Chalermkiat Mina

วันอังคาร, มิถุนายน 27, 2566

มินามีเรื่องเล่า พระมหาธาตุแก่นนคร วัดหนองแวง พระอารามหลวง จังหวัดขอนแก่น




มินามีเรื่องเล่า พระมหาธาตุแก่นนคร วัดหนองแวง พระอารามหลวง จังหวัดขอนแก่น

          สวัสดีครับ วันนี้ขออนุญาตนำเสนอความเป็นมาของพระมหาธาตุแก่นนคร วัดหนองแวง พระอารามหลวงนะครับ

          ผมได้มีโอกาสพาเพื่อนๆ มานมัสการพระมหาธาตุแก่นนคร ที่วัดหนองแวงแห่งนี้ เมื่อปีที่แล้วนะครับ ขออนุญาตนำเรื่องและภาพมานำเสนออีกครั้งครับ 





          เมืองขอนแก่นในยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ มีพระนครศรีบริรักษ์ (ท้าวเพี้ยเมืองแพน) เป็นเจ้าเมืองขอนแก่นคนแรก

          ท่านได้สร้างเมืองขอนแก่นที่บ้านบึงบอนตั้งแต่ ปี พ.ศ. ๒๓๓๒ ท่านเป็นเจ้าเมืองขอนแก่นที่บ้านบึงบอนเป็นเวลา ๒๒ ปี ก็ได้ถึงแก่กรรมที่บ้านบึงบอนนี้ 





          ตามที่ได้เคยกล่าวไปแล้วนะครับ ในมินามีเรื่องเล่าตอนหลวงพ่อพระลับว่า ท่านเพี้ยเมืองแพนหรือพระนครศรีบริรักษ์ บรมราชภักดีได้ตั้งเมืองขอนแก่นขึ้นที่บ้านบึงบอนแล้ว ก็ได้เริ่มสร้างวัดขึ้น ๔ วัด ตามแบบประเพณีโบราณ ดังนี้

          ๑. วัดเหนือ อยู่ทางต้นน้ำ (แม่น้ำชี) สำหรับเป็นสถานที่ชุมนุมทำบุญของประชาชนทั่วไป ปัจจุบัน คือวัดหนองแวง พระอารามหลวง

          ๒. วัดกลาง อยู่กึ่งกลางระหว่างวัดเหนือกับวัดใต้ สำหรับเป็นที่ชุมนุมทำบุญของ ขุนนางและข้าราชการ ปัจจุบัน คือวัดกลาง

          ๓. วัดใต้ อยู่ใกล้ตัวเมือง หรืออยู่ทางใต้ของสายน้ำ สำหรับเป็นที่ทำบุญของพ่อเมือง เป็นที่ประดิษฐานพระลับ ปัจจุบัน คือวัดธาตุ พระอารามหลวง

          ๔. วัดท่าแขก สำหรับพระภิกษุอาคันตุกะจากถิ่นอื่น มาพักและประกอบพุทธศาสนพิธี ปัจจุบัน คือวัดโพธิ์ บ้านโนนทัน





เรามารู้จักวัดเหนือ คือวัดหนองแวง กันนะครับ

วัดหนองแวง เดิมชื่อวัดเหนือ สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๓๒ พร้อมกับวัดกลางและวัดธาตุ โดยพระนครศรีบริรักษ์ (ท้าวเพี้ยเมืองแพน) เจ้าเมืองคนแรก ณ บ้านบึงบอน (บึงแก่นนคร)

          ที่วัดหนองแวงมีพระมหาธาตุแก่นนคร (พระธาตุเก้าชั้น)

ซึ่งเป็นศูนย์รวมแห่งบุญแห่งวัฒนธรรมอีสาน และเป็นศูนย์ตำนานของสาธุชน เป็นการสร้างกุศลแด่องค์พระศาสนา

          เมื่อมานมัสการพระมหาธาตุแก่นนคร คำถามแรกที่หลายท่านถามคือ ใครเป็นผู้สร้าง

          คำตอบคือ พระธรรมวิสุทธาจารย์ (คูณ ขนฺติโก ป.ธ.๔) อดีตเจ้าอาวาสวัดหนองแวง พระอารามหลวง

          พระธรรมวิสุทธาจารย์ (คูณ ขนฺติโก ป.ธ.๔) หรือที่พวกเรานิยมเรียกท่านว่าหลวงปู่คูณ ท่านได้ละสังขารอย่างสงบเมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๓ สิริอายุ ๙๑ ปี ๑๔ วัน ๗๑ พรรษา

          หลวงปู่คูณท่านเล่าให้พวกเราให้ฟังในหนังสือ ระลึกงานบำเพ็ญกุศลอายุวัฒนมงคล ๙๐ ปี พระธรรมวิสุทธาจารย์ (คูณ ขนฺติโก ป.ธ.๔) เกี่ยวกับพระมหาธาตุแก่นนคร ซึ่งผมขออนุญาตถ่ายทอดโดยสังเขปครับ

          ความคิดริเริ่มในการสร้างพระธาตุนั้นมีอยู่ในใจของหลวงปู่คูณเสมอมา

          เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๗ ท่านได้มีโอกาสเดินทางไปกรุงเทพฯ ได้พบเห็นวัดวาอารามต่างๆ ในกรุงเทพฯ มีพระเจดีย์ พระธาตุงามสง่า ทำให้ท่านเกิดความคิดว่า อุโบสถ วิหาร ลานพระเจดีย์ ไม้ศรีมหาโพธิ์ เป็นปูชนียวัตถุและปูชนียสถานประจำวัด ท่านจึงได้ตั้งสัจจะอธิษฐานเอาไว้ว่า ขอได้มีโอกาสสร้างพระธาตุตามสติปัญญาที่ท่านจะทำได้

          เดิมทีท่านคิดจะจำลองพระธาตุขามแก่นไว้ที่วัดหนองแวง ท่านจึงได้ขออนุญาตจากหลวงพ่อพระครูโศภิตบุณยสาร เจ้าอาวาสวัดพระธาตุขามแก่นในสมัยนั้น

