Chalermkiat Mina
วันศุกร์, กรกฎาคม 07, 2566
มินามีเรื่องเล่า ทิศในสิงคาลกสูตร
มินามีเรื่องเล่า ชะตาของเราเป็นคนบวชกระมัง ตอนที่ ๒
สวัสดีครับ วันนี้ขออนุญาตเล่าเรื่องการอุปสมบท หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่าการบวช ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรส นะครับ
เมื่อตอนที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสมีพระชนมายุ ๑๘ พรรษา พระองค์ได้รับราชการประจำในกรมราชเลขา มีหน้าที่เป็นพนักงานสารบบฎีกา กล่าวคือเป็นราชเลขานุการในทางอรรถคดี ทรงรับราชการได้ประมาณ ๒ ปี พระองค์มิได้หวังว่าจะบวช เนื่องจากกลัวจะเสียราชการ
แต่พระองค์ยังคงไปเฝ้าเสด็จพระอุปัชฌายะ และเรียนภาษามคธอยู่เป็นประจำ
พระอุปัชฌายะของพระองค์ คือ สมเด็จกรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ พระองค์ท่านเป็ฯพระอุปัชฌายะ เมื่อคราวที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ทรงผนวชเป็นสามเณร
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ได้ทรงพระนิพนธ์พระประวัติของพระองค์เรื่องการอุปสมบทไว้ว่า
“แต่ชะตาของเราเป็นคนบวชกระมัง”
สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ทรงเล่าว่า
“วันหนึ่ง เผอิญกรมพระเทวะวงศ์วโรปการทรงล้อสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ว่า “เป็นผู้เข้าวัดต่อหน้าพระที่นั่ง” คือต่อหน้าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
แต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวหาได้ทรงพระสำรวลตามไม่ ทรงถือเอาเป็นการ ทรงเกลี้ยกล่อมให้สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ สมัครบวชให้ได้
พระมหาสมณเจ้าฯ ได้กราบทูลว่า “ถ้าบวชจะเป็นการทิ้งราชการ” แต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานกระแสพระราชดำรัสอธิบายว่า ถ้าสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ บวช จะได้ราชการเพียงไร ไม่เป็นอันทิ้งราชการ และไม่ต้องห่วงถึงยาย
ยายที่รัชกาลที่ ๕ ทรงกล่าวถึง คือ ท้าวทรงกันดาล (ศรี) ซึ่งเป็นพระชนนีของเจ้าจอมมารดาแพ พระราชมารดาของสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ
ย้อนกลับมาเรื่องการบวช ปรากฎว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตรัสขอปฏิญญาจากสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ว่าจะบวช
สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ยังไม่ไว้ใจในการเปลี่ยนแปลงของตัวเอง จึงกราบทูลว่า ถ้าบวชแล้ว ถ้าสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ จะสึก จะสึกเมื่อพ้นพรรษาแรก แต่ถ้าพ้นจากนั้นจะไม่สึก
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานปฏิญญาไว้ว่า ถ้าสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ บวชได้ ๓ พรรษาแล้ว จักทรงตั้งให้เป็นต่างกรม ทรงอ้างสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส ครั้งเป็นกรมหมื่นนุชิตชิโนรส เป็นตัวอย่าง
ในช่วงเวลานั้น สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ มิได้สนพระทัยเรื่องการทรงกรมมากนัก
ทรงอุปสมบท
พอถึงวันศุกร์ที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๒๒ สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ทรงอุปสมบทที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
ในการอุปสมบทครั้งนี้ มีสมเด็จกรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์เป็นพระอุปัชฌาย์ มีพระจันทรโคจรคุณ (ยิ้ม จนฺทร̇สี) วัดมกุฎกษัตริย์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์
ความรักที่สมเด็จท่านมีต่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ทรงเล่าไว้ว่า
“ถึงหน้าเข้าพรรษา ล้นเกล้าฯ เสด็จถวายพุ่มที่วัดนี้ เคยเสด็จทรงประเคนพุ่มพระเจ้าน้องยาเธอ ผู้ทรงผนวชใหม่ถึงตำหนักเป็นการทรงเยือนด้วย เสด็จกุฏิเรา ทรงประเคนพุ่ม เราเห็นท่านทรงกราบด้วยเคารพอย่างเป็นพระ แปลกจากพระอาการที่ทรงแสดงแก่พระองค์อื่นเพียงทรงประคองอัญชลี เรานึกสลดใจว่า โดยฐานเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ท่านก็เป็นเจ้าของเรา โดยฐานเนื่องในพระราชวงศ์เดียวกัน ท่านก็เป็นพระเชษฐาของเรา โดยฐานเป็นผู้แนะราชการพระราชทาน ท่านก็เป็นครูของเรา เห็นท่านทรงกราบ แม้จะนึกว่าท่านทรงแสดงความเคารพแก่ธงชัยพระอรหันต์ต่างหาก ก็ยังวางใจไม่ลง ไม่ปรารถนาจะให้เสียความวางพระราชหฤทัยของท่าน ไม่ปรารถนาจะให้ท่านทอดพระเนตรเห็นเราผู้ที่ท่านทรงกราบแล้วถือเพศเป็นคฤหัสถ์อีก ตรงคำที่เขาพูดกันว่ากลัวจัญไรกิน เราตกลงใจว่าจะไม่สึกในเวลานั้น แต่หาได้ทูลไม่”
โปรดติดตามเรื่องของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสต่อในตอนหน้านะครับ
ข้อมูลประกอบการเล่าเรื่อง
ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จฯ กรมพระยา. (๒๕๖๒). เจ้านายและพระสนมเอก. กรุงเทพฯ: แสงดาว.
