Chalermkiat Mina

วันอาทิตย์, กันยายน 17, 2566

มินามีเรื่องเล่า รูปแผ่นดินเผาพิมพ์ลาย เรื่องพระกฤษณะยกภูเขาโควรรธนะ

 


มินามีเรื่องเล่า รูปแผ่นดินเผาพิมพ์ลาย เรื่องพระกฤษณะยกภูเขาโควรรธนะ
ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี มีรูปแผ่นดินเผาพิมพ์ลายเรื่องพระกฤษณะยกภูเขาโควรรธนะ รูปแผ่นดินเผานี้เป็นศิลปะทวารวดี มีอายุประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๒ มีลักษณะเป็นแผ่นดินเผา มีขนาดกว้าง ๒๖ เซนติเมตร ยาว ๓๒ เซนติเมตร ได้มาจากการขุดแต่งโบราณสถานที่เมืองศรีมโหสถ อำเภอศรีมโหสถ จังหวัดปราจีนบุรี
รูปแผ่นดินเผาทำได้อย่างไรและทำเพื่ออะไร
รูปแผ่นดินเผาพิมพ์ลายสำหรับตกแต่งระดับศาสนสถานในศิลปะทวาราวดี มักมีกรรมวิธีในการผลิตโดยกดดินที่เตรียมไว้ลงในแม่พิมพ์ต้นแบบ แล้วนำมาตกแต่งในรายละเอียดให้สวยงาม จากนั้นจึงนำไปเผาให้สุก แล้วจึงนำไปประดับบนศาสนสถานต่าง ๆ โดยมากแล้วรูปดินเผาเหล่านี้จะทำเป็นรูปนูนต่ำ มีทั้งรูปบุคคล พระพุทธรูป พระโพธิสัตว์ รูปสตรี และลวดลายต่าง ๆ
รูปแผ่นดินเผาพิมพ์ลายชิ้นนี้ทำเป็นรูปผู้ชาย รวบผมเป็นจุกอยู่กลางศีรษะ นุ่งผ้าโจงสั้นหยักรั้ง พระหัตถ์ขวาถือไม้รูปโค้ง พระหัตถ์ซ้ายยกขึ้น เหนือขึ้นไปเป็นกิ่งไม้อยู่ภายในกรอบสี่เหลี่ยมล้อมรอบด้วยลายลูกประคำเรียงกันเป็นแถว และจากรูปแบบประติมานวิทยาของภาพอาจกำหนดได้ว่า เป็นรูปพระกฤษณะในตอนยกภูเขาโควรรธนะเพื่อช่วยฝูงวัว
เรื่องของพระกฤษณะยกภูเขาโควรรธนะถือเป็นอวตารหนึ่งของพระวิษณุ มีลักษณะคล้ายกับประติมากรรมรูปคนเหาะที่พบที่เมืองอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าศาสนสถานหลังนี้คงจะเป็นเทวาลัยในศาสนาพราหมณ์ ลัทธิไวษณพนิกาย (ไว-ษะ-ณพ-นิ-กาย) อันเป็นศาสนาที่นิยมเคารพนับถือกันในขณะนั้น
เมื่อกล่าวถึงเรื่องพระกฤษณาวตาร ก็ขออนุญาตกล่าวถึงทับหลังสลักภาพตอนกฤษณาวตารหรือพระกฤษณะโควรรธนะ ที่ปราสาทเมืองต่ำ จังหวัดบุรีรัมย์ด้วยนะครับ
ที่ปราสาทเมืองต่ำ มีทับหลังสลักภาพพระกฤษณะทรงยกภูเขาชื่อโควรรธนะเพื่อปกป้องคนเลี้ยงวัวและฝูงวัวให้พ้นภัยพายุ ทับหลังนี้อยู่บนปราสาทบริวารด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ นะครับ
เรื่องของพระกฤษณะทรงยกภูเขาชื่อโควรรธนะเป็นอย่างไร
ตำนานมีอยู่ว่า พระวิษณุได้ทรงอวตารลงมาเป็นชายหนุ่มรูปงามชื่อกฤษณะ และได้แนะนำให้คนเลี้ยงวัวซึ่งแต่เดิมบูชาพระอินทร์ให้หันไปบูชาภูเขาโควรรธนะซึ่งเป็นที่ทำมาหากินแทน
เมื่อมีคนมายุยงให้คนเลี้ยงวัวไปบูชาภูเขาแทนตนเอง พระอินทร์ท่านทรงพิโรธและบันดาลให้เกิดพายุฝนกรวดทรายตกใส่หมู่บ้านคนเลี้ยงวัวนะครับ
คราวนี้ พระกฤษณะได้แสดงพละกำลังโดยการถอนภูเขาโควรรธนะ แล้วยกภูเขาขึ้นป้องกันหมู่บ้านเป็นเวลา ๗ วัน ๗ คืน โดยไม่ขยับเขยื้อน จนทำให้พระอินทร์ยอมแพ้ นะครับ
แหล่งข้อมูล
ศิลปากร, กรม. นำชมพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี. กรุงเทพฯ : บริษัท คัมปาย อิมเมจจิ้ง จำกัด, ๒๕๔๒.

