Chalermkiat Mina

วันศุกร์, สิงหาคม 04, 2566

มินามีเรื่องเล่า เราเป็นญาติกัน ท่านแป้น ภรรยาพระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) ตอนที่ ๗


 

มินามีเรื่องเล่า เราเป็นญาติกัน ท่านแป้น ภรรยาพระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) ตอนที่ ๗

สวัสดีครับ วันนี้ขออนุญาตเล่าถึงท่านแป้น ภรรยาของพระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) นะครับ

หลายท่านอาจจะได้ยินเรื่องของการเชื่อมโยงจากวัดสุนทราวาส วัดหงส์รัตนาราม วัดวัง และวัดใหม่ยายแป้น โดยมีบุคคลสำคัญของเมืองพัทลุงที่มีบทบาทสำคัญในวัดทั้ง ๔ แห่งนี้ ได้แก่ พระอุดมปิฎก พระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) พระยาพัทลุง (ทองขาว) และท่านแป้น (ชื่อวัดก็บอกแล้วนะครับ)

ท่านแป้นเป็นใคร ท่านแป้นเป็นภรรยาของพระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก)

ท่านแป้นเป็นธิดาของขุนนางรามัญที่อยู่แถบคลองมอญ ขุนนางรามัญท่านนี้ได้สืบสายสกุลรามัญ (มอญ) จากพระยาเกียรติและพระยารามในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราข

ท่านแป้นมีพี่น้องรวมกัน ๓ คน พี่ชายคนโต ชื่อ มะโดด หรือมะซวน ต่อมารับราชการเป็น พระยารามจตุรงค์ หรือจักรีมอญแห่งกรุงธนบุรี

พี่สาว ชื่อ ทองคำ หรือทองมอญ ต่อมารับราชการเป็นท้าวทรงกันดาล (ทองคำ หรือทองมอญ) ถือว่าเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในสมัยกรุงธนบุรี

ส่วนท่านแป้นนั้น ท่านเป็นน้องสาวคนสุดท้อง        

สรุปอีกครั้งนะครับ พี่น้องสามคน ได้แก่

๑. พระยารามจตุรงค์ (ชาย) ชื่อเดิมคือ มะโดด หรือมะซวน เคยรับราชการในตำแหน่งพระยานครอินทร์

๒. ท้าวทรงกันดาล (ทองคำ หรือทองมอญ) (หญิง) เป็นมารดาของพระอักษรสมบัติ (หม่อมทับ หรือหม่อมราชวงศ์ทับ) และเป็นสกุลวงศ์ของสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี พระราชชนนีของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ 

๓. ท่านแป้น (หญิง) เป็นภรรยาของพระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก)

ต่อคำถามที่ว่า ท่านแป้นรู้จักพระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) ได้อย่างไร

ความสัมพันธ์ของท่านทั้งสองมีขึ้นในสมัยต้นกรุงธนบุรี กล่าวคือพี่ชายของท่านแป้น คือ ท่านมะโดด หรือมะซวน ได้รับราชการดำรงตำแหน่ง พระยานครอินทร์ ส่วนพี่สาวของท่านแป้น คือ ท่านทองคำ ได้รับราชการเป็นท้าวทรงกันดาล (ทองคำ)

ท่านแป้นจึงมีพี่ชายและพี่สาวเป็นข้าราชการทั้งฝ่ายหน้าและฝ่ายใน ทั้งพี่ชายและพี่สาวได้ชักนำให้หลวงสิทธินายเวร (ขุน) เข้ารับราชการกับสมเด็จพระเจ้าตากสินผู้เป็นสหายเก่าของหลวงสิทธินายเวร (ขุน) ครั้งเมื่อยังเป็นมหาดเล็กด้วยกัน เลยได้รู้จักกันนะครับ

หลวงสิทธินายเวร (ขุน) ได้ตามเสด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีลงไปปราบก๊กเจ้าพระยานครศรีธรรมราชในปี พ.ศ.๒๓๑๑ ขณะนั้นหลวงสิทธินายเวร (ขุน) ท่านมีอายุ ๓๕ ปี

ต่อมาหลวงสิทธินายเวร (ขุน) ได้รับโปรดเกล้าฯ จากสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ให้ดำรงตำแหน่งพระยาพัทลุง (ขุน) เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๑๕

พระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) และท่านแป้นมีบุตรธิดา รวมกัน ๕ คน ดังนี้

๑. พระยาพัทลุง (ทองขาว)

๒. ท่านนาง ต่อมาเป็นภรรยาของนายนุ่น หลานชายของเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (พัฒน์)

๓. เจ้าจอมมารดากลิ่น ท่านเป็นเจ้าจอมมารดาพระสนมเอก ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬา

โลก

๔. พระทิพกำแหงสงครามปลัด (กล่อม)

