Chalermkiat Mina

วันจันทร์, มีนาคม 20, 2566

มินามีเรื่องเล่า มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี Th-Eng-Fr

 


มินามีเรื่องเล่า
มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี 

เมื่อปี ๒๕๖๕ ผมได้ไปเยี่ยมปัตตานีมา เลยขอนำภาพมัสยิดกลางจังหวัดปัตตานีมาให้ชมกันครับ 

มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานีตั้งอยู่ที่ ต. อาเนาะรู ใจกลางเมืองปัตตานี เป็นศาสนสถานศูนย์รวมจิตใจอขงพี่น้องไทยมุสลิมภาคใต้ มัสยิดแห่งนี้ถือเป็นสถาปัตยกรรมที่สวยงาม ภายนอกของมัสยิดมีต้นแบบมาจากทัชมาฮาล มียอดโดมสีเขียวขนาดใหญ่ และโดมขนาดเล็กลงไปล้อมรอบ ๔ ด้าน ด้านข้างมีหออะซาน ๒ หอ มีสระน้ำส่องสะท้อนแสงเงาของมัสยิดสวยงามมาก

****** 



Mosquée centrale de la province de Pattani

J’ai visité Pattani en 2022. Je vous montre les photos de la mosquée centrale de Pattani.

La mosquée centrale de Pattani est située au centre de la ville de Pattani, dans le sous-district d'Anoru. Ce site religieux exceptionnel unit les cœurs et les esprits des musulmans thaïs qui habitent dans le sud de la Thaïlande. L'extérieur de la mosquée est inspiré du Taj Mahal. La mosquée porte un grand dôme vert et quatre dômes plus petits sur les quatre côtés. Les côtés de la mosquée contiennent deux minarets. La piscine située devant la mosquée offre un excellent reflet de cette mosquée sacrée.

Aller à Pattani est si facile. Il y a un vol entre Khon Kaen et Hat Yai le mardi, le jeudi et le samedi. Depuis l'aéroport de Hat Yai, nous pouvons louer une voiture. Nous pouvons prendre un taxi ou une camionnette jusqu'à Pattani. La distance est d'environ 104 kilomètres. Voyager sur la route à quatre voies de Hat Yat à Pattani est comme ce que vous faites de Khon Kaen à Korat. Donc, Pattani n'est pas si loin de Khon Kaen, croyez-moi.

***********

 


Pattani Provincial Central Mosque

I visited Pattani in 2022. Let me show you the photos of the central mosque of Pattani.

Pattani Provincial Central Mosque is located in the center of Muang Pattani, in Anoru Sub-district. This outstanding religious site unites the hearts and minds of southern Thai Muslims. The exterior of the mosque is modeled after the Taj Mahal. The mosque carries a large green dome and four smaller domes in four surrounding sides. The sides of the mosque contain two minarets. The pool situated in front of the mosque offers a great reflection of this sacred mosque.

Going to Pattani is so easy. This is a airplane from Khon Kaen airport to Hat Yai airport on Tuesday, Thursday and Saturday. From Hat Yai airport, we can hire a car, take a taxi or a van to Pattani. The distance is about 104 kms. Travelling on the four-lane roadway from Hat Yat to Pattani is like what you do from Khon Kaen to Korat. So, Pattani is not so far from Khon Kaen, believe me.







วันศุกร์, มีนาคม 10, 2566

มินามีเรื่องเล่า วัดปรางค์หลวง นนทบุรี



                                             
 
 


                     ที่มาของภาพ 
                     wantanee wichaidist (facebook) 12 May 2023

มินามีเรื่องเล่า วัดปรางค์หลวง นนทบุรี

         สวัสดีครับ วันนี้ขออนุญาตนำชมวัดปรางค์หลวง ที่อำเภอเมืองนนทบุรี นะครับ

         วัดปรางค์หลวงเป็นโบราณสถานที่เก่าแก่ที่สุดของจังหวัดนนทบุรี 

 

วัดนี้มีอายุกว่า ๖๕๐ ปี ตั้งอยู่ริมคลองบางกอกน้อย ต.บางม่วง อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี

         วัดปรางค์หลวงสร้างขึ้นในสมัยของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) ปฐมกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรศรีอยุธยา เมื่อประมาณปี พ.ศ.๑๘๙๐

  

         เดิมวัดแห่งนี้มีชื่อว่า วัดหลวง” บางหลักฐานกล่าวว่า สร้างเมื่อปี พ.ศ. ๑๙๐๔ ในช่วงเวลานั้นสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) ได้อพยพผู้คนหนีโรคระบาดมาประทับอยู่ที่บริเวณนี้ ก่อนที่จะทรงสร้างกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี พระองค์ได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดขึ้นชื่อว่า วัดหลวง”

         ต่อมาในสมัยสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส สมเด็จพระสังฆราชเจ้า พระองค์ที่ ๑๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้ทรงพิจารณาว่าองค์พระปรางค์ได้สร้างขึ้นไว้พร้อมกับการสร้างวัด จึงได้ทรงเปลี่ยนนามวัดนี้ว่า วัดปรางค์หลวง” โดยมีพระปรางค์เป็นสัญลักษณ์



