Chalermkiat Mina

วันอังคาร, กันยายน 19, 2566

มินามีเรื่องเล่า เมืองโบราณศรีมโหสถ จังหวัดปราจีนบุรี

มินามีเรื่องเล่า เมืองโบราณศรีมโหสถ จังหวัดปราจีนบุรี

สวัสดีครับ วันนี้เป็นวันประวัติศาสตร์ด้านศิลปวัฒนธรรมของประเทศไทย องค์กรยูเนสโก้ ได้ให้การรับรองให้เมืองโบราณศรีเทพเป็นมรดกโลก นับว่าเป็นความภาคภูมิใจของคนไทยเป็นอย่างยิ่ง 

แต่วันนี้ผมยังไม่ได้เล่าเรื่องเมืองโบราณศรีเทพ ในจังหวัดเพชรบูรณ์นะครับ ไว้โอกาสหน้าจะนำมาเล่าสู่กันฟังครับ

แต่ขอเล่าเรื่องเมืองโบราณอีกเมืองหนึ่งนะครับ คือเมืองศรีมโหสถ ซึ่งตั้งอยู่ที่อำเภอศรีมโหสถ จังหวัดปราจีนบุรี 

เมืองศรีมโหสถเป็นเมืองโบราณขนาดใหญ่ มีแผนผังของเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมค่อนข้างรี ขอบมุมทั้ง ๔ โค้งมน มีคูน้ำและคันดินล้อมรอบตัวเมือง ตั้งอยู่ตามแนวทิศตะวันออกเฉียงเหนือ-ตะวันตกเฉียงใต้ ขนาดของเมืองกว้าง ๗๐๐ เมตร ยาว ๑,๕๕๐ เมตร ตอนกลางของเมืองมีคูน้ำชื่อ “คูลูกศร” คั่นแบ่งตัวเมืองเป็น ๒ ส่วน เพื่อประโยชน์ทางการคมนาคมและการกักเก็บน้ำ ภายในตัวเมืองพบโบราณสถานทั้งในเมืองและนอกเมืองเป็นจำนวนมาก

เมืองโบราณศรีมโหสถที่มีพัฒนาการตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๘ หรือราว ๑,๕๐๐ ปีมาแล้ว ด้วยทำเลที่ตั้งอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำบางปะกง ติดชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก เมืองศรีมโหสถจึงเป็นทั้งเมืองท่าการค้าที่ติดต่อกับดินแดนโพ้นทะเล เป็นศูนย์กลางของการคมนาคมของบ้านเมืองตอนในของแผ่นดิน และเป็นเมืองชายฝั่งทะเลใกล้เคียง

เมืองโบราณแห่งนี้จึงมีความหลากหลายในด้านศิลปวัฒนธรรมและความเชื่อทางศาสนา ที่เดินทางมาพร้อมกับผู้คนจากต่างแดน ด้วยพัฒนาการบ้านเมืองที่ยาวนาน จึงปรากฏการสร้างศาสนสถานทับซ้อนกันอยู่หลายสมัย อีกทั้งยังพบพระพุทธรูป รูปเคารพต่าง ๆ รวมถึงวัตถุและสินค้าจากต่างแดน สะท้อนถึงความมั่งคั่งและเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองในช่วงเวลานั้น

โบราณวัตถุสำคัญจากเมืองศรีมโหสถ ได้แก่ พระคเณศ ศิลปะทวาราวดีต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๒ พระพุทธรูปปางสมาธิ ศิลปะทวาราวดีพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๔ พระพุทธรูปปางตรัสรู้ ศิลปะทวาราวดีพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๕ จารึกกรอบคันฉ่องและจารึกเชิงเทียนศิลปะเขมรในประเทศไทยพุทธศตวรรษที่ ๑๘

ในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี จะมีห้องจัดแสดงศิลปะของเมืองศรีมโหสถ ชื่อว่า ห้องเมืองศรีมโหสถ นครรัฐแรกเริ่มแห่งลุ่มน้ำบางปะกง นะครับ
เมืองโบราณศรีมโหสถกำเนิดขึ้นร่วมสมัยกับอาณาจักรฟูนันตอนปลาย และพัฒนาเข้าสู่วัฒนธรรมทวาราวดีในพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๖ ก่อนที่วัฒนธรรมเขมรจะเข้ามาในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๗-๑๘ พบโบราณวัตถุชิ้นสำคัญได้แก่ พระคเณศ พระวิษณุจตุรภุช  พระพุทธรูปปางสมาธิ รวมถึงเครื่องสำริดประกอบพิธีกรรมที่มีจารึกภาษาเขมรกล่าวถึงพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗

เรื่องราวของพระวิษณุจตุรภุช จะขอเล่าในโอกาสต่อไปนะครับ

วันจันทร์, กันยายน 18, 2566

มินามีเรื่องเล่า ตรีศูลที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี Thai-English-French




มินามีเรื่องเล่า ตรีศูลที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี Thai-English-French

สวัสดีครับ วันนี้ขออนุญาตนำเสนอเรื่องตรีศูล หรือที่เรียกกันแบบคุ้นเคยว่า ศูล นะครับ

ตรีศูลมีลักษณะและมีความสำคัญอย่างไรครับ 

ตรีศูลหรือศูลเป็นอาวุธที่ใช้เสียบ ทิ่ม และแทง นะครับ มีลักษณะคล้ายใบหอกสั้นหรือพระขรรค์ ๓ เล่ม มีโคนร่วมอยู่ในด้ามเดียวกัน เราอาจเรียกง่าย ๆ ว่าเป็นสามง่ามแหลม มีด้ามถือยาวแบบหอกก็ได้นะครับ

ส่วนความสำคัญนั้น ในศาสนาพราหมณ์ ลัทธิไศวนิกายที่นับถือพระศิวะเป็นใหญ่กว่าเทพองค์ใด ถือว่าตรีศูลเป็นอาวุธสำคัญประจำพระองค์ของพระศิวะ นะครับ กล่าวง่าย ๆ คือ เป็นศัตราประจำหัตถ์พระศิวะครับ 

ในทางประติมานวิทยาถือว่าตรีศูลเป็นสัญลักษณ์ที่หมายถึงพระศิวะเหมือนกับศิวลึงค์ นะครับ ดังนั้นคนในสมัยก่อนนิยมสร้างตรีศูลขึ้นเพื่อประดิษฐานไว้ในศาสนสถานของศาสนาพราหมณ์ ลัทธิไศวนิกายไว้แทนประติมากรรมรูปพระศิวะนะครับ

ตรีศูลที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี เป็นศิลปะทวาราวดี อายุประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๒ ทำด้วยหินทราย สูง ๘๘ เซนติเมตร ได้มาจากบ้านโคกวัด ตำบลโคกปีบ อำเภอศรีมโหสถ จังหวัดปราจีนบุรี นะครับ

แม้ว่าตรีศูลที่อยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรีมีสภาพชำรุด ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ แต่เราพอศึกษาหาความรู้จากตรีศูลนี้ได้นะครับ  

ยอดและด้ามของตรีศูลหักหายไป แต่โชคดีที่ยังมีฐานของตรีศูลอยู่ ฐานของตรีศูลนั้นสลักรูปนูนต่ำเป็นลวดลายพันธุ์พฤกษา มีลักษณะลวดลายใกล้เคียงกับลวดลายในศิลปะอินเดียแบบคุปตะ และศิลปะเขมรแบบสมโบร์ไพรกุก ซึ่งมีอายุอยู่ในต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๒ นะครับ 


แหล่งข้อมูล
ศิลปากร, กรม. นำชมพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี. กรุงเทพฯ : บริษัท คัมปาย อิมเมจจิ้ง จำกัด, ๒๕๔๒.