          หลวงพ่อพระครูโศภิตบุณยสาร ให้ความเห็นว่า ถ้าให้จำลองพระธาตุขามแก่น ท่านไปคงจะไม่สบายใจ เพราะกลัวว่าต่อไปจะไม่มีคนมานมัสการพระธาตุขามแก่นองค์จริง จะมานมัสการแต่พระธาตุที่จำลองสร้างขึ้นใหม่เท่านั้น

          ต่อมาหลวงปู่คูณ ท่านได้เกิดนิมิตต่าง ๆ และได้เห็นภาพเจดีย์ทางเหนือ มีลักษณะเหมือนมณฑปเป็นชั้น ๆ ถึง ๙ ชั้น ท่านจึงมีความคิดว่า น่าจะเขียนแบบเจดีย์พระธาตุเก้าชั้นขึ้น โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อจะสร้างพระธาตุให้เสร็จเพื่อเป็นการฉลองพร้อมกับการครบรอบ ๒๐๐ ปีของเมืองขอนแก่นในปี พ.ศ. ๒๕๔๐

          พระธรรมวิสุทธาจารย์ (คูณ ขนฺติโก ป.ธ.๔) ท่านได้สรุปมูลเหตุในการก่อสร้างพระธาตุขามแก่นไว้ ๔ ประการ คือ

          ๑. สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (วาสน์ วาสโน) วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ได้ทรงประทานพระบรมสารีริกธาตุไว้ให้ตั้งแต่ ปี พ.ศ. ๒๕๒๒

          ๒. พระธรรมวิสุทธาจารย์ (คูณ ขนฺติโก ป.ธ.๔) เจ้าอาวาสวัดหนองแวง ท่านได้ตั้งปณิธานไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๗ และได้รับพระบรมสารีริกธาตุตามนิมิต จากประเทศพม่า ตั้งแต่วันที่ ๒๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๘

          ๓. สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺฒโน) วัดบวรนิเวศวิหาร ประทานปัจจัยบูชาพระธรรมเทศนาให้เป็นทุนเริ่มต้น ๑๘,๕๐๐ บาท ตั้งแต่วันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๘

          ๔. เมืองขอนแก่นมีอายุครบ ๒๐๐ ปี ในพ.ศ. ๒๕๔๐ และทางวัดก็มีที่ดินว่างอยู่ ๑๐ ไร่เศษ เหมาะสมในการก่อสร้างพระมหาธาตุ

          พระมหาธาตุแก่นนครสร้างสำเร็จลุล่วง วันที่ ๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๐

          ลักษณะของพระมหาธาตุฯ นั้น องค์พระธาตุมีอยู่ ๙ ชั้น ฐานพระธาตุฯ กว้าง ๕๐x๕๐ เมตร องค์พระมหาธาตุฯ กว้าง ๔๐x๔๐ เมตร ความสูงของพระมหาธาตุฯ สุดเนื้อปูน ๗๒ เมตรถึงยอดฉัตรพระมหาธาตุฯ ๘๐ เมตร พื้นที่ทั้งหมดในองค์พระมหาธาตุ ๗,๗๘๐ ตารางเมตร พระจุลธาตุ ๔ องค์ ตั้งอยู่สี่มุม มีกำแพงแก้วพญานาค ๗ เศียรล้อมรอบกว้าง ๗๒x๗๒ เมตร เป็นศิลปะสมัยทวารวดีหรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผสมผสานศิลปะอินโดจีน รูปทรงแบบชาวอีสานตากแห 

          ภายในองค์พระธาตุมีอยู่ ๙ ชั้นนะครับ เราสามารถเดินขึ้นไปครบทั้ง ๙ ชั้น สว. ระวังหัวเข่าหน่อยนะครับ

          ชั้นที่ ๑ เป็นหอประชุม มีพระบรมสารีริกธาตุประดิษฐานอยู่บนบุษบกและพระประธาน ๕ องค์ อยู่ตรงกลาง ๑ องค์ทางทิศใต้ ๒ องค์ ทางทิศเหนือ ๒ องค์ ต้นเสาเขียนลวดลายและมีจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เมืองขอนแก่น

          ชั้นที่ ๒ เป็นหอพักและเก็บของใช้ของชาวอีสาน

          ชั้นที่ ๓ เป็นหอปริยัติ รวมทั้งได้รวบรวมตาลปัตร พัดยศและเครื่องอัฐบริขารของพระภิกษุสงฆ์ที่มีชื่อเสียงในจังหวัดขอนแก่น

ชั้นที่ ๔ เป็นหอปริยัติธรรม ภายในมีพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมของเก่า

ชั้นที่ ๕ เป็นหอพิพิธภัณฑ์ มีบริขารของหลวงปู่พระครูปลัดบุษบา สุมโน อดีตเจ้าอาวาสรูปที่ ๖

          ชั้นที่ 6 เป็นหอพระอุปัชฌาย์ยาจาน

          ชั้นที่ ๗ เป็นหอพระอรหันตสาวก

ชั้นที ๘ เป็นหอพระธรรม ที่รวบรวมพระธรรมคัมภีร์สําคัญทางพระพุทธศาสนา

ชั้นที่ ๙ เป็นหอพระพุทธ ตรงกลางมีบุษบก เป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า

          ทุกชั้นมีบานประตูหน้าต่างแกะสลักนิทานหรือชาดกต่างๆ

ที่สำคัญคือผู้ที่ขึ้นไปยังชั้นต่างๆ สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของเมืองขอนแก่นได้ทุกองศา

          กล่าวกันว่า ใครๆ ที่มาเมืองขอนแก่น แล้วไม่มาไหว้พระมหาธาตุ แสดงว่ามาไม่ถึงหรือฮอดเมืองขอนแก่น