         ภายในวัดปรางค์หลวง มีโบราณสถานและโบราณวัตถุสำคัญมากมาย แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดอยู่ที่ “องค์พระปรางค์” เป็นศิลปกรรมสมัยอยุธยาตอนต้น ฐานเป็นอิฐ ส่วนที่เป็นเรือนธาตุทั้งสี่ด้าน แต่ละด้านมีพระปูนปั้นนูนสูง นักโบราณคดีได้ค้นหา หลักฐานอันเป็นจุดเด่นของโครงสร้างก่ออิฐสอดิน ยอดเจ็ดชั้นย่อมุมไม้ยี่สิบ ประดับลายปูนปั้น เรือนธาตุมีซุ้มจรนำทั้ง ๔ ทิศ ประดิษฐานพระพุทธรูปยืนปูนปั้นลงรักปิดทอง

         สภาพองค์พระปรางค์ชำรุดมาก กลางเรือนธาตุมีกรุอยู่ภายในแต่ไม่มีช่องทางขึ้นสู่ยอดปรางค์ ผนังเรือนธาตุเป็นผนังทึบไม่มีประตู เป็นฝีมือของช่างในสมัยอยุธยาตอนต้น และพระวิหารน้อย เป็นอาคารขนาดเล็กก่อด้วยอิฐ ลักษณะของอาคารแต่ละหลังมีผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ประกอบด้วย อาคาร ๒ หลัง อาคารหลังเล็กตั้งอยู่ด้านหน้า และอาคารหลังใหญ่ตั้งอยู่ด้านหลัง ด้านหน้ามีมุขยื่นออกมาคล้ายระเบียง อาคารทั้ง ๒ หลัง มีประตูทางเข้าเพียงทางเดียวลักษณะในการก่อสร้างใช้ระบบผนังรองรับเครื่องบน ไม่มีคาน ไม่มีเสา หลังคามุงกระเบื้องดินเผา ปัจจุบันพระปรางค์อยู่ในสภาพที่สวยงามเพิ่งผ่านการบูรณะมาครับ


                              

          นอกจากพระปรางค์แล้ว วัดปรางค์หลวงยังมีวิหารน้อยซึ่งเป็นกุฏิกรรมฐานในสมัยอยุธยา มี “หลวงพ่ออู่ทอง” ซึ่งเป็นพระพุทธรูปก่ออิฐถือปูนปิดทองปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง ๙ คืบ

         หลวงพ่ออู่ทองได้รับการบูรณะซ่อมแซมโดยฝีมือช่างในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ จนเปลี่ยนแปลงไปจากแบบเดิม แต่ยังมีเค้าร่องรอยของพระพุทธรูปในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น มีพุทธลักษณะงดงาม อีกทั้งหลวงพ่ออู่ทองยังเป็นพระพุทธรูปที่ชาวบ้านในชุมชนนับถือเป็นอย่างมาก

         บริเวณรอบพระอุโบสถของวัดปรางค์หลวง มีใบเสมาอยู่ภายในเขตกำแพงแก้ว ปักอยู่ตามตำแหน่งต่าง ๆ รอบพระอุโบสถจำนวน ๔ แห่ง คือ บริเวณด้านหลังของพระอุโบสถ ๓ แห่ง

         ตรงกลางด้านทิศตะวันตกของพระอุโบสถ ใบเสมามีขนาดใหญ่ทำจากหินชนวน ชาวบ้านในชุมชนเรียกว่า หินกาบ” ลักษณะไม่มีลวดลาย ปักลงบนดินรายรอบพระอุโบสถหลังเก่า เป็นใบเสมาสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ปัจจุบันเหลือใบเสมาที่มีสภาพสมบูรณ์เหลือเพียง ๑ ใบ ตั้งอยู่ที่ด้านหน้าของพระอุโบสถ

         มาเที่ยวเมืองนนทบุรี ขอเชิญแวะมานมัสการ “หลวงพ่ออู่ทอง” ที่วัดปรางค์หลวงกันนะครับ


วันพุธ, มีนาคม 08, 2566

มินามีเรื่องเล่า พระธาตุเชิงชุม

 

มินามีเรื่องเล่า พระธาตุเชิงชุม

         พระธาตุเชิงชุมวรวิหาร ตั้งอยู่ที่ตำบลธาตุเชิงชุม อำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร

         เรื่องราวของพระธาตุเชิงชุมมีดังนี้ครับ

พระเจ้าสุรอุทก ปกครองเมืองนครหนองหานหลวง พระองค์มีพระราชโอรสสองพระองค์ คือ เจ้าชายภิงคารและเจ้าชายคำแดง

ต่อมาพระเจ้าสุรอุทกสวรรคต เมืองหนองหารหลวงถูกน้ำท่วม เจ้าชายภิงคารและเจ้าชายคำแดงได้พาไพร่พลที่เหลือจากการจมน้ำตายไปอยู่ที่ดอนโพนเมือง (คุ้มวัดโพนศรีเมือง ในเมืองสกลนคร) ริมฝั่งหนองหาน ทิศตะวันตกเฉียงใต้

