Chalermkiat Mina

วันจันทร์, กรกฎาคม 03, 2566

มินามีเรื่อเล่า การสู้รบในสมัยกลาง


 

 


มินามีเรื่อเล่า การสู้รบในสมัยกลาง

 

สวัสดีครับ วันนี้ขอออกมาทางยุโรปหน่อยนะครับ ขอเล่าเรื่องการสู้รบในสมัยกลางนะครับ เรื่องอาจจะยาวสักหน่อยนะครับ

 

สมัยยังไม่เกษียณอายุ ผมเข้าสำนักหอสมุดของมหาวิทยาลัยขอนแก่นบ่อยครั้ง ไปหาหนังสืออ่าน


ได้อ่านวารสารประวัติศาสตร์ ชื่อ History Today และถ่ายเอกสารบางเรื่องเก็บไว้

 

ผมได้มีโอกาสอ่านบทความเรื่องเรื่อง “ตำนานการสู้รบในสมัยกลาง (The Myths of Mediaval Warfare)” แต่งโดย ฌอน แม็กกลีน (Sean MaGlynn) ท่านเขียนไว้ในวารสาร History Today

 

ขออนุญาตนำเรื่องราวเกี่ยวกับการสู้รบในสมัยกลางมาเล่าสู่กันฟังนะครับ

 

มีนักประวัติศาสตร์จำนวนมากที่ได้ศึกษาเกี่ยวกับการสู้รบในสมัยกลาง ต่างฝ่ายต่างเสนอแนวความคิดของตนเองว่าทำไมบรรดากษัตริย์และอัศวินในสมัยกลางทำสงครามกัน

 

การสงครามในสมัยกลางนั้น ถือเป็นช่วงรอยต่อของการล่มสลายของกองทัพโรมันอันรุ่งโรจน์ และมีระเบียบวินัยกับการที่รัฐต่างๆ เริ่มเป็นอิสระและเพิ่มพูนกำลังอำนาจมากขึ้นนะครับ  

 

นักประวัติศาสตร์บางท่านเห็นว่า การสู้

รบในสมัยกลางเปรียบเสมือนการใช้ไม้กระบองตีฝ่ายตรงข้ามให้ล้มลงเท่านั้น

 

อัศวินสู้รบกันก็เป็นเรื่องของการดวลกันตัวต่อตัว ไม่ได้เน้นเรื่องของการใช้กองกำลังทหารหรือการใช้อาวุธยุทโธปกรณ์สังหารกันมากมาย 

 

ดูเหมือนว่าอาวุธที่โดดเด่นในสมัยนั้นคือ ธนู สิ่งสำคัญในการสู้รบในสมัยกลางนี้คือ “ยุทธวิธีที่ใช้ในการสู้รบ” (tactics)

 

มียุทธวิธีอะไรบ้างครับ

 

ประการแรก เน้นเรื่องความกล้าหาญของอัศวินครับ

 

การสู้รบในสมัยกลางเป็นเรื่องของความกล้าหาญของบรรดาอัศวิน  ทั้งนี้เนื่องจากผู้ที่บันทึกเรื่องราวในสมัยนั้นเป็นผู้รู้หนังสือ คือ พวกพระหรือพวกขุนนาง

 

การบรรยายการสู้รบจึงเน้นเรื่องของความกล้าหาญของอัศวินมากกว่าการเล่ารายละเอียดของทหารเดินเท้าหรือพลธนู

 

ประการที่สอง จุดมุ่งหมายของการสู้รบไม่ได้เป็นเรื่องการเข่นฆ่าทำลายล้างศัตรู แต่เป็นการต่อสู้เพื่อให้ได้ทรัพย์สินเงินทอง

 

ดังนั้นการสู้รบมักจะเป็นการโจมตีหรือการป้องกันเมืองหรือปราสาท มีการจับตัวฝ่ายศัตรูเป็นเชลยแล้วให้ญาติพี่น้องลูกหลานของฝ่ายศัตรูนำเงินค่าไถ่มาไถ่ถอน

 

ตัวอย่างเช่น กรณีของพระเจ้าฌ็องที่ ๒ (Jean II) แห่งฝรั่งเศสที่ถูกกษัตริย์อังกฤษจับตัวเป็นเชลยที่เมืองปัวติเย่ส์ (Poitiers) และให้รัชทายาทฝ่ายฝรั่งเศส คือเจ้าชายชาลส์ (หรือกษัตริย์ชาลส์ที่ ๕ (Charles V) นำเงินมาถ่ายถอนตัว

 

จุดมุ่งหมายของการสู้รบแบบนี้จะไม่เหมือนกับจุดมุ่งหมายในการต่อสู้ของศตวรรษที่ ๒๐ ที่เน้นการทำลายกองกำลังของศัตรูและการให้ศัตรูยอมแพ้โดยไม่มีเงื่อนไข นะครับ

 