๕. เจ้าจอมฉิม ได้ถวายตัวเป็นเจ้าจอม ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ไม่มีพระองค์เจ้า บางท่านว่ามีพระองค์เจ้าหญิงสุด

 เรื่องราวของวัดใหม่ยายแป้น ท่านติดตามและสอบถามได้ที่ fb ธนพล ณ พัทลุง นะครับ


วันพฤหัสบดี, สิงหาคม 03, 2566

มินามีเรื่องเล่า เราเป็นญาติกันที่พัทลุง พระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) สายสัมพันธ์เครือญาติ ตอนที่ ๖

 


มินามีเรื่องเล่า เราเป็นญาติกันที่พัทลุง พระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) สายสัมพันธ์เครือญาติ ตอนที่ ๖

สวัสดีครับ พอดีช่วงนี้ ผมเดินทางมาที่พัทลุง และจะเดินทางกลับไปขอนแก่นในวันนี้

ขออนุญาตเล่าเรื่องเราเป็นญาติกันที่พัทลุง ต่อนะครับ

พระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) เป็นบุตรของพระยาพัทลุง (ตะตา)

พระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) สมรสกับท่านแป้น บุตรีของพระราชาเศรษฐี

พระราชาเศรษฐีมีบุตรธิดา ๓ คน คือ พระยารามจตุรงค์ ท่านจุ้ยและท่านแป้น

ท่านจุ้ยได้เป็นเจ้าจอมมารดาจุ้ย พระสนมโทของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชกับเจ้าจอมมารดาจุ้ย (หรือท้าวทรงกันดาล) มีพระโอรส คือ พระองค์เจ้าชายวาสุกรี ซึ่งต่อมาดำรงสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส นะครับ

ทางด้านท่านแป้น ท่านเป็นน้องสาวของเจ้าจอมมารดาจุ้ยหรือท้าวทรงกันดาล ดังนั้น ท่านแป้นจึงมีศักดิ์เป็นพระมาตุฉา (น้า) ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ครับ

ท่านแป้นได้สมรสกับพระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) มีบุตรธิดาสืบตระกูล คือ

๑. พระยาพัทลุง (ทองขาว)

๒. ท่านนาง ภรรยานายนุ่น หลานเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (พัฒน์)

๓. เจ้าจอมมารดากลิ่น เป็นเจ้าจอมมารดา พระสนมเอก ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช

๔. พระทิพกำแหงสงครามปลัด (กล่อม)

๕. เจ้าจอมฉิม ได้ถวายตัวเป็นเจ้าจอม ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ไม่มีพระองค์เจ้า บางที่ว่ามีพระองค์เจ้าหญิงสุด

พระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) กับภรรยาท่านอื่น ๆ มีบุตรธิดาดังนี้

๑. นางบุญศรี ได้ถวายตัวอยู่ในพระราชวังหลังกับคุณฉิม

๒. นางบุญไทย ได้ถวายตัวอยู่ในพระราชวังหลังกับคุณฉิม

๓. นายด่อน

๔. นายชู

๕. พระปราณบุรี (จุ้ย)

๖. นางทองมี

ท่านกลิ่นได้เป็นเจ้าจอมมารดากลิ่นในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มีพระโอรส คือ พระองค์เจ้าชายสุทัศน์ (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นไกรสรวิชิต)

ดังนั้น พระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) กับท่านแป้น มีศักดิ์เป็นเสด็จตาและเสด็จยายของพระองค์เจ้าชายสุทัศน์ (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นไกรสรวิชิต)  

กล่าวโดยสรุปอีกทีนะครับ พระราชาเศรษฐีมีบุตรชาย คือ พระยารามจตุรงค์ มีบุตรี คือท่านจุ้ย ซึ่งได้เป็นเจ้าจอมมารดาจุ้ยในรัชกาลที่ ๑ หรือเป็นท้าวทรงกันดาล และบุตรีอีกท่านหนึ่งคือท่านแป้น ได้เป็นคุณหญิงแป้น ภริยาของพระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก)

ส่วนบุตรีของพระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) กับท่านแป้น คือท่านกลิ่น ได้เป็นเจ้าจอมมารดาในรัชกาลที่ ๑ 

ดังนั้นเจ้าจอมมารดากลิ่นในรัชกาลที่ ๑ จึงมีศักดิ์เป็นหลานสาวของเจ้าจอมมารดาจุ้ย และเจ้าจอมมารดาจุ้ยมีศักดิ์เป็นป้าของเจ้าจอมมารดากลิ่น                       

ส่วนท่านทองขาว ได้ดำรงตำแหน่งเป็นพระยาวิชิตเสนามหาพิชัย อภัยพิริยศรีสงคราม หรือพระยาพัทลุง (ทองขาว) เจ้าเมืองพัทลุง