         เจ้าชายภิงคารแสวงหาชัยภูมิที่จะสร้างเมืองขึ้นใหม่  พระองค์มองเห็นทำเลบริเวณภูน้ำลอดเป็นชัยภูมิที่เหมาะแก่การตั้งเป็นบ้านเมืองได้ จึงตั้งเครื่องสักการะและตั้งสัตยาธิษฐานป่าวประกาศแก่เทพยดาทั้งหลายว่าพระองค์จะสร้างบ้านเมืองที่ตรงนี้ ขอให้เทพเทวดาผู้ดูแลรักษาสถานที่แห่งนี้จงคุ้มครองไพร่ฟ้าประชาชนให้มีความสุข

         เมื่อเจ้าชายภิงคารกล่าวคำอธิษฐานจบ มีพญาสุวรรณนาค มีเกล็ดสีทอง เป็นพญานาคเฝ้ารักษารอยพระพุทธบาทที่ภูน้ำลอดมานาน ได้สำแดงตัวปรากฏแก่เจ้าชายภิงคาร แจ้งให้พระองค์ทราบว่า ตนเป็นพญานาคที่รักษารอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าที่ภูน้ำลอดแห่งนี้

         พญาสุวรรณนาคได้นำน้ำเต้าทองบรรจุน้ำหอมมารดสรงอภิเษกเจ้าชายภิงคารขึ้นเป็นเจ้าเมือง ขนานพระนามว่า พญาสุวรรณภิงคาร พระองค์ทรงสร้างเมืองหนองหานหลวงขึ้นมาใหม่นับแต่นั้นสืบมา

         ส่วนพระอนุชาของพระองค์ คือ เจ้าชายคำแดง นั้น ได้มีเสนาอำมาตย์เมืองหนองหานน้อยมาอัญเชิญพระองค์ให้ไปเป็นกษัตริย์แทนเจ้าเมืองของตนที่ว่างลง

         เจ้าชายคำแดงทรงครองเมือง มีพระนามว่า พญาคำแดงแห่งเมืองหนองหานน้อย ทรงได้สร้างบ้านเมืองปกครองไพร่ฟ้าประชาชนคู่กับเมืองหนองหานหลวงสืบแต่นั้นมา

         ครั้งที่พระพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ที่วัดเชตวัน ใกล้กรุงสาวัตถี ทรงรำลึกถึงพุทธประเพณีของพระพุทธเจ้าในอดีต พระองค์ได้เสด็จโดยทางอากาศ มีพระอานนท์เป็นผู้ติดตาม เพื่อโปรดเวไนยสัตว์ในอาณาบริเวณลุ่มแม่น้ำโขง

         พระพุทธเจ้าทรงมีพุทธทำนายให้พระอานนท์ทราบถึงเหตุการณ์และภูมิสถานในอนาคตกาล และทรงประทานรอยพระบาทไว้ในสถานที่ต่าง ๆ

         เช้าวันหนึ่ง พระพุทธเจ้าทรงเสด็จมายังเมืองหนองหานหลวง เพื่อรับบิณฑบาตจากชาวเมือง

         ความทราบถึงพญาสุวรรณภิงคารและพระมเหสีคือ พระนางจรวยเจงเวงราชเทวี ทั้งสองพระองค์ทรงออกไปอาราธนาให้พระพุทธเจ้าและพระอานนท์มารับบิณฑบาตพร้อมกับทำภัตกิจในปราสาทของพญาสุวรรณภิงคาร

         พระพุทธองค์ทรงแสดงเทศนาให้กับพญาสุวรรณภิงคารและชาวเมือง พร้อมกันนี้ทรงล้วงบาตร และนำข้าวที่เหลืออยู่นั้นมาปั้นเป็นก้อนเท่าปลายนิ้วก้อย มอบให้กับพญาสุวรรณภิงคารไว้เป็นที่ระลึก

         ก้อนข้าวนี้ เรียกว่า ก้อนข้าวใหญ่ หมายถึง ข้าวก้นบาตรของพระพุทธเจ้า

         จากนั้นพระพุทธเจ้าเสด็จลงจากปราสาทมายังภูน้ำลอดเชิงชุม

         พญาสุวรรณนาคได้นำแผ่นศิลาประดิษฐานรอยพระพุทธบาทของอดีตพระพุทธเจ้า แทรกแผ่นดินขึ้นมาประดิษฐานไว้เบื้องหน้าพระพุทธองค์

         พระพุทธเจ้าทรงประทับรอยพระบาทเบื้องขวาลงบนแผ่นศิลานั้น เกิดปาฏิหาริย์ดวงแก้วมณี ๔ ดวง ลอยออกมาจากรอยพระบาทเป็นลำดับ

         พระพุทธองค์ทรงอธิบายว่า ดวงแก้วมณี ๓ ดวง หมายถึง พระพุทธเจ้า ๓ พระองค์ ได้แก่ พระกุกกุสันธพระพุทธเจ้า พระโกนาคมนพุทธเจ้าและพระกัสสปพุทธเจ้า

         ส่วนดวงแก้วมณีดวงที่ ๔ หมายถึงพระองค์ คือพระโคตมพุทธเจ้า

         พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ในภัทรกัปนี้จะมาประทับชุมนุมรอยพระพุทธบาท ณ ภูน้ำลอดเชิงชุม

         เมื่อพญาสุวรรณภิงคารได้แจ้งในคำอธิบายของพระพุทธองค์แล้ว บังเกิดศรัทธาจะตัดเศียรของตนบูชารอยพระพุทธบาท

