการปกครองใน ปี พ.ศ. ๒๔๔๐ ได้ล้มเลิกระบบการปกครองอีสานเดิม ยกเลิกตำแหน่งเจ้าเมือง เปลี่ยนชื่อเป็นผู้ว่าราชการเมือง

ดังนั้น ถ้าพูดถึงเจ้าเมืองสุวรรณภูมิ จะมีตำแหน่งเป็นพระรัตนวงษา ทีนี้มาพูดถึงเมืองร้อยเอ็ดกันบ้างนะครับ ทุกท่านจะคุ้นกับชื่อพระขัติยวงษา นะครับ

 

         จากเจ้าเมืองสุวรรณภูมิราชบุรินทร์สู่เจ้าเมืองร้อยเอ็ด

         ตำแหน่งเจ้าเมืองร้อยเอ็ดมีดังนี้ครับ

๑. พระขัติยะวงษา (ท้าวทนต์) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนแรก ท่านได้รับพระทานพระราชทินนามให้เป็นพระขัติยวงษา เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๑๘

จำกันได้นะครับ ท้าวทนต์เคยปกครองเมืองท่ง (เจ้าเมืองสุวรรณภูมิคนที่ ๓) และได้ย้ายมาตั้งเมืองใหม่

ท้าวทนต์มีบุตร ๓ คน คือ ท้าวสีลัง (พระขัติยวงษา เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ ๒) ท้าวภู (พระรัตนวงษา เจ้าเมืองคนที่ ๘) และท้าวอ่อน (พระรัตนวงษา เจ้าเมืองคนที่๖)

         ๒. พระขัตติยวงษา (ท้าวสีลัง) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ ๒ ท่านเป็นบุตรของพระขัติยวงษา (ท้าวทนต์) ท่านได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระขัติยวงศ์พิสุทธบดี ต้นสกุล “ธนสีลังกูร”

         ๓. พระขัติยวงษา (ท้าวอินทร์) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ ๓ ท่านเป็ฯบุตรของพระชัติยวงษา (ท้าวสีลัง)

๔. พระขัตติยวงษา (ท้าวจันทร์) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ ๔ ท่านเป็นบุตรของพระชัติยวงษา (ท้าวอินทร์)

๕. พระขัติยวงษา (ท้าวสาร) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ ๕ ท่านเป็นบุตรคนโตของพระพิไสยสุริยวงศ์ เจ้าเมืองโพนพิสัย ซึ่งพระพิไสยสุริวงศ์เป็นบุตรคนโตของพระชัติยวงษา (ท้าวสีลัง)

๖. พระขัติยวงษา (ท้าวเสือ) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ ๖ ท่านเป็นบุตรคนที่สองของพระพิไสยสุริยวงศ์ เจ้าเมืองโพนพิสัย ซึ่งพระพิไสยสุริวงศ์เป็นบุตรคนโตของพระขัติยวงษา (ท้าวสีลัง)

๗. พระขัติยวงษา (ท้าวสุริย-เภา) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ ๗ ท่านเป็นบุตรของท้าวสุริยวงศ์ (เภา) ซึ่งท้าวสุริยวงส์ (เภา) เป็นบุตรของพระขัติยวงษา (เสือ)

๘. พระยาขัติยวงษาเอกาธิกะสตานันท์ (เหลา)

ต่อมามีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบบเจ้าเมืองเป็นผู้ว่าราชการเมือง  

 เป็นอย่างไรบ้างครับ สับสนไหมครับ ยังมีรายละเอียดที่จะมานำเสนอในโอกาสต่อไปนะครับ

โปรดติดตามอย่างตามติด

 


วันจันทร์, พฤศจิกายน 07, 2565

มินามีเรื่องเล่า: สาเกตนคร ตอนที่ ๑

 



ผมและท่านอาจารย์เศกสิทธ์ มุลาลี

มินามีเรื่องเล่า: สาเกตนคร ตอนที่ ๑

         สวัสดีครับ เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๕ ผมได้ไปร่วมประชุมชมรมครูเก่าโรงเรียนร้อยเอ็ดวิทยาลัย

มีความสุขมากครับที่ได้กลับไปพบพี่ๆ ที่ผมเคยร่วมทำงานกันมา ๑๓ ปี ห่างกันมา ๒๙ ปี เหมือนห่างกันแค่วันเดียว พวกพี่ๆ ให้ความเมตตาเสมอมา

ท่านอาจารย์เศกสิทธิ์ มุลาลี ท่านจำได้ว่า วันที่ผมพูดหน้าเสาธงอำลานักเรียนในปี พ.ศ. ๒๕๓๖ ผมกล่าวว่า “ความรู้ทำให้องอาจ” ต้องขอขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่จำคำกล่าวของผมได้ ผมจำไม่ได้เลยครับ

