Chalermkiat Mina
วันอังคาร, กรกฎาคม 11, 2566
มินามีเรื่องเล่า สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ตอน มนุษยนาคมานพ
วันอาทิตย์, กรกฎาคม 09, 2566
มินามีเรื่องเล่า พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน? Thai-English-French
สวัสดีครับ วันนี้ผมเริ่มเรื่องโดยตั้งคำถามว่า “พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน?
ผมจำประโยคที่พระพุทธเจ้าทรงกล่าวกับพระอานนท์ก่อนที่พระองค์จะปรินิพพานว่า
“ดูก่อนอานนท์ พระธรรมและพระวินัยที่ตถาคตสอนและแสดงให้เห็นนี้ จะเป็นครูของพวกท่านหลังจากที่ตถาคตปรินิพพานแล้ว”
ผมคิดว่า ถ้าเราศึกษาพระธรรมและพระวินัยสม่ำเสมอ และตระหนักถึงคุณความดีของพระธรรมและพระวินัยที่นำทางชีวิตที่ดีให้เรา พระพุทธองค์อยู่กับพวกเราตลอดเวลา พระพุทธเจ้าย่อมอยู่ในใจของพวกเราตลอดเวลา ผมเชื่อเช่นนั้นนะครับ
******
Mina's Stories: Where is Lord Buddha?
Good morning. Today I begin my story with the question, “Where is Lord Buddha?”
I remember the well-known stanza spoken by the Buddha as he was about to pass away. He said to his close disciple, Phra Ananda, “Ananda, the Dhamma and the Discipline, which I have taught and demonstrated, let them be your teacher when I have passed away.”
In my opinion, if we always study and practice Dhamma and Discipline and realizing their benefits, the Buddha still exists with us. He is always in our mind. I do believe like that.
****
Histoires de MINA : Où est Le Bouddha ?
Bonjour, aujourd'hui je commence mon histoire par la question : « Où est le Bouddha ? » Je me souviens de la strophe bien connue prononcée par le Bouddha alors qu'il était sur le point de mourir.
Il dit à son proche disciple, Phra Ananda :
« Ananda, le Dhamma et la Discipline, que j’ai enseigné et démontré, qu'ils soient votre professeur quand je serai décédé. »
À mon avis, si nous étudions et pratiquons toujours le Dhamma et la Discipline et que nous nous rendons compte de leurs avantages pour mener notre vie en bonne voie, le Bouddha existe toujours avec nous. Il est toujours dans notre cœur. Je crois comme ça.
*****
Photo: ที่วิหาร วัดป่าศิริมงคล La Grande Statue du Bouddha dans le Vihara, sanctuaire secondaire de Wat Pa Sirimongkhon, Ban Phue, Khon Kaen.
วันเสาร์, กรกฎาคม 08, 2566
มินามีเรื่องเล่า สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ตอนหัวอกเดียวกัน
สวัสดีครับ วันนี้ผมขอเล่าถึงสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ว่าด้วยตอนหัวอกเดียวกัน
หัวอกเดียวกันกับใครครับ ลองติดตามดูนะครับ
มาดูสายสัมพันธ์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ กันก่อนนะครับ
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและเจ้าจอมมารดาแพ พระสนมเอก มีพระราชโอรสและพระราชธิดา ๕ พระองค์ คือ
๑. พระองค์เจ้าหญิงยิ่งเยาวลักษณ์ อรรคราชสุดา (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ายิ่งเยาวลักษณ์ อรรคราชสุดา) ประสูติเมื่อวันพุธที่ ๒๑ มกราคม พ.ศ. ๒๓๙๔ สิ้นพระชนม์เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๒๙ พระชันษา ๓๖ ปี
๒. พระองค์เจ้าหญิงพักตร์พิมลพรรณ (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพักตร์พิมลพรรณ) ประสูติเมื่อวันพุธที่ ๒๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๓๙๗ สิ้นพระชนม์เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ พระชันษา ๕๒ ปี