         แต่พระนางเจ้าจรวยเจงเวงราชเทวีเห็นกริยาอาการของพระราชสวามี จึงตรงเข้าจับพระหัตถ์และแย่งพระขรรค์ พร้อมกล่าวเตือนพระราชสวามีว่า ถ้าพระองค์ทรงมีพระชนมายุยืนนาน จะได้ทรงอุปถัมภ์บำรุงรอยพระบาทเพื่อสืบพระพุทธศาสนาต่อไป

         พญาสุวรรณภิงคารทรงตระหนักได้ และรำลึกถึงคุณพระรัตนตรัย ทรงเลื่อมใสในพระพุทธบาท จึงทรงนำกระโจมทองคำมาบูชารอยพระพุทธบาทแทน

         ต่อมาศิลาที่บรรจุรอยพระพุทธบาทได้จมลงในพื้นดินที่ภูน้ำรอดเชิงชุม พญาสุวรรณภิงคารนำชาวเมืองสร้างอูบมูงหินครอบรอยพระพุทธบาทไว้ และนำปั้นข้าวที่พระพุทธเจ้าประทานให้นั้นมาประดิษฐานไว้ภายในเพื่อให้เป็นที่สักการะสืบมา

         ตรงบริเวณที่พญาสุวรรณภิงคารทรงสร้างพระธาตุครอบพระพุทธบาทไว้ คือ พระธาตุเชิงชุม ครับ


                                           ที่มาของภาพ https://th.trip.com/moments/detail/sakon-nakhon


วันอังคาร, มีนาคม 07, 2566

มินามีเรื่องเล่า เดือนแปดสองหนในปฏิทินทางจันทรคติ

 



มินามีเรื่องเล่า เดือนแปดสองหนในปฏิทินทางจันทรคติ

         สวัสดีครับ วันนี้ผมจะขอเล่าเรื่องปฏิทินทางจันทรคติ นะครับ

         เรามาพูดถึงความรู้เกี่ยวกับการนับวันเดือนปีกันนะครับ เราจะเริ่มจากปฏิทินที่นิยมใช้ในประเทศไทย

         ก่อนอื่นเรามาพูดถึงความหมายของคำศัพท์กันก่อนนะครับ คำว่า อธิก- ออกเสียงว่า อะ-ทิ-กะ หมายถึง เกิน หรือ เพิ่ม

         ส่วนคำว่า วาร แปลว่า วัน

         คำว่า มาส แปลว่า เดือน

         ในคำว่า สุรทิน มีคำว่า สุร แปลว่า พระอาทิตย์ ส่วนคำว่า ทิน แปลว่า วัน

ปฏิทินหลัก ๆ ที่นิยมใช้ในประเทศไทยมีปฏิทินทาง

สุริยคติและปฏิทินทางจันทรคติ

         ปฏิทินทางสุริยคติ หรือที่เรียกว่า ปกติสุรทิน แบ่งตามรอบการโคจรของพระอาทิตย์

     ส่วนปฏิทินทางจันทรคติแบ่งตามรอบการโคจรของพระจันทร์ครับ

ปฏิทินทางสุริยคติแบ่งเป็นสองแบบ แบบแรกคือ ปกติปฏิทิน มี ๓๖๕ วัน โดยกำหนดให้เดือนกุมภาพันธ์มี ๒๘ วัน 

แบบที่สอง คือ อธิกสุรทิน มี ๓๖๖ วัน โดย

กำหนดให้เดือนกุมภาพันธ์มี ๒๙ วันครับ ทั้งนี้เป็นการกำหนดตามการโคจรของรอบดวงอาทิตย์

ส่วนปฏิทินทางจันทรคติแบ่งเป็นสามแบบครับ

ได้แก่ แบบที่หนึ่ง ปกติมาส-ปกติวาร แปลว่า เดือนปกติ วันปกติ แบบที่สอง คือ ปกติมาส-อธิกวาร แปลว่าเดือนปกติ แต่วันเพิ่ม และแบบที่สามคือ อธิกมาส-ปกติวาร แปลว่า มีเดือนเพิ่ม แต่วันปกติ ฟังแล้วอาจจะงง มาดูรายละเอียดกันครับ

         ทบทวนประเภทของปฏิทินทางจันทรคตินะครับ ปฏิทินทางจันทรคติ มีสามประเภท ได้แก่ ปกติมาส-ปกติวาร ปกติมาส-อธิกวารและอธิกมาส-ปกติวาร

         เรามาดูแบบที่หนึ่งกันนะครับ ปกติมาส-ปกติวาร แปลว่า เดือนปกติ วันปกติ ถือเป็นปีที่เป็นปกติ มีเดือนคู่ข้างขึ้น ๑๕ วัน ข้างแรม ๑๕ วัน และมีเดือนคี่ข้างขึ้น ๑๕ วัน และข้างแรม ๑๔ วัน รวมเป็น ๓๕๔ วัน

         คิดเป็นสูตรตัวเลข คือ ๓๐x+๒๙x = ๓๕๔ แปลความหมายว่า เดือนคู่ ปกติมี ๓๐ วัน ๖ เดือน และเดือนคี่ ปกติ มี ๒๙ วัน ๖ เดือน รวม ๓๕๔ วันครับ