พระยาวิชิตเสนามหาพิชัยฯ หรือพระยาพัทลุง (ทองขาว) สมรสกับท่านปล้อง มีบุตรรวม ๙ คน                         

ธิดาคนโตของพระยาพัทลุง (ทองขาว) กับท่านปล้อง ชื่อ ท่านผ่อง ได้สมรสกับพระอักษรสมบัติ (ทับ หรือหม่อมทับ หรือหม่อมราชวงศ์ทับ) มีบุตรธิดารวม ๖ คน  

ธิดาคนที่ ๓ ของพระอักษรสมบัติ (ทับ) กับท่านผ่อง ชื่อท่านทรัพย์ ได้เป็นเจ้าจอมมารดาทรัพย์ พระสนมเอก ในรัชกาลที่ ๓

เจ้าจอมมารดาทรัพย์และรัชกาลที่ ๓ มีพระราชโอรสธิดา ๒ พระองค์ พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ คือพระองค์เจ้าชายศิริวงศ์ (สมเด็จพระราชมหัยกาเธอ กรมหมื่นมาตยาพิทักษ์)

พระราชธิดาองค์สุดท้อง คือ พระองค์เจ้าหญิงลม่อม (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาสุดารัตนราชประยูร)

พระองค์เจ้าชายศิริวงศ์ (สมเด็จพระราชมหัยกาเธอ กรมหมื่นมาตยาพิทักษ์) ทรงเป็นพระบิดาของ หม่อมเจ้าหญิงรำเพย (สมเด็จพระเทพศิรินทรา บรมราชินี) ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเป็นพระบรมราชชนนี ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

โปรดติดตามต่อนะครับ


มินามีเรื่องเล่า เราเป็นญาติกันที่พัทลุง พระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) สายสัมพันธ์ครอบครัว ตอนที่ ๕

 


มินามีเรื่องเล่า เราเป็นญาติกันที่พัทลุง พระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) สายสัมพันธ์ครอบครัว ตอนที่ ๕

สวัสดีครับ ขออนุญาตเล่าเรื่องพระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) ต่อนะครับ อาจจะเล่าซ้ำไปซ้ำมา นะครับ แต่เรื่องต่าง ๆ เราต้องใช้หลักการ เน้น ซ้ำ ย้ำ ทวน และเห็นความสำคัญ ก็จะทำให้เรามีความรู้ ความเชี่ยวชาญนะครับ

พระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) นั้นท่านสมรสกับท่านแป้น มีบุตรธิดาที่สำคัญได้แก่ พระยาพัทลุง (ทองขาว) และเจ้าจอมมารดากลิ่น ในรัชกาลที่ ๑

เจ้าจอมมารดากลิ่นในรัชกาลที่ ๑ มีพระราชโอรส คือ พระองค์เจ้าชายสุทัศน์ (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นไกรสรวิชิต) เป็นต้นราชสกุล สุทัศน์ ณ อยุธยา

ขอเล่าพระราชประวัติของพระองค์เจ้าชายสุทัศน์ (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นไกรสรวิชิต) ก่อนนะครับ

พระองค์เจ้าชายสุทัศน์ (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นไกรสรวิชิต) ทรงเป็นพระราชโอรสของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกกับเจ้าจอมมารดากลิ่น

เจ้าจอมมารดากลิ่น เป็นบุตรีของพระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) กับท่านแป้น ท่านมีพี่ชาย คือ พระยาพัทลุง (ทองขาว)

พระองค์เจ้าชายสุทัศน์ทรงมีพระนามที่เรียกกันทั่วไปว่า พระองค์โต (หนังสือราชสกุลวงศ์, หน้า ๑๙) เนื่องจากมีรูปร่างสูงใหญ่ ทรงประสูติเมื่อวันพุธที่ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๓๔๑

พระชนนีของพระองค์เจ้าชายสุทัศน์ คือ เจ้าจอมมารดากลิ่น เป็นบุตรีของพระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) กับท่านแป้น 

ดังนั้นพระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) จึงมีศักดิ์เป็นพระอัยกา (ตา) ของพระองค์เจ้าชายสุทัศน์ และท่านแป้นมีศักดิ์เป็นพระอัยกี (ยาย) ของพระองค์เจ้าชายสุทัศน์

ส่วนพระยาพัทลุง (ทองขาว) ผู้เป็นพี่ชายของเจ้าจอมมารดากลิ่น จึงมีศักดิ์เป็นพระมาตุลา (น้าชาย) ของพระองค์เจ้าชายสุทัศน์ นะครับ

พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ทรงสถาปนาพระองค์เจ้าชายสุทัศน์เป็น กรมหมื่นไกรสรวิชิต เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๗๒ โปรดให้ทรงกำกับกรมสังฆการี กรมธรรมการ รวมทั้งกรมอาลักษณ์และคลังเสื้อหมวก และคลังศุภรัต (ราชสกุลวงศ์, หน้า ๑๙)

