Chalermkiat Mina

วันเสาร์, กุมภาพันธ์ 11, 2566

มินามีเรื่องเล่า วันทยาหัตถ์


                                                             source: https://patriotoutfitthailand.com/blog/

มินามีเรื่องเล่า วันทยาหัตถ์

            สวัสดีครับ วันนี้มีเกร็ดความรู้จากรายการ télématin ของสถานีโทรทัศน์ช่อง ๒ ฝรั่งเศส เรื่องการทำวันทยาวุธ มาเล่าสู่กันฟังครับ

            การจับมือกันเพื่อทักทายกันเป็นประเพณีที่มีมาตั้งแต่สม้ยกลาง กล่าวคือบรรดาพวกลูกน้องที่ต้องการได้รับการปกป้องจากอัศวินหรือขุนนางจะประกบฝ่ามือเข้าหากันและยื่นออกไปเหมือนการพนมมือ ยื่นไประหว่างเอว เพื่อแสดงความเคารพ ขณะเดียวกันเจ้านายจะยื่นมือทั้งสองมือมาประกบมือของลูกน้อง ประเพณีนี้จึงกลายเป็นการจับมือกัน

            ต่อคำถามที่ว่า ทำไมต้องใช้มือขวาจับมือกัน โดยทั่วไปคนจะถืออาวุธไว้ที่มือขวา ดังนั้นการที่มือขวาไม่ถืออาวุธ แสดงว่าเป็นมิตร และจับมือกันแสดงความเคารพซึ่งกันและกัน

            กริยาท่าทางอีกอย่างหนึ่งที่เกิดสมัยกลาง ได้แก่ การทำความเคารพแบบทหารที่เรียกว่าวันทยาวุธ

วันทยาหัตถ์ เป็นการทำความเคารพกันของทหาร ตำรวจ ลูกเสือ เป็นต้น โดยแต่งเครื่องแบบ สวมหมวก 

ในการทำวันทยาหัตถ์ ทำไมถึงต้องเอกมือขวาแตะที่ปลายคิ้วขวา คำตอบก็อยู่ที่สมัยกลางเหมือนเดิมครับ

กล่าวคือ ในสมัยกลาง บรรดาอัศวินจะต่อสู้กันโดยใส่เสื้อเกราะ ดังนั้นก่อนที่จะขี่ม้าสู้กัน ต่างฝ่ายจะต้องเปิดที่กั้นใบหน้าทำให้มองเห็นว่าใครเป็นคุ่ต่อสู้ และยังเป็นการคารวะกันก่อนต่อสู้ กริยาการเปิดที่กั้นใบหน้าจึงกลายเป็นการทำความเคารพทางทหาร เพื่อให้เกียรติซึ่งกันและกันครับ

วันอาทิตย์, กุมภาพันธ์ 05, 2566

มินามีเรื่องเล่า การรู้เท่าทันโลกของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๔

 

https://sites.google.com/site/kingofth/phra-rach-prawati-phra-mha-ksatriy-mharach-thiy/


มินามีเรื่องเล่า การรู้เท่าทันโลกของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๔

          จากบันทึกของท่านกราฟ ออยเลนบูร์ก (Graf Elenburg) เอกอัครราชทูตปรัสเซียที่ได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปี ค.ศ. ๑๘๖๒ (พ.ศ. ๒๔๐๕) ทำให้พวกเราได้รับรู้ถึงพระอัจริยภาพของพระบาทสมเด็จพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เป็นอย่างดี

          ผมขอนำข้อเขียนของท่านเอกอัครราชทูตกราฟ มาเผยแพร่ครับ

          “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสนพระทัยแสวงหาความรู้และศึกษาประสบการณ์ที่ผ่านมาเป็นการเตรียมพระองค์ตลอดเวลา ระหว่างเวลา ๒๖ ปีที่ทรงครองสมณเพศอยู่นั้น ได้ทรงศึกษาภาษาสันสกฤต ภาษาบาลี ภาษาประเทศเมืองขึ้นเพื่อนบ้าน ตลอดจนภาษาละตินและภาษาอังกฤษ ทรงหาความรู้ด้านดาราศาสตร์และทางด้านฟิสิกส์ และทั้งยังสนพระทัยศึกษาเรื่องศาสนาและปรัชญาทุกแขนงอย่างพากเพียรเท่าที่ความรู้ทางภาษาจะอำนวยให้

          อันดับแรก สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแจกนามบัตรใส่ซองบอบบางให้แขกทุกคน บนนามยัตรมีพระนามอ่านได้ว่า สมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎ ด้านหลังมีลายพระหัตถ์เขียนไว้ว่า “On the 3877 th day of reign, being the 24 th December 1881.