แบบที่สอง คือ ปกติมาส-อธิกวาร แปลว่า เดือนปกติ แต่วันเพิ่ม ถือเป็นปีที่เป็นปกติ มีวันเพิ่มในเดือน ๗ ซึ่งเป็นเดือนคี่ สิ่งที่เพิ่มขึ้นคือเดือน ๗ นี้จะมีข้างแรม ๑๕ วัน ไม่ได้มี ๑๔ วัน เหมือนปฏิทินจันทรคติแบบปกติมาส-ปกติวาร ดัวนั้น รวมวันในหนึ่งปี ของปฏิทินจันทรคติแบบปกติมาส-อธิการ จะเป็น ๓๕๔+= ๓๕๕ วันครับ

        แบบที่สาม คือ อธิกมาส-ปกติวาร แปลว่า ปีที่มีเดือนแปดเพิ่มอีกเดือน โดยมีวันปกติ เราอาจเรียกว่าปีที่มีเดือนแปดสองหน (๘๘) ก็ได้ครับ

        คำว่า อธิกมาส หมายถึง เดือนที่เพิ่มขึ้นทางจันทรคติ คือ ในปีนั้นมีเดือน ๑๓ เดือน โดยมีเดือน ๘ สองหน

        ทวนอีกครั้งครับ ปีปกติมาส-ปกติวาร จะมี ๓๕๔ วัน ส่วนปีปกติมาส-อธิกวาร มีวันเพิ่มเป็น ๓๕๕ วัน เพิ่มในวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๗ ครับ ส่วนปีอธิกมาส-ปกติวาร เป็นปีที่มีเดือนแปดเพิ่มสองหน (๘๘) รวมเป็น ๑๓ เดือน หรือ ๓๘๔ วันครับ

         แต่ยังไม่มีปีใดที่เป็นปี อธิกมาส-อธิกวาร คือ มีทั้งเดือนแปดสองหนและ เดือน ๗ เพิ่มวันอีกวันหนึ่งพร้อม ๆ กันครับ

        ในเรื่องของเดือนทางจันทรคตินั้น เราอธิบายได้แบบนี้ครับ

         เดือนจันทรคติไทยมี ๑๒ เดือน เริ่มจากเดือนอ้าย (๑), เดือนยี่ (๒), เดือนสาม (๓), เดือนสี่ (๔), เดือนห้า (๕), เดือนหก (๖), เดือนเจ็ด (๗), เดือนแปด (๘) (เดือนแปดหลัง(๘๘) สำหรับปีอธิกมาส, เดือนเก้า (๙), เดือนสิบ (๑๐) , เดือนสิบเอ็ด (๑๑), เดือนสิบสอง (๑๒)

        ทีนี้ เรามาดูเดือนคู่กันครับ เดือนคู่มี ๓๐ วัน คือ

        วันขึ้น ๑ ค่ำถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ และวันแรม ๑ ค่ำ ถึงวันแรม ๑๕ ค่ำ

        ส่วนเดือนคี่มี ๒๙ วัน คือวันขึ้น ๑ ค่ำถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ และวันแรม ๑ ค่ำถึงวันแรม ๑๔ ค่ำ

         ทำไมเราต้องมีเดือนแปด ๒ ครั้ง คำถามนี้น่าสนใจมากนะครับ

         เราอธิบายตามหลักการทางวิทยาศาสตร์คือ ปฏิทินจันทรคติ จะมีข้างขึ้นกับข้างแรมสลับกันไป ขึ้น ๑๔-๑๕ ค่ำ แรม ๑๔-๑๕ ค่ำ แล้วแต่เดือน พอเอามารวมกัน ๑๒ เดือน จะได้ทั้งหมด ประมาณ ๓๕๔ วัน

          ในปฏิทินสุริยคตินั้น โดยปกติปีหนึ่งมีวันทั้งหมด ๓๖๕ วัน ซึ่งต่างจากปฏิทินจันทรคติปีละประมาณ ๑๑ วัน

         ในปฏิทินทางจันทรคตินั้น ถ้าเรานับวันไปเรื่อย ๆ โดยไม่ทำอะไร จะทำให้เดือนตามปฏิทินจันทรคติ ไม่สามารถบอกฤดูกาลได้ เพราะมีการคลาดเคลื่อนของเวลา นี้เป็นเหตุผลเดียวกันกับปฏิทินทางสุริยคติที่เราต้องเพิ่มวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ ในทุกๆ ๔ ปี

     ต่อคำถามที่ว่า ใครใช้ปฏิทินจันทรคติ

        ถ้าจะตอบให้ใกล้ตัวเราที่สุดคือ เราใช้ปฏิทินทางจันทรคติในทางโหราศาสตร์เพื่อดูฤกษ์ ดูยาม หรือในทางศาสนาพุทธ เราปฏิทินจันทรคติดูวันสำคัญของศาสนาพุทธ เหมือนที่เราเคยท่องตอนเด็ก ๆ ว่า มา-สาม วิ-หก อา-แปด ครับ

         มา-สาม วิ-หก อา-แปด เป็นคำย่อหมายความว่า ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ เป็นวันมาฆบูชา และขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ เป็นวันวิสาขบูชา และขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ เป็นวันอาสาฬหบูชา