พระองค์เจ้าชายสุทัศน์ (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นไกรสรวิชิต) สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๓ เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๓๙๐ พระชันษา ๔๙ ปี ทรงเป็นต้นราชสกุล สุทัศน์ ณ อยุธยา

เชิงอรรถที่ ๖ ของพงษาวดารเมืองพัทลุง (คำว่าพงษาวดารเขียนตามหนังสือ นะครับ) ฉบับหมื่นสนิทภิรมย์ ในหนังสือประชุมพงษาวดารปากใต้ในสยามประเทศ (ฉบับชำระใหม่) อธิบายพระประวัติของพระองค์เจ้าสุทัศน์ว่า

พระองค์เจ้าสุทัศน์ เป็นพระโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก กับเจ้าจอมมารดากลิ่น ธิดาพระยาพัทลุง (ขุน) ประสูติเมื่อวันที่ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๓๔๖ ขณะยังทรงพระเยาว์ เรียกกันว่า พระองค์โต

ในสมัยรัชกาลที่ ๓ ได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นกรมหมื่นไกรสรวิชิต ทรงกำกับกรมสังฆการี กรมธรรมการ และได้ว่ากรมอาลักษณ์และคลังเสื้อหมวก

พระองค์สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๓๙๐ พระชนมายุ ๔๙ ปี ต้นราชสกุล สุทัศน์ (เชิงอรรถที่ ๖ ของพงษาวดารเมืองพัทลุง ฉบับหมื่นสนิทภิรมย์ ในหนังสือประชุมพงษาวดารปากใต้ในสยามประเทศ (ฉบับชำระใหม่), หน้า ๘๙.)

คราวนี้ย้อนกลับมาที่บุตรชายของพระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) กับท่านแป้น นะครับ นั่นคือ ท่านทองขาว พี่ชายของเจ้าจอมมารดากลิ่น นะครับ

ท่านทองขาว ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระยาพัทลุง (ทองขาว) และสมรสกับท่านปล้อง บุตรีของพระยาราชวังสัน (หวัง) ทั้งคู่ มีบุตรี คือ ท่านผ่อง

ท่านผ่องสมรสกับหม่อมราชวงศ์ทับ หรือหม่อมทับ มีบุตรี คือเจ้าจอมมารดาทรัพย์ พระสนมเอกในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓

เจ้าจอมมารดาทรัพย์ มีพระโอรส คือ พระองค์เจ้าชายศิริวงศ์ (สมเด็จพระบรมราชมาตามหัยกาเธอ กรมหมื่นมาตยาพิทักษ์)

พระองค์เจ้าชายศิริวงศ์ (สมเด็จพระบรมราชมาตามหัยกาเธอ กรมหมื่นมาตยาพิทักษ์) ทรงเป็นพระชนกของพระองค์เจ้าหญิงรำเพยภมราภิรมย์ (สมเด็จพระเทพศิรินทรา บรมราชินี)

พระองค์เจ้าหญิงรำเพยภมราภิรมย์ (สมเด็จพระเทพศิรินทรา บรมราชินี) ทรงเป็นพระราชชนนีของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นะครับ

ผู้สืบตระกูลของพระยาพัทลุง (ขุนคางเหล็ก) ได้รับพระราชทานนามสกุลในรัชกาลที่ ๖ ว่า “ณ พัทลุง

เรื่องราวรายละเอียดของท่านแต่ละท่าน จะนำเสนอต่อไปครับ เช่นเคยครับ โปรดติดตามอย่างตามติด


มินามีเรื่องเล่า เราเป็นญาติกันที่พัทลุง พระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) ตอนที่มาของฉายาขุนคางเหล็ก ตอนที่ ๔

 


มินามีเรื่องเล่า เราเป็นญาติกันที่พัทลุง พระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) ตอนที่มาของฉายาขุนคางเหล็ก ตอนที่ ๔

 สวัสดีครับ วันนี้จะขอเล่าที่มาของฉายา “ขุนคางเหล็ก” ของพระยาพัทลุง (ขุน) นะครับ

พระยาพัทลุง (ขุน) ได้เป็นเจ้าเมืองพัทลุงในสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองพัทลุงต่อในสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก 

พระยาพัทลุง (ขุน) มีฉายาว่า ขุน หรือขุนคางเหล็ก คำว่าคางเหล็กย่อมก่อให้เกิดความสงสัยกับท่านที่ได้ยินชื่อของพระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) เป็นครั้งแรก

ที่มาของคำว่า “คางเหล็ก” นั้น มีที่มาสองเรื่อง เรื่องแรกเกิดขึ้นในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช มีเรื่องเล่าว่า ในช่วงปลายรัชกาลของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระองค์ทรงมีพระสติวิปลาส ทรงรับสั่งถามพวกขุนนางว่า พระองค์จะเสด็จขึ้นสวรรค์ ใครจะตามเสด็จขึ้นไปบ้าง