วันเสาร์, กันยายน 16, 2566

มินามีเรื่องเล่า ร่องรอยวัฒนธรรมลุ่มน้ำบางปะกงและภูมิภาคตะวันออก ที่ชุมชนโบราณบ้านโคกพนมและบ้านหนองโน

 


มินามีเรื่องเล่า ร่องรอยวัฒนธรรมลุ่มน้ำบางปะกงและภูมิภาคตะวันออก ที่ชุมชนโบราณบ้านโคกพนมและบ้านหนองโน

**********
สวัสดีครับ เมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน พ.ศ.๒๕๖๖ ผมได้มีโอกาสไปเยี่มมชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี และได้เรียนรู้ร่องรอยวัฒนธรรมลุ่มน้ำบางปะกง จึงขออนุญาตนำมาถ่ายทอดสู่กันฟังครับ
ภูมิประเทศในเขตภาคตะวันออกนั้นมีความอุดมสมบูรณ์ ก่อให้เกิดชุมชนโบราณยุคก่อนประวัติศาสตร์มากมายหลายแห่ง ชุมชนเหล่านี้กระจายตัวอยู่รอบขอบอ่าวทะเล ในปัจจุบันประกอบไปด้วยพื้นที่ต่าง ๆ รวม ๘ จังหวัด คือ ฉะเชิงเทรา สระแก้ว ชลบุรี ระยอง ปราจีนบุรี จันทบุรี ตราด และนครนายก นะครับ
ชุมชนโบราณยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่สำคัญสองแห่งได้แก่ ชุมชนบ้านโคกพนมดี และชุมชนบ้านหนองโน
ชุมชุนบ้านโคกพนมดี ตั้งอยู่ที่ตำบลท่าข้าม อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี มีอายุราว ๓,๕๐๐-๔,๐๐๐ ปีมาแล้ว พบร่องรอยการตั้งถิ่นฐานที่อยู่อาศัยของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ โดยใช้ทรัพยากรทางทะเลเพื่อการอุปโภคบริโภค ความรุ่งเรืองของชุมชน คือการขุดค้นพบหลุมฝังศพจำนวนหนึ่งนะครับ มีโครงกระดูกจำนวนมากถึง ๑๕๔ โครง ที่โดดเด่นที่สุด คือโครงกระดูกหญิงสาวซึ่งตกแต่งเรือนร่างด้วยลูกปัดที่ทำจากเปลือกหอยมากมายถึง ๑๒๐,๐๐๐ เม็ด อีกทั้งฝังสิ่งของเป็นเครื่องอุทิศอีกเป็นจำนวนมาก สันนิษฐานไว้ว่าคงเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญต่อชุมชนนี้แน่นอน ซึ่งต่อมาเธอผู้นี้ได้รับการขนานนามว่าเป็น เจ้าแม่แห่งโคกพนมดี (ท่านสามารถตามอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.silpa-mag.com/history/article_93448 วารสารศิลปวัฒนธรรม ตอน สตรีลึกลับกับเครื่องประดับนับแสนชิ้น ใครคือเจ้าแม่แห่งโคกพนมดี?)