******

Mina's Stories: The Trishula, weapon of Lord Shiva

Good morning, I would like to tell you about the Trishula placed in an exhibition hall of National Museum at Prachin Buri.

The Trishula is a weapon wielded by Lords Shiva, Great God of Shaivism, one of the major traditions of Hinduism. This Trisula, aka in Thai Tri Soon or Soon, is a trident-like weapon with long handle. It was placed in a Shaivite shrine as a symbol of Lord Shiva, the Supreme Being of Shivaism. 

This Trishula was found at Ban Wat, Khok Pip Sub-district, Si Mahosot District, Prachin Buri Province. This sandstone Trishula represents a Dvaravati art. 

Although its top and handle disappeared, this sandstone Trishula also gives us a trace of Dvaravati art in this region. It was carved around the 7th century CE or 1,400 years BE. 

 ****

Mina raconte : La Trishula, arme du Seigneur Shiva

Bonjour, aujourd’hui je voudrais vous parler de la Trishula, arme du Dieu Shiva, Dieu Suprême du Shivaïsme, une doctrine traditionnelle de l’Hindouïsme. Cette arme céleste est actuellement placée dans une salle d'exposition du Musée national de Prachin Buri.

La Trishula, connue sous le nom thaï « Tri Soon ou Soon », est une arme en forme de trident avec un long manche. Il a été placé dans un sanctuaire shivaïte comme symbole du Seigneur Shiva, l'Être suprême du Shivaïsme. Donc, à part le Shiva lingum, pierre dressée d’apparence phallique représentant Shiva, les gens d’autrefois préfèrent aussi sculpter la Trishula pour représenter leur Dieu Suprême du Shivaisme.

Cette Trishula en grès a été trouvé au village de Ban Wat, sous-district de Khok Pip, district de Si Mahosot, province de Prachin Buri.

Bien que le dessus et l’anse de l’arme aient disparu, cette Trishula nous donne également la trace de l'art Dvaravati dans cette région. Elle a été sculptée vers le 7ème siècle de notre ère ou 1 400 ans de l’ère Bouddhique.

*************** 

วันอาทิตย์, กันยายน 17, 2566

มินามีเรื่องเล่า รูปแผ่นดินเผาพิมพ์ลาย เรื่องพระกฤษณะยกภูเขาโควรรธนะ

 