     นอกจากนี้เรายังมีวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ เป็นวันเข้าพรรษา ส่วนแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ เป็นวันออกพรรษา และวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ เป็นวันลอยกระทง

     มีคำถามว่า การเพิ่มเดือนแปดเกี่ยวข้องกับศาสนาพุทธอย่างไรครับ

           คำตอบคือ ศาสนาพุทธใช้ปฏิทินจันทรคติ ในการบอกวันสำคัญ และวันเข้าพรรษาจะเป็นวันที่กำหนดว่าพระสงฆ์ต้องอยู่ที่พำนัก ไม่ออกไปไหนเป็นเวลา ๓ เดือน ทั้งนี้เพื่อให้การบอกวัน เวลาเป็นไปตามฤดูกาล เดือนที่เพิ่มมาเลยเป็นเดือน ๘ และจะใช้เดือน ๘ หนหลังในการกำหนดว่าเป็นวันเข้าพรรษา หากไม่เลื่อนเดือน ระยะเวลาจำพรรษาจะไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย (วัสสูปนายิกาขันธกะ) ที่พระสงฆ์ต้องจำพรรษา ๓ เดือน เพราะในปีทางจันทรคติที่เป็นปีอธิกมาส ถ้านับวันเข้าพรรษาจากแรม ๑ ค่ำเดือนแปด (๘) รวมเดือนแปดหลัง (๘๘) อีก ๑ เดือน จนถึงวันออกพรรษา วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนสิบเอ็ด (๑๑) ระยะเวลาจะรวม ๔ เดือน ถือว่าไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย

     ในปีใดที่เป็นปีอธิกมาส วันสำคัญทางพุทธศาสนาจะเลื่อนออกไป ตัวอย่างเช่น ปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ที่ผ่านมา เกณฑ์ปฏิทินจันทรคติไทยเป็น ปีอธิกมาศ (เดือนแปดสองหน) ดังนั้นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา จะเลื่อนไป ๑ เดือน กล่าวคือ

     วันมาฆบูชา เลื่อนเป็น วันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือนสี่ (๔)  ส่วนวันวิสาขบูชา วันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือนเจ็ด (๗)  ส่วนวันอาสฬหบูชา วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนแปดหลัง (๘๘)  และวันเข้าพรรษาวันแรม ๑ ค่ำ เดือนแปดหลัง (๘๘) ส่วนวันออกพรรษาจะเหมือนเดิมคือ วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนสิบเอ็ด (๑๑) 

การกำหนดวันพระในปีอธิกมาส กำหนดอย่างไรครับ

เรากำหนดวันพระไว้ดังนี้ครับ 

วันพระตรงกับวันขึ้น ๘ ค่ำ, ขึ้น ๑๕ ค่ำ (วันเพ็ญ), แรม ๘ ค่ำ, แรม ๑๕ ค่ำ

หากเดือนใดเป็นเดือนขาดหรือเดือนคี่ (เดือน ๑, , , , , ๑๑) ให้ถือเอาแรม ๑๔ ค่ำ เป็นวันพระ

         เป็นอย่างไรบ้างครับ อย่างน้อยเราพอจะเข้าใจเรื่องราวของปฏิทินทางจันทรคติกันนะครับ



วันจันทร์, มีนาคม 06, 2566

มินามีเรื่องเล่า หลวงพ่อพระองค์แสน วัดพระธาตุเชิงชุม วรวิหาร จังหวัดสกลนคร

 

                                  ที่มาของภาพ https://www.108prageji.com


มินามีเรื่องเล่า หลวงพ่อพระองค์แสน วัดพระธาตุเชิงชุม วรวิหาร จังหวัดสกลนคร

         ผมได้มีโอกาสมาที่วัดพระธาตุเชิงชุม นมัสการพระธาตุเชิงชุม และได้เข้านมัสการหลวงพ่อพระองค์แสน พระประธานในพระวิหารที่ตั้งอยู่หน้าพระธาตุเชิงชุม

         ได้มานมัสการหลวงพ่อพระองค์แสน ที่พวกเราชาวพุทธถือว่าเป็นตัวแทนขององค์พระสัมมาสัมพระพุทธเจ้า และสถูปที่เป็นพระธาตุเชิงชุมนั้น ถือเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้าเหมือนกัน เราเรียกว่า อุเทสิกเจดีย์

         อุเทสิกเจดีย์ คือสิ่งที่สร้างขึ้นโดยเจตนาอุทิศแก่พระพุทธเจ้าหรือแทนองค์พระพุทธเจ้า เช่น เจดีย์ พระพุทธรูป รอยพระพุทธบาท พระพิมพ์เป็นต้น เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศถวายพระพุทธเจ้า นอกเหนือจากธาตุเจดีย์ บริโภคเจดีย์ และธรรมเจดีย์

         หลวงพ่อพระองค์แสน เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะเชียงแสน นั่งขัดสมาธิราบ ก่อด้วยอิฐถือปูน ลงรักปิดทอง มีขนาดหน้าตักกว้าง ๒ เมตร มีความสูงจากฐานถึงพระเมาลี (ยอด, ผมจุก) ๓.๒๐ เมตร