          นอกจากนี้ท่านเอกอัครราชทูตกราฟ ได้บรรยายไว้ว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีความรู้เรื่องประวัติศาสตร์และมีแนวความเห็นส่วนพระองค์ที่สุขุมเกี่ยวกับการติดต่อคมนาคมในโลกอนาคต ทรงกล่าวว่า

          “ในชั้นแรกก็ส่งเรือออกสำรวจดินแดนในซีกโลกที่ตนยังไม่รู้จักก่อน จากนั้นก็มีเรืออื่น ๆ ติดตามออกมาทำการค้าขาย แล้วพวกพ่อค้าก็ตั้งรกรากอยู่ที่นั่นเลย ผลก็คือถ้าไม่ถูกชาวพื้นเมืองใช้กำลังต่อสู้ ก็พยายามเข้าข่มเหงเป็นนายคนพื้นเมือง พูดสั้น ๆ ก็คือการวางตัวผิดและความไม่เข้าใจซึ่งกันและกันทำให้ทั้งสองฝ่ายทำสงครามกัน คนต่างประเทศจะค่อย ๆ ขยายอำนาจของตนในดินแดนใหม่ ๆ มากขึ้น ๆ จนเข้าครองอาณาจักรทั้งหมดในที่สุด เวลานี้แทบจะไม่มีประเทศเหลือให้ล่าเอาเป็นเมืองขึ้นอีกแล้ว จากจากดินแดนทางเกาะทะเลใต้ ประเทศอาเซียล้วนตกอยู่ในสภาพเสียงเปรียบเพราะชาวต่างประเทศไม่นำพาที่จะยึดหลักสิทธิมนุษยชนกับคนแถบนี้ดังเช่นที่ปฏิบัติกันในยุโรป อย่างไรก็ตามเท่าที่สังเกตดูรู้สึกเป็นที่น่ายินดีว่าชาวยุโรปเริ่มเคารพสิทธิมนุษยชนในการติดต่อกับอาเซียมากขึ้นโดยลำดับ”

          นับได้ว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระอัจริยภาพในด้านเหตุการณ์ต่างประเทศ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ศึกษาศาสตร์ต่างๆ อย่างแท้จริง

ข้อมูล

เคลาส เวงค์ และเคลาส โรสเซ็นแบร์ก.  (๒๕๒๐).  เยอรมันมองไทย. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์เคล็ดไทย.

วันเสาร์, มกราคม 28, 2566

มินามีเรื่องเล่า หลวงพ่อองค์ดำชุ่มเย็น กาฬสินธุ์

 


มินามีเรื่องเล่า หลวงพ่อองค์ดำชุ่มเย็น กาฬสินธุ์


สวัสดีครับ วันนี้ท่านอาจารย์หอมหวล บัวระภา กำลังเดินทางไปวัดพระธาตุพนม ท่านได้ส่งรูปภาพหลวงพ่อองค์ดำ หรือหลวงพ่อองค์ดำชุ่มเย็น แห่งวัดกลาง พระอารามหลวง อำเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์ มาให้พวกเราได้กราบไหว้บูชา  ผมจึงขอโอกาสเล่าเรื่องเกี่ยวกับหลวงพ่อองค์ดำนะครับ



หลวงพ่อองค์ดำ หรือหลวงพ่อองค์ดำชุ่มเย็น หรือพระพุทธสัมฤทธิ์นิรโรคันตรายเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองจังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งหล่อขึ้นราวจุลศักราช ๑๗๒ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง ๔๑ เซนติเมตร มีความสูงจากฐานถึงยอดพระเมาลี ๗๕ เซนติเมตร

หลวงพ่อองค์ดำมีพุทธลักษณะที่ถือว่าโดดเด่น เป็นงานช่างที่เก่าแก่มาก ใต้ฐานพระพุทธรูปมีอักษรจารึก ซึ่งเป็นอักษรธรรม บ้างก็ว่าเป็นอักษรสมัยหลวงพระบางกล่าวถึงประวัติศาสตร์และตำนานการสร้างโดยเจ้าครู ญาคูนาขามหรือญาคูกิว ร่วมกับอุบาสกอุบาสิกาจัดสร้างขึ้นในปีมะเมียเดือน ๒ ขึ้น ๑๕ ค่ำ ในวันพฤหัสบดีจุลศักราช ๑๗๒ โดยมีวัตถุประสงค์ของการสร้างคือ เพื่อกราบไหว้บูชาแก่คนและเทวดา ขอให้เป็นปัจจัยได้บรรลุพระนิพพานที่เที่ยงแท้มั่นคงตามที่มุ่งหวัง 



