Chalermkiat Mina

วันพฤหัสบดี, มิถุนายน 15, 2566

มินามีเรื่องเล่า พระเจ้าตากสินเข้าตีเมืองจันทบูร Thai-English-French



มินามีเรื่องเล่า พระเจ้าตากสินเข้าตีเมืองจันทบูร Thai-English-French

          สวัสดีครับ วันนี้ขออนุญาตเล่าเรื่อง พระเจ้าตากสินเข้าตีเมืองจันทบูร นะครับ

          ข้อมูลและภาพได้รับอนุเคราะห์จากท่านนาวาโทสราวุฒิ เดชาติวงศ์ ณ อยุธยา ขอขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้ครับ

          เมื่อวันที่ ๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๓๑๐ ในวันนั้น พระเจ้าตากสิน ได้นำเหล่าทหารกล้าเข้าตีเมืองจันทบูร 

พระองค์มีพระประสงค์จะยึดเมืองจันทรบูรเพื่อรวบรวมเสบียงอาหารและกำลังพลเพื่อเข้าตีเอากรุงศรีอยุธยาคืนจากพม่า  โดยทรงใช้กลยุทธ์ทุบหม้อข้าวหม้อแกง เพื่อเป็นการสร้างขวัญกำลังใจในการรบ 

กลยุทธทุบหม้อข้าวหม้อแกง คือ ให้เหล่าทหารกินข้าวให้อิ่มแล้วทุบหม้อข้าวหม้อแกงทั้งหมดให้แตก เพื่อไปกินมื้อต่อไปที่เมืองจันทบูร  หากไม่ชนะก็ตายไปด้วยกัน

          เหตุการณ์วันที่ ๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๓๑๐ นั้น พระเจ้าตากสินทรงช้างพังคีรีบัญชร เข้าพังประตูเมืองจันทบูร ตามฤกษ์ ๓ นาฬิกาของเช้าวันอาทิตย์ แรม ๓ ค่ำ เดือน ๗ ปีกุน นพศกจุลศักราช ๑๑๒๙

          พระเจ้าตากสินและเหล่าทหารกล้า  สามารถยึดเมืองจันทบูรได้ตรงกับวันอาทิตย์ที่  ๑๕  มิถุนายน  พ.ศ. ๒๓๑๐ นับจากปีนี้ พ.ศ. ๒๕๖๖ จึงนับได้ว่าเป็นเวลา ๒๕๖ ปีมาแล้ว

          ด้วยจิตคารวะ  ดวงพระวิญญาณพระมหากษัตริยาธิราชเจ้าและเหล่าบรรพบุรุษผู้หลั่งเลือดแลกชีวิตเพื่อปกป้องแผ่นดินไทยไว้ให้ชนรุ่นหลังได้อาศัย ปวงข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้

**************** 

Mina’s Stories : Seizing Chanthaboon City by King Taksin the Great.

          Today, I would like to tell you about the event of seizing Chanthaboon City by King Taksin the Great.

          I would like to thank CDR. Sarawut Dechatiwong Na Ayutthaya for the story and the photos.

          On June 14, 1767, King Taksin the Great led his troops to fight the soldiers of Chanthaboon City. King Taksin wanted to use Chanthaboon as a place to assemble people and prepare food supplies for the troops to fight with the enemy who had already seized Ayutthaya.

          King Taksin knew that seizing Chanthaboon was a hard work as the governor and his soldiers protected strongly the city. So, King Taksin used the strategy of Smashing the pots to win the battle.

          He ordered his soldiers to eat food and then smash the utensils. Tomorrow we will have our meal in the city., said the King, If we could not enter the city, let’s die together.

          On June 15, 1767, at 3 o’clock in the morning, King Taksin rode on an elephant called Phang Kiri Bunchon and fought fiercely with the Chanthaboon troops. He finally managed to enter the city.

          From that day to the present time, it has been 256 years of our pride. We are so grateful to our kings and our ancestors who protected us against all dangers.

****************

Mina raconte : La prise de Chathaboon par le roi Taksin le Grand

          Aujourd'hui, je voudrais vous parler de l'événement de la prise de la ville de Chanthaboon par le roi Taksin le Grand.

          Je tiens à remercier le CDR. Sarawut Dechatiwong Na Ayutthaya pour l'histoire et les photos.

          Le 14 juin 1767, le roi Taksin le Grand a mené ses troupes pour combattre les soldats de la ville de Chanthaboon.

          Le roi Taksin voulait utiliser Chanthaboon comme lieu de rassemblement des gens et de préparation de nourritures pour les combats avec les ennemis qui s'étaient déjà emparé d'Ayutthaya.

          Le roi Taksin savait que s'emparer de Chanthaboon était un travail difficile car le gouverneur et ses soldats protégeaient fortement la ville. Ainsi, le roi Taksin a-t-il utilisé la stratégie de "briser les pots" pour gagner la bataille.

          Il a ordonné à ses soldats de manger de la nourriture, puis de briser les ustensiles.

          "Demain, nous prendrons notre repas en ville", dit le roi, "Si nous ne pouvions pas entrer dans la ville, mourons ensemble."

          Le 15 juin 1767, à 3 heures du matin, le roi Taksin a monté sur un éléphant appelé "Phang Kiri Bunchon" et a combattu les troupes de Chanthaboon. Il a finalement réussi à entrer dans la ville.