          ขอเชิญทุกท่านมานมัสการพระมหาธาตุแก่นนคร กันนะครับ

********************************* 





วันจันทร์, มิถุนายน 26, 2566

มินามีเรื่องเล่า ๒๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๖ มงคลสมัยฉลองพระชนมายุ ๘ รอบ ๙๖ พระชันษา ของสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก



๒๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๖ มงคลสมัยฉลองพระชนมายุ ๘ รอบ ๙๖ พระชันษา ของสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

 

ทีฆายุโก โหตุ วีสติมสงฺฆราชา ขอสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๒๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงเจริญพระชนมสุขยั่งยืนนาน

 

พระนามของพระองค์จารึกในพระสุพรรณบัฏ คือ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สุขุมธรรมวิธานธำรง สกลมหาสงฆปริณายก ตรีปิฎกธราจารย อัมพราภิธานสังฆวิสุต ปาพจนุตตมสาสนโสภณ กิตตินิรมลคุรุฐานียบัณฑิต วชิราลงกรณนริศรปสันนาภิสิตประกาศ วิสารทนาถธรรมทูตาภิวุฒ ทศมินทรสมมุติปฐมสกลคณาธิเบศร ปวิธเนตโยภาสวาสนวงศวิวัฒ พุทธบริษัทคารวสถาน วิบูลสีลสมาจารวัตรวิปัสสนสุนทร ชินวรมหามุนีวงศานุศิษฏ บวรธรรมบพิตร สมเด็จพระสังฆราช

 

ความหมายของพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏ มีดังนี้

 

สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ : สมเด็จผู้มีญาณสืบมาแต่วงศ์พระอริยเจ้า

สุขุมธรรมวิธานธำรง : ทรงเป็นผู้มีธรรมวิธีอันละเอียดอ่อน

สกลมหาสงฆปริณายก : ทรงเป็นผู้นำพระสงฆ์หมู่ใหญ่ทั้งปวง

ตรีปิฎกธราจารย : ทรงเป็นอาจารย์ผู้ทรงไว้ซึ่งพระปริยัติธรรม คือ พระไตรปิฎก

อัมพราภิธานสังฆวิสุต : ปรากฏพระนามฉายาในทางสงฆ์ว่า อมฺพโร

ปาพจนุตตมสาสนโสภณ : ทรงงดงามในพระศาสนาด้วยทรงพระปรีชากว้างขวางในพระอุดมปาพจน์คือพระธรรมวินัย

กิตตินิรมลคุรุฐานียบัณฑิต : ทรงดำรงพระเกียรติโดยปราศจากมลทิน และทรงเป็นครู

วชิราลงกรณนริศรปสันนาภิสิตประกาศ : สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาด้วยเหตุที่ทรงพระราชศรัทธาเลื่อมใส

วิสารทนาถธรรมทูตาภิวุฒ : ทรงเป็นที่พึ่งผู้แกล้วกล้าและมีพระปรีชาฉลาดเฉลียว ทรงเป็นผู้ยังความเจริญแก่กิจการพระธรรมทูต

ทศมินทรสมมุติปฐมสกลคณาธิเบศร : ทรงเป็นใหญ่ในสงฆ์ทั้งปวง (คือทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราช) พระองค์แรกที่ได้รับพระราชทานสถาปนสในรัชกาลที่ ๑๐

ปวิธเนตโยภาสวาสนวงศวิวัฒ : ทรงยังแสงสว่างแห่งแบบอย่างอันดีงามให้บังเกิด โดยเจริญรอยตามสมเด็จพระอุปัชฌายะคือสมเด็จพระสังฆราช (วาสนมหาเถร)

พุทธบริษัทคารวสถาน : ทรงเป็นที่ตั้งแห่งความเคารพของพุทธบริษัท

วิบูลสีลสมาจารวัตรวิปัสสนสุนทร : ทรงงดงามในพระวิปัสสนาธุระ ทรงพระศีลาจารวัตรอันไพบูลย์

ชินวรมหามุนีวงศานุศิษฏ : ทรงเป็นอนุศิษย์ผู้สืบวงศ์สมณะมาแต่พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า

บวรธรรมบพิตร : ทรงเป็นเจ้าผู้ประเสริฐในทางธรรม

สมเด็จพระสังฆราช : ทรงเป็นราชาแห่งหมู่สงฆ์

 

ที่มาของข้อมูล

สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (อมฺพรมหาเถร) สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๒๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ชัชพล ไชยพร

                     *******************



มินามีเรื่องเล่า ๒๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๖ ฉลองพระชนมายุ ๘ รอบ ทีฆายุโย โหตุ สังฆราชา Thai-English


                                    ที่มาของภาพ ในพระอุโบสถ วัดธาตุ พระอารามหลวง จ. ขอนแก่น

มินามีเรื่องเล่า ๒๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๖ ทีฆายุโย โหตุ สังฆราชา Thai-English

ด้วยวันนี้ วันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๖ เป็นโอกาสมงคลสมัยฉลองพระชนมายุ ๘ รอบของสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก วันนี้เป็นคล้ายวันประสูติของสมเด็จพระสังฆราช ที่ทรงเจริญพรรษายุกาลครบ ๘ รอบ ๙๖ ปี เกล้ากระหม่อม ขอน้อมถวายพระพรทีฆายุโก โหตุ สังฆราชา


ข้าพระพุทธเจ้าขอขอน้อมนำพระประวัติสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (อมฺพรมหาเถร) สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๒๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มาเสนอต่อพุทธศาสนิกชนทุกท่านครับ


สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก ทรงมีพระนามเดิมว่า “อัมพร ประสัตถพงศ์” ทรงเป็นบุตรชายคนโตในจำนวน ๙ คนของนายนับ กับนางตาล ประสัตถพงศ์ ประสูติที่บ้านตำบลบางป่า อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๐ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ครอบครัวของพระชนกชนนีของพระองค์เป็นชาวไทยเชื้อสายจีนที่ประกอบอาชีพค้าขาย


สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก ทรงพระอักษรชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนเทวานุเคราะห์กองบินน้อยที่ ๔ ตำบลโคกกระเทียม อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี


เมื่อทรงเรียนจบประถมศึกษาปีที่ ๑ ได้ไปศึกษาต่อ ณ โรงเรียนประชาบาลวัดพะเนินพูล ตำบลบางป่า อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี จนสำเร็จชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๐


พระองค์ทรงบรรพชาเป็นสามเณรเมื่อพระชันษา ๑๓ ปี ณ วัดสัตตนารถปริวัตร ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี


ครั้นเมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๑ ได้ทรงอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ มหาพัทธสีมาวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม แขวงวัดราชบพิธ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ทรงได้รับพระสมณฉายาว่า “อมฺพโร” มีสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (วาสนมหาเถร) สมเด็จพระสังฆราช ขณะนั้นทรงสมณศักดิ์ที่พระเทพโมลี เป็นสมเด็จพระอุปัชฌายะ และสมเด็จพระพุทธปาพจนบดี (จินฺตากรเถร) ขณะมีสมณศักดิ์ที่พระจินดากรมุนี เป็นพระกรรมาวาจารย์ ปี พ.ศ. ๒๔๙๑ ทรงสอบได้เปรียญธรรม ๕ ประโยค ปี พ.ศ. ๒๔๙๓ ทรงสอบได้เปรียญธรรม ๖ ประโยค


ทรงเข้าศึกษาในมหามกุฏราชวิทยาลัย สมเด็จพระสังฆราชทรงสมัครเข้าศึกษาในสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย (มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ในปัจจุบัน) เป็นนักศึกษารุ่นที่ ๕ สำเร็จปริญญา “ศาสนศาสตรบัณฑิต” เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐


ต่อมาใน พ.ศ. ๒๕๐๙ ได้ทรงเข้าอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศเป็นพระธรรมทูตรุ่นแรก นับได้ว่าทรงวางพระองค์เป็นพระภิกษุที่มั่นคงอยู่ในวิถีการศึกษาเล่าเรียนตามจารีตเดิม คือการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกธรรมและแผนกบาลี ผสานเข้ากับการศึกษาของพระภิกษุในสมัยใหม่ คือการเข้าศึกษาในรูปแบบมหาวิทยาลัยและเปิดโลกทัศน์การเผยแผ่สู่สากลด้วยการเป็นพระธรรมทูตยุคบุกเบิกได้อย่างลงตัว


สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายกทรงมีพระอัจฉริยภาพทางภาษา ทรงมีพระทัยใฝ่ศึกษาด้านภาษาศาสตร์ โปรดทรงเรียนพิเศษภาคปฏิบัติการสื่อสารภาษาอังกฤษกับพระอาจารย์ชาวต่างชาติเพิ่มเติม ทำให้ทรงสามารถตรัสภาษาอังกฤษด้วยสำเนียงอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว เป็นประโยชน์ต่อการเผยแผ่ธรรมไปสู่มหาชนทุกหมู่เหล่า


ในกาลต่อมาพระกิตติคุณได้ปรากฏเพิ่มพูนเป็นที่ประจักษ์ สภามหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยจึงมีมติถวายปริญญา “ศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาพุทธศาสตร์” เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๒ และสภามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัยมีมติถวายปริญญา “พุทธศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์สาขาวิชาธรรมนิเทศ” เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๓ อีกด้วย


สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายกได้ทรงประทานพระคติธรรมไว้เป็นจำนวนมาก ขอน้อมนำพระคติธรรมที่พระองค์ได้ประทานไว้มานำเสนอในที่นี้นะครับ


“สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสั่งสอนสรรพสัตว์ทั้งหลายให้เจริญในบุญกิริยาวัตถุ มีทาน คือการให้เป็นอาทิ ทรงปรารภสุขแห่งการให้ว่า “สุขสฺส ทาตา เมธาวี สุขํ โสอธิคจฺฉติ” ความว่า “ปราชญ์ผู้ให้ความสุข ย่อมได้รับความสุข”


ข้อมูลประกอบการเล่าเรื่อง

สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (อมฺพรมหาเถร) สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๒๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ชัชพล ไชยพร

 ************

Mina Stories: The Eighth Cycle Birthday of His Holinesss the Supreme Patriarch on June 26.

Long Live Our Supreme Patriarch.


Today is the special day for all Buddhists in Thailand. The 26th of June 2023 will mark the Holiness’s 96th birthday of our Supreme Patriarch, Somdet Phra Ariyavongsagatanana (Amborn Ambaro). This special day will also mark His Holiness’s eighth cycle birthday. One cycle is equivalent to 12 years on the Thai calendar.


We would like to express our best wishes to Somdet Phra Ariyavongsagatanana (Amborn Ambaro) on this auspicious day. Long Live Our Supreme Patriarch.


Somdet Phra Ariyavongsagatan̄ana (Amborn Ambaro), the XXth Supreme Patriarch of Rattanakosin Kingdom, was born on Sunday, June 26, 1927, in Bang Pa Sub-district (บ้านตำบลบางป่า), Mueang Ratchaburi District (อำเภอเมืองราชบุรี), Ratchaburi Province (จังหวัดราชบุรี). He is the eldest son of Mr. Nub (นายนับ) and Mrs. Tan Prasattapong (นางตาล ประสัตถพงศ์).  His parents have 9 children.


The Supreme Patriarch began his elementary education at Devanukraw Kongbin Noy 4th School (เทวานุเคราะห์ กองบินน้อยที่ ๔), Kok Katiem Sub-distric (ตำบลโคกกระเทียม), Mueang Lopburi District (อำเภอเมืองลพบุรี), Lopburi Province (จังหวัดลพบุรี). Then he furthered his studies in Prachaban Wat Phanoenpoon (ประชาบาลวัดพเนินพูล), Bang Pa Sub-district (ตำบลบางป่า), Mueang Ratchaburi District (อำเภอเมืองราชบุรี), Ratchaburi Province (จังหวัดราชบุรี).