ไม่ไกลจากโคกพนมดีนั้นมีอีก ๑ ชุมชนตั้งอยู่ ได้แก่ ชุมชนหนองโน มีอายุราว ๒,๗๐๐-๔,๕๐๐ ปีมาแล้ว แหล่งโบราณคดีบ้านหนองโน ตั้งอยู่ที่ตำบลไร่หลักทอง อำเภอพนัสนิคม นะครับ
แหล่งโบราณคดีเหล่านี้เคยเป็นซากสุสานหอยที่มีซากเปลือกหอยนานาชนิดมากกว่า ๖ ล้านฝาครับ หอยเหล่านี้อยู่บนหาดทรายและจมอยู่ในทะเลโคลนตมมากกว่า ๔,๐๐๐ กว่าปีมาแล้ว
ชุมชนโบราณหนองโนเป็นชุมชนเล็ก ๆ มีประชากรเพียงไม่กี่ครอบครัวอาศัยอยู่ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ แล้วอพยพไปหาที่อยู่ใหม่
ด้วยสภาพแวดล้อมของการตั้งถิ่นฐาน ชาวโคกพนมดีและชาวหนองโนจึงมีวิถีชีวิตที่ใกล้เคียงกัน โดยแสวงหาอาหารจากธรรมชาติทั้งทางทะเลจากสัตว์น้ำและเข้าป่าล่าสัตว์ ได้มีการพบเศษกระดูกกลางทะเล เช่น ฉลาม โลมา วาฬ บนบกมีการพบเศษกระดูกวัวป่าและควายป่า เป็นต้น คนในชุมชนทั้งสองแห่งยังมีความสามารถในการผลิตภาชนะดินเผาและประดิษฐ์เครื่องมือเครื่องใช้จากกระดูกสัตว์ เช่น เบ็ดตกปลา เข็ม หมุด เพื่อใช้สอยในการดำรงชีวิต โดยเชื่อว่ายังไม่รู้จักวิธีการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์อย่างจริงจัง
เมื่อมีคนในชุมชนเสียชีวิตก็มีพิธีกรรมการฝังศพพร้อมของกินและเครื่องใช้อุทิศให้แก่ผู้ตายเพื่อนำไปใช้ในโลกหน้า
ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของที่ราบลุ่มชายฝั่งทะเลที่เหมาะสมในการตั้งถิ่นฐานและขยายบ้านเมือง รวมทั้งการค้าขายแลกเปลี่ยนทรัพยากรไปยังดินแดนห่างไกล ประกอบกับการรับความเชื่อทางศาสนาและวัฒนธรรมยุคประวัติศาสตร์จากภายนอก ชุมชนโบราณที่เคยมีอยู่จึงก่อตัวขึ้นเป็นเมืองต่าง ๆ เช่นเมืองศรีมโหสถ
โปรดติดตามเรื่องเมืองศรีมโหสถในตอนต่อไปนะครับ
ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น
แชร์

วันศุกร์, กันยายน 15, 2566

มินามีเรื่องเล่า ศิวลึงค์ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี

 



มินามีเรื่องเล่า ศิวลึงค์ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี

 

สวัสดีครับเมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๖ ผมได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี

 

ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรีแห่งนี้ มีแท่นศิวลึงค์ทำด้วยหินทราย เป็นศิลปะทวาราวดี มีความสูง ๒๑ เซนติเมตร มีฐานกว้าง ๖๕ เซนติเมตร ได้มาจากอำเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี

 


ศิวลึงค์มีความสำคัญอย่างไร

 

ศิวลึงค์เป็นประติมากรรมรูปเคารพที่สำคัญในศาสนาพราหมณ์ลัทธิไศวนิกายนะครับ 

 