พวกขุนนางทั้งปวงต่างตกใจ พากันก้มหน้านิ่ง ไม่กล้าเพ็ดทูลประการใด สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชตรัสถามเป็นครั้งที่สองด้วยพระสุรเสียงทรงกริ้ว ในช่วงเวลาที่ตื่นเต้นตกใจนั้น พระยาพัทลุงแก้วโกรพพิชัย (ขุน) ถวายบังคมกราบทูลได้เนื้อความว่า

“ข้าพระพุทธเจ้าบุญบารมีน้อย เหลือวิสัยที่จะตามเสด็จขึ้นสวรรค์ในชีวิตนี้ได้ ต่อเมื่อชีวิตหาไม่แล้ว จึงจะตามเสด็จไปทีหลัง

ปฏิภาณอันเฉียบคมนี้ทำให้สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงโปรดมาก พระองค์ตรัสว่า

“พูดถูก คนอื่นไม่มีบุญเหมือนเรา”

คำกราบทูลของพระยาพัทลุงแก้วโกรพพิชัย (ขุน) ทำให้ขุนนางทั้งปวงพลอยพ้นผิด และพากันขนานนามให้ท่านขุนว่า “คางเหล็ก” (พงศาวดารเมืองพัทลุง ในประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม ๖ หน้า ๒๓๓)

ทำไมคางเหล็ก ก็เพราะคนอื่น ๆ ไม่มีใครสามารถคิดคำพูดที่เหมาะสมกราบทูลในช่วงเวลาวิกฤตินั้นได้ แต่พระยาพัทลุงแก้วโกรพพิชัย (ขุน) ไตร่ตรองแล้วพูด สามารถใช้ถ้อยคำแก้ไขสถานการณ์วิกฤตให้ดีขึ้นได้ หากท่านใช้คำพูดไม่เหมาะสม และกราบทูลไม่ตรงจังหวะที่ดี อาจถูกลงอาญาได้

ดังนั้น ฉายาว่า “ขุนคางเหล็ก” จึงมีความหมายว่า ท่านขุน “มีความฉลาดเฉลียว มีปฏิภาณไหวพริบในการใช้คำพูด”

ฉายาขุนคางเหล็กมีที่มาอีกเรื่องหนึ่ง โดยพงศาวดารจังหวัดพัทลุง ฉบับที่แต่งโดย หลวงศรีวรฉัตร์ (พิณ จันทโรจวงศ์) ซึ่งรวมอยู่ในประชุมพงศาวดารภาคที่ ๑๕ กล่าวถึงเหตุการณ์ที่ ๒ คือ พระยาพัทลุง (ขุน) ทำน้ำเค็มให้เป็นน้ำจืด และเรื่องการกราบทูลต่อพระเจ้าตากสินของพระยาพัทลุง (ขุน)

เหตุการณ์เรื่องทำน้ำเค็มให้เป็นน้ำจืด มีว่า เมื่อครั้งพระยาพัทลุง (ขุน) คุมทัพเรือโดยเสด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทในรัชกาลที่ ๑ ไปตีเมืองปัตตานี ระหว่างเดินทางเกิดขาดแคลนน้ำจืด ทหารพากันอดน้ำ พระยาพัทลุง (ขุน) จึงเอาเท้าแช่ลงในทะเล บันดาลให้น้ำเค็มกลายเป็นน้ำจืด พวกทหารได้ดื่มน้ำและตักเก็บไว้

ต่อมาเจ้าพระยานครศรีธรรมราช ได้นำความเรื่องนี้กราบทูลฟ้องต่อกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทว่า พระยาพัทลุง (ขุน) อวดอ้างว่า ทำน้ำเค็มเป็นน้ำจืดได้ ถือเป็นการกบฏ

กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทจึงตรัสถามพระยาพัทลุง (ขุน) ว่าเป็นเพราะเหตุใด

พระยาพัทลุง (ขุน) ได้กล่าวแก้ตัวว่า

“...พวกพลอดน้ำได้ความลำบากกันดารนัก จึงเสี่ยงเอาพระบารมีพระเจ้าอยู่หัว น้ำในทะเลจึงบันดาลจืดได้ พวกพลได้รับประทานเป็นกำลังรับราชการต่อไป หาใช่ด้วยอำนาจวาสนาของท่านเองไม่” (พงศาวดารเมืองพัทลุง ในประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม ๖ หน้า ๒๓๓)

คำแก้ตัวเรื่องทำน้ำทะเลให้จืดนี้ทำให้ท่านได้รับความชอบและเรื่องนี้เป็นที่รู้จักกันแพร่หลาย ดังนั้น ท่านจึงมีฉายาว่า “ขุนคางเหล็ก” นะครับ