๓. พระองค์เจ้าชายเกษมสันต์โสภาคย์ (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพรหมวรานุรักษ์) ประสูติเมื่อวันจันทร์ที่ ๑๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๓๙๙ สิ้นพระชนม์เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๔ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๗ พระชันษา ๖๙ ปี
๔. พระองค์เจ้าชายมนุษยนาคมานพ (สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส) ประสูติเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๐๓ สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๔ พระชันษา ๖๒ ปี
๕. พระองค์เจ้าหญิงบัญจบเบญจมา (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบัญจบเบญจมา) ประสูติเมื่อวันอังคารที่ ๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๐๔ สิ้นพระชนม์เมื่อพระชนมายุ ๓๒ พรรษา
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส พระองค์ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ ๔ นะครับ
คราวนี้มาดูพระขนิษฐาและพระอนุชาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ กันนะครับ
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระเทพศิรินทรา พระบรมราชชนนี ทรงมีพระราชโอรสและพระราชธิดา ๔ พระองค์ ได้แก่
๑. สมเด็จเจ้าฟ้าชายจุฬาลงกรณ์ (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันอังคารที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๓๙๖ เสด็จสวรรคตเมื่อวันเสาร์ที่ ๒๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๓
๒. สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงจันทรมณฑล (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจันทรมณฑล โสภณภควดี กรมหลวงวิสุทธิกระษัตริย์) ประสูติเมื่อวันอังคารที่ ๒๔ เมษายน พ.ศ. ๒๓๙๘ สิ้นพระชนม์เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๐๖
๓. สมเด็จเจ้าฟ้าชายจาตุรนตรัศมี (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจาตุรนตรัศมี กรมพระจักรพรรดิพงศ์) ประสูติเมื่อวันอังคารที่ ๑๓ มกราคม พ.ศ. ๒๓๙๙ สิ้นพระชนม์เมื่อวันพุธที่ ๑๑ เมษายน พ.ศ.๒๔๔๓
๔. สมเด็จเจ้าฟ้าชายภาณุรังษีสว่างวงษ์ (สมเด็จพระราชปิตุลา บรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงษ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช) ประสูติเมื่อวันพุธที่ ๑๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๐๒ ทิวงคตเมื่อวันพุธที่ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๑
คราวนี้ย้อนมาที่หัวเรื่องนะครับ ทำไมหัวอกเดียวกัน
ปี พ.ศ. ๒๔๐๔ เป็นปีโหดร้ายกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส นะครับ
วันที่ ๙ กันยายน พ.ศ. ๒๔๐๔ สมเด็จพระเทพศิรินทรา บรมราชชนนี สวรรคต ขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระชนมายุได้ ๙ พรรษา
ต่อมาวันอังคารที่ ๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๐๔ เจ้าจอมมารดาแพ ถึงแก่อสัญกรรม หลังจากให้กำเนิดพระองค์เจ้าหญิงบัญจบเบญจมาได้ห้าชั่วโมงเศษ
ช่วงเวลาที่แสนเศร้านี้ สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ เพิ่งมีพระชนมายุได้ปีเศษ
หัวอกเดียวกัน คือ ทั้งสมเด็จพระเทพศิรินทรา บรมราชินีและเจ้าจอมมารดาแพ มาด่วนจากพระราชโอรสพระราชธิดาอย่างรวดเร็ว
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระขนิษฐาและพระอนุชา ทรงได้รับการดูแลจากพระองค์เจ้าหญิงลม่อม (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาสุดารัตนราชประยูร)
ส่วนสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ทรงได้รับการเลี้ยงดูจากท้าวทรงกันดาล (ศรี) คุณยายของท่าน