ไศวนิกายคือลัทธิอะไร คือลัทธิที่นับถือพระศิวะเป็นใหญ่นะครับ 

 

ในสมัยนั้นศาสนาพราหมณ์หรือฮินดูมีการนับถือลัทธิสำคัญ ๒ ลัทธิครับ ลัทธิที่นับถือพระศิวะเป็นใหญ่ เรียกว่าไศวนิกาย แต่ถ้านับถือพระวิษณุเป็นใหญ่ เรียกว่า ไวษณพนิกาย ทั้งสองลัทธิอยู่ร่วมกันได้ครับ แล้วแต่ว่าใครจะนิยมเทพองค์ใดเป็นใหญ่มากกว่ากัน

 

คติความเชื่อในการสร้างศิวลึงค์นั้น ได้มีการสร้างและประดิษฐานศิวลิงค์ไว้ที่ไหนครับ เรามักจะพบว่ามีการประดิษฐานศิวลึงค์เป็นประติมากรรมประธานในศาสนสถานนะครับ

 

ทำไมต้องเป็นศิวลึงค์ด้วย

คำตอบคือ เพราะศิวลึงค์เป็นสัญลักษณ์ที่มีความหมายแทนองค์พระศิวะซึ่งเป็นพระผู้เป็นเจ้าผู้ให้กำเนิดแก่มวลมนุษย์ ศิวลึงค์ คือองค์กำเนิดเพศชายที่เป็นสัญลักษณ์แทนองค์พระศิวะ หมายถึงการสร้างสรรค์ ความมั่งคั่ง ความเจริญรุ่งเรือง ในขณะเดียวกันก็หมายถึงตรีมูรติ ได้แก่ เทพเจ้า ๓ องค์ในศาสนาพราหมณ์ โดยแท่งศิวลึงค์แบ่งออกเป็น ๓ ส่วนหรือเรียกว่า ๓ ภาคก็ได้ครับ 

 

ภาคที่ ๑ คือ รุทรภาค หรือปูชาภาค เป็นรูปกลม อยู่ด้านบนสุดของศิวลึงค์ หมายถึงพระศิวะ 

 

ภาคที่ ๒ คือ วิษณุภาค เป็นส่วนกลาง อาจทำเป็นรูปแปดเหลี่ยม หมายถึง พระวิษณุ  

 

ภาคที่ ๓ คือ พรหมภาค คือส่วนล่าง อาจทำเป็นรูปสี่เหลี่ยม หมายถึงพระพรหม นะครับ  

 

ย้อนมาที่ศิวลึงค์ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรีนะครับ  ศิวลึงค์แท่งนี้เป็นรูปสลักติดกับฐานสี่เหลี่ยมซึ่งเป็นร่องรองรับน้ำสรง ศิวลึงค์นี้มีเฉพาะส่วนรุทรภาคหรือปูชาภาค คือส่วนยอดของศิวลึงค์ที่โผล่ขึ้นมาจากตรงกลางของฐานโยนี ครับ

 

ลักษณะของศิวลึงค์ประเภทนี้จะใกล้เคียงกับกายวิภาคตามธรรมชาติ ถือเป็นศิวลึงค์รุ่นเก่าสุด มีลักษณะเหมือนศิวลึงค์ในศิลปะจาม กล่าวคือ จะตัดทอนเอาส่วนพรหมภาคและวิษณุภาคออกไปครับ

 

ศิวลึงค์ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ ปราจีนบุรีนี้เป็นศิวลึงค์ที่นิยมในศิลปะเขมรก่อนเมืองพระนคร ซึ่งมีอายุประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๓ คาดว่าศิวลึงค์จะมีอายุในระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๓ เป็นอย่างน้อยนะครับ

 

แหล่งข้อมูล

ศิลปากร, กรม.  นำชมพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี.  กรุงเทพฯ : บริษัท คัมปาย อิมเมจจิ้ง จำกัด, ๒๕๔๒.   

https://www.finearts.go.th/roietmuseum/view/11398-เอกมุขลึงค์.