มินามีเรื่องเล่า รูปแผ่นดินเผาพิมพ์ลาย เรื่องพระกฤษณะยกภูเขาโควรรธนะ
ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี มีรูปแผ่นดินเผาพิมพ์ลายเรื่องพระกฤษณะยกภูเขาโควรรธนะ รูปแผ่นดินเผานี้เป็นศิลปะทวารวดี มีอายุประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๒ มีลักษณะเป็นแผ่นดินเผา มีขนาดกว้าง ๒๖ เซนติเมตร ยาว ๓๒ เซนติเมตร ได้มาจากการขุดแต่งโบราณสถานที่เมืองศรีมโหสถ อำเภอศรีมโหสถ จังหวัดปราจีนบุรี
รูปแผ่นดินเผาทำได้อย่างไรและทำเพื่ออะไร
รูปแผ่นดินเผาพิมพ์ลายสำหรับตกแต่งระดับศาสนสถานในศิลปะทวาราวดี มักมีกรรมวิธีในการผลิตโดยกดดินที่เตรียมไว้ลงในแม่พิมพ์ต้นแบบ แล้วนำมาตกแต่งในรายละเอียดให้สวยงาม จากนั้นจึงนำไปเผาให้สุก แล้วจึงนำไปประดับบนศาสนสถานต่าง ๆ โดยมากแล้วรูปดินเผาเหล่านี้จะทำเป็นรูปนูนต่ำ มีทั้งรูปบุคคล พระพุทธรูป พระโพธิสัตว์ รูปสตรี และลวดลายต่าง ๆ
รูปแผ่นดินเผาพิมพ์ลายชิ้นนี้ทำเป็นรูปผู้ชาย รวบผมเป็นจุกอยู่กลางศีรษะ นุ่งผ้าโจงสั้นหยักรั้ง พระหัตถ์ขวาถือไม้รูปโค้ง พระหัตถ์ซ้ายยกขึ้น เหนือขึ้นไปเป็นกิ่งไม้อยู่ภายในกรอบสี่เหลี่ยมล้อมรอบด้วยลายลูกประคำเรียงกันเป็นแถว และจากรูปแบบประติมานวิทยาของภาพอาจกำหนดได้ว่า เป็นรูปพระกฤษณะในตอนยกภูเขาโควรรธนะเพื่อช่วยฝูงวัว
เรื่องของพระกฤษณะยกภูเขาโควรรธนะถือเป็นอวตารหนึ่งของพระวิษณุ มีลักษณะคล้ายกับประติมากรรมรูปคนเหาะที่พบที่เมืองอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าศาสนสถานหลังนี้คงจะเป็นเทวาลัยในศาสนาพราหมณ์ ลัทธิไวษณพนิกาย (ไว-ษะ-ณพ-นิ-กาย) อันเป็นศาสนาที่นิยมเคารพนับถือกันในขณะนั้น
เมื่อกล่าวถึงเรื่องพระกฤษณาวตาร ก็ขออนุญาตกล่าวถึงทับหลังสลักภาพตอนกฤษณาวตารหรือพระกฤษณะโควรรธนะ ที่ปราสาทเมืองต่ำ จังหวัดบุรีรัมย์ด้วยนะครับ
ที่ปราสาทเมืองต่ำ มีทับหลังสลักภาพพระกฤษณะทรงยกภูเขาชื่อโควรรธนะเพื่อปกป้องคนเลี้ยงวัวและฝูงวัวให้พ้นภัยพายุ ทับหลังนี้อยู่บนปราสาทบริวารด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ นะครับ
เรื่องของพระกฤษณะทรงยกภูเขาชื่อโควรรธนะเป็นอย่างไร
ตำนานมีอยู่ว่า พระวิษณุได้ทรงอวตารลงมาเป็นชายหนุ่มรูปงามชื่อกฤษณะ และได้แนะนำให้คนเลี้ยงวัวซึ่งแต่เดิมบูชาพระอินทร์ให้หันไปบูชาภูเขาโควรรธนะซึ่งเป็นที่ทำมาหากินแทน
เมื่อมีคนมายุยงให้คนเลี้ยงวัวไปบูชาภูเขาแทนตนเอง พระอินทร์ท่านทรงพิโรธและบันดาลให้เกิดพายุฝนกรวดทรายตกใส่หมู่บ้านคนเลี้ยงวัวนะครับ
คราวนี้ พระกฤษณะได้แสดงพละกำลังโดยการถอนภูเขาโควรรธนะ แล้วยกภูเขาขึ้นป้องกันหมู่บ้านเป็นเวลา ๗ วัน ๗ คืน โดยไม่ขยับเขยื้อน จนทำให้พระอินทร์ยอมแพ้ นะครับ
แหล่งข้อมูล
ศิลปากร, กรม. นำชมพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี. กรุงเทพฯ : บริษัท คัมปาย อิมเมจจิ้ง จำกัด, ๒๕๔๒.

วันเสาร์, กันยายน 16, 2566

มินามีเรื่องเล่า ร่องรอยวัฒนธรรมลุ่มน้ำบางปะกงและภูมิภาคตะวันออก ที่ชุมชนโบราณบ้านโคกพนมและบ้านหนองโน

 


มินามีเรื่องเล่า ร่องรอยวัฒนธรรมลุ่มน้ำบางปะกงและภูมิภาคตะวันออก ที่ชุมชนโบราณบ้านโคกพนมและบ้านหนองโน