มาร้อยเอ็ดในวันนี้ ขออนุญาตเล่าเรื่องเมืองร้อยเอ็ดนะครับ เมืองที่อบรมสั่งสอนให้ประพฤติปฏิบัติตนเป็นคนดีและมอบโอกาสในการเริ่มต้นชีวิตการทำงานนะครับ

         ก่อนเข้าสู่เรื่อง มารู้จักชื่อบุคคลและสถานที่ในเรื่องก่อนนะครับ

๑.    พญากลุนทะ ปกครองเมืองร้อยเอ็ดเดิม

๒.    เจ้าสุริยวงศาไชยเชษฐาธรรมิกรา

๓.    เจ้าแก้วมงคล หรือ จารย์แก้ว หรือ มีบุตรชื่อท้าวมืด (เกิดช่วงมีสุริยุปราคา เลยได้ชื่อว่ามืด หรือมืดมาดล) และท้าวทนต์ (หรือ ท้าวสุทนต์)

๔.    ท้าวมืด มีบุตรสองคน คือ ท้าวเชียงและท้าวสูน

๕.    บ้านกุ่ม

๖.    มรุกนคร

         ความเป็นมาของเมืองร้อยเอ็ด

         เล่ากันว่า พญากลุนทะ ปกครองเมืองร้อยเอ็ด และมีกษัตริย์ปกครองต่อมาอีกหลายร้อยปี 

         ในบรรดากษัตริย์ที่ปกครองเมืองร้อยเอ็ด มีกษัตริย์ที่มีชื่อเสียงพระองค์หนึ่ง คือ เจ้าสุริยวงศาไชยเชษฐาธรรมิกราช

         เมื่อหมดสมัยของเจ้าสุริยวงศาไชยเชษฐาธรรมิกราช มีกษัตริย์ปกครองต่อมา และมีข้าศึกมารุกรานเมือง ผู้คนล้มตายเป็คนที่เหลือจึงอพยพไปอยู่ที่บ้านกุ่ม และสร้างเมืองขึ้น โดยตั้งชื่อเมืองว่า มรุกนคร

         เมืองมรุกนครเจริญรุ่งเรืองในสมัยพญาสุมิตธรรมราชา (หรืออีกพระนามหนึ่ง คือ พญาสุมิตวงศา) ต่อมาเมืองมรุกนครร้างราไป

 

ความเป็นมาของเมืองสุวรรณภูมิ

         พูดถึงร้อยเอ็ด ต้องพูดถึงสุวรรณภูมิก่อน มาดูเรื่องของเมืองสุวรรณภูมิกันครับ

คำสำคัญ คือ เจ้าแก้วมงคล หรือ จารย์แก้ว (เจ้าแก้วมงคล) เมืองทุ่ง ตำบลเท้าสาร เมืองสุวรรณภูมิ กรุงธนบุรี พระรัตนวงศา

         ปี พ.ศ. ๒๒๖๑ จารย์แก้วหรือเจ้าแก้วมงคล ตั้งเมืองทุ่ง (หรือ ท่ง) โดยขอขึ้นอยู่กับนครจำปาศักดิ์

         ปี พ.ศ. ๒๓๑๕ ได้มีการย้ายเมืองจากเมืองทุ่ง (ท่ง) เพราะดินถูกน้ำกัดเซาะ ได้มีการย้ายเมืองใหม่ไปตั้งที่ตำบลเท้าสาร และเปลี่ยนชื่อเมืองใหม่ที่ตำบลเท้าสารเป็นเมืองสุวรรณภูมิ โดยขอขึ้นกับกรุงธนบุรี เนื่องจากนครจำปาศักดิ์อ่อนแอ มีการแย่งชิงอำนาจระหว่างเจ้าเมืองกับอุปฮาด

         เจ้าเมืองสุวรรณภูมิในเวลาต่อมาทุกคนได้รับราชทินนามว่า พระรัตนวงศา

         โปรดติดตามต่อในตอนหน้านะครับ


วันเสาร์, พฤศจิกายน 05, 2565

มินามีเรื่องเล่า: เสาสีโหแห่งนครขอนแก่น: The Light Poles of Siho in the City of Khon Kaen: Les poteaux lumières de Siho situant dans le centre-ville de Khon Kaen



 

มินามีเรื่องเล่า: เสาสีโหแห่งนครขอนแก่น

ท่านที่เข้ามาในเมืองขอนแก่นเป็นครั้งแรกอาจจะสงสัยว่า บรรดาเสาที่เรียงรายสองข้างถนนศรีจันทร์และถนนมิตรภาพในเมืองขอนแก่นมีสัญลักษณ์อะไรติดตั้งอยู่บนหัวเสา สัตว์อะไร รูปร่างเป็นราชสีห์ แต่มีงวงเหมือนช้าง