วันพฤหัสบดี, กรกฎาคม 06, 2566
มินามีเรื่องเล่า โลกหันมามอง สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๑๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ตอนที่ ๑
มินามีเรื่องเล่า โลกหันมามอง สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๑๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ตอนที่ ๑
สวัสดีครับ ถ้าจะถามว่า พระสงฆ์รูปใดที่ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๑๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์อาจจะตอบยากนะครับ
ขอตอบเลยนะครับว่า สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๑๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ครับ
ขออนุญาตเล่าเรื่องของพระองค์ท่านหลายตอนนะครับ
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ) วัดบวรนิเวศวิหาร มีพระนามเดิมว่า พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ
ทรงเป็นพระราชโอรสลำดับที่ ๔๗ ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับเจ้าจอมมารดาแพ ทรงประสูติเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๐๓
พระองค์ทรงเป็นพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้ทรงอุทิศตนต่อการทำนุบำรุงการพระพุทธศาสนา การคณะสงฆ์ การศึกษาและพัฒนาการด้านสังคมและวัฒนธรรม โดยเฉพาะด้านการให้กำเนิดและสถาปนามหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส สิ้นพระชนม์เมื่อวันอังคาร ที่ ๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๔ สิริพระชันษาได้ ๖๑ ปี ๓ เดือน ๒๐ วัน
เมื่อวันที่ ๒ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๖๔
รัฐบาลไทยและองค์การยูเนสโกได้ร่วมเฉลิมพระเกียรติคุณ ๑๐๐ ปี แห่งการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า
กรมพระยาวชิรญาณวโรรส พระผู้เป็นวางรากฐานพระพุทธศาสนาและการศึกษาของไทย นะครับ
************
Somdet Phra Mahā Samaṇa Chao Krom Phrayā Vajirañāṇavarorasa
Who is the 10th Supreme Patriarch of Rattanakosin period? Some of us may find it is difficult to give an answer.
The 10th Supreme Patriarch of Rattanakosin period is Somdet Phra Mahā Samaṇa Chao Krom Phraya Vajirañāṇavarorasa.
Today I
would like to tell you about his life.
His Royal Highness Prince Vajirañāṇavarorasa, the tenth Sangharāja of the present Ratanakosin period, was born on 12th April, B.E. 2403 (A.D.1860). He was the son of King Rama IV and Chao Chom Manda Phae.
It was said that at the time of his birth the clear blue sky became suddenly overcast and there burst forth a heavy rain which soon inundated the palace grounds.
His royal father, taking this as a prophetic referring to an event that took place soon after Lord Buddha’s Enlightenment. This was when He sat in the rain absorbed in an ecstatic contemplation of the reality of His Enlightenment.
A Nagā King, impressed by the sight, came to offer protection by spreading his hood over the Buddha’s head and coiling himself around the Buddha’s body.
The term 'Nāga', besides meaning ‘Serpent’, also refers to an elephant, which is symbolic of strength and endurance and is one of the epithets of Lord Buddha and the Arahants.
Brought
up as a royal prince, he was educated by the best teachers that could be found.
