Chalermkiat Mina

วันอาทิตย์, กรกฎาคม 16, 2566

มินามีเรื่องเล่า เป่าเทียนเพื่อฉลองวันเกิด Thai-English-French

 

มินามีเรื่องเล่า เป่าเทียนเพื่อฉลองวันเกิด


วันนี้ไม่ใช่วันเกิดของผม แต่ผมอยากเล่าเรื่องเป่าเทียนวันเกิด 

คุณเกิดเมื่อไร คุณเป่าเทียนฉลองวันเกิดไหมครับ

ตามธรรมเนียมแล้ว ในวันเกิดเรามักจะฉลองโดยการเป่าเทียนที่ปักอยู่บนเค้กวันเกิด เราต้องย้อนกลับไปยุคกรีกโบราณเพื่อหาร่องรอยต้นกำเนิดของขนบธรรมเนียมนี้นะครับ

ชาวกรีกฉลองวันเกิดโดยการบูชาเทพีอาร์เตมิส เทพีแห่งดวงจันทร์และการล่าสัตว์ หลังจากทำเค้กน้ำผึ้งรูปทรงกลมคล้ายพระจันทร์แล้ว ชาวกรีกจะไปที่วัด พวกเขาจุดเทียนที่ปักไว้บนเค้ก แสงจากเปลวเทียนเปรียบเสมือนแสงแห่งดวงดาว การบูชาเทพีอาร์เตมิสถือเป็นธรรมเนียมที่ต้องคุกเข่าก่อนที่จะเป่าเทียน


จากธรรมเนียมดังกล่าวนี้ เรายังคงรักษาแนวความคิดนี้ไว้ โดยเราอธิษฐานก่อนเป่าเทียนวันเกิด

*******************

Mina’s Stories: We blow out candles to celebrate a birthday. 

Today is not my birthday, but I would like to talk about the candle blowing on the occasion of one’s birhtday.

When is your birthday? Do you celebrate your birthday by blowing out candles?

Traditionally, a birthday is celebrated by blowing out candles on a cake. We have to go back to ancient Greece to find the first traces of this tradition.

To celebrate their birthdays, the Greeks used to honour Artemis, the goddess of the moon and the hunt.

So they went to a temple after having prepared a round shaped honey cake. This round shaped cake evoked the form of the moon.

Then the Greeks placed candles which they lit to imitate the glow of the star on the surface of the moon-shaped cake. It was then customary to praise this ancient goddess on her knees before blowing on the candles.

 From this custom, we have also retained the idea of the wish we formulate before putting out the candles.

****************

 Histoires de MINA : On souffle des bougies pour fêter un anniversaire.

 Aujourd’hui, ce n’est pas mon anniversaire. Mais je voudrais parler des souffles de bougies.

 C’est grand votre anniversaire ? Vous célébrez votre anniversaire en soufflant des bougies ?

Traditionnellement, un anniversaire est célébré en soufflant des bougies sur un gâteau. Il nous faut remonter à l’antiquité grecque pour retrouver les premières traces de cette tradition.

 Pour célébrer leur anniversaire, les Grecs avaient pour habitude d’honorer Artémis, la déesse de la lune et de la chasse.

 Ils se rendaient donc dans un temple après avoir préparé un gâteau au miel de forme ronde, évoquant la lune.

 Puis, sur le gâteau en forme de lune, les Grecs plaçaient des cierges qu’ils allumaient pour imiter la lueur de l’astre. Il était alors d’usage de louer cette déesse ancienne à genoux avant de souffler sur les cierges.

 De cette coutume, nous avons d’ailleurs conservé l’idée du souhait que nous formulons avant d’éteindre les bougies.