The Supreme Patriarch was ordained a novice at the age of thirteen at Wat Sattanatpariwattra (วัดสัตตนารถปริวัตร) in Ratchaburi. On May 9, 1948, he was ordained a monk at Wat Ratchabopit (วัดราชบพิตร), in Bangkok. His bhikkhu’s name is Ambaro (อมพโร).


The Supreme Patriarch applied for studying in Mahamakut Buddhist University. He graduated and received the Bachelor of Arts (Buddhist Studies) in 1957.


In 1966, the Supreme Patriarch applied for the training courses of Dhammaduta (ธรรมทูต), Buddhist Missionary Monks. He was a member of the first class of Dhammaduta, known as the pilot Dhammaduta (พระธรรมทูตรุ่นบุกเบิก).


The Supreme Patriarch gave us an example of a monk who not only studied traditional areas of Dhamma and Pali studies, but also integrated successfully into modern education university systems. This helped him to work as Dhammaduta who disseminated Dhamma to people in the world.


The Supreme Patriarch marks his genius in languages. He is interested in linguistics. He studied English with foreigner teachers. His ability to communicate accurately and fluently in English helped him to disseminate Dhamma to foreigners.


His work of Dhamma dissemination was acknowleged by the public. In 2009, the Council of Mahamakut Buddhist University granted him an honorary doctorate in Buddhist Studies. In 2010, the Council of Mahachulalongkornrajavidyalaya University granted our Supreme Patriarch an honorary doctorate in Dhamma Communication.


On this auspicious day, major events will be held to celebrate the 8th Cycle Birthday Anniversary of the Supreme Patriarch. We will join the celebrating events which will be broadcast live on national television on June 26. We always recognize His Holiness’s great virtue.  
********************

วันเสาร์, มิถุนายน 24, 2566

มินามีเรื่องเล่า ประวัติพระเจ้าใหญ่สมปรารถนา พระพุทธธรรมขันตโสภิตมหามงคล

มินามีเรื่องเล่า ประวัติพระเจ้าใหญ่สมปรารถนา พระพุทธธรรมขันตโสภิตมหามงคล
**********

สวัสดีครับ เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๖ ผมได้ไปที่วัดพระธาตุ พระอารามหลวง อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น และได้มีโอกาสกราบบูชาหลวงพ่อพระลับ นะครับ

แต่มีองค์พระที่ใหญ่กว่าพระลับ คือ พระประธานของพระอุโบสถนะครับ

ในภาพคือองค์สีทองเด่นเป็นสง่า ท่านคือ พระเจ้าใหญ่สมปรารถนา ครับ

พระพุทธธรรมขันตโสภิตมหามงคล หรือที่นิยมเรียกกันว่า พระเจ้าใหญ่สมปรารถนา เป็นพระพุทธปฏิมาปางมารวิชัย สวยงามล้ำเลิศด้วยพระพุทธลักษณะ มีหน้าตักกว้าง ๗ ศอก สูง ๙ ศอก ประดิษฐานเป็นพระประธานภายในพระอุโบสถวัดธาตุ เมืองเก่า นะครับ
พระเจ้าใหญ่สมปรารถนานี้เป็นปูชนียวัตถุอันศักดิ์สิทธิ์ มีพุทธาภินิหารดลบันดาลสรรพศิริ มหามงคลอำนวยศุภผลศุภสวัสดิ์ ขจัดอุปัทวอันตรายนานาประการแก่ผู้ได้สักการะบูชา เป็นเหตุให้เกิดปิติโสมนัส และเคารพบูชาของสาธุชนพุทธบริษัทผู้ใดเห็นอย่างกว้างขวาง เป็นพระประธานที่ใหญ่ที่สุดในภาคอีสาน 
พุทธศาสนิกชน เช่น นายโบ ตราชู  ได้ร่วมกันสร้างไว้ในพระพุทธศาสนา เมื่อพุทธศักราช ๒๕๐๙ โดยได้รวบรวมดินอันศักดิ์สิทธิ์จากปูชนียสถานที่สำคัญทั้งในและนอกประเทศมาประกอบเป็นองค์พุทธปฏิมานี้ขึ้น

มาที่ขอนแก่น เรียนเชิญท่านมานมัสการ พระเจ้าใหญ่สมปรารถนา ที่วัดธาตุ พระอารามหลวง นะครับ

แหล่งข้อมูล จากสมุดบันทึก พระพุทธิสารสุธี (เหล่ว สุมโน ป.ธ.๕) เจ้าอาวาสวัดธาตุ เมืองเก่า จังหวัดขอนแก่น พ.ศ. ๒๕๐๙

วันศุกร์, มิถุนายน 23, 2566

มินามีเรื่องเล่า หลวงพ่อพระลับ วัดธาตุ พระอารามหลวง จังหวัดขอนแก่น

มินามีเรื่องเล่า หลวงพ่อพระลับ วัดธาตุ พระอารามหลวง จังหวัดขอนแก่น
 
วันศุกร์ที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๖ พระโสภณพัฒนบัณฑิต (สุกันยา อรุโณ), รศ.ดร. เจ้าอาวาสวัดธาตุ พระอารามหลวง รองเจ้าคณะจังหวัดขอนแก่น และรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น มอบหมายให้พระคุณเจ้ามอบหลวงพ่อพระลับ แด่รศ.ดร.นิยม วงศ์พงษ์คำ รองอธิการบดีฝ่ายศิลปวัฒนธรรมและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ พร้อมด้วยคณาจารย์ (อาจารย์เนินทอง อินทะวง, อาจารย์สีทอง สีเวินไซ,  อาจารย์สุวันคำ วงไซยะลาด) และนักศึกษาจากสถาบันวิจิตรศิลป์แห่งชาติ สปป. ลาว ที่ได้มาช่วยงานการสร้างสรรค์งานศิลปะ โดยเฉพาะโครงการความร่วมมือในการแกะสลัก ประดับตกแต่งเกวียนแห่พระลับ ซึ่งท่านคณาจารย์และนักศึกษาจะเดินทางกลับ สปป. ลาว ในการนี้ผมและผศ. ดร. หอมหวล บัวระภา ได้รับมงคลหลวงพ่อพระลับด้วย 