วันศุกร์, สิงหาคม 18, 2566

มินามีเรื่องเล่า วันที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ที่มาของวันวิทยาศาสตร์ของชาติไทย

 

 


ภาพเมื่อวันที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ ณ อนุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

มินามีเรื่องเล่า วันที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ที่มาของวันวิทยาศาสตร์ของชาติไทย

สวัสดีครับ วันนี้วันที่ ๑๘ สิงหาคม เป็นวันวิทยาศาสตร์ไทย วันนี้เกี่ยวข้องอย่างไรกับเหตุการณ์ของวันที่ ๑๘ สิงหาคม ปีพุทธศักราช ๒๔๑๑ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขออนุญาตนำข้อความจากพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑-๔ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค) หน้าที่ ๒๐๐๙-๒๐๑๐ มาถ่ายทอด ณ ที่นี้นะครับ

“ณ วันอังคาร เดือน ๑๐ ขึ้น ๑ ค่ำ ตรงกับวันที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ เวลา ๒ โมงเช้า เจ้าพนักงานเตรียมกล้องใหญ่น้อย เครื่องทรงทอดพระเนตรสุริยุปราคา เวลาเช้า ๔ โมง ๓ นาที เสด็จออกทรงกล้อง แต่ท้องฟ้าเป็นเมฆฝนคลุ้มไป ในด้านตะวันออกไม่เห็นอะไรเลยต่อเวลา ๔ โมง ๑๖ นาที เมฆจึงจางสว่างออกไปเห็นดวงพระอาทิตย์ไร ๆ แลดูพอรู้ว่าจับแล้วจึงประโคม เสด็จสรงมุรธาภิเษก ครั้นเวลา ๕ โมง ๒๐ นาที แสงแดดอ่อนลงมา ท้องฟ้าตรงดวงอาทิตย์สว่างไม่มีเมฆเลย ที่อื่นแลเห็นดาวใหญ่ด้านตะวันตกและดาวอื่น ๆ มากหลายดวง เวลา ๕ โมง กับ ๓๖ นาที ๒๐ วินาที จับสิ้นดวง เวลานั้นมืดเป็นเหมือนกลางคืนเวลาพลบค่ำ คนที่นั่งใกล้ ๆ กันก็แลดูไม่รู้จักหน้ากัน แล้วพระราชทานเงินแจกพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยซึ่งตามเสด็จโดยพระราชดำเนินออกไปโดยทั่วกัน”

พระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่มีต่อวงการวิทยาศาสตร์ไทยนับว่ายิ่งใหญ่ พระองค์ทรงแสดงพระอัจริยภาพด้านวิทยาศาสตร์ มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ นับว่าเป็น Solf Power ที่ทรงแสดงให้บรรดาทูตานุทูตชาวตะวันตกได้ประจักษ์ เป็นการแสดงตัวตนของประเทศสยามในยุคเริ่มมหันตภัยแห่งการล่าอาณานิคมเริ่มบังเกิดขึ้น นะครับ



วันพฤหัสบดี, สิงหาคม 17, 2566

มินามีเรื่องเล่า บุญกิริยาวัตถุ ๓ ประการ Thai-English-French

 



มินามีเรื่องเล่า บุญกิริยาวัตถุ ๓ ประการ Thai-English-French

สวัสดีครับ วันนี้ขออนุญาตเล่าเรื่อง บุญกิริยาวัตถุนะครับ

บุญกิริยาวัตถุ คือ สิ่งเป็นที่ตั้งแห่งการบำเพ็ญบุญ กล่าวโดยย่อมี ๓ อย่าง ได้แก่

๑. ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการบริจาคทาน

๒. สีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล

๓. ภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการเจริญภาวนา

การตักบาตรถือเป็นทานมัยด้วยนะครับ ทำบุญกันนะครับ

******************

Mina’s stories: the three Punnakiriyavatthu

Good morning. I would like to tell you about the three Punnakiriyavatthu. They refer to the three meritorious fields of action. What are they?