          Depuis ce jour-là jusqu'à aujourd'hui, cela fait 256 ans de notre fierté. Nous sommes très reconnaissants envers nos rois et nos ancêtres qui nous ont protégés contre tous les dangers.

*****************************


วันพุธ, มิถุนายน 14, 2566

มินามีเรื่องเล่า พิพิธภัณฑ์สึนามิที่เขาหลัก







มินามีเรื่องเล่า พิพิธภัณฑ์สึนามิที่เขาหลัก

เมื่อวันที่ ๑๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๖ พวกเราชาว สว. ได้มีโอกาสไปแวะเยี่ยมพิพิธภัณฑ์ International Tsunami Museum ที่เขาหลัก จังหวัดพังงา


มูลนิธิแห่งนี้ มีคุณรัชนีกร ทองทิพย์ (Ratchaneekorn Thongthip) เป็นผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์

พิพิธภัณฑ์แห่งนี้จัดแสดงภาพถ่ายและวิดีโอที่แสดงภัยพิบัติของสึนามิ ที่เขาหลัก 


ภัยพิบัติสึนามิเกิดขึ้นในประเทศไทยเมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ นะครับ 

ภายนอกพิพิธภัณฑ์ เราจะเห็นเรือตำรวจ ต. ๘๐๓ เกยตื้นด้วยฤทธิ์เดชของเจ้าสึนามินี้นะครับ

สึนามิหรือซึนามิ” (Tsunami) หมายถึง คลื่นที่มีช่างคลื่นยาว ๘๐ ถึง ๒๐๐ กิโลเมตร เกิดจากความสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว หรือแผ่นดินถล่ม หรือภูเขาไฟระเบิดที่พื้นท้องสมุทร 


คลื่นเคลื่อนที่ข้ามมหาสมุทรห่างจากตำบลที่เกิดหลายพันกิโลเมตรโดยสูงเพียง ๓๐ เซนติเมตรในท้องทะเลเปิด แต่มีความเร็ว ๖๐๐-๑,๐๐๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง เร็วใกล้เคียงเครื่องบินโดยสารที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน


เมื่อคลื่นพุ่งผ่านเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ จะทำให้เรือโคลง มีเสียงคล้ายเสียงปืนใหญ่ติดตามมา แต่เรือประมงหรือเรือเล็กที่กินน้ำตื้น คนบนเรืออาจไม่รู้สึก 


เมื่อเข้าสู่ที่ตื้น ความสูงของคลื่นเพิ่มอย่างรวดเร็ว กลายเป็น ๑๕ เมตร และในบางพื้นที่สภาพภูมิศาสตร์เป็นช่องแคบหรืออ่าวรูปตัว V มวลน้ำบีบอัดอาจทำให้คลื่นยกตัวสูงขึ้นกลายเป็น ๒๐-๓๐ เมตร กวาดเข้าสู่ชายฝั่งอย่างรุนแรงทำให้เกิดความเสียหายมหาศาล 


คลื่นสึนามิเกี่ยวข้องกับแผ่นดินไหวแบบแยกกันไม่ออก แผ่นดินไหวเกิดจากการเคลื่อนตัวของเปลือกโลก ทำให้เกิดการเลื่อนของมวลหิน ก่อเกิดเป็นแรงสั่นสะเทือนวัดเป็นมาตราริกเตอร์ (Richter)


แรงของแผ่นดินไหวจากระดับหนึ่งไปอีกระดับหนึ่งจะเป็นการเพิ่มแบบทวีคูณ แผ่นดินไหวในระดับ ๕ ริกเตอร์จะแรงเทียบเท่ากับระเบิดปรมาณูที่ทิ้งลงเมืองฮิโรชิมาและเมืองนางาซากิ ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒


แผ่นดินไหวเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นประจำ แต่เกือบทั้งหมดเป็นแผ่นดินไหวขนาดที่เราไม่ค่อยได้รู้สึกกัน

การเกิดแผ่นดินไหวทุกครั้งไม่จำเป็นต้องเกิดคลื่นสึนามิเสมอไป ต้องขึ้นกับปัจจัยหลายอย่างประกอบกัน เช่น แผ่นดินไหวในทะเล แผ่นเปลือกโลกยกตัวในรูปแบบที่ทำให้เกิดคลื่น และอื่น ๆ เป็นต้น


ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ได้รับผลจากสึนามิบ่อยครั้ง จนคำว่า “Tsunami” เป็นชื่อคลื่นที่ตั้งโดยคนญี่ปุ่น

คลื่นสึนามิครั้งร้ายแรงเกิดในปี พ.ศ. ๒๔๓๙ มีผู้เสียชีวิตกว่า ๒๐,๐๐๐ คน


อินโดนีเซียเป็นอีกประเทศหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากคลื่นยักษ์ โดยเฉพาะครั้งที่ภูเขาไฟกรากะตัวระเบิดในปีค.ศ. ๑๘๘๓ มีรายงานว่า สึนามิคร่าชีวิตผู้คนมากกว่า ๓๖,๐๐๐ คน 


กลางเดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๒๖ เกิดแผ่นดินไหวใต้น้ำ ก่อให้เกิดคลื่นสึนามิพุ่งเข้าใส่ชายฝั่งปาปัวนิวกินี มีผู้เสียชีวิตมากกว่า ๓,๐๐๐ คน 