Besides studying Thai and Pāli, he was among the first group of teacher who
was studied English under Mr. Francis John Patterson, a serious teacher who was
strict in enforcing discipline as well as earnest in teaching English. But with
his patience and intelligence, Prince Manussanāga (his name), together with
Prince Diswara (or Prince Damrong, pioneer in the field of Thai history and
archaeology), became the teacher's favourite pupil.
This
English teacher had also been His Majesty’s tutor of some time.
He
entered the Sangha at the age of twenty and after this dedicated all his time
and energy to studying the Holy Scriptures until he was well versed in the
Dhamma and was able to teach all grades of Pāli classes at that time.
But it was
long before he was appointed Sangharāja with full power and responsibility to
manage ecclesiastical affairs.
After
becoming Sangharāja he never wasted his time in seeking personal comfort or
relaxation. On the contrary, he worked indefatigably to improve the level of
knowledge and the standard of behaviour of bhikkhus at that time.
There were not many bhikkhus who had a sound basis of knowledge or a reasonable faith consistent with the spirit of Buddhism. Buddhist education was then rather an individual affair, with each taking the subjects he liked in the way he pleased. Most were satisfied with what had been traditionally handed down and were practically unable to distinguish the special characteristics of Buddhism from other faiths. Thus in many cases they preferred only the superficial aspect of the truth, with a consequent laxity in Vinaya and ignorant distortion of the Dhamma.
Somdet Phra Mahā Samaṇa Chao Krom Phraya Vajirañāṇavarorasa passed away on 2nd August 1921.
On
August 2th, 2021, UNESCO recognized him as one of the eminent personalities who
promoted Buddhism and education of Thailand.
In Thailand,
there were several ceremonies organized to commemorate the 100th
anniversary of the death of His Royal Highness Prince Vajirañāṇavarorasa (Somdet Phra Mahā Samaṇa Chao Krom Phraya
Vajirañāṇavarorasa).
********
วันอังคาร, กรกฎาคม 04, 2566
มินามีเรื่องเล่า พระยานรินทร์สงคราม (ทองคำ) เจ้าจอมปากช่องภูเวียง
วันจันทร์, กรกฎาคม 03, 2566
มินามีเรื่อเล่า การสู้รบในสมัยกลาง
มินามีเรื่อเล่า การสู้รบในสมัยกลาง
สวัสดีครับ วันนี้ขอออกมาทางยุโรปหน่อยนะครับ ขอเล่าเรื่องการสู้รบในสมัยกลางนะครับ เรื่องอาจจะยาวสักหน่อยนะครับ
สมัยยังไม่เกษียณอายุ ผมเข้าสำนักหอสมุดของมหาวิทยาลัยขอนแก่นบ่อยครั้ง ไปหาหนังสืออ่าน
ได้อ่านวารสารประวัติศาสตร์ ชื่อ History Today และถ่ายเอกสารบางเรื่องเก็บไว้
ผมได้มีโอกาสอ่านบทความเรื่องเรื่อง