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระชนมายุห่างจากสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ๗ ปี และทั้งสองพระองค์ต่างตกอยู่ในหัวอกเดียวกัน คือสูญเสียผู้ให้กำเนิดในปีเดียวกัน ดังนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงมีพระเมตตาต่อพระอนุชาพระองค์นี้ยิ่งนัก
เรื่องราวของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสยังมีอีกนะครับ โปรดติดตาม
ที่มาของภาพ
https://www.finearts.go.th/promotion/view/20407
วันศุกร์, กรกฎาคม 07, 2566
มินามีเรื่องเล่า ทิศในสิงคาลกสูตร
มินามีเรื่องเล่า ชะตาของเราเป็นคนบวชกระมัง ตอนที่ ๒
สวัสดีครับ วันนี้ขออนุญาตเล่าเรื่องการอุปสมบท หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่าการบวช ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรส นะครับ
เมื่อตอนที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสมีพระชนมายุ ๑๘ พรรษา พระองค์ได้รับราชการประจำในกรมราชเลขา มีหน้าที่เป็นพนักงานสารบบฎีกา กล่าวคือเป็นราชเลขานุการในทางอรรถคดี ทรงรับราชการได้ประมาณ ๒ ปี พระองค์มิได้หวังว่าจะบวช เนื่องจากกลัวจะเสียราชการ
แต่พระองค์ยังคงไปเฝ้าเสด็จพระอุปัชฌายะ และเรียนภาษามคธอยู่เป็นประจำ
พระอุปัชฌายะของพระองค์ คือ สมเด็จกรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ พระองค์ท่านเป็ฯพระอุปัชฌายะ เมื่อคราวที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ทรงผนวชเป็นสามเณร
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ได้ทรงพระนิพนธ์พระประวัติของพระองค์เรื่องการอุปสมบทไว้ว่า
“แต่ชะตาของเราเป็นคนบวชกระมัง”
สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ทรงเล่าว่า
“วันหนึ่ง เผอิญกรมพระเทวะวงศ์วโรปการทรงล้อสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ว่า “เป็นผู้เข้าวัดต่อหน้าพระที่นั่ง” คือต่อหน้าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
แต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวหาได้ทรงพระสำรวลตามไม่ ทรงถือเอาเป็นการ ทรงเกลี้ยกล่อมให้สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ สมัครบวชให้ได้
พระมหาสมณเจ้าฯ ได้กราบทูลว่า “ถ้าบวชจะเป็นการทิ้งราชการ” แต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานกระแสพระราชดำรัสอธิบายว่า ถ้าสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ บวช จะได้ราชการเพียงไร ไม่เป็นอันทิ้งราชการ และไม่ต้องห่วงถึงยาย
ยายที่รัชกาลที่ ๕ ทรงกล่าวถึง คือ ท้าวทรงกันดาล (ศรี) ซึ่งเป็นพระชนนีของเจ้าจอมมารดาแพ พระราชมารดาของสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ
ย้อนกลับมาเรื่องการบวช ปรากฎว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตรัสขอปฏิญญาจากสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ว่าจะบวช
สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ยังไม่ไว้ใจในการเปลี่ยนแปลงของตัวเอง จึงกราบทูลว่า ถ้าบวชแล้ว ถ้าสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ จะสึก จะสึกเมื่อพ้นพรรษาแรก แต่ถ้าพ้นจากนั้นจะไม่สึก
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานปฏิญญาไว้ว่า ถ้าสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ บวชได้ ๓ พรรษาแล้ว จักทรงตั้งให้เป็นต่างกรม ทรงอ้างสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส ครั้งเป็นกรมหมื่นนุชิตชิโนรส เป็นตัวอย่าง
ในช่วงเวลานั้น สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ มิได้สนพระทัยเรื่องการทรงกรมมากนัก
ทรงอุปสมบท
พอถึงวันศุกร์ที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๒๒ สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ทรงอุปสมบทที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