มินามีเรื่องเล่า มินามีเรื่องเล่า เราเป็นญาติกันที่พัทลุง พระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) ตอนที่ ๓

 


มินามีเรื่องเล่า มินามีเรื่องเล่า เราเป็นญาติกันที่พัทลุง พระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) ตอนที่ ๓

พระยาพัทลุง (ขุน หรือ ขุนคางเหล็ก) เกิดปี พ.ศ. ๒๒๗๗ ในกรุงศรีอยุธยา ท่านป็นบุตรชายของพระยาราชบังสัน (ตะตา) เจ้าเมืองพัทลุงคนที่ ๗ 

พระยาราชบังสัน (ตะตา) เป็นบุตรชายของพระยาจักรีเจ้าเมืองพัทลุง (ฮุสเซน) เจ้าเมืองพัทลุง คนที่ ๓

พระยาจักรี (ฮุซเซน) เป็นบุตรชายคนกลางของสุลต่านสุลัยมาน

ดังนั้น พระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) จึงเป็นเหลนของสุลต่านสุลัยมาน (ชาห์)

พระยาพัทลุง (ขุนคางเหล็ก) เกิดและเติบโตในกรุงศรีอยุธยา พูดภาษาปักษ์ใต้ไม่เป็น เมื่ออายุ ๑๔ ปี ท่านเข้ารับราชการเป็นมหาดเล็ก เด็กชาในแผ่นดินพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ

ในสมัยนั้นมีมหาดเล็กที่มีชื่อเสียงอยู่ในประวัติศาสตร์ ๓ คน คือ นายทองด้วง (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช) นายสิน (สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช) นายบุนนาค (เจ้าพระยาอรรคมหาเสนา ต้นตระกูลบุนนาค) ซึ่งสนิทสนมกัน แต่ความจริงยังมี นายขุน ด้วยอีกคน นะครับ

นายสินกับนายขุนเป็นมหาดเล็กอยู่วังหลวงในแผ่นดินพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศด้วยกัน ทั้งยังมีนิสัยค่อนข้างไปทางนักเลงและชอบตีไก่เหมือนกัน

แต่นายทองด้วงกับนายบุนนาค เป็นมหาดเล็กวังหน้า ในเจ้าฟ้าอุทุมพร กรมขุนพรพินิต ทั้งคู่มีนิสัยเหมือนกัน คือ เป็นคนมีความสุขุมรอบคอบ

สรุปคือ มีมหาดเล็กเพื่อนกัน ๔ เกลอ นะครับ คือมหาดเล็กสิน มหาดเล็กขุน มหาดเล็กทองด้วง และมหาดเล็กบุนนาค ทั้งสี่คนจะมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ชาติไทย นะครับ

ก่อนกรุงศรีอยุธยาแตก นายขุนได้เป็น หลวงสิทธินายเวร ครั้นกรุงศรีอยุธยาแตกได้อพยพลงมาอยู่แถบวัดหนังบางขุนเทียน กรุงธนบุรี และได้สมรสกับ ท่านแป้น ธิดาของขุนนางรามัญที่อยู่แถบคลองมอญ

ท่านแป้นมีพี่ชายคนโตชื่อ มะโดด หรือ มะซวน ในสมัยต้นกรุงธนบุรีได้เป็น พระยานครอินทร์ และยังมีพี่สาวชื่อ ทองคำ ได้เป็น ท้าวทรงกันดาล

ท่านแป้นจึงมีพี่ชายพี่สาวเป็นข้าราชการทั้งฝ่ายหน้าฝ่ายใน ซึ่งได้ชักนำให้หลวงสิทธินายเวร (ขุน) เข้ารับราชการกับสหายเก่าครั้งยังเป็นมหาดเล็กด้วยกัน และตามเสด็จลงไปปราบก๊กเจ้าพระยานครในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ ขณะนั้นท่านมีอายุ ๓๕ ปี หลังจากปราบก๊กเจ้าพระยานครแล้ว สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจึงโปรดเกล้าฯให้นายขุน ผู้เป็นสหายเก่า เป็น พระยาภักดีนุชิตสิทธิสงคราม ช่วยว่าการเมืองนครศรีธรรมราช

ต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๕ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงโปรดฯ ให้พระยาภักดีนุชิต สิทธิสงคราม (ขุน) ไปเป็นเจ้าเมืองพัทลุง ในราชทินนาม พระยาแก้วโกรพพิชัย ศรีพิริยะพาหะ (ขุน) เช่นเดียวกับบิดา คือ พระยาราชบังสัน (ตะตา) ซึ่งมีราชทินนามว่า พระยาแก้วโกรพพิชัยฯ เช่นกัน ทว่ามีคำสร้อยต่างกัน