ในประเทศไทยนั้นเกิดขึ้นสึนามิเมื่อประมาณวันที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ 


ความรุนแรงของคลื่นสึนามิสามารถอธิบายได้ง่าย ๆ นะครับว่า 

จากจุดที่เกิดแผ่นดินไหว มีการขยับตัวของเปลือกโลก ทำให้เกิดคลื่นสึนามิ ในระหว่างที่คลื่นพัดผ่านทะเลเปิด ความลึกของพื่นทะเลมีมากกว่าความสูงของคลื่น คลื่นจึงยกตัวเพียงเล็กน้อย 

 

แต่เมื่อคลื่นสึนามิเข้าใกล้ชายฝั่ง ความลึกของพื้นทะเลลดลง คลื่นเริ่มยกตัวสูงขึ้นจนม้วนตัวเข้าสู่แผ่นดิน ก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและสิ่งปลูกสร้าง ตลอดจนแนวปะการังและธรรมชาติที่งดงามต่าง ๆ นะครับ




On May 26, 2023, we visited the International Tsunami Museum, Khao Lak, Phang-Nga. Khun Ratchaneekorn Thongthip, director of the museum, kindly explained to us about the history of the museum. 


The International Tsunami Museum is dedicated to preserving the tragic story caused by the devastating Tsunami on May 26, 2024. Photos and videos of Khao Lak’s tsunami are shown in the museum while, outside the museum, a real stranded police boat is  clearly evident of this greatest calamity.

***** 

Le 26 mai 2023, nous avons visité le Musée international des tsunamis situé dans le district de  Khao Lak, la province de Phang-Nga. 


Mme Ratchaneekorn Thongthip, directrice du musée, nous a chaleureusement accueilli. Elle nous a expliqué l'histoire du musée. 

L'International Tsunami Museum se consacre à la préservation de l'histoire tragique causée par le tsunami dévastateur du 26 mai 2024. Des photos et des vidéos du tsunami de Khao Lak sont présentées dans le musée tandis qu'à l'extérieur du musée, un bateau de police emporté sur la terre par ce gigantesque tsunami en témoigne sa violence.

*********************************** 






วันอังคาร, มิถุนายน 13, 2566

มินามีเรื่องเล่า นกหัสดีลิงค์



ที่มาของภาพ https://th.wikipedia.org/wiki/:Phrae_Wat_Phra_That_Suthon_Mongkhon_Khiri_03.jpg

มินามีเรื่องเล่า นกหัสดีลิงค์

สวัสดีครับ ผมได้เคยเขียนถึงสัตว์หิมพานต์ ๓๖ ตัวมาแล้ว และหนึ่งในนั้นมีนกหัสดีลิงค์ ซึ่งเป็นนกที่มีตัวเป็นนก มีหัวเป็นช้าง หรืออาจมีหัวเป็นคชสีห์ มีงวงมีงาแบบช้าง หรือมีหัวเป็นนก มีจะงอยปากเป็นงวงช้าง มีปีกและหางเป็นนก บางที่เรียกว่า นกหัสดิน

วันนี้ขอเล่าตำนานเรื่องนกหัสดีลิงค์ นะครับ

สถานที่และตัวละครสำคัญ ก็คือ เมืองตักศิลา นกหัสดีลิงค์ พระยาตักศิลา พระอินทร์ นางสุชาดา นางสีดา

เรื่องราวเป็นอย่างไร มาดูกันครับ                                                              

ครั้งหนึ่ง มีเมืองชื่อว่า ตักศิลา มีพระยาตักศิลาและพระมเหสีครองเมือง พระยาตักศิลามีพระสนมจำนวนหนึ่งแสนคน แต่พระองค์ไม่มีพระโอรสหรือพระธิดาเพื่อสืบทอดราชบัลลังก์

พระองค์ทรงวิตกกังวลเรื่องนี้มาก ทรงเรียกพระมเหสีและพระสนมมาเข้าเฝ้า และทรงมีพระบรมราชโองการให้พระมเหสีและพระสนม รักษาศีล ๕ และศีล ๘ และสวดอ้อนวอนต่อพระอินทร์และเทวดาทั้งหลายเพื่อขอพระโอรสหรือพระธิดา

พระมเหสีและพระสนมต่างปฏิบัติบูชารักษาศีลตามที่พระยาตักศิลาทรงมีพระราชบัญชา

          พระมเหสีได้รักษาศีลและสวดอ้อนวอนต่อพระอินทร์ ทำให้พระอาสน์ของพระอินทร์ที่เคยอ่อนนุ่มกลับแข็งกระด้าง

          พระอินทร์ได้ยินคำสวดอ้อนวอน จึงเสด็จลงมายังโลกมนุษย์เพื่อดูว่ามีเหตุการณ์ใดที่ทำให้พระอาสน์ของพระองค์แข็งกระด้าง 

          ช่วงเวลานั้นมีนกหัสดีลิงค์ตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์ เจ้านกหัสดีลิงค์ตัวนี้ชอบบินมาสร้างความเดือดร้อนต่อมนุษย์และสัตว์โลก