โอกาสนี้ ผมขออนุญาตเล่าเรื่องพระลับให้ทราบนะครับ
ประวัติหลวงพ่อพระลับ (พระศรีสัตนาคนหุต)

หลวงพ่อพระลับหรือพระศรีสัตนาคนหุต เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยหล่อด้วยสำฤทธิ์ทั้งองค์ และฐานขนาดหน้าตักกว้าง ๑๑ นิ้ว สูง ๒๙ นิ้ว ประทับนั่งขัดสมาธิบนแท่นสัมฤทธิ์รูปสัปคับช้าง (แหย่งช้าง) องค์พระจะเอนไปทางด้านหลังเล็กน้อย
หลวงพ่อพระลับจัดอยู่ในกลุ่มพระพุทธรูปศิลปะลาว สกุลช่างเวียงจันทน์ คล้ายพระพุทธรูปมารวิชัยที่ระเบียง หอพระแก้วกรุงเวียงจันทน์ มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๒๒-๒๔ 

ตามประวัติเล่าว่า เมื่อ พ.ศ. ๑๗๙๗ เมืองล้านช้าง (เวียงจันทน์) เป็นอิสระจากการปกครองของขอม พร้อมทั้งเมืองล้านนา กษัตริย์ล้านช้างจึงได้สถาปนาเมืองเวียงจันทน์ขึ้นเป็นเมืองหลวงเมื่อปี พ.ศ. ๒๐๕๘ ขนานนามว่า กรุงศรีสัตนาคนหุต แปลว่า เมืองมีช้างล้านตัวหรือช้างร้อยนหุต (หนึ่งนหุต เท่ากับ ๑๐,๐๐๐)
เมื่อพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ ๑ ขึ้นครองสิริราชสมบัติ พระองค์มีนโยบายที่จะขยายอาณาเขตออกไปทั่วอาณาจักรโคตรบูรณ์และอาณาจักรล้านนา เพื่อหาสมัครพรรคพวกไว้สู้กับขอม การดำเนินนโยบายดังกล่าวนั้น พระองค์เห็นว่า ประชาชนในอาณาจักรลาวนี้นับถือพระพุทธศาสนาลัทธิหินยานเถรวาท พระองค์จึงได้อาศัยพระพุทธศาสนาเป็นสื่อสัมพันธ์ เพื่อให้เมืองต่างๆ อ่อนน้อมและยอมเป็นเมืองขึ้นของพระองค์ พระองค์ได้หล่อพระพุทธรูปสัมฤทธิ์และพระแก้วขึ้นเป็นจำนวนมาก เพื่อมอบให้แก่เจ้าเมืองต่างๆ นำไปสักการะบูชา พระพุทธรูปสัมฤทธิ์สัมฤทธิ์นี้ชาวเมืองเรียกว่า “พระพุทธศรีสัตนาคนหุต” หรือ“พระศรีสัตนาคนหุต” 

ส่วนพระพุทธรูปที่หล่อด้วยแก้ว ชาวเมืองนิยมเรียกว่า “พระแก้วล้านช้าง” 

เหตุที่มีชื่อว่า “พระลับ” ก็เนื่องมาจากครั้งเวียงจันทร์กับกรุงธนบุรีเป็นคู่อริกัน พระเจ้ากรุงธนบุรีมีพระราชบัญชาให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกยกทัพไปตีเวียงจันทน์ ทำสงครามอยู่ ๔ เดือน

สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้จัดการปกครองเวียงจันทน์ใหม่ เสร็จแล้วได้อัญเชิญพระแก้วมรกต พระบาง พระสุก พระใส พระเสริม กลับกรุงธนบุรี โดยผ่านมาทางอุดรธานี ขอนแก่นและนครราชสีมา 
ขณะนั้นพระวอที่อยู่นครจำปาศักดิ์ทราบข่าว จึงแจ้งมายังท้าวศักดิ์ผู้เป็นหลานให้เก็บพระพุทธศรีสัตนาคนหุตและพระแก้วล้านช้างให้มิดชิดและให้ถือเป็นความลับ ท้าวสักและพระราชครูหลวงได้ปฏิบัติตาม โดยก่อเจดีย์ขึ้นที่วัดใต้ จำนวน ๙ องค์ 

วัดธาตุ ตามประวัติศาสตร์อยู่ปลายน้ำชี จึงเรียก “วัดใต้” ส่วนวัดหนองแวง เรียกว่า “วัดเหนือ” เพราะอยู่ต้นน้ำชีที่ไหลผ่านบึงบอนไปยังทุ่งสร้าง โดยสร้างให้พระธาตุหรือเจดีย์ มีรูปเหมือนกันเพื่อพรางสายตาผู้คน แล้วนำพระศรีสัตนาคนหุตและพระแก้วล้านช้างมาซ่อนเอาไว้ในเจดีย์องค์เดียวกัน ส่วนเจดีย์องค์อื่นไม่ได้บรรจุอะไรไว้ เพราะการอัญเชิญมาเก็บซ่อนไว้อย่างมิดชิด จึงเป็นที่มาของชื่อ “หลวงพ่อพระลับ” 
(หลวงพ่อพระลับ องค์ดำ)

วัดใต้ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็นวัดธาตุเพราะได้สร้างเจดีย์พระธาตุนครเดิมขึ้นครอบพื้นที่เก็บหลวงพ่อพระลับเอาไว้ 

วัดธาตุสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๓๒ โดยพระนครศรีบริรักษ์บรมราชภักดี (เพียเมืองแพน) เจ้าเมืองคนแรกของขอนแก่น และเป็นวัดสำหรับทำบุญของเจ้าเมืองขอนแก่นในขณะนั้นด้วย 