 ในปี พ.ศ. ๒๓๑๕  พระยาพัทลุง (ขุน หรือ ขุนคางเหล็ก) ได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ

 พระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) ท่านรับราชการอยู่ ๑๗ ปี ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๓๒ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก สิริอายุได้ ๕๕ ปี นะครับ


มินามีเรื่องเล่า เราเป็นญาติกันที่พัทลุง พระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) ตอนที่ ๒

 


มินามีเรื่องเล่า เราเป็นญาติกันที่พัทลุง พระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) ตอนที่ ๒

สวัสดีครับ วันนี้เรามาฟังเรื่องราวของพระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) ต่อนะครับ

พระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) ได้เป็นเจ้าเมืองพัทลุงเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๑๕ ในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช นะครับ

เมื่อมาเป็นเจ้าเมืองพัทลุงแล้ว ท่านได้ตั้งเมืองอยู่ที่ตำบลลำปำ ใกล้ทะเลสาบสงขลา

พระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) เดิมนับถือศาสนาอิสลาม ต่อมาท่านได้เปลี่ยนมานับถือพุทธศาสนา จึงเป็นเหตุให้วงศาคณาญาติของท่านมีทั้งนับถือศาสนาพุทธและศาสนาอิสลามมาจนทุกวันนี้ นะครับ

พระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๓๒ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช

 พระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) มีภรรยา คือ ท่านแป้น นะครับ

ท่านแป้นเป็นน้องร่วมท้องกับท้าวทรงกันดาล (ทองมอญ) ผู้สืบสายสกุลมอญมาจากพระยาเกียรติและพระยารามในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

ท้าวทรงกันดาล (ทองมอญ) เป็นมารดาของหม่อมทับ ซึ่งหม่อมทับเป็นสามีท่านผ่อง

 หม่อมทับและท่านผ่องมีธิดาชื่อทรัพย์ ต่อมาได้เป็นเจ้าจอมมารดาทรัพย์ ในรัชกาลที่ ๓ นะครับ

 ย้อนมาที่ พระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) กับท่านแป้น นะครับ ทั้งคู่มีบุตรธิดาสืบตระกูลดังนี้ รวม ๕ ท่านครับ ได้แก่

๑. พระยาพัทลุง (ทองขาว)

๒. ท่านนาง ต่อมาเป็นภรรยานายนุ่น หลานเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (พัฒน์)

๓. เจ้าจอมมารดากลิ่น ได้เป็นเจ้าจอมมารดาพระสนมเอกในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก

๔. พระทิพกำแหงสงครามปลัด (กล่อม)

๕. เจ้าจอมฉิม ได้ถวายตัวเป็นเจ้าจอมในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ไม่มีพระองค์เจ้า แต่หนังสือ ประวัติศาสตร์เมืองพัทลุง แต่งโดยถนอม พูนวงศ์ ระบุว่า เจ้าจอมมารดาฉิมในรัชกาลที่ ๑ มีพระราชธิดาคือ พระองค์เจ้าหญิงสุด นะครับ

นอกจากนี้ พระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) ยังมีบุตรธิดากับภรรยาอื่น ๆ ดังนี้ ครับ

๑. นางบุญศรี ได้ถวายตัวอยู่ในพระราชวังหลังกับคุณฉิม

๒. นางบุญไทย ได้ถวายตัวอยู่ในพระราชวังหลังกับคุณฉิม

๓. นายด่อน

๔. นายชู

๕. พระปราณบุรี (จุ้ย) ไม่ทราบนามบุตรสืบสกุล

๖. นางทองมี

ในบรรดาบุตรธิดาของพระยาพัทลุง (ขุน หรือขุนคางเหล็ก) มีสองท่านที่มีชื่อเสียง ได้แก่ ท่านทองขาว ซึ่งต่อมาได้เป็นพระยาพัทลุง (ทองขาว) สมรสกับท่านปล้อง บุตรีของพระยาราชวังสัน (หวัง)

อีกท่านหนึ่งคือ ท่านกลิ่น ซึ่งต่อมาได้เป็นเจ้าจอมมารดากลิ่น ในรัชกาลที่ ๑ และเป็นพระชนนีของพระองค์เจ้าสุทัศน์ นะครับ


มินามีเรื่องเล่า เราเป็นญาติกัน ตอนตำนานท่านฟารีซี เจ้าเมืองท่านแรกของเขาเมืองชัยบุรี

 



มินามีเรื่องเล่า เราเป็นญาติกัน ตอนตำนานท่านฟารีซี เจ้าเมืองท่านแรกของเขาเมืองชัยบุรี  

สวัสดีครับ มินามีเรื่องเล่าวันนี้จะขอเล่าเรื่องของท่านฟารีซี เจ้าเมืองพัทลุงที่เขาเมืองชัยบุรีต่อนะครับ แต่เป็นตำนานพื้นบ้าน