          พระอินทร์ได้ขอให้พระมเหสีของพระองค์ชื่อ นางสุชาดา ลงมาจากสวรรค์และมาประสูติในครรภ์ของพระมเหสีของพระยาตักศิลา เพื่อจะได้ปราบนกหัสดีลิงค์ที่คอยเข็นฆ่ามนุษย์และสัตว์โลก และสร้างความเดือดร้อนมากมายในโลกมนุษย์

พระนางสุชาดา ทูลตอบพระสวามี

พระองค์ขอร้องให้หม่อมฉันไปเกิดในโลกมนุษย์และให้ไปปราบนกหัสดีลิงค์ แต่หม่อมฉันจะทำได้อย่างไรเพค่ะ

พระอินทร์ตรัสตอบพระมเหสี

“เมื่อพระน้องนางได้ไปเกิดในโลกมนุษย์ และเมื่อใดที่จะต่อสู้กับนกหัสดีลิงค์ ขอให้พระน้องนางสวดมนต์ขอพรต่อเสด็จพี่ แล้วเสด็จพี่จะส่งคันศรและธนูไปให้กับพระน้องนาง

          หลังจากนั้น นางสุชาดาไปจุติในครรภ์ของพระมเหสีของพระยาตักศิลา

          ก่อนที่จะมีประสูติกาลนั้น พระมเหสีทรงสุบินว่า มีแก้วมณีสีเหลืองอร่ามลอยมากลางอากาศ และลอยเข้าไปในพระโอษฐ์ พระนางกลืนแก้วมณีทองนั้นนั้นเข้าไปในท้องของพระนาง เมื่อพระนางหาวออกมา มีแสงสีทองสว่างไสวสาดส่องจากพระโอษฐ์สว่างไสวไปทั่วจักรวาล และต่อมาแสงสีทองนั้นจางหายไป ในพระสุบินนั้น พระมเหสีทรงเสียพระทัยที่แก้วมณีนั้นหายไป ทรงสะดุ้งตื่น

วันรุ่งขึ้น พระนางได้กราบทูลเล่าความฝันให้พระราชสามีทราบ พระยาตักศิลามีรับสั่งให้ตามตัวราชปุโรหิตมาโดยทันที เมื่อราชปุโรหิตมาถึง ยกมือถวายบังคม และกราบทูลถามพระยาตักศิลา  

ขอเดชะ พระองค์มีรับสั่งให้ตามตัวหม่อมฉันด้วยเหตุอันใดพ่ะย่ะค่ะ เกิดอะไรขึ้นพ่ะย่ะค่ะ

พระยาตักศิลาตรัสตอบ

ช่วงรุ่งสาง พระมเหสีทรงสุบินว่ามีแก้วมณีสีเหลืองอร่ามปรากฏขึ้นกลางอากาศและลอยเข้าไปในพระโอษฐ์ของพระนาง พระมเหสีได้กลืนแก้วมณีนั้นเข้าไป มีแสงสว่างไปทั่วโลก ท่านราชปุโรหิตทำนายความฝันให้เราทราบด้วยพระยาตักศิลามักจะให้ราชปุโรหิตทำนายเหตุการณ์ให้พระองค์ทราบเป็นประจำ

ราชปุโลหิตพิเคราะห์ความฝัน ได้กราบทูลพระยาตักศิลา

จากพระสุบินของพระราชินีนั้น พระนางจะมีประสูติกาลพระธิดาผู้มีบุญบารมีสูงส่ง และเมื่อพระธิดามีพระชนมายุได้ ๑๕ พระชันษา พระธิดาจะมีโชค ประสบความสุข และจะได้กลับคืนไปสู่สวรรค์ ถ้าคำทำนายของข้าพระองค์ผิดพลาดโปรดพระราชทานอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ

ต่อมาพระราชินีทรงครรภ์ได้ ๙ เดือน ทรงมีประสูติกาลพระราชธิดาผู้ทรงสิริโฉมงดงาม พระราชบิดา พระราชมารดาและพสกนิกรต่างรักใคร่พระราชธิดาพระองค์นี้เป็นอย่างมาก หนึ่งปีต่อมาพระยาตักศิลาพระราชทานนามให้พระราชธิดาว่า สีดา

ในช่วงเวลา ๑๕ ปีนั้น กล่าวกันว่า นกหัสดีลิงค์บินไปมา เข่นฆ่าผู้คนและสัตว์จำนวนมาก โดยเฉพาะในเมืองตักศิลา

นกหัสดีลิงค์เป็นนกตัวใหญ่ มีงาและงวงเหมือนช้าง บรรดาชาวเมืองตักศิลาได้รับความเดือดร้อน ต่างรีบไปกราบทูลพระยาตักศิลา

ขอเดชะ นกใหญ่หัสดีลิงค์บินไปมาและกินมนุษย์และสัตว์จำนวนมาก ตอนนี้เหลือแต่พวกข้าพระองค์ พวกข้าพระองค์มากราบทูลขอให้พระองค์ช่วยเหลือพ่ะย่ะค่ะ

พระยาตักศิลาทรงวิตกกังวล ทรงมีพระบรมราชโองการเรียกประชุมเสนาอามาตย์ และทรงมีรับสั่งให้ตีฆ้องร้องป่าวไปทุกแห่งว่า พระยาตักศิลาจะมอบราชสมบัติครึ่งหนึ่งให้กับผู้ที่สามารถฆ่านกหัสดีลิงค์ได้  