**********
สวัสดีครับ เมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน พ.ศ.๒๕๖๖ ผมได้มีโอกาสไปเยี่มมชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี และได้เรียนรู้ร่องรอยวัฒนธรรมลุ่มน้ำบางปะกง จึงขออนุญาตนำมาถ่ายทอดสู่กันฟังครับ
ภูมิประเทศในเขตภาคตะวันออกนั้นมีความอุดมสมบูรณ์ ก่อให้เกิดชุมชนโบราณยุคก่อนประวัติศาสตร์มากมายหลายแห่ง ชุมชนเหล่านี้กระจายตัวอยู่รอบขอบอ่าวทะเล ในปัจจุบันประกอบไปด้วยพื้นที่ต่าง ๆ รวม ๘ จังหวัด คือ ฉะเชิงเทรา สระแก้ว ชลบุรี ระยอง ปราจีนบุรี จันทบุรี ตราด และนครนายก นะครับ
ชุมชนโบราณยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่สำคัญสองแห่งได้แก่ ชุมชนบ้านโคกพนมดี และชุมชนบ้านหนองโน
ชุมชุนบ้านโคกพนมดี ตั้งอยู่ที่ตำบลท่าข้าม อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี มีอายุราว ๓,๕๐๐-๔,๐๐๐ ปีมาแล้ว พบร่องรอยการตั้งถิ่นฐานที่อยู่อาศัยของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ โดยใช้ทรัพยากรทางทะเลเพื่อการอุปโภคบริโภค ความรุ่งเรืองของชุมชน คือการขุดค้นพบหลุมฝังศพจำนวนหนึ่งนะครับ มีโครงกระดูกจำนวนมากถึง ๑๕๔ โครง ที่โดดเด่นที่สุด คือโครงกระดูกหญิงสาวซึ่งตกแต่งเรือนร่างด้วยลูกปัดที่ทำจากเปลือกหอยมากมายถึง ๑๒๐,๐๐๐ เม็ด อีกทั้งฝังสิ่งของเป็นเครื่องอุทิศอีกเป็นจำนวนมาก สันนิษฐานไว้ว่าคงเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญต่อชุมชนนี้แน่นอน ซึ่งต่อมาเธอผู้นี้ได้รับการขนานนามว่าเป็น เจ้าแม่แห่งโคกพนมดี (ท่านสามารถตามอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.silpa-mag.com/history/article_93448 วารสารศิลปวัฒนธรรม ตอน สตรีลึกลับกับเครื่องประดับนับแสนชิ้น ใครคือเจ้าแม่แห่งโคกพนมดี?)



ไม่ไกลจากโคกพนมดีนั้นมีอีก ๑ ชุมชนตั้งอยู่ ได้แก่ ชุมชนหนองโน มีอายุราว ๒,๗๐๐-๔,๕๐๐ ปีมาแล้ว แหล่งโบราณคดีบ้านหนองโน ตั้งอยู่ที่ตำบลไร่หลักทอง อำเภอพนัสนิคม นะครับ
แหล่งโบราณคดีเหล่านี้เคยเป็นซากสุสานหอยที่มีซากเปลือกหอยนานาชนิดมากกว่า ๖ ล้านฝาครับ หอยเหล่านี้อยู่บนหาดทรายและจมอยู่ในทะเลโคลนตมมากกว่า ๔,๐๐๐ กว่าปีมาแล้ว
ชุมชนโบราณหนองโนเป็นชุมชนเล็ก ๆ มีประชากรเพียงไม่กี่ครอบครัวอาศัยอยู่ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ แล้วอพยพไปหาที่อยู่ใหม่
ด้วยสภาพแวดล้อมของการตั้งถิ่นฐาน ชาวโคกพนมดีและชาวหนองโนจึงมีวิถีชีวิตที่ใกล้เคียงกัน โดยแสวงหาอาหารจากธรรมชาติทั้งทางทะเลจากสัตว์น้ำและเข้าป่าล่าสัตว์ ได้มีการพบเศษกระดูกกลางทะเล เช่น ฉลาม โลมา วาฬ บนบกมีการพบเศษกระดูกวัวป่าและควายป่า เป็นต้น คนในชุมชนทั้งสองแห่งยังมีความสามารถในการผลิตภาชนะดินเผาและประดิษฐ์เครื่องมือเครื่องใช้จากกระดูกสัตว์ เช่น เบ็ดตกปลา เข็ม หมุด เพื่อใช้สอยในการดำรงชีวิต โดยเชื่อว่ายังไม่รู้จักวิธีการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์อย่างจริงจัง
เมื่อมีคนในชุมชนเสียชีวิตก็มีพิธีกรรมการฝังศพพร้อมของกินและเครื่องใช้อุทิศให้แก่ผู้ตายเพื่อนำไปใช้ในโลกหน้า
ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของที่ราบลุ่มชายฝั่งทะเลที่เหมาะสมในการตั้งถิ่นฐานและขยายบ้านเมือง รวมทั้งการค้าขายแลกเปลี่ยนทรัพยากรไปยังดินแดนห่างไกล ประกอบกับการรับความเชื่อทางศาสนาและวัฒนธรรมยุคประวัติศาสตร์จากภายนอก ชุมชนโบราณที่เคยมีอยู่จึงก่อตัวขึ้นเป็นเมืองต่าง ๆ เช่นเมืองศรีมโหสถ
โปรดติดตามเรื่องเมืองศรีมโหสถในตอนต่อไปนะครับ
ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น
แชร์