*******************

วันอังคาร, กรกฎาคม 11, 2566

มินามีเรื่องเล่า สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ตอน มนุษยนาคมานพ

มินามีเรื่องเล่า สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ตอน มนุษยนาคมานพ
*********
สวัสดีครับ วันนี้ขออนุญาตเล่าความเป็นมาของพระนามเดิมของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสนะครับ 

สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ทรงประสูติเมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๐๓ ช่วงเทศกาลสงกรานต์พอดีนะครับ

สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงเล่าไว้ว่า 

“พอเราประสูติแล้ว อากาศที่กำลังสว่างมีเมฆตั้ง ฝนตกใหญ่ จนน้ำฝนขังนองชาลาตำหนัก ทูลกระหม่อมของเรา (ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๔) ทรงถือเอานิมิตนั้น ว่าแม้นกับคราวที่พระพุทธเจ้าเสด็จประทับ ณ ควงไม้ราชาตนพฤกษ์ ฝนตกพรำ สิ้น ๗ วัน มุจลินทนาคราชเอาขนดกายเวียนพระองค์ และแผ่พังพานเหนือพระเศียรเพื่อมิให้ฝนตกถูกพระองค์ ครั้นฝนหายแล้ว จึงคลายขนดจำแลงกายเป็นมาณพหนุ่มเข้ามายืนเฝ้าเฉพาะพระพักตร์ จึงพระราชทานนามเราว่า “พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ”

ต่อมาสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงได้พบความหมายของชื่อของพระองค์ในภายหลัง เมื่อพระองค์อ่านบาลีเข้าใจแล้ว พระองค์อธิบายว่า 

“ในบาลีมหาวรรคพระวินัย เล่ม ๑ ตอนทรมานอุรุเวลกัสสปชฎิล คำว่า “มนุสฺสนาโค” หรือ “มนุษยนาค” นั้น เป็นคำเรียกพระพุทธเจ้า คู่กับคำว่า “อหินาโค” หรือ “อหินาค” เป็นคำเรียกพญานาคที่เป็นงู เช่นนี้ คำว่า “มนุษยนาค” ก็เหมือนคำว่า “บุรุษรัตน์” หรือ “มหาบุรุษ” ที่ใช้เรียกท่านผู้สูงสุดในหมู่มนุษย์ คือ พระพุทธเจ้า และพระเจ้าแผ่นดิน”

ครับ ดังนั้น พระนามเดิมของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส คือ พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ มีที่มาดังที่กล่าวมานะครับ

ที่มาของข้อมูล หนังสือ เจ้านายและพระสนมเอก

วันอาทิตย์, กรกฎาคม 09, 2566

มินามีเรื่องเล่า พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน? Thai-English-French

มินามีเรื่องเล่า พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน? Thai-English-French

สวัสดีครับ วันนี้ผมเริ่มเรื่องโดยตั้งคำถามว่า “พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน?

ผมจำประโยคที่พระพุทธเจ้าทรงกล่าวกับพระอานนท์ก่อนที่พระองค์จะปรินิพพานว่า

“ดูก่อนอานนท์ พระธรรมและพระวินัยที่ตถาคตสอนและแสดงให้เห็นนี้ จะเป็นครูของพวกท่านหลังจากที่ตถาคตปรินิพพานแล้ว”

ผมคิดว่า ถ้าเราศึกษาพระธรรมและพระวินัยสม่ำเสมอ และตระหนักถึงคุณความดีของพระธรรมและพระวินัยที่นำทางชีวิตที่ดีให้เรา พระพุทธองค์อยู่กับพวกเราตลอดเวลา พระพุทธเจ้าย่อมอยู่ในใจของพวกเราตลอดเวลา ผมเชื่อเช่นนั้นนะครับ
******

Mina's Stories: Where is Lord Buddha?

Good morning. Today I begin my story with the question, “Where is Lord Buddha?”

I remember the well-known stanza spoken by the Buddha as he was about to pass away. He said to his close disciple, Phra Ananda, “Ananda, the Dhamma and the Discipline, which I have taught and demonstrated, let them be your teacher when I have passed away.”

In my opinion, if we always study and practice Dhamma and Discipline and realizing their benefits, the Buddha still exists with us. He is always in our mind. I do believe like that.
****

Histoires de MINA : Où est Le Bouddha ?

Bonjour, aujourd'hui je commence mon histoire par la question : « Où est le Bouddha ? » Je me souviens de la strophe bien connue prononcée par le Bouddha alors qu'il était sur le point de mourir.