บรรดาเสนาอำมาตย์ได้ตีฆ้องร้องป่าวไปทั่วหล้า แต่ไม่มีใครอาสาไปสังหารนกหัสดีลิงค์ พระยาตักศิลาทรงเศร้าพระราชหฤทัย

พระราชธิดาสีดาเห็นเช่นนั้นจึงกราบบังคมทูลและถามพระราชบิดา

พระราชบิดาไม่สบายพระราชหฤทัยด้วยเรื่องใด ทำไมพระราชบิดาจึงทรงเศร้าพระทัยมากเพค่ะ

 ลูกรัก พ่อเศร้าใจเพราะไพร่ฟ้าประชาชนมาขอให้พ่อช่วยพวกเขา มีนกหัสดีลิงค์ตัวใหญ่มหึมา มันมีงวงและงาเหมือนช้าง มันมากินมนุษย์และสัตว์จำนวนมาก ไม่มีใครอาสาไปฆ่านกหัสดีลิงค์ตัวนี้ 

พระราชธิดาสีดากราบทูลพระบิดา

ขอพระราชบิดาอย่าได้ทุกข์ใจและวิตกวิตกกังวลเลยเพค่ะ ลูกจะไปสังหารเจ้านกหัสดีลิงค์นี้ พระราชบิดาจะได้มีความสุขและพ้นจากความกังวลเพค่ะ

เมื่อได้ฟังพระราชธิดากล่าวเช่นนี้พระยาตักศิลาทรงมีพระทัยยินดีเป็นอย่างยิ่ง

เจ็ดวันต่อมา นกหัสดีลิงค์บินมายังลานใจกลางเมืองตักศิลา บรรดาผู้คนต่างเกรงกลัวเจ้านกยักษ์แห่งป่าหิมพานต์ตัวนี้ ต่างรีบพากันไปกราบทูลพระยาตักศิลา

“ขอเดชะ ตอนนี้เจ้านกหัสดีลิงค์บินมายังลานใจกลางเมือง พวกเกล้ากระหม่อมกลัวมาก ขอหลบภัยอยู่ใกล้พระองค์พ่ะย่ะค่ะ

เมื่อทราบเช่นนั้นพระยาตักศิลามีรับสั่งให้มหาดเล็กไปตามพระราชธิดาสีดา เมื่อพระราชธิดามาถึงพระยาตักศิลาตรัสกับพระราชธิดา

ลูกรัก เจ้านกหัสดีลิงค์บินมายังลานใจกลางเมือง ลูกไปสังหารมันได้ไหม

พระราชธิดาสีดาก้มกราบพระยาตักศิลา และกราบทูลต่อพระราชบิดา

นกหัสดีลิงค์นั้นมีพลังมาก ลูกจะสู้กับมันเพค่ะ แต่ลูกต้องเตรียมการต่อสู้เพื่อเอาชนะมันให้ได้

พระยาตักศิลาตรัสตอบ

ลูกเตรียมตัวตามที่ลูกปรารถนา จัดหาอาวุธยุทธภัณธ์ตามที่ลูกต้องการได้เลย 

พระราชธิดาสีดาทูลตอบพระราชบิดา

ลูกขอเครื่องประดับ ๕ อย่างจากพระราชบิดาเพค่ะ และขอเสนาบดีของพระองค์จำนวน ๔- คน รวมทั้งทหารพร้อมออกอาวุธ หอก ดาบ ปืน และเครื่องแต่งกายใหม่ ๆ รวมทั้งตะกร้าดอกไม้ ๒ ใบโดยมีการจัดเรียงดอกไม้ซ้อนกันเป็น ๗ ชั้น และเมื่อลูกจะไปต่อสู้นั้นขอให้พ่อพราหมณ์มาสวดมนต์พร้อมและถวายข้าวของบูชา

พระยาตักศิลามีรับสั่งให้พระราชินีและเสนาอำมาตย์ไปสวดมนต์อ้อนวอนต่อพระอินทร์เพื่อขอพระราชทานคันศรและธนู

เมื่อทุกคนร่วมสวดมนต์ ปรากฏว่าพระอาสน์ของพระอินทร์แข็งกระด้าง พระอินทร์เสด็จลงมาที่โลกมนุษย์และเห็นว่าพระราชธิดาสีดากำลังจะไปต่อสู้กับนกหัสดีลิงค์ พระองค์จึงประทานคันศรและธนูให้พระนางพร้อมตรัสอวยพรให้พระราชธิดาสีดาได้รับชัยชนะและกลับคืนไปสู่สวรรค์

พระราชธิดาสีดาจัดเตรียมยุทโธปกรณ์ พระยาตักศิลามีรับสั่งให้ให้พราหมณ์สวดมนต์และทำการบูชาเทพ โดยมีเสนามาตย์รวมทั้งหล่าทหารที่มีหอกดาบและปืนร่วมไปต่อสู้กับนกหัสดีลิงค์

เมื่อเห็นพระราชธิดาสีดามาพร้อมเหล่าทหาร เจ้านกหัสดีลิงค์มีจิตใจร่าเริง และพูดกับตัวเอง