 ขอแนะนำให้ท่านรู้จักเสาไฟฟ้าสีโหนะครับ สีโหคืออะไร

สีโหเป็นชื่อของตัวละครเอกหนึ่งในสามตัวของวรรณกรรมพื้นบ้านเรื่องสินไซ ตัวละครเอกสามตัว คือ ท้าวสินไซ ท้าวสังข์ ท้าวสีโห

สีโหมีลำตัวเหมือนราชสีห์ ส่วนหัวเหมือนช้าง ตรงกับสัตว์ในป่าหิมพานต์ชนิดหนึ่งคือ คชสีห์ เป็นการผสมผสานลักษณะระหว่างช้างกับสิงห์หรือราชสีห์ครับ

สีโหสำคัญอย่างไร

ในเรื่องสินไซ สีโหมีบทบาทคู่กับสังข์เป็นผู้คอยช่วยเหลือสินไซตลอดเรื่อง สีโหเป็นเสมือนพี่ชายใจดีที่คอยช่วยเหลือน้องเมื่อยามลำบาก มีฤทธิ์หลายอย่าง สามารถแปลงกายและต่อสู้กับยักษ์ได้อย่างกล้าหาญ อาวุธพิเศษของท้าวสีโหคือเสียงโกญจนาท สีโหส่งเสียงร้องที่ดังมากจนสามารถทำลายศัตรูคือยักษ์ให้ล้มตายได้ แต่เสียงนั้นไม่เป็นอันตรายต่อฝ่ายตนเอง

ถามว่า ทำไมเทศบาลนครขอนแก่นใช้สีโหเป็นสัญลักษณ์

ตอบได้ง่ายครับ ท่องไว้ได้เลยครับ มีชาติตระกูลดี กล้าหาญ ซื่อสัตย์และมีชีวิตที่พอเพียง นับเป็นคุณสมบัติ ๔ ประการที่สีโหมี

มีชาติตระกูลดี คือ ท่านเป็นโอรสของท้าวกุศราชและพระนางจันทาเทวี

กล้าหาญ ช่วยเหลือสินไซต่อสู้กับศัตรูให้ล้มตายได้

 ซื่อสัตย์ ช่วยเหลือพี่น้องและรักษาสัจจะ คอยช่วยเหลือผู้คนตามที่รับปากไว้ และไม่หวังสิ่งตอบแทน  

มีชีวิตที่พอเพียง ไม่หลงยศอำนาจ เมื่อตอนที่สินไซขึ้นครองราชย์ต่อจากพระราชบิดา สีโหมิได้เสวยสุขในเมือง ขอออกไปอยู่ป่าเขาโดยให้เหตุผลว่ามีความสุขและคุ้นเคยมากกว่า

เทศบาลนครขอนแก่นเชื่อมโยงความหมายมงคลของท้าวสีโหว่า ส่วนหัวที่เหมือนช้าง หมายถึงความอุดมสมบูรณ์และความมีชื่อเสียง งวงเป็นอวัยวะที่ช้างใช้หาอาหารและดื่มน้ำ หมายถึงการดึงดูดหรือนำเอาความเจริญมาสู่เมืองขอนแก่น งา เป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความมีค่าและความสง่างามของเมือง

นัยแห่งความอุดมสมบูรณ์และความมีชื่อเสียง คือ เมืองขอนแก่นมีเศรษฐกิจดี ชาวขอนแก่นอยู่ร่มเย็นเป็นสุข และเมืองขอนแก่นมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักต่อสาธารณชน

ส่วนลำตัวเหมือนราชสีห์ หมายถึง รูปร่างสง่า น่าเกรงขาม เป็นความสง่างามมั่นคง ศักดิ์สิทธิ์ มีนัยว่างานด้านศาสนา ศิลปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม จารีตประเพณีและภูมิปัญญาท้องถิ่น ได้รับการอุปถัมภ์บำรุง ความศักดิ์สิทธิ์มีนัยว่า การบริหารงานมีธรรมาภิบาล ภาครัฐและประชาชนร่วมแรงร่วมใจพัฒนาเมืองขอนแก่น

โดยสรุปแล้ว ประติมากรรมรูปปั้นท้าวสีโหที่ติดตั้งบนหัวเสาไฟฟ้าเป็นสัญลักษณ์แห่งความดีงาม ความเจริญรุ่งเรืองของเมืองขอนแก่นครับ

ยังมีข้อมูลที่น่าสนใจอีกมากเกี่ยวกับเรื่องสินไซ และวัฒนธรรมท้องถิ่น ถ้าท่านได้มีโอกาสมาเยี่ยมเมืองขอนแก่น ขอเรียนเชิญชมสิมวัดไชยศรี และแวะเสวนากาแฟ ณ โฮงสินไซ รับรองว่าท่านจะได้รับความรู้เกี่ยวกับสินไซและศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นพอสมควรครับ

***************

Mina’s Stories: The Light Poles of Siho in the citer center of Khon Kaen

When you first enter the city of Khon Kaen, especially on Si Chan Road, you will see something on each light poles. What is it?