เดิมหลวงพ่อองค์ดำประดิษฐานอยู่ที่โบสถ์วัดนาขาม ตำบลนาคู อำเภอเขาวง จังหวัดกาฬสินธุ์ ต่อมาพระยาชัยสุนทรได้อัญเชิญมาจากบ้านนาขาม โดยใส่หลังช้างมาประดิษฐานในโฮงเจ้าเมือง ต่อมาได้อัญเชิญมาประดิษฐานในวิหารวัดกลาง สมัยนั้นมีญาครูอ้ม เป็นเจ้าอาวาส ต่อมาพระครูสุขุมวาทวรคุณ (สุข สุขโณ) เป็นเจ้าอาวาส ท่านได้อัญเชิญมาหลวงพ่อองค์ดำมาประดิษฐานบนกุฏิของท่าน



ความสำคัญของหลวงพ่อองค์ดำ

ทุกปีในวันสงกรานต์ ชาวเมืองกาฬสินธุ์ได้อัญเชิญหลวงพ่อองค์ดำแห่รอบเมืองเพื่อให้ชาวเมืองกาฬสินธุ์ได้สรงน้ำ ปรากฏว่ามีฝนตกทุกครั้งไป ชาวเมืองกาฬสินธุ์จึงเรียกชื่ออีกชื่อหนึ่งของท่านว่า “หลวงพ่อชุ่มเย็น”หลวงดังนั้นพ่อองค์ดำ หรือ พระพุทธสัมฤทธิ์นิรโรคันตราย หรือหลวงพ่อชุ่มเย็น ถือเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองจังหวัดกาฬสินธุ์ ท่านเป็นพระพุทธรูปที่ชาวกาฬสินธุ์เชื่อว่าเป็นพระศักดิ์สิทธิ์ที่จะอัญเชิญออกมาเพื่อแห่ขอฝนเสมอ

ถ้าท่านมีโอกาสมาที่วัดกลาง พระอารามหลวง จังหวัดกาฬสินธุ์ ขอเชิญมานมัสการหลวงพ่อองค์ดำหรือหลวงพ่อชุ่มเย็นกันนะครับ

ที่มาของแหล่งข้อมูลประกอบการเล่าเรื่อง

ธนาคารแห่งประเทศไทย.  ๒๕๕๒.  พระพุทธรูปสำคัญในภาคอีสาน


วันศุกร์, มกราคม 27, 2566

มินามีเรื่องเล่า สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าและสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ

 

    

มินามีเรื่องเล่า สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าและสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ

         เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๖ ผมได้เดินทางไปที่โรงพยาบาลศิริราช และได้มีโอกาสไปถวายความเคารพอนุสาวรีย์ของพระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๕ สองพระองค์ คือ สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าและสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ จึงขอเล่าเรื่องราชสกุลของทั้งสองพระองค์ นะครับ

ก่อนอื่นขอกล่าวถึงสายสกุล “สุจริตกุล” ก่อนนะครับ

ต้นตระกูลสุจริตกุล คือ หลวงอาสาสำแดง (แตง) และท้าวสุจริตธำรง (นาค) ดังนั้นจึงมีตราประจำตระกูลเป็นตรานาคพันแตง ทั้งนี้เนื่องมาจากชื่อเดิมของทั้งสองท่านคือ แตง และ นาค

หลวงอาสาสำแดง (แตง) และท้าวสุจริตธำรง (นาค) มีบุตรธิดา ๙ คน ประกอบด้วย

บุตรีคนที่ ๑ และ ๒ ถึงแก่กรรมแต่ยังเยาว์

บุตรคนที่ ๓ คือ เจ้าพระยาศิริรัตนมนตรี (หงส์ สุจริตกุล)

บุตรีคนที่ ๔ คือ ท้าววนิดาพิจาริณี (เหม สุจริตกุล)

บุตรีคนที่ ๕ คือ สมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา (เจ้าคุณจอมมารดาเปี่ยม ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว)