วันศุกร์, กันยายน 15, 2566

มินามีเรื่องเล่า ศิวลึงค์ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี

 



มินามีเรื่องเล่า ศิวลึงค์ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี

 

สวัสดีครับเมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๖ ผมได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี

 

ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรีแห่งนี้ มีแท่นศิวลึงค์ทำด้วยหินทราย เป็นศิลปะทวาราวดี มีความสูง ๒๑ เซนติเมตร มีฐานกว้าง ๖๕ เซนติเมตร ได้มาจากอำเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี

 


ศิวลึงค์มีความสำคัญอย่างไร

 

ศิวลึงค์เป็นประติมากรรมรูปเคารพที่สำคัญในศาสนาพราหมณ์ลัทธิไศวนิกายนะครับ 

 

ไศวนิกายคือลัทธิอะไร คือลัทธิที่นับถือพระศิวะเป็นใหญ่นะครับ 

 

ในสมัยนั้นศาสนาพราหมณ์หรือฮินดูมีการนับถือลัทธิสำคัญ ๒ ลัทธิครับ ลัทธิที่นับถือพระศิวะเป็นใหญ่ เรียกว่าไศวนิกาย แต่ถ้านับถือพระวิษณุเป็นใหญ่ เรียกว่า ไวษณพนิกาย ทั้งสองลัทธิอยู่ร่วมกันได้ครับ แล้วแต่ว่าใครจะนิยมเทพองค์ใดเป็นใหญ่มากกว่ากัน

 

คติความเชื่อในการสร้างศิวลึงค์นั้น ได้มีการสร้างและประดิษฐานศิวลิงค์ไว้ที่ไหนครับ เรามักจะพบว่ามีการประดิษฐานศิวลึงค์เป็นประติมากรรมประธานในศาสนสถานนะครับ

 

ทำไมต้องเป็นศิวลึงค์ด้วย

คำตอบคือ เพราะศิวลึงค์เป็นสัญลักษณ์ที่มีความหมายแทนองค์พระศิวะซึ่งเป็นพระผู้เป็นเจ้าผู้ให้กำเนิดแก่มวลมนุษย์ ศิวลึงค์ คือองค์กำเนิดเพศชายที่เป็นสัญลักษณ์แทนองค์พระศิวะ หมายถึงการสร้างสรรค์ ความมั่งคั่ง ความเจริญรุ่งเรือง ในขณะเดียวกันก็หมายถึงตรีมูรติ ได้แก่ เทพเจ้า ๓ องค์ในศาสนาพราหมณ์ โดยแท่งศิวลึงค์แบ่งออกเป็น ๓ ส่วนหรือเรียกว่า ๓ ภาคก็ได้ครับ 