Il dit à son proche disciple, Phra Ananda :

« Ananda, le Dhamma et la Discipline, que j’ai enseigné et démontré, qu'ils soient votre professeur quand je serai décédé. »

À mon avis, si nous étudions et pratiquons toujours le Dhamma et la Discipline et que nous nous rendons compte de leurs avantages pour mener notre vie en bonne voie, le Bouddha existe toujours avec nous. Il est toujours dans notre cœur. Je crois comme ça.
*****
Photo: ที่วิหาร วัดป่าศิริมงคล La Grande Statue du Bouddha dans le Vihara, sanctuaire secondaire de Wat Pa Sirimongkhon, Ban Phue, Khon Kaen. 



วันเสาร์, กรกฎาคม 08, 2566

มินามีเรื่องเล่า สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ตอนหัวอกเดียวกัน

มินามีเรื่องเล่า สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ตอนหัวอกเดียวกัน

สวัสดีครับ วันนี้ผมขอเล่าถึงสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ว่าด้วยตอนหัวอกเดียวกัน

หัวอกเดียวกันกับใครครับ ลองติดตามดูนะครับ

มาดูสายสัมพันธ์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ กันก่อนนะครับ

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและเจ้าจอมมารดาแพ พระสนมเอก มีพระราชโอรสและพระราชธิดา ๕ พระองค์ คือ

๑. พระองค์เจ้าหญิงยิ่งเยาวลักษณ์ อรรคราชสุดา (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ายิ่งเยาวลักษณ์ อรรคราชสุดา) ประสูติเมื่อวันพุธที่ ๒๑ มกราคม พ.ศ. ๒๓๙๔ สิ้นพระชนม์เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๒๙ พระชันษา ๓๖ ปี

๒. พระองค์เจ้าหญิงพักตร์พิมลพรรณ (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพักตร์พิมลพรรณ) ประสูติเมื่อวันพุธที่ ๒๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๓๙๗ สิ้นพระชนม์เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ พระชันษา ๕๒ ปี

๓. พระองค์เจ้าชายเกษมสันต์โสภาคย์ (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพรหมวรานุรักษ์) ประสูติเมื่อวันจันทร์ที่ ๑๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๓๙๙ สิ้นพระชนม์เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๔ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๗ พระชันษา ๖๙ ปี

๔. พระองค์เจ้าชายมนุษยนาคมานพ (สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส) ประสูติเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๐๓ สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๔ พระชันษา ๖๒ ปี

๕. พระองค์เจ้าหญิงบัญจบเบญจมา (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบัญจบเบญจมา) ประสูติเมื่อวันอังคารที่ ๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๐๔ สิ้นพระชนม์เมื่อพระชนมายุ ๓๒ พรรษา

สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส พระองค์ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ ๔ นะครับ

คราวนี้มาดูพระขนิษฐาและพระอนุชาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ กันนะครับ

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระเทพศิรินทรา พระบรมราชชนนี ทรงมีพระราชโอรสและพระราชธิดา ๔ พระองค์ ได้แก่

๑. สมเด็จเจ้าฟ้าชายจุฬาลงกรณ์ (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันอังคารที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๓๙๖ เสด็จสวรรคตเมื่อวันเสาร์ที่ ๒๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๓

๒. สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงจันทรมณฑล (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจันทรมณฑล โสภณภควดี กรมหลวงวิสุทธิกระษัตริย์) ประสูติเมื่อวันอังคารที่ ๒๔ เมษายน พ.ศ. ๒๓๙๘ สิ้นพระชนม์เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๐๖

๓. สมเด็จเจ้าฟ้าชายจาตุรนตรัศมี (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจาตุรนตรัศมี กรมพระจักรพรรดิพงศ์) ประสูติเมื่อวันอังคารที่ ๑๓ มกราคม พ.ศ. ๒๓๙๙ สิ้นพระชนม์เมื่อวันพุธที่ ๑๑ เมษายน พ.ศ.๒๔๔๓

๔. สมเด็จเจ้าฟ้าชายภาณุรังษีสว่างวงษ์ (สมเด็จพระราชปิตุลา บรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงษ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช) ประสูติเมื่อวันพุธที่ ๑๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๐๒ ทิวงคตเมื่อวันพุธที่ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๑