“ตำนานการสู้รบในสมัยกลาง (The
Myths of Mediaval Warfare)” แต่งโดย ฌอน แม็กกลีน (Sean
MaGlynn) ท่านเขียนไว้ในวารสาร History
Today
ขออนุญาตนำเรื่องราวเกี่ยวกับการสู้รบในสมัยกลางมาเล่าสู่กันฟังนะครับ
มีนักประวัติศาสตร์จำนวนมากที่ได้ศึกษาเกี่ยวกับการสู้รบในสมัยกลาง
ต่างฝ่ายต่างเสนอแนวความคิดของตนเองว่าทำไมบรรดากษัตริย์และอัศวินในสมัยกลางทำสงครามกัน
การสงครามในสมัยกลางนั้น ถือเป็นช่วงรอยต่อของการล่มสลายของกองทัพโรมันอันรุ่งโรจน์
และมีระเบียบวินัยกับการที่รัฐต่างๆ เริ่มเป็นอิสระและเพิ่มพูนกำลังอำนาจมากขึ้นนะครับ
นักประวัติศาสตร์บางท่านเห็นว่า
การสู้
รบในสมัยกลางเปรียบเสมือนการใช้ไม้กระบองตีฝ่ายตรงข้ามให้ล้มลงเท่านั้น
อัศวินสู้รบกันก็เป็นเรื่องของการดวลกันตัวต่อตัว
ไม่ได้เน้นเรื่องของการใช้กองกำลังทหารหรือการใช้อาวุธยุทโธปกรณ์สังหารกันมากมาย
ดูเหมือนว่าอาวุธที่โดดเด่นในสมัยนั้นคือ
ธนู สิ่งสำคัญในการสู้รบในสมัยกลางนี้คือ “ยุทธวิธีที่ใช้ในการสู้รบ” (tactics)
มียุทธวิธีอะไรบ้างครับ
ประการแรก เน้นเรื่องความกล้าหาญของอัศวินครับ
การสู้รบในสมัยกลางเป็นเรื่องของความกล้าหาญของบรรดาอัศวิน
ทั้งนี้เนื่องจากผู้ที่บันทึกเรื่องราวในสมัยนั้นเป็นผู้รู้หนังสือ
คือ พวกพระหรือพวกขุนนาง
การบรรยายการสู้รบจึงเน้นเรื่องของความกล้าหาญของอัศวินมากกว่าการเล่ารายละเอียดของทหารเดินเท้าหรือพลธนู
ประการที่สอง
จุดมุ่งหมายของการสู้รบไม่ได้เป็นเรื่องการเข่นฆ่าทำลายล้างศัตรู แต่เป็นการต่อสู้เพื่อให้ได้ทรัพย์สินเงินทอง
ดังนั้นการสู้รบมักจะเป็นการโจมตีหรือการป้องกันเมืองหรือปราสาท
มีการจับตัวฝ่ายศัตรูเป็นเชลยแล้วให้ญาติพี่น้องลูกหลานของฝ่ายศัตรูนำเงินค่าไถ่มาไถ่ถอน
ตัวอย่างเช่น กรณีของพระเจ้าฌ็องที่
๒ (Jean II)
แห่งฝรั่งเศสที่ถูกกษัตริย์อังกฤษจับตัวเป็นเชลยที่เมืองปัวติเย่ส์ (Poitiers) และให้รัชทายาทฝ่ายฝรั่งเศส
คือเจ้าชายชาลส์ (หรือกษัตริย์ชาลส์ที่ ๕ (Charles V) นำเงินมาถ่ายถอนตัว
จุดมุ่งหมายของการสู้รบแบบนี้จะไม่เหมือนกับจุดมุ่งหมายในการต่อสู้ของศตวรรษที่
๒๐ ที่เน้นการทำลายกองกำลังของศัตรูและการให้ศัตรูยอมแพ้โดยไม่มีเงื่อนไข นะครับ
ประการที่สาม
การต่อสู้ในสมัยกลางไม่ได้ประเมินที่กองทหารหรืออาวุธ แต่พิจารณาจากความสามารถของอัศวิน
ดังนั้นบรรดาอัศวินจะได้รับการถ่ายทอดความรู้ด้านยุทธวิธีการทำสงคราม มีการฝึกฝนเกี่ยวกับยุทธวิธีจนชำนาญ
นักประวัติศาสตร์ในศตวรรษที่ ๒๐
ชื่อ โรเจอร์ แห่ง ฮาวเดน (Roger
of Howden) กล่าวว่า “ถ้าไม่มีการฝึกฝน จะไม่รู้ศิลปะการทำสงครามในสถานการณ์จริง”
ตัวอย่างของยุทธวิธีที่ต้องฝึกฝนได้แก่
การโจมตีแบบรวมกลุ่ม
(the shock charge)
กล่าวคือ บรรดาอัศวินจะรวมกลุ่มอย่างหนาแน่นและเข้าโจมตีโดยพร้อมเพรียงกัน
ยุทธวิธีนี้จะทำให้แนวป้องกันของฝ่ายข้าศึกแตกกระจาย
และถ้าจับตัวฝ่ายตรงข้ามได้ย่อมหมายถึงการได้รับเงินค่าไถ่หรืออาวุธยุทโธปกรณ์
เช่นเกราะหรือม้าเป็นจำนวนมาก ดังนั้นการต่อสู้กันจึงเป็นเรื่องของการเสาะหารางวัลด้านทรัพย์สินเงินทอง
ประการที่สี่ มีการจ้างกองทหารเพื่อต่อสู้