 

ภาคที่ ๑ คือ รุทรภาค หรือปูชาภาค เป็นรูปกลม อยู่ด้านบนสุดของศิวลึงค์ หมายถึงพระศิวะ 

 

ภาคที่ ๒ คือ วิษณุภาค เป็นส่วนกลาง อาจทำเป็นรูปแปดเหลี่ยม หมายถึง พระวิษณุ  

 

ภาคที่ ๓ คือ พรหมภาค คือส่วนล่าง อาจทำเป็นรูปสี่เหลี่ยม หมายถึงพระพรหม นะครับ  

 

ย้อนมาที่ศิวลึงค์ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรีนะครับ  ศิวลึงค์แท่งนี้เป็นรูปสลักติดกับฐานสี่เหลี่ยมซึ่งเป็นร่องรองรับน้ำสรง ศิวลึงค์นี้มีเฉพาะส่วนรุทรภาคหรือปูชาภาค คือส่วนยอดของศิวลึงค์ที่โผล่ขึ้นมาจากตรงกลางของฐานโยนี ครับ

 

ลักษณะของศิวลึงค์ประเภทนี้จะใกล้เคียงกับกายวิภาคตามธรรมชาติ ถือเป็นศิวลึงค์รุ่นเก่าสุด มีลักษณะเหมือนศิวลึงค์ในศิลปะจาม กล่าวคือ จะตัดทอนเอาส่วนพรหมภาคและวิษณุภาคออกไปครับ

 

ศิวลึงค์ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ ปราจีนบุรีนี้เป็นศิวลึงค์ที่นิยมในศิลปะเขมรก่อนเมืองพระนคร ซึ่งมีอายุประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๓ คาดว่าศิวลึงค์จะมีอายุในระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๓ เป็นอย่างน้อยนะครับ

 

แหล่งข้อมูล

ศิลปากร, กรม.  นำชมพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี.  กรุงเทพฯ : บริษัท คัมปาย อิมเมจจิ้ง จำกัด, ๒๕๔๒.   

https://www.finearts.go.th/roietmuseum/view/11398-เอกมุขลึงค์.



วันศุกร์, สิงหาคม 18, 2566

มินามีเรื่องเล่า วันที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ที่มาของวันวิทยาศาสตร์ของชาติไทย

 

 


ภาพเมื่อวันที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ ณ อนุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

มินามีเรื่องเล่า วันที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ที่มาของวันวิทยาศาสตร์ของชาติไทย

สวัสดีครับ วันนี้วันที่ ๑๘ สิงหาคม เป็นวันวิทยาศาสตร์ไทย วันนี้เกี่ยวข้องอย่างไรกับเหตุการณ์ของวันที่ ๑๘ สิงหาคม ปีพุทธศักราช ๒๔๑๑ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขออนุญาตนำข้อความจากพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑-๔ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค) หน้าที่ ๒๐๐๙-๒๐๑๐ มาถ่ายทอด ณ ที่นี้นะครับ