ปัจจุบันวัดธาตุได้รับการสถาปนาเป็นพระอารามหลวงชื่อว่า วัดธาตุ พระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๐ ตั้งอยู่เลขที่ ๒๓๗ ถนนกลางเมือง (บ้านเมืองเก่า) ตำบลในเมือง อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย

เรื่องการสร้างวัดทั้ง ๔ วัดประจำเมืองขอนแก่น มีเรื่องเล่ากันว่า

ท้าวสัก ตำแหน่ง เพี้ยเมืองแพน อยู่บ้านชีโหล่น เมืองสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด ได้ชักชวนครอบครัวได้ประมาณ ๓๓๐ ครอบครัว อพยพมาตั้งบ้านเรือนขึ้นใหม่อีกแห่งหนึ่ง เรียกว่า บ้านบึงบอน 

ต่อมา พ.ศ. ๒๓๔๐ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มีพระบรมราชโองการยกฐานะให้เป็นเมืองขอนแก่น แต่งตั้งท้าวสักให้เป็นเจ้าเมืองขอนแก่นคนแรก มีนามว่า พระนครศรีบริรักษ์ บรมราชภักดี เนื่องจากชนชั้นปกครองเมืองต่างๆ ในภาคอีสานซึ่งมีเชื้อสายเนื่องมาจากนครเวียงจันทน์

เมื่อเพี้ยเมืองแพนหรือพระนครศรีบริรักษ์ บรมราชภักดีได้ตั้งเมืองขอนแก่นขึ้นที่บ้านบึงบอนแล้ว ก็ได้เริ่มสร้างวัดขึ้น ๔ วัด ตามแบบประเพณีโบราณ ดังนี้ 
๑. วัดเหนือ อยู่ทางต้นน้ำ (แม่น้ำชี) สำหรับเป็นสถานที่ชุมนุมทำบุญของประชาชนทั่วไป ปัจจุบัน คือ วัดหนองแวง พระอารามหลวง 

๒. วัดกลาง อยู่กึ่งกลางระหว่างวัดเหนือกับวัดใต้ สำหรับเป็นที่ชุมนุมทำบุญของขุนนางและข้าราชการ ปัจจุบัน คือ วัดกลาง 

๓. วัดใต้ อยู่ใกล้ตัวเมือง หรืออยู่ทางใต้ของสายน้ำ สำหรับเป็นที่ทำบุญของพ่อเมือง เป็นที่ประดิษฐานพระลับ ปัจจุบัน คือ วัดธาตุ พระอารามหลวง 

๔. วัดท่าแขก สำหรับพระภิกษุอาคันตุกะจากถิ่นอื่น มาพักและประกอบพุทธศาสนพิธี ปัจจุบัน คือ วัดโพธิ์ บ้านโนนทัน 

เรื่องยาวนะครับ แต่ได้ความรู้เกี่ยวกับหลวงพ่อพระลับ นะครับ

มินามีเรื่องเล่า พระธาตุนารายณ์เจงเวง สกลนคร



มินามีเรื่องเล่า พระธาตุนารายณ์เจงเวง สกลนคร

          ถ้ามีการแข่งขันกันระหว่างฝ่ายชายกับฝ่ายหญิง ท่านคิดว่าใครจะชนะครับ

          สวัสดีครับ วันนี้ขอนำเรื่องการเดินทางไปนมัสการพระธาตุนารายณ์เจงเวง ในวัดบ้านธาตุนาเวง จังหวัดสกลนคร เมื่อวันเสาร์ที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๖๕ มาเล่าสู่กันฟังครับ

          เรื่องราวของการสร้างพระธาตุนารายณ์เจงเวงนี้ตรงกับช่วงเวลาของการสร้างพระธาตุพนมนะครับ





          เล่าเรื่องพระธาตุนารายณ์เจงเวงต้องกล่าวถึงพระธาตุภูเพ็กด้วยนะครับ ปัจจุบันพระธาตุภูเพ็ก ตั้งอยู่ที่บ้านนาหัวบ่อ อำเภอพรรณนานิคม นะครับ

          ว่าแต่ว่ามีการแข่งขันเรื่องใดกันเกี่ยวกับพระธาตุนารายณ์เจงเวงและพระธาตุภูเพ็ก มาตามฟังกันครับ

          เรื่องมีอยู่ว่า หลังจากที่พระพุทธเจ้าได้ปรินิพพานแล้ว พระยาสุวรรณภิงคาร เจ้าเมืองหนองหารหลวง ทรงทราบข่าวว่า พระมหากัสสปะกับพระอรหันต์รวม ๕๐๐ รูป จะอัญเชิญพระอุรังคธาตุ (กระดูกส่วนหน้าอก) ของพระพุทธเจ้ามาประดิษฐานบรรจุไว้ที่ภูกำพร้า (คือพระธาตุพนมในปัจจุบันครับ)





          พญาสุวรรณภิงคารทรงปรึกษาหารือกับเสนาอำมาตย์และข้าราชบริพารว่าควรจะสร้างพระอุโมงค์ (พระธาตุ) ไว้รอพระอุรังคธาตุ และสถาปนาพระอุโมงค์ไว้เป็นที่สักการะบูชา สืบทอดพระพุทธศาสนาต่อไป

          บรรดาเสนาอามาตย์และข้าราชบริพารต่างเห็นชอบในการสร้างพระอุโมงค์ แต่จะใช้สถานที่ใดในการก่อสร้าง ต่างแบ่งแยกความคิดออกเป็น ๒ ฝ่าย ตามเนื้อเรื่องนั้น แบ่งเป็นฝ่ายชายและฝ่ายหญิงนะครับ

ฝ่ายชายพอใจที่จะให้ก่อสร้างพระอุโมงค์ (พระธาตุ) ที่ดอยคูหา ซึ่งเป็นพระแท่นบัลลังก์ที่พระพุทธเจ้าได้เคยเสด็จมาประทับบรรทมครั้งหนึ่ง