บุตรคนที่ ๖ คือ พระยาราชภักดี (โค สุจริตกุล)

บุตรคนที่ ๗ คือ นายรองพันธ์ (หล่อ สุจริตกุล)

บุตรีคนที่ ๘ ชื่อ ปุก ถึงแก่กรรมแต่ยังเยาว์

บุตรีคนที่ ๙ ชื่อ เหมือน ถึงแก่กรรมแต่ยังเยาว์

 

สมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพังรินทรมาตา (เจ้าจอมมารดาเปี่ยม) ในรัชกาลที่ ๔      

         บุตรีคนที่ ๕ ของ หลวงอาสาสำแดง (แตง) และท้าวสุจริตธำรง (นาค) คือ ท่านเปี่ยม ได้เป็นสนมเอกในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระองค์ได้ทรงสถาปนาเป็นเจ้าจอมมารดาเปี่ยม

         ต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาอัฐิเจ้าจอมมารดาเปี่ยมขึ้นเป็นสมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา

         พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา (เจ้าคุณจอมมารดาเปี่ยม) ทรงมีพระราชโอรสและพระราชธิดารวม ๖ พระองค์ คือ

         ๑. พระองค์เจ้าชายอุณากรรณอนันตนรไชย (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอุณากรรณอนันตนรไชย) ประสูติเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๓๙๙ สิ้นพระชนม์เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๑๖ พระชันษา ๑๘ ปี

         ๒. พระองค์เจ้าชายเทวัญอุไทยวงศ์ (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ) ประสูติเมื่อวันเสาร์ที่ ๒๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๐๑ สิ้นพระชนม์เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๖ พระชันษา ๖๖ ปี

๓. พระองค์เจ้าหญิงสุนันทากุมารีรัตน์ (สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวีอัครมเหสี) ทรงพระราชสมภพเมื่อวันเสาร์ที่ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๐๓ สวรรคตเมื่อวันจันทร์ที่ ๓๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๒๓ พระชนมายุ ๒๑ พรรษา

๔. พระองค์เจ้าหญิงสว่างวัฒนา (สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า) ทรงพระราชสมภพเมื่อวันพุธที่ ๑๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๐๕ เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๘ พระชนมพรรษา ๙๓ พรรษา

๕. พระองค์เจ้าหญิงเสาวภาผ่องศรี (สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง) ทรงพระราชสมภพเมื่อวันศุกร์ที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๐๖ เสด็จสวรรคตเมื่อวันจันทร์ที่ ๒๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๖๒ พระชนมพรรษา ๕๗ พรรษา

๖. พระองค์เจ้าชายสวัสดิโสภณ (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์) ประสูติเมื่อวันศุกร์ที่ ๒๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๐๘ สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ พระชันษา ๗๐ ปี

พระราชธิดาทั้ง ๓ พระองค์ คือ พระองค์เจ้าหญิงสุนันทากุมารีรัตน์ พระองค์เจ้าหญิงสว่างวัฒนา และพระองค์เจ้าหญิงเสาวภาผ่องศรี ทรงเป็นพระราชินีในรัชกาลที่ ๕

สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวีอัครมเหสี ท่านสิ้นพระชนม์เมื่อมีพระชนมายุ ๒๑ พรรษร

พระองค์เจ้าหญิงสว่างวัฒนา (สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า) ทรงเป็นพระราชมารดาของ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนกในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลมหาราช (รัชกาลที่ ๙)

พระองค์เจ้าหญิงเสาวภาผ่องศรี (สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง) ทรงเป็นพระบรมราชชนนีของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖) และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๗) ครับ

โปรดติดตามตอนต่อไปขอรับ

******************

วันอังคาร, มกราคม 10, 2566

มินามีเรื่องเล่า ดอกมะเดื่อเป็นของหายากในโลกนี้

 


มินามีเรื่องเล่า ดอกมะเดื่อเป็นของหายากในโลกนี้

สวัสดีครับ เปิดอ่านลายมือสวยๆ ของผมที่จดบันทึกไว้ในเครื่องบันทึกของศตวรรษที่ ๒๑ เลยขอนำที่บันทึกไว้มาเล่าสู่กันฟังครับ

วันนี้ของเล่าเรื่องดอกมะเดื่อ ที่ไม่ใช่ผลไม้ แต่เป็นพระนามที่คนทั่วไปเรียกสมเด็จพระเจ้าอุทุมพร พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ ๓๒ แห่งกรุงศรีอยุธยานะครับ