 They are composed of Danamaya, Silamaya and Bhavanamaya.

They are briefly stated as:

1. Danamaya. It is the merit acquired by giving dana, generosity.

2. Silamaya. It is the merit acquired by maintaining Sila, moral behaviour.

3. Bhavanamaya. It is the merit acquired by developing Bhavana, training one's heart mind.

Offerings foods to monks is one of the Danamaya or generosity for all of us.  

 Hence, generosity, moral behaviour and trainings one’s heart mind are the three meritorious actions which can be acquired by all of us.

******************

Histoires de Mina : Les Trois Punnakiriyavatthu

 Bonjour. Aujourd’hui j’aimerais parler des trois Punnakiriyavatthu. Ils signifient trois catégories des actes méritoires. Ce sont : Danamaya, Silamaya et Bhavanamaya.

 1. Danamaya. C'est le mérite acquis en donnant des offrandes ou Dana. Ce sont des actes de générosité.

2. Silamaya. C'est le mérite acquis en maintenant le comportement moral ou Sila.

3. Bhavanamaya. C'est le mérite acquis en entraînant notre cœur et notre esprit vers la concentration. Nous l’appelons « Bhavana ».

Faire des offrandes de nourriture est considéré comme un des actes de Dana pour nous tous.

Donc, la générosité, le comportement décent et moral, et la pratique de la concentration sont les trois actes méritoires importants pour nous.  

………………………

วันอังคาร, สิงหาคม 15, 2566

มินามีเรื่องเล่า ทำไมสัญญาณไฟจราจรถึงเป็นสี เขียว ส้มและแดง? Thai-English-French


 

มินามีเรื่องเล่า ทำไมสัญญาณไฟจราจรถึงเป็นสี เขียว ส้มและแดง? Thai-English-French

สวัสดีครับ วันนี้ขอเล่าถึงไฟจราจรนะครับ

ไฟจราจรช่วยในกำหนดกฎเกณฑ์ในการการจราจรบนท้องถนน มีความสำคัญต่อจราจร และต้องมองเห็นได้ง่าย

ดังนั้นจึง เป็นเหตุผลว่าสีเขียว ส้มและแดง ได้รับการนำมาใช้ สีทั้งสามสีนั้นสมองของเรารับรู้ได้ไวที่สุด

เมื่อประมาณปี ค.ศ. ๑๘๗๐ สัญญาณไฟมีแต่สีเขียวและสีแดงเท่านั้นนะครับ

 โดยเฉพาะสีแดงนะครับ ตาของเราจะรับรู้ได้ไวและเห็นได้ไกล โดยไม่ต้องคิดมากนะครับ สีแดงนี้ทำให้เรานึกถึงเลือด แน่นอนเลือดคืออันตราย ไม่ใช่ต้มเลือดหมูนะครับ

ส่วนสีเขียวถูกกำหนดขึ้นเพื่อประกอบสีแดงในวงจรสีและเป็นสีที่สมองรับรู้ได้ดีเหมือนกันนะครับ

ส่วนสีส้ม (เรื่องไฟจราจรนะครับ ไม่ใช่ผลไม้) หมายถึงการเตือน เป็นสีที่อยู่ตรงกลางระหว่างสีทั้งสองสีครับ

ดังนั้นอย่าฝ่าไฟแดงนะครับ!

**************** 

Mina’s Stories: Why are traffic lights green, orange and red?

Traffic lights allow the regulation of road traffic. They are therefore an essential part of the highway code. So, they must be very easy to see.

This is the reason why green, orange and red were chosen: these colors are indeed the ones that our brain can notice the fastest.

Originally, around 1870, the lights were only green and red.

This is particularly the case for red, to which the human eye is very sensitive and which it can be perceived from afar.

Moreover, unconsciously, red evokes blood and therefore danger.

The choice of green was also imposed because it is the complement of red on the chromatic circle and is well perceived by the brain.