คราวนี้ย้อนมาที่หัวเรื่องนะครับ ทำไมหัวอกเดียวกัน

ปี พ.ศ. ๒๔๐๔ เป็นปีโหดร้ายกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส นะครับ

วันที่ ๙ กันยายน พ.ศ. ๒๔๐๔ สมเด็จพระเทพศิรินทรา บรมราชชนนี สวรรคต ขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระชนมายุได้ ๙ พรรษา

ต่อมาวันอังคารที่ ๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๐๔ เจ้าจอมมารดาแพ ถึงแก่อสัญกรรม หลังจากให้กำเนิดพระองค์เจ้าหญิงบัญจบเบญจมาได้ห้าชั่วโมงเศษ

ช่วงเวลาที่แสนเศร้านี้ สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ เพิ่งมีพระชนมายุได้ปีเศษ

หัวอกเดียวกัน คือ ทั้งสมเด็จพระเทพศิรินทรา บรมราชินีและเจ้าจอมมารดาแพ มาด่วนจากพระราชโอรสพระราชธิดาอย่างรวดเร็ว

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระขนิษฐาและพระอนุชา ทรงได้รับการดูแลจากพระองค์เจ้าหญิงลม่อม (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาสุดารัตนราชประยูร)

ส่วนสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ทรงได้รับการเลี้ยงดูจากท้าวทรงกันดาล (ศรี) คุณยายของท่าน

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระชนมายุห่างจากสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ๗ ปี และทั้งสองพระองค์ต่างตกอยู่ในหัวอกเดียวกัน คือสูญเสียผู้ให้กำเนิดในปีเดียวกัน ดังนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงมีพระเมตตาต่อพระอนุชาพระองค์นี้ยิ่งนัก

เรื่องราวของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสยังมีอีกนะครับ โปรดติดตาม

ที่มาของภาพ
https://www.finearts.go.th/promotion/view/20407 



วันศุกร์, กรกฎาคม 07, 2566

มินามีเรื่องเล่า ทิศในสิงคาลกสูตร

มินามีเรื่องเล่า ทิศในสิงคาลกสูตร 

สว้สดีครับ วันนี้ขอเล่าเรื่องการบูชาทิศจากเรื่องสิงคาลกสูตร นะครับ 

พระพุทธเจ้าได้ทรงพบชายหนุ่มคนหนึ่งทำพิธีไหว้ทิศตามที่บิดาบอกไว้

พระพุทธเจ้าทรงเปรียบเทียบคนที่ต้องเกี่ยวข้องช่วยเหลือกัน โดยเปรียบเสมือนเป็นทิศแทนทิศจริงๆ
เนื่องจากบุคคลที่พระองค์ทรงเปรียบเทียบ มีหน้าที่ต่อกัน มีความรักต่อกัน คอยช่วยเหลือเกื้อกูลกัน นับว่าสั่งสอนใจพวกเราชาวพุทธได้เป็นอย่างดี 

เรามาดูเรื่อง สิงคาลมาณพกันครับ 

วันหนึ่ง พระพุทธเจ้าเสด็จจากวัดเวฬุวัน จะเข้าไปบิณฑบาตในเมืองราชคฤห์ 

เมื่อผ่านไปใกล้ๆ เมือง ก็ได้ทอดพระเนตรเห็นมาณพคนหนึ่งชื่อว่า สิงคาลกะ ซึ่งตื่นแต่เช้า ออกมานอกเมืองราชคฤห์ แล้วก็ลงอาบน้ำ ร่างกาย ผ้าผ่อนปียก ผมเปียก ขึ้นมายืนกลางแจ้ง แล้วก็หันไปทางทิศต่างๆ ไหว้ทิศโน้น ทิศนี้ รวมทั้ง ๖ ทิศ ครบหมด 
เขาเริ่มไหว้ทิศตะวันออก แล้วก็หันไปทางทิศใต้ ทิศตะวันตก ทิศเหนือ ทิศเบื้องล่าง ทิศเบื้องบน 

พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าไปทักทายชายหนุ่ม แล้วทรงสนทนาด้วย 