พระราชบิดาของพระองค์คือ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๓ หรือที่รู้จักกันในนามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ

พระราชมารดาของพระองค์คือ กรมหลวงพิธมนตรี (พระพันวัสสาน้อยหรือพระอัครมเหสีน้อย)

สมเด็จพระเจ้าอุทุมพรทรงมีพระเชษฐา คือเจ้าฟ้าเอกทัศ ซึ่งต่อมาได้เป็นทรงกรมเป็นกรมขุนอนุรักษ์มนตรี และต่อมาได้เสวยราชย์เป็นสมเด็จพระบรมราชาที่ ๓ หรือที่รู้จักกันในนาม พระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์

พระนามเดิมของพระองค์คือ เจ้าฟ้าอุทมพร  แต่ราษฎรเรียกพระองค์ว่า เจ้าฟ้าเดื่อ หรือเจ้าฟ้าดอก

มะเดื่อ

          ทำไมเรียกเช่นนี้

          ตามบันทึกในพระราชพงศาวดารกรุงสยามจากต้นฉบับของบริติชมิวเซียม กรุงลอนดอน เขียนไว้ว่า ขณะที่สมเด็จพระราชชนนีทรงครรภ์นั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ทรงพระสุบินว่ามีผู้ถวายดอกมะเดื่อ ซึ่งพระองค์ทรงทำนายว่า “ดอกมะเดื่อเป็นของหายากในโลกนี้

          เมื่อพระราชโอรสประสูติ พระราชบิดาจึงพระราชทานนามว่า สมเด็จเจ้าฟ้าอุทุมพรราชกุมาร ซึ่งแปลว่า ดอกมะเดื่อ

          เมื่อสมเด็จพระราชชนก คือพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเสด็จขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ. ๒๒๗๖ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็นสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิต

          เรื่องราวอื่นๆ จะมีเล่าต่อไปครับ


วันอาทิตย์, มกราคม 08, 2566

มินามีเรื่องเล่า เมื่อฌ็อง-ปอล ซารตร์ ปฏิเสธรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม

 



มินามีเรื่องเล่า เมื่อฌ็อง-ปอล ซารตร์ ปฏิเสธรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม

          สวัสดีครับ บางทีความรู้ก็อยู่ที่กองกระดาษนะครับ วันนี้ผมจัดเรียงกระดาษที่กองกระดาษในบ้าน พบหนังสือพิมพ์ Le Monde ฉบับวันจันทร์ที่ ๑๗ เมษายน ค.ศ. ๑๙๘๐ หรือ พ.ศ. ๒๕๒๓ จำได้ว่าเป็นหนังสือพิมพ์ที่เพื่อนชาวฝรั่งเศสส่งมาให้เมื่อครั้งที่ ฌ็อง-ปอล ซารตร์ (Jean-Paul Sartre) เสียชีวิต และในปีนั้นผมยังเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ ๔

          มาถึงวันนี้ เจออดีตวัตถุ ขออนุญาตนำเรื่องราวที่เขียนไว้ในหนังสือพิมพ์มาเล่าสู่กันฟังนะครับ

          วันนี้จะขอพูดถึงการที่ฌ็อง-ปอล ซารตร์ปฏิเสธไม่รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม

          ฌ็อง-ปอล ซารตร์เป็นนักปรัชญาและนักเขียนผู้ประกาศเสรีภาพของมนุษย์ในแง่ปัจเจกชน เมื่อปี ค.ศ. ๑๙๖๔ (พ.ศ. ๒๕๐๗) เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม แต่ไม่ยอมรับรางวัลดังกล่าว

          เขามีเหตุผลใด

          คอลัมม์ในหนังสือพิมพ์ Le Monde เล่าให้เราฟังว่า

          เมื่อปี ค.ศ. ๑๙๖๔ คณะกรรมการพิจารณารางวัลโนเบลแห่งประเทศสวีเดนได้ประกาศมอบรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมให้นักเขียนฝรั่งเศส ชื่อ ฌ็อง-ปอล ซารตร์

          อันที่จริงซารตร์ได้เขียนจดหมายแจ้งคณะกรรมการฯ แล้วว่า เขาปฏิเสธที่จะรับรางวัลอันยิ่งใหญ่ของโลกนี้ แต่คณะกรรมการฯ ยืนกรานที่จะมอบให้เขา ในคืนที่มีพิธีมอบรางวัล ซารตร์ยังกล่าวยืนกรานการปฏิเสธของเขา