ฉันจะมีมนุษย์ให้กินเป็นจำนวนมากแล้ว

นกหัสดีลิงค์กระพือปีกบินมาที่ลานใจกลางเมือง ส่งเสียงร้องคำราม อ้าปากพร้อมจะไล่กลืนกินมนุษย์ทุกคน พระราชธิดาสีดาถือคันธนูพร้อมคันศรเล็งไปที่นก ยิงไปที่หน้าอกของนกหัสดีลิงค์ ปรากฏว่าเจ้านกยักษ์ร่วงตกลงมาตาย

ชาวเมืองต่างร้องโห่ฉลองชัย ต่างมีความสุข ขบวนเสด็จของพระยาตักศิลามุ่งหน้ากลับคืนสู่พระนคร

เมื่อถึงพระนคร พระยาตักศิลาและเสนาอามาตย์ต่างชื่นชมยินดีในการต่อสู้ของพระราชธิดาสีดา และพระยาตักศิลาทรงพระราชทานราชอาณาจักรเครื่องหนึ่งให้พระราชธิดาสีดาครอบครอง

พระราชธิดาสีดาครองเมืองตักศิลาเป็นเวลา ๒ ปี หลังจากนั้นก็เสด็จขึ้นสู่สวรรค์กลับไปเป็นพระมเหสีของพระอินทร์ต่อไป

เป็นอย่างไรบ้างครับ น่าสนใจนะครับ


วันจันทร์, มิถุนายน 12, 2566

มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ตอนหลวงรักษาราชทรัพย์ (รักษ์ เอกะวิภาต)


มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ตอนหลวงรักษาราชทรัพย์ (รักษ์ เอกะวิภาต)

          สวัสดีครับ วันนี้ขออนุญาตเล่าความเป็นมาว่าทำไมต้องเขียนเรื่องของกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์นะครับ ไม่มีอะไรเป็นเหตุบังเอิญนะครับ

ผมไม่ค่อยคิดถึงความบังเอิญ แต่ค่อนข้างเชื่อมั่นในเรื่องฟ้าดินกำหนด ทำไมถึงเชื่อเช่นนี้ครับ ขออนุญาตเล่าที่มาของการเขียนเรื่องของกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ให้ฟังนะครับ

เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า พวกเราชาวเกษียณชน ๕ คน เป็นเพื่อนเรียนด้วยกันมาที่มหาวิทยาลัยศิลปากร เมื่อเกษียณอายุราชการแล้ว ได้พบกันบ่อยขึ้น คราวนี้เพื่อน ๆ ได้จัดทำโครงการเดินทางไปกราบคารวะอาจารย์ที่อำเภอท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี และได้เดินทางไปเยี่ยมพี่น้องผองเพื่อนที่พังงาและกระบี่ พูดง่าย ๆ คือโครงการเที่ยวนะครับ ผมโชคดีที่ได้รับเชิญให้ร่วมเดินทางไปด้วย

เรื่องการเดินทางเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องของกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์

ขอรวบรัดตัดตอนว่า วันที่ ๑๘ พฤษภาคม พวกเราออกเดินทางจากกระบี่โดยมีกำหนดการมาพักที่จังหวัดชุมพร แน่นอน เราต้องมากราบกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ที่ศาลของพระองค์ ณ หาดทรายรี

พวกเรามาถึงที่หาดทรายรีตอนย่ำค่ำ หารีสอร์ทพัก ในใจพากันคิดว่าศาลของพระองค์ท่านคงปิดแล้ว แต่เจ้าของรีสอร์ทบอกว่า ยังไม่ปิด ให้เดินทางไปได้ ตอนนี้ทหารเรือกำลังจัดเตรียมพิธีฉลองครบรอบร้อยปีของท่านเสด็จเตี่ยอยู่

          ไม่รอช้า พวกเรารีบไปที่ศาลฯ ทันที

          ก่อนถึงศาลของเสด็จเตี่ย มีวัดชื่อวัดเขตอุดมศักดิ์ กำลังจัดงานบุญ พวกเรายังไม่ได้เข้าไปในวัด แต่เลยไปที่ศาลกรมหลวงชุมพรฯ ที่นั้น บรรดาทหารเรือและผู้ที่เกี่ยวข้องกำลังยุ่งอยู่กับการจัดเตรียมการสำหรับทำพิธีน้อมรำลึกถึงการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ท่านในวันพรุ่งนี้ วันที่ ๑๙ พฤษภาคม ซึ่งถือว่าเป็นวันกองทัพเรือไทย

          พวกเราไม่รอช้า รีบเข้าไปกราบบูชาศาลของพระองค์ท่าน ผมสังเกตว่า เพื่อนหญิงของผมคนหนึ่ง ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมในการเดินทาง และเป็นเจ้าของรถและขับรถให้พวกเราตลอดเส้นทาง แสดงความเคารพศรัทธาต่อกรมหลวงชุมพรฯ มาก

ขณะที่พวกเรากำลังกราบไหว้บูชาเสด็จเตี่ย กรมหลวงชุมพรฯ และถ่ายรูปกัน เพื่อนของเราคือ คุณครูรัชภรณ์ (แหม่ม) กราบไหว้บูชาเสด็จในกรมฯ และได้แยกไปทำพิธีและจุดประทัดตามลำพัง เมื่อกลับมาหาพวกเรา เธอบอกกับพวกเราว่า ดีใจที่สุดที่ได้มีโอกาสมากราบเคารพศาลกรมหลวงชุมพรฯ