พระองค์ถามเขาว่า “ท่านทำอะไร”  ชายหนุ่มทูลตอบว่า “ข้าพเจ้าไหว้ทิศ” เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสถามว่า “ทำไมจึงไหว้อย่างนั้น” เขาก็เล่าให้พระองค์ฟังว่า 

“พ่อของข้าพเจ้า เมื่อท่านนอนอยู่บนเตียง ตอนที่จะถึงแก่กรรม ท่านสั่งไว้ว่า เมื่อพ่อสิ้นไปแล้ว ขอให้ลูกปฏิบัติตามคำสั่งพ่อ ขอให้ลูกไหว้ทิศเป็นประจำ จะได้เกิดสิริมงคล เจริญงอกงาม ข้าพเจ้าก็เลยปฏิบัติตามคำสั่งของพ่อ เพื่อจะได้ เป็นลูกที่ดี" 

พระพุทธเจ้าตรัสว่า “การปฏิบัติตามคำสอนของพ่อแม่นั้นดี เพราะท่านมีความหวังดี แต่การไหว้ทิศของเธอ ยังไม่ถูกต้อง 

"ทิศที่ถูกต้องเป็นอย่างไรครับ" มาณพสงสัย 

พระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงหลักคำสอนที่เรียกว่าสิงคาลกสูตร 

ก่อนที่มาณพจะไหว้ทิศ เขาจะไปอาบน้ำชำระล้างร่างกายเป็นการเตรียมตัวก่อน แล้วมายืนไหว้พระพุทธเจ้า

พระองค์ทรงสอนการไหว้ทิศในอริยวินัย ในทำนองที่ให้เป็นลำดับทั้ง ๖ ทิศ 

ทิศทั้ง ๖ คืออะไร โปรดติดตามในวันพรุ่งนี้นะครับ
**************
Mina’s Stories: Explanation of the Six Directions in Singalāka Sutta

Today I would like to talk about the worshiping of the directions in the story of Singālaka Sutta. Lord Buddha compared the directions as the persons who are important to us. Let us know the story of Singālaka.

One day the Buddha left Veluvana Monastery for an alms-round in the city of Rājagaha. As he was approaching the city, he saw a young man by the name of Singālaka. The young man woke up in the early morning, went out of the city of Rājagaha, and bathed himself. With his wet body, wet clothing, and wet hair, he got up, stood in the open air, and then turned in different directions, paying homage to each and all of the six directions. He started with the east, then the south, the west, the north, the nadir or “lower direction”, and finally the zenith or the “upper direction”.

The Buddha went to greet him and then talked to him, asking what he was doing. The young man answered that he was paying homage to the directions. When asked by the Buddha why he was performing the worship that way, he recounted thus:

“As my father was lying on his deathbed, he told me to follow his instructions, after his death, by regularly paying homage to the directions so as to be favoured by fortune and blessed with growth and prosperity. To be filial, I have therefore obeyed him.”  

The Buddha said that it was good to comply with parents’ instructions as they wished well to their children. But his way of paying homage to the directions was not correct.

Singālaka wondered what directions in the Noble One’s discipline for civilized people were like. The Buddha, therefore, expounded the teaching called Singālaka Sutta.

Before worshiping the directions, the young man would first bathe to clean himself as a preparatory gesture, and then, in an upright position on his feet, pay homage to the Buddha. Likewise, the Buddha also taught how to worship the directions in the Noble One’s discipline in stages, as it were.
What are the six directions of Lord Buddha? Please follow the story tomorrow. 

 ************
Histoires de MINA : Explication des six points cardinaux dans Singalāka Sutta

Aujourd'hui, je voudrais parler de la vénération des six points cardinaux dans l'histoire de Singālaka Sutta. Dans l'histoire, le Bouddha a comparé les six points cardinaux comme les personnes qui sont importantes pour nous. Voici l’histoire de Singālaka.

Un jour, le Bouddha quitta le monastère de Veluvana pour recevoir des offrandes de nourritures dans la ville de Rājagaha. Alors qu'il approchait de la ville, il vit un jeune homme du nom de Singālaka, qui se réveilla tôt le matin, sortit de la ville de Rājagaha et se baigna. Avec son corps mouillé, ses vêtements mouillés et ses cheveux mouillés, il se leva, se tint en plein air, puis tourna dans différentes directions et rendit hommage à chacune des six directions. Il commença par l'est, puis le sud, le l'ouest, le nord, le nadir, qui est directement au-dessous de nos pieds, et enfin le zénith, qui est directement au-dessus de notre tête.
 