As for the orange, signifying the warning, it is located at equal chromatic distance between the two.

So don't run through  a red light!

**************

Mina raconte : Pourquoi les feux tricolores sont-ils vert, orange et rouge ?

 Les feux de circulation permettent la régulation du trafic routier. Ils sont donc un élément essentiel du code de la route. Ils doivent donc être très faciles à voir.

 C’est la raison pour laquelle le vert, l’orange et le rouge ont été choisis : ces couleurs sont en effet celles que notre cerveau capte le plus vite.

A l’origine, vers 1870, les feux étaient uniquement vert et rouge.

C’est particulièrement le cas pour le rouge, auquel l’œil humain est très sensible et qu’il perçoit de loin.

De plus, inconsciemment, le rouge évoque le sang et donc le danger.

 Le choix du vert s’est aussi imposé car il est le complément du rouge sur le cercle chromatique et est bien perçu par le cerveau.

Quant à l’orange, signifiant l’avertissement, il se situe à égale distance chromatique entre les deux.

Donc, il ne faut pas griller un feu rouge ! 


วันจันทร์, สิงหาคม 14, 2566

มินามีเรื่องเล่า ทำไมถึงมีแว่นตา Thai-English-French


มินามีเรื่องเล่า ทำไมถึงมีแว่นตา Thai-English-French

สวัสดีครับ วันนี้ขอพูดเรื่องแว่นตา นะครับ 

แว่นตามีขึ้นเพราะคนเราไม่สามารถที่จะมองเห็นได้อย่างชัดเจนตลอดเวลา 

อริสโตเติลเป็นคนค้นพบอาการสายตาสั้นและสายตายาว

แว่นตามีขึ้นเมื่อไร 
แว่นตามีขึ้นในช่วงศตวรรษที่ ๑๓ ในประเทศอิตาลี
 
ใครประดิษฐ์แว่นตา? 

น่าจะเป็นนายซาลวิโน เดอกริ อาร์มาติ ที่เป็นคนประดิษฐ์แว่นตาขึ้นครับ 

แต่แว่นตานั้นยังไม่มีกรอบแว่นนะครับ กรอบแว่นตาประดิษฐ์ขึ้นในปี ค.ศ. ๑๗๒๘ 

ดังนั้นแว่นตาจึงเกิดขึ้นเป็นเวลาหลายศตวรรษเพื่อช่วยเราให้มองเห็นชัดเจน สามารถอ่านและเขียนหนังสือได้ และสะดวกต่อการมองนะครับ   

Mina’s Stories: Why did glasses appear?

Good morning. Today I will talk about glasses. We wear glasses because we do not see well. Do you know that it was Aristotle who detected presbyopia.

When did glasses appear? They appeared in the 13th century in Italy.

Who invented glasses? 

It is believed that a certain Salvino Deglis Armati invented them. But at that time, the glasses had no frame. The frame was invented in 1728.

Glasses have therefore appeared for centuries in order to allow us to see better, to be able to read, write and to have better visual comfort.
******* 

Mina raconte : Pourquoi les lunettes sont apparues ?

Bonjour. Aujourd’hui, je vais parler des lunettes. Evidemment, les lunettes sont apparues parce que l'homme n'y voit pas toujours bien. Savez-vous que c’est Aristote qui a détecté la presbytie ? 
 
Quand les lunettes sont-elles apparues ? 

Elles sont apparues au XIIIème siècle en Italie. 

Qui a inventé les lunettes ? 

On pense que c'est un certain Salvino Deglis Armati qui les aurait inventées.
Seulement, ces lunettes n'avaient pas de monture et cette dernière a été inventée en 1728.
 
Les lunettes sont donc apparues depuis des siècles déjà afin de nous permettre de voir mieux, de pouvoir lire, écrire et d'avoir un meilleur confort visuel.
*******

มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French

  มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French กรมหลวงพิพิธมนตรี (พระพันวัสสาน้อย) เป็นพระอัครมเหสีน้อยของสมเด็จพ...