         หลวงพ่อองค์แสนมีประวัติความเป็นมาอย่างไร

ประวัติความเป็นมาของหลวงพ่อองค์พระองค์แสนนั้น ตามตำนานกล่าวไว้ว่า ได้มีการสร้างหลวงพ่อประมาณ พ.ศ. ๑๘๐๐ เพื่อแทนหลวงพ่อสุวรรณแสน ซึ่งองค์จริงท่านเป็นทองคำทั้งองค์

         หลวงพ่อสุวรรณแสนหายไปไหน

         ว่ากันว่า ในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ได้มีการทำศึกสงครามหลายครั้ง ได้มีการย้ายเมืองไปนครธม ก่อนย้ายไปเมืองนั้น ได้มีการนำหลวงพ่อสุวรรณแสนไปซ่อนไว้ในน้ำ จึงได้มีการสร้างหลวงพ่อพระองค์แสนไว้ทดแทน

         ถ้าท่านได้มีโอกาสมาที่จังหวัดสกลนคร ขอเชิญมาไหว้หลวงพ่อองค์แสนและพระธาตุเชิงชุมเพื่อความเป็นสิริมงคลนะครับ

วันอาทิตย์, มีนาคม 05, 2566

มินามีเรื่องเล่า ปุรินทราภิบาล

 

เขาหัวแตก พัทลุง

มินามีเรื่องเล่า ปุรินทราภิบาล

         ผมได้รับเมตตาจากท่านอาจารย์จรรยา คชพันธ์ ข้าราชการบำนาญของโรงเรียนสตรีพัทลุง ซึ่งมีบ้านพักอาศัยอยู่ใกล้วัดควนกรวด ท่านได้มอบหนังสือหนึ่งร้อยห้าปี “ปุรินทราภิบาล” ให้อ่าน

         หนังสือ “หนึ่งร้อยห้าปี-ปุรินทราภิบาล” รวบรวมโดยคุณจำเพาะ ปุรินทราภิบาล เป็นการรวมหลักฐานที่มาของนามสกุลปุรินทราภิบาลและรวมเครือญาติไว้ด้วยกัน ถือเป็นการสร้างความผูกพันรักใคร่ซึ่งกันและกัน เป็นประโยชน์อย่างมากต่อลูกหลานที่จะสืบหาวงศาคณาญาติและต่อผู้ที่สนใจความเป็นมาของเมืองพัทลุงผ่านบรรพบุรุษของตระกูลปุรินทราภิบาลนี้ครับ   

ผมขอถือโอกาสนี้นำความในหนังสือมาเล่าสู่กันฟังครับ

เจ้าเมืองพัทลุง

         เรื่องของเจ้าเมืองพัทลุงมีมานานหลายยุคสมัยตั้งแต่อดีต แต่ผมจะขอเล่าโดยเริ่มจากสมัยกรุงธนบุรีและรัตนโกสินทร์นะครับ

ในสมัยกรุงธนบุรีและต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เมืองพัทลุงตั้งอยู่ที่บ้านโคกลุง มีพระยาแก้วโกรพพิไชยฯ  

หรือที่เรียกว่า พระยาพัทลุง (ขุนคางเหล็ก) เป็นเจ้าเมือง ท่านเป็นต้นสกุล ณ พัทลุง ท่านเป็นเจ้าเมืองพัทลุงระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๑๕-๒๓๓๒

         ต่อมาเมืองพัทลุงย้ายมาตั้งอยู่ที่บ้านศาลาโต๊ะหวัก มีออกพระศรีไกรลาศ เป็นเจ้าเมืองระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๓๒-๒๓๓๓

         หลังจากนั้น เมืองพัทลุงย้ายมาตั้งอยู่ที่วังบ้านสวนดอกไม้ มีพระยาพัทลุง (ทองขาว) เป็นเจ้าเมืองระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๓๔-๒๓๖๐ รวม ๒๖ ปี

พระยาพัทลุง (ทองขาว) เป็นบุตรชายของพระยาพัทลุง (ขุนคางเหล็ก) กับท่านปล้อง ท่านมีบรรดาศักดิ์พระยาวิจิตเสนา (ทองขาว) หรือพระยาวิชิตเสนา (ทองขาว) และเริ่มรับราชการเป็นหลวงศักดิ์นายเวรในรัชกาลที่ ๑

  พระยาพัทลุง (ทองขาว) มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนามาก ท่านได้สร้างวัดวัง เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๕๙ ที่บ้านลำปำ จังหวัดพัทลุง

เมื่อพระยาพัทลุง (ทองขาว) ถึงแก่กรรม ได้มีการย้ายเมืองพัทลุงมาตั้งอยู่ที่วังเก่า ลำปำ มีพระยาพัทลุง (เผือก) เป็นเจ้าเมืองระหว่างปี พ.ศ.๒๓๖๐-๒๓๖๙

พระยาพัทลุง (เผือก) ท่านเป็นน้องชายของพระยาพัทลุง (ขุนคางเหล็ก) และเป็นต้นตระกูล วัลลิโภดม

         ต่อจากพระยาพัทลุง (เผือก) มีพระยาเสน่หามนตรี (น้อยใหญ่) หรือที่รู้จักกันในนาม พระยาพัทลุง (น้อยใหญ่) ท่านเป็นสายสกุล ณ นคร ได้เป็นเจ้าเมืองพัทลุงระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๖๙-๒๓๘๒