มีคำกล่าวที่ว่า “เงินทำให้แข็งแกร่งในการทำสงครามและใช้เกณฑ์กองทหารมาเป็นกองกำลังได้อย่างดี”
ตัวอย่างของการจ้างกองทหารรับจ้างได้แก่
กษัตริย์เฮนรี่ที่ ๑ (Henry
I) แห่งอังกฤษ พระองค์ทรงจ้างอัศวิน ๑,๐๐๐ นายจากท่านเค้าท์
โรเบิร์ตแห่งฟลานเดอร์ (Count Robert of Flanders)
โดยทรงจ่ายค่าจ้างเป็นจำนวน ๕๐๐ ปอนด์ต่อปี นะครับ
ประการที่ห้า ยุทธวิธีในการทำสงครามในสมัยกลางเป็นเรื่องของการล้อมปราสาทและการทำให้ศัตรูอดอยากนะครับ
ยุทธวิธีนี้เป็นลักษณะแบบ Chevauchée หมายถึง
การล้อมอาณาบริเวณของศัตรูเพื่อทำลายพืชพันธุ์ธัญญาหารและสัตว์เลี้ยง
เพื่อให้ศัตรูไม่มีเสบียงอาหารไว้ทำสงคราม ทำให้ศัตรูอดอยาก
ดังนั้นในสมัยนี้จึงมีการสร้างปราสาทอย่างมั่นคงเพื่อต่อต้านการรุกรานของศัตรูและมีการกักตุนเสบียงอาหารไว้เป็นจำนวนมาก
ยุทธวิธีนี้เรียกว่ายุทธวิธีล้อมปราสาท (the castle strategy) โดยมีปัจจัยสำคัญในการสู้รบได้แก่ระยะเวลา
(duration) อาจต้องทำสงครามโดยใช้เวลานาน
ยุทธวิธีนี้ ไม่ต้องมาที่ประเทศเรานะครับ
เพราะเรามียุทธวิธีน้ำล้อมเมืองแล้ว ฝนตกที่ไร น้ำท่วมเมืองตลอด
(ไม่ได้บอกว่าเมืองไหนนะครับ)
ประการที่หก มีการใช้คันธนูใหญ่ในการทำสงคราม
คันธนูใหญ่ถือว่าเป็นนวัตกรรมด้านอาวุธในสมัยกลาง สามารถยิงได้ไกลและมีอานุภาพทำลายกองทหารม้าได้
แน่นอน อาวุธนี้ได้กลายเป็นต้นแบบของปืนใหญ่ในเวลาต่อมา
ท่านฌอน แม็กกลีน ได้สรุปไว้ว่า การสู้รบในสมัยกลางมีวัตถุประสงค์ ยุทธวิธี และกฏเกณฑ์ชัดเจน และมีวิวัฒนาการไม่ใช่เรื่องที่ไม่มีกฎเกณฑ์ หรือเป็นเรื่องไร้ระเบียบแบบแผนนะครับ
*************
วันอาทิตย์, กรกฎาคม 02, 2566
มินามีเรื่องเล่า พระราชพัฒนวัชรบัณฑิต วัดธาตุ พระอารามหลวง ขอนแก่น
มินามีเรื่องเล่า พระราชพัฒนวัชรบัณฑิตเมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๖ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระสถาปนาโปรดสถาปนาเลื่อนสมณศักดิ์ พระโสภณพัฒนบัณฑิต, รศ.ดร. ขึ้นเป็นพระราชพัฒนวัชรบัณฑิต วิสิฐศาสนธุราทร มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พระราชาคณะชั้นราช สถิต ณ วัดธาตุ พระอารามหลวง จังหวัดขอนแก่น มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ ๔ รูป
ผมขออนุญาตเล่าประวัติของพระคุณเจ้าพอสังเขปนะครับ
พระราชพัฒนวัชรบัณฑิต
ท่านเป็นเจ้าอาวาสรูปที่ ๖ ของวัดธาตุ พระอารามหลวง
ดำรงตำแหน่งรองเจ้าคณะจังหวัดขอนแก่น รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
วิทยาเขตขอนแก่น พระคุณเจ้ามีชื่อเดิมว่า สุกันยา นามสกุล ฮาดภักดี
เกิดเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๑๑
บิดาของพระคุณเจ้ามีชื่อว่า นายเคน
ฮาดภักดี มารดามีชื่อว่า นางบุญตา ฮาดภักดี อยู่ที่บ้านเลขที่ ๑๙ หมู่ที่ ๒
ตำบลหนองทุ่ม อำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม
พระราชพัฒนวัชรบัณฑิต
อุปสมบทเมื่อวันที่ ๑๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๒ ณ วัดบ้านหนองทุ่ม ตำบลหนองแสง
อำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม
วิทยฐานะของพระคุณเจ้า มีดังนี้ครับ
พ.ศ.