ในการอุปสมบทครั้งนี้ มีสมเด็จกรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์เป็นพระอุปัชฌาย์ มีพระจันทรโคจรคุณ (ยิ้ม จนฺทร̇สี) วัดมกุฎกษัตริย์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์
ความรักที่สมเด็จท่านมีต่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ทรงเล่าไว้ว่า
“ถึงหน้าเข้าพรรษา ล้นเกล้าฯ เสด็จถวายพุ่มที่วัดนี้ เคยเสด็จทรงประเคนพุ่มพระเจ้าน้องยาเธอ ผู้ทรงผนวชใหม่ถึงตำหนักเป็นการทรงเยือนด้วย เสด็จกุฏิเรา ทรงประเคนพุ่ม เราเห็นท่านทรงกราบด้วยเคารพอย่างเป็นพระ แปลกจากพระอาการที่ทรงแสดงแก่พระองค์อื่นเพียงทรงประคองอัญชลี เรานึกสลดใจว่า โดยฐานเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ท่านก็เป็นเจ้าของเรา โดยฐานเนื่องในพระราชวงศ์เดียวกัน ท่านก็เป็นพระเชษฐาของเรา โดยฐานเป็นผู้แนะราชการพระราชทาน ท่านก็เป็นครูของเรา เห็นท่านทรงกราบ แม้จะนึกว่าท่านทรงแสดงความเคารพแก่ธงชัยพระอรหันต์ต่างหาก ก็ยังวางใจไม่ลง ไม่ปรารถนาจะให้เสียความวางพระราชหฤทัยของท่าน ไม่ปรารถนาจะให้ท่านทอดพระเนตรเห็นเราผู้ที่ท่านทรงกราบแล้วถือเพศเป็นคฤหัสถ์อีก ตรงคำที่เขาพูดกันว่ากลัวจัญไรกิน เราตกลงใจว่าจะไม่สึกในเวลานั้น แต่หาได้ทูลไม่”
โปรดติดตามเรื่องของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสต่อในตอนหน้านะครับ
ข้อมูลประกอบการเล่าเรื่อง
ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จฯ กรมพระยา. (๒๕๖๒). เจ้านายและพระสนมเอก. กรุงเทพฯ: แสงดาว.
วันพฤหัสบดี, กรกฎาคม 06, 2566
มินามีเรื่องเล่า โลกหันมามอง สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๑๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ตอนที่ ๑
มินามีเรื่องเล่า โลกหันมามอง สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๑๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ตอนที่ ๑
สวัสดีครับ ถ้าจะถามว่า พระสงฆ์รูปใดที่ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๑๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์อาจจะตอบยากนะครับ
ขอตอบเลยนะครับว่า สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๑๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ครับ
ขออนุญาตเล่าเรื่องของพระองค์ท่านหลายตอนนะครับ
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ) วัดบวรนิเวศวิหาร มีพระนามเดิมว่า พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ
ทรงเป็นพระราชโอรสลำดับที่ ๔๗ ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับเจ้าจอมมารดาแพ ทรงประสูติเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๐๓
พระองค์ทรงเป็นพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้ทรงอุทิศตนต่อการทำนุบำรุงการพระพุทธศาสนา การคณะสงฆ์ การศึกษาและพัฒนาการด้านสังคมและวัฒนธรรม โดยเฉพาะด้านการให้กำเนิดและสถาปนามหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส สิ้นพระชนม์เมื่อวันอังคาร ที่ ๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๔ สิริพระชันษาได้ ๖๑ ปี ๓ เดือน ๒๐ วัน
เมื่อวันที่ ๒ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๖๔
รัฐบาลไทยและองค์การยูเนสโกได้ร่วมเฉลิมพระเกียรติคุณ ๑๐๐ ปี แห่งการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า
กรมพระยาวชิรญาณวโรรส พระผู้เป็นวางรากฐานพระพุทธศาสนาและการศึกษาของไทย นะครับ
************
Somdet Phra Mahā Samaṇa Chao Krom Phrayā Vajirañāṇavarorasa
Who is the 10th Supreme Patriarch of Rattanakosin period? Some of us may find it is difficult to give an answer.
The 10th Supreme Patriarch of Rattanakosin period is Somdet Phra Mahā Samaṇa Chao Krom Phraya Vajirañāṇavarorasa.
Today I
would like to tell you about his life.