         ต่อจากพระยาเสน่หามนตรี มีพระยาอภัยบริรักษ์จักรวิชิตพิพิธภักดีพิริยพาหะ (จุ้ย) ท่านเป็นสายสกุล จันทรโรจน์วงศ์ ได้เป็นเจ้าเมืองพัทลุงระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๘๒-๒๓๙๓

         ต่อจากพระยาอภัยบริรักษ์ฯ (จุ้ย) มีพระยาอภัยบริรักษ์ฯ (ทัพ) ท่านเป็นสายสกุล ณ พัทลุง ได้เป็นเจ้าเมืองพัทลุงระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๙๔-๒๔๑๐

ต่อจากพระยาอภัยบริรักษ์ (ทัพ) มีพระยาอภัยบริรักษ์ฯ (น้อย) ท่านเป็นสายสกุล จันทรโรจน์วงศ์ ได้เป็นเจ้าเมืองพัทลุงระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๑๐-๒๔๓๑ มีการย้ายเมืองมาตั้งอยู่ที่บ้านเมืองที่วังใหม่ ลำปำ

         ต่อจากพระยาอภัยบริรักษ์ (น้อย) มีพระยาอภัยบริรักษ์ฯ (เนตร) ท่านเป็นสายสกุล จันทรโรจน์วงศ์ ได้เป็นเจ้าเมืองพัทลุงระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๓๑-๒๔๔๖

         ขอย้อนกลับไปที่พระยาเสน่หามนตรี (น้อยใหญ่) หรือ พระยาพัทลุง (น้อยใหญ่) นะครับ ท่านได้เป็นเจ้าเมืองพัทลุงระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๖๙-๒๓๘๒ ท่านเป็นบุตรของพระยานคร (น้อย) เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช

         มีความเชื่อกันว่า เจ้าพระยานคร (น้อย) เป็นลูกเธอในพระเจ้ากรุงธนบุรีกับเจ้าจอมมารดาปราง ธิดาของเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (หนู) ซึ่งจะเล่าให้ฟังในโอกาสหน้าครับ

         พระยาพัทลุง (ทัพ) หรือพระยาอภัยบริรักษ์ฯ (ทัพ) เป็นบุตรของพระยาพัทลุง (น้อยใหญ่) ท่านเป็นหลานปู่ของพระยาพัทลุง (ขุนคางเหล็ก)

          พระยาพัทลุง (ทัพ) สมรสกับคุณหญิงผ่อง มีบุตรีและบุตรชาย รวม ๒ คน บุตรีชื่อ ทรัพย์ ต่อมาได้เป็นเจ้าจอมมารดาทรัพย์ ในรัชกาลที่ ๓

         ส่วนบุตรชาย คือ หลวงรองราชมนตรี (หนูกรุง) สมรสกับ นางทองเนี่ยว

         สรุปคือ เจ้าจอมมารดาทรัพย์เป็นพี่สาวของหลวงรองราชมนตรี (หนูกรุง)

         แต่ความในบันทึกเครือญาติ ณ พัทลุง โดย นายสาย ณ พัทลุง ได้ หน้า ๑๐๐ กล่าวว่า บุตรพระยาพัทลุง (ทัพ ณ พัทลุง) คนที่ ๔ เกิดจากภรรยาหม่อมน้อย ชาวกรุงเทพฯ ชื่อ นายหนูกรุง ณ พัทลุง มีบรรดาศักดิ์เป็น หลวงรองราชมนตรี 

         หลวงรองราชมนตรี (หนูกรุง ณ พัทลุง) สมรสกับนางทองเนี่ยว มีบุตรธิดา ๑๒ คน แต่ที่ลูกหลานจำได้มี ๓ คน คือ นายทองมาก นางหวาน และนางบัว

         ขอกล่าวถึงบุคคลสำคัญของตระกูลปุรินทราภิบาล คือ นายทองมาก ปุรินทราภิบาล ครับ

นายทองมาก ปุรินทราภิบาลเป็นบุตรของหลวงรองราชมนตรี (หนูกรุง ณ พัทลุง) กับนางทองเนี่ยว

นายทองมาก ปุรินทราภิบาลเป็นต้นตระกูลปุรินทราภิบาล ท่านเป็นกรมการเมืองพัทลุง ในตำแหน่งหลวงเมือง ซึ่งลูกหลานและชาวบ้านเรียกท่านว่า จอมเมือง

จอมเมือง หรือ นายทองมาก ปุรินทราภิบาล มีภรรยา ๔ คน และมีบุตรธิดารวม ๑๐ คน แบ่งเป็น ๑๐ สาย รวมกับสายที่ ๑๑ คือสายของนางหวานและนางบัว ซึ่งเป็นพี่น้องของนายทองมาก

เรื่องราวของจอมเมือง หรือท่านทองมาก ปุรินทราภิบาล จะขอนำเสนอในโอกาสต่อไปครับ

ที่มาของข้อมูลประกอบการเล่าเรื่อง

จำเพาะ ปุรินทราภิบาล.  “หนึ่งร้อยห้าปี-ปุรินทราภิบาล”


มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French

  มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French กรมหลวงพิพิธมนตรี (พระพันวัสสาน้อย) เป็นพระอัครมเหสีน้อยของสมเด็จพ...