          แต่ฝ่ายหญิง ซึ่งมีพระนางเจ้าจรวยเจงเวง พระราชเทวีของพญาสุวรรณภิงคารทรงเป็นประธาน พระนางเจ้าจรวยเจงเวงทรงพอพระทัยที่จะก่อพระอุโมงค์ ไว้ที่สวนอุทยานเจงเวง เพื่อสะดวกแก่การไปนมัสการบูชาพระบรมธาตุได้ทุกฤดูกาล

          ถามว่าแนวคิดของใครชนะครับ ท่านผู้ชายคงตอบได้นะครับ พญาสุวรรณภิงคารทรงอนุญาตตามประสงค์ของพระราชเทวี 

          แต่ก็เป็นเสมือนที่เรากล่าวกันติดตลกในปัจจุบันนะครับ เมื่อความคิดเห็นไม่ตรงกัน การพนัน เออ ไม่ใช่ครับ การแข่งขันย่อมเกิดขึ้น

          ข่าวการแข่งขันแพร่ออกจากวังสู่ถนนหนทาง ประชาชนต่างพูดจากัน ต่างฝ่ายต่างกล่าวเกทับกัน ฝ่ายชายก็ว่าพระอุโมงค์ ของพวกเขาที่ดอยคูหาจะต้องเสร็จก่อนแน่นอน ฝ่ายสตรีมองค้อน กล่าวว่าพระอุโมงค์ที่สวนอุทยานเจงเวงของพระราชเทวีต้องเสร็จก่อนแน่นอน

          ต่างฝ่ายต่างมีข้อตกลงว่า เมื่อรวมอิฐหินปูนพอแล้วจะเริ่มก่อพระอุโมงค์ (พระธาตุ) เมื่อใดก็แจ้งหรือส่งสัญญาณให้ทราบ โดยมีกรอบเวลาในการสร้าง คือให้เสร็จภายในวันกับคืนหนึ่งเป็นอย่างช้า นับว่าเป็นงานสร้างที่ใช้เวลารวดเร็วมากกว่ายุคปัจจุบันอีกนะครับ

          ข้อตกลงมีว่า ถ้าฝ่ายใดก่อพระอุโมงค์เสร็จภายในเวลาที่ดาวเพ็ก (ดาวกัลปพฤกษ์) โผล่ออกพ้นเขายุคนธร ให้ถือว่าฝ่ายนั้นชนะ 

          เมื่อได้สัญญากันแล้วต่างฝ่ายต่างลงมือก่อพระอุโมงค์ (พระธาตุ)

          ครั้นเวลากลางคืน พระนางเจ้าจรวยเจงเวงโปรดให้ชักประทีปโคมไฟขึ้นไว้บนยอดไม้เขาสูง เพื่อให้แสงสว่างเห็นทั่วกัน จะได้ทำการก่อสร้างสะดวก

          ฝ่ายพวกผู้ชายมีหรือจะใจจืดใจดำกับภรรยาของตนเอง มักจะแอบลักลอบหนีไปช่วยภรรยาของตัวเองนะครับ ดังนั้นพระอุโมงค์ (พระธาตุ) ของฝ่ายหญิงจึงเสร็จก่อน

          ส่วนพวกผู้ชายที่ก้มหน้าก้มตาก่อพระอุโมงค์อยู่บนยอดเขาดอยคูหา พากันก่อพระอุโมงค์ขึ้นไปได้เพียงขื่อเท่านั้น พอมองเห็นแสงประทีปโคมไฟบนยอดไม้สูง ก็สำคัญว่าดาวเพ็กโผล่ออกมาแล้ว ต่างพากันหยุดก่อสร้าง ไม่รู้ว่าเจตนาหยุดหรือเปล่านะครับ

          ฝ่ายหญิงก่อพระอุโมงค์ (พระธาตุ) จากเวลากลางวันจนถึงค่ำคืน และพอย่ำรุ่งก็สำเร็จตามสัญญา

          พอรุ่งขึ้นพระมหากัสสปะกับพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์เป็นบริวาร ได้อัญเชิญพระอุรังคธาตุของพระพุทธเจ้ามาถึงดอยคูหา

          พญาสุวรรณภิงคารกับพระนางเจ้าจรวยเจงเวงราชเทวีทรงขอแบ่งพระอุรังคธาตุของพระพุทธเจ้าเพื่อจะสถาปนาไว้ที่พระอุโมงค์ (พระธาตุ) เพื่อสักการะบูชา

          พระมหากัสสปะกล่าวว่า ที่นี่ไม่ใช่ภูกำพร้า จะแบ่งพระอุรังคธาตุไว้ ก็จะผิดจากพระพุทธวจนะ (คำกล่าวของพระพุทธเจ้า) ที่ได้สั่งไว้ และจะไม่เป็นมงคลแก่พญาสุวรรณภิงคาร

          พระมหากัสสปะท่านมีเมตตา จึงให้พระอรหันต์บริวารกลับไปเอาพระอังคารของพระพุทธเจ้ามาบรรจุไว้ที่พระอุโมงค์ดอยคูหา และตั้งชื่อพระอุโมงค์ที่ดอยคูหาว่า พระธาตุภูเพ็ก  

          ส่วนพระอุโมค์ของพระนางเจ้าจรวยเจงเวง ได้บรรจุพระอังคารของพระพุทธเจ้า ได้นามว่า พระธาตุเจงเวง หรือ พระธาตุนารายณ์เจงเวง ตั้งชื่อตามพระนามของพระนางซึ่งเป็นต้นศรัทธา นะครับ

          สรุปว่าท่านต้องมีเวลาไปนมัสการพระธาตุนารายณ์เจงเวงและพระธาตุภูเพ็กกันนะครับ


มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French

  มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French กรมหลวงพิพิธมนตรี (พระพันวัสสาน้อย) เป็นพระอัครมเหสีน้อยของสมเด็จพ...