“ปู่ของแหม่มเคยรับราชการใกล้ชิดกับพระองค์ท่าน นับเป็นบุญกุศลของแหม่มที่ได้มีโอกาสมาร่วมงานพิธีนี้”

          วันรุ่งขึ้น ๑๙ พฤษภาคม พวกเรากำลังจะเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ นับว่ามีวาสนาที่พวกเราได้มีโอกาสพบนายทหารเรือท่านหนึ่ง ท่านเชิญให้พวกเราเข้าร่วมพิธีบวงสรวงศาลกรมหลวงชุมพรฯ พวกเราจึงได้ไปเข้าร่วมพิธี

          ได้เวลาสมควร พวกเราขอเดินทางกลับก่อน ระหว่างที่ขับรถกับกรุงเทพฯ เพื่อนครูรัชภรณ์ (แหม่ม) ได้เล่าให้พวกเราฟังว่า คุณปู่ของเธอ คือหลวงรักษาราชทรัพย์ (รักษ์ เอกะวิภาต) ท่านได้มีโอกาสรับใช้เสด็จในกรมฯ พวกเรารู้สึกตื่นเต้นและสนใจเรื่องราว เพื่อนแหม่มบอกว่าจะพยายามหาเรื่องราวของท่านมาให้พวกเราได้รับทราบ

          เมื่อกลับมาถึงบ้านกันแล้ว เพื่อนแหม่มได้ส่งรูปภาพและเรื่องของท่านหลวงรักษาราชทรัพย์มาทางไลน

          พอดี ผมได้อ่านหนังสือเรื่อง “ให้โลกทั้งหลายเขาลือ เสด็จเตี่ย “กรมหลวงชุมพรฯ” แต่งโดยท่านศรัณย์ ทองปาน ท่านได้กล่าวถึงหลวงรักษาราชทรัพย์ ผมจึงขออนุญาตนำข้อความจากหนังสือของท่านศรัณย์ ทองปาน มาถ่ายทอดให้ทุกท่านทราบครับ

          ด้วยวัยเกือบ ๗๐ ปี นาวาตรี หลวงรักษาราชทรัพย์ (รักษ์ เอกะวิภาต, ๒๔๒๖-เดือนธันวาคม ๒๔๙๘) อดีตนายทหารการเงินของกองทัพเรือซึ่งเคยมีโอกาสรับใช้ใกล้ชิดกรมหลวงชุมพรฯ เริ่มเขียนจดหมายเล่าเรื่องเสด็จในกรมฯ ตามที่ทานเคยรับรู้ส่งมาให้ ซึ่งบรรณาธิการได้ทยอยตีพิมพ์เผยแพร่ผ่านหน้ากระดาษของนาวิกศาสตร์

          เกือบ ๔๐ ปีให้หลังจากที่กรมหลวงชุมพรฯ เคยทรงมีบทความลงพิมพ์ใน นาวิกศาสตร์ ตั้งแต่ฉบับแรกสุดในปี ๒๔๖๐ นี่คือการแปรรูป “เรื่องเล่า” และ “ความทรงจำ” เกี่ยวกับเสด็จในกรมฯ ให้เป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อส่งต่อให้แก่คนรุ่นหลังในวงกว้างผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ อันถือเป็นปรากฏการณ์สำคัญยิ่งในการประกอบสร้างพระประวัติของ “เสด็จเตี่ยกรมหลวงชุมพรฯ”

          ในจดหมายเหล่านั้น หลวงรักษาราชทรัพย์เรียกขานพระองค์ว่า “เจ้าพ่อ” ทุกคำ

          ในหนังสือ “ให้โลกทั้งหลายเขาลือ เสด็จเตี่ย “กรมหลวงชุมพรฯ” ท่านศรัณย์ ทองปาน ได้ถ่ายทอดเรื่องเล่าของหลวงรักษาราชทรัพย์ (รักษ์ เอกะวิภาต) ตอนที่กรมหลวงชุมพรฯ ได้พบกับหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จังหวัดชัยนาท มีใจความดังนี้ครับ

          “...ต่อมาเดือน ๕ หน้าร้อน เจ้าพ่อเสด็จประพาสตากอากาศไปทางเหนือ มีเรือกลไฟ ๑ ลำ จูงเรือพระประเทียบที่ประทับ ได้ไปจอดหุงข้าวต้มแกงที่ศาลาวัดมะขามเฒ่า ในวันนั้นบังเอิญท่านอาจารย์วัดมะขามเฒ่าใช้เด็กวัดไปตัดหญ้าที่ดงต้นกล้วย ๆ ที่ออกปลีที่แก่แล้วมี ๗-๘ ต้น เด็กวัดก็ตัดหัวปลีกล้วยมากองไว้ พอตกเวลาบ่ายท่านอาจารย์ก็ลงมาจากกุฏิดูเด็กที่ตัดกล้วยแล้วไปนั่งอยู่ที่กองหัวปลีกล้วย ท่านเอาหัวปลีที่กองอยู่นั้นมาลูบ ๆ คลำ ๆ สักครู่หนึ่งก็วางหัวปลีลงที่ดิน หัวปลีนั้นก็กลายเป็นกระต่ายวิ่งเพ่นพ่านไปหมด เจ้าพ่อเห็นเข้าก็เรียกคนในเรือให้มองดู อีกสักครู่หนึ่งท่นก็เรียกกระต่ายที่วิ่งอยู่นั้นาที่ท่าน ๆ ก็จับกระต่าย ๆ ก็กลับกลายเป็นหัวปลีไปอย่างเดิม เมื่อเจ้าพ่อเห็นดังนั้นก็เลื่อมใสนับถือท่านอาจารย์วัดมะขามเฒ่าทันที แล้วเจ้าพ่อก็เสด็จขึ้นไปหาอาจารย์ที่ดงต้นกล้วย พร้อมด้วยบริวาร ๓ คน...คุยกันสักครู่ใหญ่ท่านอาจารย์ก็เชิญขึ้นไปคุยกันที่กุฏิ คุยกันไปคุยกันมา เจ้าพ่อก็พอพระทัย ประมาณ ๔-๕ ทุ่มจึงได้เสด็จกลับลงมาประทับเรือ ทางฝ่ายท่านอาจารย์ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นใคร รุ่งขึ้นจึงให้คนไปสืบถามพวกที่มากับเจ้าพ่อ จึงได้รู้ความว่านี่แหละพระองค์เจ้าอาภากร ลูกในหลวงรัชกาลที่ ๕ เมื่อท่านอาจารย์ทราบดังนั้นก็พอใจมาก...”