ประการที่สาม การต่อสู้ในสมัยกลางไม่ได้ประเมินที่กองทหารหรืออาวุธ แต่พิจารณาจากความสามารถของอัศวิน ดังนั้นบรรดาอัศวินจะได้รับการถ่ายทอดความรู้ด้านยุทธวิธีการทำสงคราม มีการฝึกฝนเกี่ยวกับยุทธวิธีจนชำนาญ    

 

นักประวัติศาสตร์ในศตวรรษที่ ๒๐ ชื่อ โรเจอร์ แห่ง ฮาวเดน (Roger of Howden) กล่าวว่า “ถ้าไม่มีการฝึกฝน จะไม่รู้ศิลปะการทำสงครามในสถานการณ์จริง”

 

ตัวอย่างของยุทธวิธีที่ต้องฝึกฝนได้แก่ การโจมตีแบบรวมกลุ่ม (the shock charge) กล่าวคือ บรรดาอัศวินจะรวมกลุ่มอย่างหนาแน่นและเข้าโจมตีโดยพร้อมเพรียงกัน

 

ยุทธวิธีนี้จะทำให้แนวป้องกันของฝ่ายข้าศึกแตกกระจาย และถ้าจับตัวฝ่ายตรงข้ามได้ย่อมหมายถึงการได้รับเงินค่าไถ่หรืออาวุธยุทโธปกรณ์ เช่นเกราะหรือม้าเป็นจำนวนมาก ดังนั้นการต่อสู้กันจึงเป็นเรื่องของการเสาะหารางวัลด้านทรัพย์สินเงินทอง

 

ประการที่สี่ มีการจ้างกองทหารเพื่อต่อสู้ มีคำกล่าวที่ว่า “เงินทำให้แข็งแกร่งในการทำสงครามและใช้เกณฑ์กองทหารมาเป็นกองกำลังได้อย่างดี”

 

ตัวอย่างของการจ้างกองทหารรับจ้างได้แก่ กษัตริย์เฮนรี่ที่ ๑ (Henry I) แห่งอังกฤษ พระองค์ทรงจ้างอัศวิน ๑,๐๐๐ นายจากท่านเค้าท์ โรเบิร์ตแห่งฟลานเดอร์ (Count Robert of Flanders) โดยทรงจ่ายค่าจ้างเป็นจำนวน ๕๐๐ ปอนด์ต่อปี นะครับ

 

ประการที่ห้า ยุทธวิธีในการทำสงครามในสมัยกลางเป็นเรื่องของการล้อมปราสาทและการทำให้ศัตรูอดอยากนะครับ

 

ยุทธวิธีนี้เป็นลักษณะแบบ Chevauchée หมายถึง การล้อมอาณาบริเวณของศัตรูเพื่อทำลายพืชพันธุ์ธัญญาหารและสัตว์เลี้ยง เพื่อให้ศัตรูไม่มีเสบียงอาหารไว้ทำสงคราม ทำให้ศัตรูอดอยาก

 

ดังนั้นในสมัยนี้จึงมีการสร้างปราสาทอย่างมั่นคงเพื่อต่อต้านการรุกรานของศัตรูและมีการกักตุนเสบียงอาหารไว้เป็นจำนวนมาก ยุทธวิธีนี้เรียกว่ายุทธวิธีล้อมปราสาท (the castle strategy) โดยมีปัจจัยสำคัญในการสู้รบได้แก่ระยะเวลา (duration) อาจต้องทำสงครามโดยใช้เวลานาน

 

ยุทธวิธีนี้ ไม่ต้องมาที่ประเทศเรานะครับ เพราะเรามียุทธวิธีน้ำล้อมเมืองแล้ว ฝนตกที่ไร น้ำท่วมเมืองตลอด (ไม่ได้บอกว่าเมืองไหนนะครับ)

 

ประการที่หก มีการใช้คันธนูใหญ่ในการทำสงคราม คันธนูใหญ่ถือว่าเป็นนวัตกรรมด้านอาวุธในสมัยกลาง สามารถยิงได้ไกลและมีอานุภาพทำลายกองทหารม้าได้ แน่นอน อาวุธนี้ได้กลายเป็นต้นแบบของปืนใหญ่ในเวลาต่อมา

 

ท่านฌอน แม็กกลีน ได้สรุปไว้ว่า การสู้รบในสมัยกลางมีวัตถุประสงค์ ยุทธวิธี และกฏเกณฑ์ชัดเจน และมีวิวัฒนาการไม่ใช่เรื่องที่ไม่มีกฎเกณฑ์ หรือเป็นเรื่องไร้ระเบียบแบบแผนนะครับ

************* 

ปล รูปภาพเป็นเรื่องของกษัตริย์ ็Henri IV แห่งฝรั่งเศสนะครับ จะเขียนเล่าเรื่องในโอกาสต่อไปครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French

  มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French กรมหลวงพิพิธมนตรี (พระพันวัสสาน้อย) เป็นพระอัครมเหสีน้อยของสมเด็จพ...