“ณ วันอังคาร เดือน ๑๐ ขึ้น ๑ ค่ำ ตรงกับวันที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ เวลา ๒ โมงเช้า เจ้าพนักงานเตรียมกล้องใหญ่น้อย เครื่องทรงทอดพระเนตรสุริยุปราคา เวลาเช้า ๔ โมง ๓ นาที เสด็จออกทรงกล้อง แต่ท้องฟ้าเป็นเมฆฝนคลุ้มไป ในด้านตะวันออกไม่เห็นอะไรเลยต่อเวลา ๔ โมง ๑๖ นาที เมฆจึงจางสว่างออกไปเห็นดวงพระอาทิตย์ไร ๆ แลดูพอรู้ว่าจับแล้วจึงประโคม เสด็จสรงมุรธาภิเษก ครั้นเวลา ๕ โมง ๒๐ นาที แสงแดดอ่อนลงมา ท้องฟ้าตรงดวงอาทิตย์สว่างไม่มีเมฆเลย ที่อื่นแลเห็นดาวใหญ่ด้านตะวันตกและดาวอื่น ๆ มากหลายดวง เวลา ๕ โมง กับ ๓๖ นาที ๒๐ วินาที จับสิ้นดวง เวลานั้นมืดเป็นเหมือนกลางคืนเวลาพลบค่ำ คนที่นั่งใกล้ ๆ กันก็แลดูไม่รู้จักหน้ากัน แล้วพระราชทานเงินแจกพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยซึ่งตามเสด็จโดยพระราชดำเนินออกไปโดยทั่วกัน”

พระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่มีต่อวงการวิทยาศาสตร์ไทยนับว่ายิ่งใหญ่ พระองค์ทรงแสดงพระอัจริยภาพด้านวิทยาศาสตร์ มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ นับว่าเป็น Solf Power ที่ทรงแสดงให้บรรดาทูตานุทูตชาวตะวันตกได้ประจักษ์ เป็นการแสดงตัวตนของประเทศสยามในยุคเริ่มมหันตภัยแห่งการล่าอาณานิคมเริ่มบังเกิดขึ้น นะครับ



วันพฤหัสบดี, สิงหาคม 17, 2566

มินามีเรื่องเล่า บุญกิริยาวัตถุ ๓ ประการ Thai-English-French

 



มินามีเรื่องเล่า บุญกิริยาวัตถุ ๓ ประการ Thai-English-French

สวัสดีครับ วันนี้ขออนุญาตเล่าเรื่อง บุญกิริยาวัตถุนะครับ

บุญกิริยาวัตถุ คือ สิ่งเป็นที่ตั้งแห่งการบำเพ็ญบุญ กล่าวโดยย่อมี ๓ อย่าง ได้แก่

๑. ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการบริจาคทาน

๒. สีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล

๓. ภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการเจริญภาวนา

การตักบาตรถือเป็นทานมัยด้วยนะครับ ทำบุญกันนะครับ

******************

Mina’s stories: the three Punnakiriyavatthu

Good morning. I would like to tell you about the three Punnakiriyavatthu. They refer to the three meritorious fields of action. What are they?

 They are composed of Danamaya, Silamaya and Bhavanamaya.

They are briefly stated as:

1. Danamaya. It is the merit acquired by giving dana, generosity.

2. Silamaya. It is the merit acquired by maintaining Sila, moral behaviour.

3. Bhavanamaya. It is the merit acquired by developing Bhavana, training one's heart mind.

Offerings foods to monks is one of the Danamaya or generosity for all of us.  

 Hence, generosity, moral behaviour and trainings one’s heart mind are the three meritorious actions which can be acquired by all of us.

******************

Histoires de Mina : Les Trois Punnakiriyavatthu

 Bonjour. Aujourd’hui j’aimerais parler des trois Punnakiriyavatthu. Ils signifient trois catégories des actes méritoires. Ce sont : Danamaya, Silamaya et Bhavanamaya.

 1. Danamaya. C'est le mérite acquis en donnant des offrandes ou Dana. Ce sont des actes de générosité.

2. Silamaya. C'est le mérite acquis en maintenant le comportement moral ou Sila.

3. Bhavanamaya. C'est le mérite acquis en entraînant notre cœur et notre esprit vers la concentration. Nous l’appelons « Bhavana ».

Faire des offrandes de nourriture est considéré comme un des actes de Dana pour nous tous.

Donc, la générosité, le comportement décent et moral, et la pratique de la concentration sont les trois actes méritoires importants pour nous.  

………………………

มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French

  มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French กรมหลวงพิพิธมนตรี (พระพันวัสสาน้อย) เป็นพระอัครมเหสีน้อยของสมเด็จพ...