Le Bouddha alla le saluer puis lui parla. Il lui demanda ce qu'il faisait. Le jeune homme répondit qu'il rendit hommage aux points cardinaux. Quand le Bouddha lui demanda pourquoi il accomplissait le culte de cette façon, il raconta ainsi :

« Alors que mon père, sur son lit, était en train de mourir, il me dit de suivre ses instructions, après sa mort, en rendant régulièrement hommage aux points cardinaux afin d'acquérir de la fortune et toute sortes de prospérités.
  
Le Bouddha dit qu'il était bon de se conformer aux instructions des parents car ils souhaitaient du bien à leurs enfants. Mais la façon de respecter les instructions n'était pas correcte. 

Singālaka lui demanda à quoi ressemblaient les orientations de la discipline du Noble pour les gens civilisés. Le Bouddha exposa donc l'enseignement appelé Singālaka Sutta.

Avant de rendre hommage aux points cardinaux, Singālaka se lava d'abord pour se nettoyer en guise de geste préparatoire, puis, se tint sur ses pieds, lui rendait hommage. De même, le Bouddha enseigna comment vénérer les points cardinaux dans la discipline du Noble.

Quels sont les six points cardinaux que le Bouddha nous enseigne ? Veuillez suivre cette histoire demain, s’il vous plaît. 

*********************

มินามีเรื่องเล่า ชะตาของเราเป็นคนบวชกระมัง ตอนที่ ๒

มินามีเรื่องเล่า ชะตาของเราเป็นคนบวชกระมัง ตอนที่ ๒

สวัสดีครับ วันนี้ขออนุญาตเล่าเรื่องการอุปสมบท หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่าการบวช ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรส นะครับ

เมื่อตอนที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสมีพระชนมายุ ๑๘ พรรษา พระองค์ได้รับราชการประจำในกรมราชเลขา มีหน้าที่เป็นพนักงานสารบบฎีกา กล่าวคือเป็นราชเลขานุการในทางอรรถคดี ทรงรับราชการได้ประมาณ ๒ ปี พระองค์มิได้หวังว่าจะบวช เนื่องจากกลัวจะเสียราชการ

แต่พระองค์ยังคงไปเฝ้าเสด็จพระอุปัชฌายะ และเรียนภาษามคธอยู่เป็นประจำ

พระอุปัชฌายะของพระองค์ คือ สมเด็จกรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ พระองค์ท่านเป็ฯพระอุปัชฌายะ เมื่อคราวที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ทรงผนวชเป็นสามเณร

สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ได้ทรงพระนิพนธ์พระประวัติของพระองค์เรื่องการอุปสมบทไว้ว่า

“แต่ชะตาของเราเป็นคนบวชกระมัง”

สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ทรงเล่าว่า

“วันหนึ่ง เผอิญกรมพระเทวะวงศ์วโรปการทรงล้อสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ว่า “เป็นผู้เข้าวัดต่อหน้าพระที่นั่ง” คือต่อหน้าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

แต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวหาได้ทรงพระสำรวลตามไม่ ทรงถือเอาเป็นการ ทรงเกลี้ยกล่อมให้สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ สมัครบวชให้ได้

พระมหาสมณเจ้าฯ ได้กราบทูลว่า “ถ้าบวชจะเป็นการทิ้งราชการ” แต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานกระแสพระราชดำรัสอธิบายว่า ถ้าสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ บวช จะได้ราชการเพียงไร ไม่เป็นอันทิ้งราชการ และไม่ต้องห่วงถึงยาย

ยายที่รัชกาลที่ ๕ ทรงกล่าวถึง คือ ท้าวทรงกันดาล (ศรี) ซึ่งเป็นพระชนนีของเจ้าจอมมารดาแพ พระราชมารดาของสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ

ย้อนกลับมาเรื่องการบวช ปรากฎว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตรัสขอปฏิญญาจากสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ว่าจะบวช

สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ยังไม่ไว้ใจในการเปลี่ยนแปลงของตัวเอง จึงกราบทูลว่า ถ้าบวชแล้ว ถ้าสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ จะสึก จะสึกเมื่อพ้นพรรษาแรก แต่ถ้าพ้นจากนั้นจะไม่สึก

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานปฏิญญาไว้ว่า ถ้าสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ บวชได้ ๓ พรรษาแล้ว จักทรงตั้งให้เป็นต่างกรม ทรงอ้างสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส ครั้งเป็นกรมหมื่นนุชิตชิโนรส เป็นตัวอย่าง

ในช่วงเวลานั้น สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ มิได้สนพระทัยเรื่องการทรงกรมมากนัก

ทรงอุปสมบท

พอถึงวันศุกร์ที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๒๒ สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ทรงอุปสมบทที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม

ในการอุปสมบทครั้งนี้ มีสมเด็จกรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์เป็นพระอุปัชฌาย์ มีพระจันทรโคจรคุณ (ยิ้ม จนฺทร̇สี) วัดมกุฎกษัตริย์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์

ความรักที่สมเด็จท่านมีต่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ทรงเล่าไว้ว่า

“ถึงหน้าเข้าพรรษา ล้นเกล้าฯ เสด็จถวายพุ่มที่วัดนี้ เคยเสด็จทรงประเคนพุ่มพระเจ้าน้องยาเธอ ผู้ทรงผนวชใหม่ถึงตำหนักเป็นการทรงเยือนด้วย เสด็จกุฏิเรา ทรงประเคนพุ่ม เราเห็นท่านทรงกราบด้วยเคารพอย่างเป็นพระ แปลกจากพระอาการที่ทรงแสดงแก่พระองค์อื่นเพียงทรงประคองอัญชลี เรานึกสลดใจว่า โดยฐานเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ท่านก็เป็นเจ้าของเรา โดยฐานเนื่องในพระราชวงศ์เดียวกัน ท่านก็เป็นพระเชษฐาของเรา โดยฐานเป็นผู้แนะราชการพระราชทาน ท่านก็เป็นครูของเรา เห็นท่านทรงกราบ แม้จะนึกว่าท่านทรงแสดงความเคารพแก่ธงชัยพระอรหันต์ต่างหาก ก็ยังวางใจไม่ลง ไม่ปรารถนาจะให้เสียความวางพระราชหฤทัยของท่าน ไม่ปรารถนาจะให้ท่านทอดพระเนตรเห็นเราผู้ที่ท่านทรงกราบแล้วถือเพศเป็นคฤหัสถ์อีก ตรงคำที่เขาพูดกันว่ากลัวจัญไรกิน เราตกลงใจว่าจะไม่สึกในเวลานั้น แต่หาได้ทูลไม่”

โปรดติดตามเรื่องของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสต่อในตอนหน้านะครับ

ข้อมูลประกอบการเล่าเรื่อง
ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จฯ กรมพระยา. (๒๕๖๒). เจ้านายและพระสนมเอก. กรุงเทพฯ: แสงดาว.



วันพฤหัสบดี, กรกฎาคม 06, 2566

มินามีเรื่องเล่า โลกหันมามอง สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๑๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ตอนที่ ๑


                                   https://www.bangkokbiznews.com/social/932992

มินามีเรื่องเล่า โลกหันมามอง สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๑๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ตอนที่ ๑

สวัสดีครับ ถ้าจะถามว่า พระสงฆ์รูปใดที่ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๑๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์อาจจะตอบยากนะครับ

ขอตอบเลยนะครับว่า สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๑๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ครับ

ขออนุญาตเล่าเรื่องของพระองค์ท่านหลายตอนนะครับ

สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ) วัดบวรนิเวศวิหาร มีพระนามเดิมว่า พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ

ทรงเป็นพระราชโอรสลำดับที่ ๔๗ ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับเจ้าจอมมารดาแพ  ทรงประสูติเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๐๓