Si Chan Road is one of the important roads in the city center of Khon Kaen. The road is flanked by the light poles on which there are the figures of Siho, a mythical animal with the head of an elephant and the body of a lion.

Siho is one of the three main characters in the story of Sin Sai: Thao Sin Sai, Thao Sang and Thao Siho. They are brothers.

In the story of Sinsai, Thao Siho and Thao Sang were two brothers who helped Sin Sai when he was in trouble. Siho has a lot of magical powers. One of them is his voice. He can roar to kill his enemies.

Why does Siho deserve a figure symbol of these light poles?

Siho comes from the noble family. He is brave. He is loyal. And he has no ambition. Siho is the son of King Kutsarat and Queen Chantha Devi. He is the eldest brother. He is brave because he helps his younger brother, Sinsai, fight against their enemies. He is loyal to his brother. He also loves to have a simple life. When Sinsai became the king, Siho asked permission from his brother to live in the forest. He gave the reason to his brother that he was getting used to living alone in the forest.

According to the Municipality of Mueang Khon Kaen, Siho is an auspicious symbol. Its elephant-shaped head signifies the city's fertility and reputation. Normally, elephants use their trunks to fetch food and water. Siho’s trunk brings prosperity to Khon Kaen City. His tusks signify the magnificence of the city.

The lion's body means the unification of Khon Kaen people, the good governance, and the promotion of arts and cultures.

I do hope that, on your next visit to Khon Kaen, you will have a chance to appreciate Siho and, if possible, to visit Wat Chaisi and the Hong Sin Sai Art and Culture Center. 

**************

Histoires de Mina : Les poteaux lumières de Siho situant dans le centre-ville de Khon Kaen

Lorsque vous entrez dans la ville de Khon Kaen, surtout dans la rue Si Chan, vous verrez quelque chose sur chaque poteau lumière.

La rue Si Chan est l'une des routes importantes du centre-ville de Khon Kaen. La route est flanquée de poteaux lumières sur lesquels se trouvent les figures de Siho, un animal mythique avec la tête d'un éléphant et le corps d'un lion.

Siho est l'un des trois personnages principaux de l'histoire de Sin Sai : Thao Sin Sai, Thao Sang et Thao Siho. Ils sont frères.

Dans l'histoire de Sinsai, Thao Siho et Thao Sang étaient deux frères qui ont aidé Sin Sai quand il était en difficulté. Siho a beaucoup de pouvoirs magiques. L'un d'eux est sa voix. Il peut rugir pour tuer ses ennemis.

Pourquoi Siho mérite-t-il une figure symbolique de ces pôles lumières ?

Siho vient de la famille noble. Il est courageux. Il est fidèle. Et il n'a aucune ambition. Siho est le fils du roi Kutsarat et de la reine Chantha Devi. Il est le frère aîné. Il est courageux car il aide son jeune frère, Sinsai, à lutter contre leurs ennemis. Il est fidèle à son frère. Il aime aussi avoir une vie simple. Lorsque Sinsai est devenu roi, Siho a demandé à son frère d’aller vivre dans la forêt. Il a expliqué à son frère qu'il s'est habitué à vivre seul dans la forêt.

Selon la municipalité de Mueang Khon Kaen, Siho est un symbole de bon augure. Sa tête en forme d'éléphant symbolise la fertilité et la réputation de la ville. Normalement, les éléphants utilisent leurs troncs pour chercher de la nourriture et de l'eau. Donc, le tronc de Siho symbolise la prospérité à la ville de Khon Kaen. Ses défenses signifient la magnificence de la ville.

Le corps en forme de lion signifie l'unification du peuple Khon Kaen, la bonne gouvernance et la promotion des arts et des cultures.

J'espère que, lors de votre prochaine visite à Khon Kaen, vous aurez l'occasion d’apprécier Siho et, si possible, de visiter Wat Chaisi et le Centre d'art et de culture Hong Sin Sai.

*************


มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French

  มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French กรมหลวงพิพิธมนตรี (พระพันวัสสาน้อย) เป็นพระอัครมเหสีน้อยของสมเด็จพ...