          นอกจากตอนที่กรมหลวงชุมพรฯ ได้พบกับหลวงปู่ศุขแล้ว หลวงรักษาราชทรัพย์ ยังบันทึกเหตุการณ์ช่วงที่สยามเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ ๑ ครั้งนั้นเสด็จในกรมฯ กลับเข้ามารับราชการ โดยเสด็จมายังกระทรวงทหารเรือเพื่อรายงานตัวในฐานะ “นายทหารกองหนุน ไม่มีเบี้ยหวัด”

หลวงรักษาราชทรัพย์ ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ เล่าว่า

“พอถึงเวลาย่ำรุ่ง ยังไม่สว่างดี เห็นเรือกลไฟลำหนึ่งแล่นตรงมาที่โป๊ะที่ ๑ ต่างคนต่างมองดู พอถึงโป๊ะที่ ๑ เสด็จในกรมฯ ก็เสด็จขึ้น ทรงฉลองพระองค์แต่งทหาร สวมเสื้อกางเกงสีกากี คาดกระบี่ยาว ทหารที่อยู่ในที่นั้นร้องเสียงดังลั่นว่า เจ้าพ่อเสด็จมาช่วยแล้ว ๆ...”


ต่อมาพระองค์ท่านได้กลับเข้ารับราชการในกระทรวงทหารเรืออีกครั้งหนึ่ง

ท่านศรัณย์ ทองปาน ให้ข้อมูลเกี่ยวกับหลวงรักษาราชทรัพย์ไว้ว่า

          สองปีต่อมา ในเดือนธันวาคม ๒๔๙๘ หลวงรักษาราชทรัพย์ถึงแก่กรรม สิริอายุได้ ๗๒ ปี

          หลวงรักษาราชทรัพย์ (รักษ์ เอกะวิภาต) ท่านได้เขียนหนังสือเล่าเรื่องเกร็ดพระประวัติของเสด็จในกรมฯ ฉบับหลวงรักษาราชทรัพย์ ซึ่งท่านศรัณย์ ทองปาน เข้าใจว่าคงจะพิมพ์รวมเล่มครั้งแรกเป็นอนุศรณ์งานพระราชทานเพลิงศพของหลวงรักษาราชทรัพย์เมื่อเดือนมีนาคม ๒๔๙๙ โดยใช้ชื่อหน้าปกว่า เกียรติประวัติ กรมหลวงชุมพรเขตร์อุดมศักดิ์ เวทย์มนต์ ตำรายาจากคัมภีร์ของ (เจ้าพ่อ)

          ต่อมากองประวัติศาสตร์ กรมยุทธการทหารเรือ นำมารวมพิมพ์ในหนังสือ อนุสรณ์พิธีเปิดกระโจมไฟชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ที่แหลมปู่ตา อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เมื่อปี ๒๕๐๓

          ผมเข้าใจความรู้สึกของเพื่อนครูรัชภรณ์ว่า มีความภาคภูมิใจในบรรพบุรุษของเพื่อนเพียงใด คุณปู่ของเพื่อนได้มีโอกาสรับใช้เสด็จในกรมฯ และถ่ายทอดเรื่องราวของพระองค์ท่านให้อนุชนรุ่นหลังได้รับทราบ นับว่ามีประโยชน์ต่อสาธารณชน

ผมหวังว่าจะได้มีโอกาสอ่านงานของท่านสักวัน และจะได้นำเรื่องราวที่ท่านแต่งไว้มาถ่ายทอดให้ทุกท่านได้ทราบครับ

 

แหล่งข้อมูลประกอบการเล่าเรื่อง

ศรัณย์ ทองปาน.  (๒๕๖๓).  ให้โลกทั้งหลายเขาลือ : “เสด็จเตี่ย” กรมหลวงชุมพรฯ.  นนทบุรี : สารคดี.  


                                                หลานสาวของนาวาตรีหลวงรักษาราชทรัพย์ (รักษ์ เอกะวิภาต)

มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French

  มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French กรมหลวงพิพิธมนตรี (พระพันวัสสาน้อย) เป็นพระอัครมเหสีน้อยของสมเด็จพ...