His Royal Highness Prince Vajirañāṇavarorasa, the tenth Sangharāja of the present Ratanakosin period, was born on 12th April, B.E. 2403 (A.D.1860). He was the son of King Rama IV and Chao Chom Manda Phae.
It was said that at the time of his birth the clear blue sky became suddenly overcast and there burst forth a heavy rain which soon inundated the palace grounds.
His royal father, taking this as a prophetic referring to an event that took place soon after Lord Buddha’s Enlightenment. This was when He sat in the rain absorbed in an ecstatic contemplation of the reality of His Enlightenment.
A Nagā King, impressed by the sight, came to offer protection by spreading his hood over the Buddha’s head and coiling himself around the Buddha’s body.
The term 'Nāga', besides meaning ‘Serpent’, also refers to an elephant, which is symbolic of strength and endurance and is one of the epithets of Lord Buddha and the Arahants.
Brought
up as a royal prince, he was educated by the best teachers that could be found.
Besides studying Thai and Pāli, he was among the first group of teacher who
was studied English under Mr. Francis John Patterson, a serious teacher who was
strict in enforcing discipline as well as earnest in teaching English. But with
his patience and intelligence, Prince Manussanāga (his name), together with
Prince Diswara (or Prince Damrong, pioneer in the field of Thai history and
archaeology), became the teacher's favourite pupil.
This
English teacher had also been His Majesty’s tutor of some time.
He
entered the Sangha at the age of twenty and after this dedicated all his time
and energy to studying the Holy Scriptures until he was well versed in the
Dhamma and was able to teach all grades of Pāli classes at that time.
But it was
long before he was appointed Sangharāja with full power and responsibility to
manage ecclesiastical affairs.
After
becoming Sangharāja he never wasted his time in seeking personal comfort or
relaxation. On the contrary, he worked indefatigably to improve the level of
knowledge and the standard of behaviour of bhikkhus at that time.
There were not many bhikkhus who had a sound basis of knowledge or a reasonable faith consistent with the spirit of Buddhism. Buddhist education was then rather an individual affair, with each taking the subjects he liked in the way he pleased. Most were satisfied with what had been traditionally handed down and were practically unable to distinguish the special characteristics of Buddhism from other faiths. Thus in many cases they preferred only the superficial aspect of the truth, with a consequent laxity in Vinaya and ignorant distortion of the Dhamma.
Somdet Phra Mahā Samaṇa Chao Krom Phraya Vajirañāṇavarorasa passed away on 2nd August 1921.
On
August 2th, 2021, UNESCO recognized him as one of the eminent personalities who
promoted Buddhism and education of Thailand.
In Thailand,
there were several ceremonies organized to commemorate the 100th
anniversary of the death of His Royal Highness Prince Vajirañāṇavarorasa (Somdet Phra Mahā Samaṇa Chao Krom Phraya
Vajirañāṇavarorasa).
********
วันอังคาร, กรกฎาคม 04, 2566
มินามีเรื่องเล่า พระยานรินทร์สงคราม (ทองคำ) เจ้าจอมปากช่องภูเวียง
มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French
มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French กรมหลวงพิพิธมนตรี (พระพันวัสสาน้อย) เป็นพระอัครมเหสีน้อยของสมเด็จพ...
-
เขาหัวแตก พัทลุง มินามีเรื่องเล่า ปุรินทราภิบาล ผมได้รับเมตตาจากท่านอาจารย์จรรยา คชพันธ์ ข้าราชการบำนาญของโรงเรียนสตรีพัทลุง ซึ่...
-
ที่มาของภาพ https://www.108prageji.com มินามีเรื่องเล่า หลวงพ่อพระองค์แสน วัดพระธาตุเชิงชุม วรวิหาร จังห...
-
หลวงพ่อพระใส วัดโพธิ์ชัย พระอารามหลวง จังหวัดหนองคาย มินามีเรื่องเล่า หลวงพ่อพระใส วัดโพธิ์ชัย พระอารามหลวง จังหวัดหนองคาย ตอนที่ ๒ ...