ท่านฟารีซี เป็นที่รู้จักกันในนามท่านมะระโหม หรือท่านทวดโหม หรือท่านตาเพชร หรือพ่อขุนตาเพชร นะครับ         

คำว่า มะระโหม หรือคำย่อว่า โหม แปลว่า ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วนะครับ

ตำนานพื้นบ้านเกี่ยวกับท่านมะระโหมที่เล่ากันไว้มีดังต่อไปนี้ครับ

ท่านมะระโหมเป็นชาวเมืองตรังกานู ท่านได้ออกเดินทางจากบ้านและเที่ยวพเนจรเรื่อยมาจนถึงเมืองละงู ปัจจุบันเมืองละงูอยู่ในจังหวัดสตูล นะครับ

ท่านมะระโหมได้ข่าวมาว่าที่เมืองละงูแห่งนี้มีผู้รู้ทางวิชาอาคมแก่กล้า เป็นที่เกรงขามแก่ชาวบ้านทั่วไป มีชื่อว่า “ท่านโต๊ะงู”

ท่านมะระโหมจึงให้ชาวบ้านช่วยพาไปหาท่านโต๊ะงูท่านนั้น แต่ชาวบ้านต่างเกรงกลัวท่านโต๊ะงู ไม่กล้าพาไป ได้แต่ชี้บ้านให้เห็นเท่านั้น

เมื่อท่านมะระโหมเข้าไปหาท่านโต๊ะงู ท่านโต๊ะงูไม่ถูกชะตา คิดจะฆ่าท่านมะระโหม แต่ท่านมะระโหมได้ขอผลัดไปเป็นวันรุ่งขึ้น

ทำไมต้องผลัดวันไปเป็นวันรุ่งขึ้น ทั้งนี้เพื่อให้ท่านโต๊ะงูได้ประกาศให้ชาวบ้านทราบเรื่อง จะได้มาคอยชมการฆ่าในครั้งนี้

พอถึงตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น ชาวบ้านต่างพากันมาที่บ้านของท่านโต๊ะงูเพื่อดูเหตุการณ์ที่น่ากลัวนี้

ท่านโต๊ะงูพยายามฆ่าท่านมะระโหมโดยกระโดดเข้าไปแทงท่านมะระโหมถึง ๓ ครั้ง แต่ไม่สามารถแทงถึงตัวท่านมะระโหมได้

ในที่สุดท่านโต๊ะงูยอมแพ้ และขอสมัครเป็นศิษย์ของท่านมะระโหม

เรื่องราวของท่านมะระโหมยังเกี่ยวข้องกับกรุงสุโขทัยอีกด้วยนะครับ

ต่อมากรุงสุโขทัยได้ประกาศหาคนดีมีฝีมือไปช่วยราชการศึก ท่านมะระโหมได้เดินทางไปกรุงสุโขทัยเพื่ออาสาปราบศึก

เหตุการณ์สำคัญคือ ท่านมะระโหมสามารถตัดศีรษะแม่ทัพข้าศึกได้ ท่านมีความดีความชอบมาก และได้รับราชการอยู่ที่กรุงสุโขทัย

แต่คำกล่าวที่ว่า จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย ยังคงดำรงอยู่เสมอ นะครับ

พวกขุนนางในเมืองสุโขทัยต่างพากันอิจฉาและกลัวว่าท่านมะระโหมจะเป็นกบฏ จึงคิดจะกำจัดท่าน

แน่นอน ท่านมะระโหมทราบเรื่องก่อน จึงหนีกลับเมืองพัทลุง

ท่านเดินทางกลับเมืองพัทลุงอย่างไรครับ

ตำนานเล่าว่า ท่านมะระโหมนั่งมาในกระทะใบบัวขนาดใหญ่ ท่านใช้ไม้ไผ่เป็นไม้ถ่อ ท่านมะระโหมถ่อกระทะใบบัวมาจนถึงคลองชะรัด ท่านได้ปักไม้ถ่อโดยเอาปลายลงไว้ริมคลองชะรัด ต่อมาไม้ถ่อได้งอเป็นกอไผ่ และยังคงมีอยู่จนถึงทุกวันนี้

ต่อมาท่านมะระโหมได้เสียชีวิตที่ชะรัด มีการปลูกศาลาคร่อมศพของท่านไว้ ชาวบ้านเรียกว่า “ศพทวดโหม” ณ สุสานสุลต่านฟารีซี ปัจจุบันคือมัสยิดบ้านชะรัดเหนือ นะครับ

นี้คือตำนานมุขปาฐะที่เล่าต่อกันมาของท่านมะระโหมนะครับ


มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French

  มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French กรมหลวงพิพิธมนตรี (พระพันวัสสาน้อย) เป็นพระอัครมเหสีน้อยของสมเด็จพ...