พระองค์ทรงเป็นพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้ทรงอุทิศตนต่อการทำนุบำรุงการพระพุทธศาสนา การคณะสงฆ์ การศึกษาและพัฒนาการด้านสังคมและวัฒนธรรม โดยเฉพาะด้านการให้กำเนิดและสถาปนามหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย

สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส สิ้นพระชนม์เมื่อวันอังคาร ที่ ๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๔ สิริพระชันษาได้ ๖๑ ปี ๓ เดือน ๒๐ วัน

เมื่อวันที่ ๒ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๖๔ รัฐบาลไทยและองค์การยูเนสโกได้ร่วมเฉลิมพระเกียรติคุณ ๑๐๐ ปี แห่งการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส พระผู้เป็นวางรากฐานพระพุทธศาสนาและการศึกษาของไทย นะครับ

************

Somdet Phra Mahā Samaṇa Chao Krom Phrayā Vajirañāṇavarorasa

Who is the 10th Supreme Patriarch of Rattanakosin period? Some of us may find it is difficult to give an answer.

The 10th Supreme Patriarch of Rattanakosin period is Somdet Phra Mahā Samaṇa Chao Krom Phraya Vajirañāṇavarorasa.

Today I would like to tell you about his life.

His Royal Highness Prince Vajirañāṇavarorasa, the tenth Sangharāja of the present Ratanakosin period, was born on 12th April, B.E. 2403 (A.D.1860). He was the son of King Rama IV and Chao Chom Manda Phae.

It was said that at the time of his birth the clear blue sky became suddenly overcast and there burst forth a heavy rain which soon inundated the palace grounds.

His royal father, taking this as a prophetic referring to an event that took place soon after Lord Buddha’s Enlightenment. This was when He sat in the rain absorbed in an ecstatic contemplation of the reality of His Enlightenment.

A Nagā King, impressed by the sight, came to offer protection by spreading his hood over the Buddha’s head and coiling himself around the Buddha’s body.

The term 'Nāga', besides meaning ‘Serpent’, also refers to an elephant, which is symbolic of strength and endurance and is one of the epithets of Lord Buddha and the Arahants.

Brought up as a royal prince, he was educated by the best teachers that could be found. Besides studying Thai and Pāli, he was among the first group of teacher who was studied English under Mr. Francis John Patterson, a serious teacher who was strict in enforcing discipline as well as earnest in teaching English. But with his patience and intelligence, Prince Manussanāga (his name), together with Prince Diswara (or Prince Damrong, pioneer in the field of Thai history and archaeology), became the teacher's favourite pupil.

This English teacher had also been His Majesty’s tutor of some time.

 

He entered the Sangha at the age of twenty and after this dedicated all his time and energy to studying the Holy Scriptures until he was well versed in the Dhamma and was able to teach all grades of Pāli classes at that time.

 

But it was long before he was appointed Sangharāja with full power and responsibility to manage ecclesiastical affairs.

 

After becoming Sangharāja he never wasted his time in seeking personal comfort or relaxation. On the contrary, he worked indefatigably to improve the level of knowledge and the standard of behaviour of bhikkhus at that time.

 

There were not many bhikkhus who had a sound basis of knowledge or a reasonable faith consistent with the spirit of Buddhism. Buddhist education was then rather an individual affair, with each taking the subjects he liked in the way he pleased. Most were satisfied with what had been traditionally handed down and were practically unable to distinguish the special characteristics of Buddhism from other faiths. Thus in many cases they preferred only the superficial aspect of the truth, with a consequent laxity in Vinaya and ignorant distortion of the Dhamma.

Somdet Phra Mahā Samaṇa Chao Krom Phraya Vajirañāṇavarorasa passed away on 2nd August 1921.

On August 2th, 2021, UNESCO recognized him as one of the eminent personalities who promoted Buddhism and education of Thailand.

 

In Thailand, there were several ceremonies organized to commemorate the 100th anniversary of the death of His Royal Highness Prince Vajirañāṇavarorasa  (Somdet Phra Mahā Samaṇa Chao Krom Phraya Vajirañāṇavarorasa).

********


มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French

  มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French กรมหลวงพิพิธมนตรี (พระพันวัสสาน้อย) เป็นพระอัครมเหสีน้อยของสมเด็จพ...