๒๕๒๗ พระคุณเจ้าสอบได้นักธรรมเอก (น.ธ.เอก) วัดกลาง จังหวัดมหาสารคาม
พ.ศ. ๒๕๓๕ ได้รับปริญญาพุทธศาสตรบัณฑิต (พธ.บ.)
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น
พ.ศ. ๒๕๓๗ ได้รับปริญญาศึกษาศาสตรบัณฑิต (ศษ.บ.)
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
พ.ศ. ๒๕๔๖ ได้รับปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (ศศ.ม.)
มหาวิทยาลัยขอนแก่น
พ.ศ. ๒๕๔๗ ได้รับประกาศนียบัตรวิชาชีพครู (ปวค.)
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
พ.ศ. ๒๕๔๙ ได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิต (Ph.D.)
มหาวิทยาลัยมคธ
ประเทศอินเดีย
พ.ศ. ๒๕๕๗ ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งทางวิชาการ
ระดับรองศาสตราจารย์ สาขาวิชาพระพุทธศาสนา ประจำวิทยาเขตขอนแก่น
ปัจจุบันพระคุณเจ้าดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดธาตุ
พระอารามหลวง จังหวัดขอนแก่น และตำแหน่งรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
วิทยาเขตขอนแก่น
พระคุณเจ้าได้รับสมณศักดิ์ดังนี้ครับ
พ.ศ. ๒๕๔๒ เป็นฐานานุกรมที่ “พระครูปลัด” ในพระราชปริยัติเวที (คำพันธ์ โกวิโท) วัดธาตุ อดีตเจ้าคณะจังหวัดขอนแก่น
พ.ศ. ๒๕๔๖ ได้รับปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (ศศ.ม.) ปรัชญา มหาวิทยาลัยขอนแก่น
พ.ศ. ๒๕๔๙ เป็นฐานานุกรมที่ “พระครูปลัด” ในพระเทพสิริภิมณฑ์
พ.ศ. ๒๕๕๐ เป็นฐานานุกรมที่ “พระครูปลัดนายกวรวัฒน์” ในพระธรรมสิทธินายก
พ.ศ.
๒๕๕๑ ได้รับพระราชทานตั้งสมณศักดิ์
เป็นพระครูสัญญาบัตรผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นพิเศษ (ผจล.ชพ.)
ในราชทินนามที่ “พระครูสุวิธานพัฒนบัณฑิต”
พ.ศ.
๒๕๕๘ ได้รับพระราชทานตั้งสมณศักดิ์
เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ (สย.) ในราชทินนามที่
“พระโสภณพัฒนบัณฑิต”
พ.ศ. ๒๕๖๖ ได้รับพระราชทานตั้งสมณศักดิ์
เป็นพระราชาคณะชั้นราช ในราชทินนามที่ “พระราชพัฒนวัชรบัณฑิต”
ขอน้อมถวายมุทิตาสักการะพระคุณเจ้าด้วยความเคารพยิ่งครับ
วันเสาร์, กรกฎาคม 01, 2566
มินามีเรื่องเล่า ประวัติหลวงพ่อพระลับ (พระศรีสัตนาคนหุต) ตอนที่ ๒
มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French
มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French กรมหลวงพิพิธมนตรี (พระพันวัสสาน้อย) เป็นพระอัครมเหสีน้อยของสมเด็จพ...
-
เขาหัวแตก พัทลุง มินามีเรื่องเล่า ปุรินทราภิบาล ผมได้รับเมตตาจากท่านอาจารย์จรรยา คชพันธ์ ข้าราชการบำนาญของโรงเรียนสตรีพัทลุง ซึ่...
-
ที่มาของภาพ https://www.108prageji.com มินามีเรื่องเล่า หลวงพ่อพระองค์แสน วัดพระธาตุเชิงชุม วรวิหาร จังห...
-
หลวงพ่อพระใส วัดโพธิ์ชัย พระอารามหลวง จังหวัดหนองคาย มินามีเรื่องเล่า หลวงพ่อพระใส วัดโพธิ์ชัย พระอารามหลวง จังหวัดหนองคาย ตอนที่ ๒ ...