          ทำไมซารตร์ปฏิเสธรางวัลยิ่งใหญ่นี้

          ซารตร์ให้เหตุผลหลักๆ ๒ ประการ คือ เหตุผลส่วนตัวและความเป็นปรนัย (กลาง) ของเขา

          เหตุผลส่วนตัว ซารตร์กล่าวว่า

          “การปฏิเสธรางวัลของผมไม่ได้เกิดขึ้นโดยปัจจุบันทันด่วน ผมปฏิเสธรางวัลต่างๆ ที่มอบให้ผมมาโดยตลอด (...) เรื่องนี้เกิดจากทัศนคติของผมด้านการทำงานของนักเขียน รางวัลต่างๆ ที่นักเขียนคนหนึ่งได้รับนั้นจะทำให้บรรดาผู้อ่านมีความกดดัน ซึ่งผมไม่คิดว่าจะรับมือกับเรื่องนี้ได้”

          สำหรับเหตุผลประการที่สองเป็นเรื่องของความเป็นปรนัยหรือความเป็นกลาง ในช่วงเวลานั้นมีสงครามเย็นระหว่างโลกตะวันตกและโลกตะวันออก ซารตร์กล่าวว่า

          “เป็นเรื่องของการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขของวัฒนธรรมทั้งสองฝ่าย คือฝ่ายตะวันออกและฝ่ายตะวันตก การเผชิญหน้ากันของวัฒนธรรมและคนสร้างวัฒนธรรมทั้งสองค่ายควรเกิดขึ้นโดยไม่มีการแทรกแซงจากสถาบันต่างๆ

          ข้าพเจ้าทราบดีว่ารางวัลโนเบลไม่ใช่รางวัลด้านวรรณกรรมของแนวร่วมฝ่ายตะวันตกฝ่ายเดียว แต่เป็นรางวัลที่เราร่วมกันจัดทำขึ้น (...)

          ในเวลาปัจจุบัน รางวัลนี้แสดงความเป็นปรนัยในฐานะเป็นรางวัลเกียรติยศที่สงวนไว้ให้บรรดานักเขียนฝ่ายตะวันตกและบรรดานักเขียนขบถของฝ่ายตะวันออก”

          เป็นอย่างไรบ้างครับ บางทีซารตร์ท่านคงรู้จักเรื่องหัวโขนมาแล้ว

วันเสาร์, มกราคม 07, 2566

มินามีเรื่องเล่า “ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าพวกเขาย่อมค้นพบความสามารถอื่นๆ ในตัวเองที่ยังหลับใหลอยู่ได้โดยแท้”

 



มินามีเรื่องเล่า “ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าพวกเขาย่อมค้นพบความสามารถอื่นๆ ในตัวเองที่ยังหลับใหลอยู่ได้โดยแท้”

          วันนี้ผมขอนำคำพูดของชาวฝรั่งเศสผู้มีชื่อเสียง ๒ ท่าน ในช่วงสมัยของรัชกาลที่ ๔ มาเล่าสู่กันฟังครับ

ท่านแรกเป็นนักสำรวจชาวฝรั่งเศสที่มีชื่อเสียง และท่านที่สองเป็นสังฆนายกคณะมิซซังโรมันคาทอลิกประจำประเทศสยาม

มาดูกันว่าท่านทั้งสองได้กล่าวถึงคนไทยอย่างพวกเราไว้อย่างไรบ้างครับ

          เรื่องแรกคือ “ความรักครอบครัว” จากหนังสือ “บันทึกการเดินทางของอ็องรี มูโอต์ ในสยาม กัมพูชา ลาว และอินโดจีนตอนกลางส่วนอื่นๆ” บันทึกโดยอ็องรี มูโอต์ แปลโดย รศ.ดร. กรรณิกา จรรย์แสง (ท่านคืออาจารย์ของผมครับ)  

         อ็องรี มูโอต์ บันทึกไว้ว่า

          “คุณสมบัติชั้นเลิศอย่างหนึ่งของชาวสยามคือความรักครอบครัว ไม่ว่าจะครอบครัวทาสหรือเจ้าขุนมูลนาย พวกเขาดูแลเอาใจใส่ แสดงความรักด้วยการกอดลูกๆ เหมือนกัน ยามใดที่สมาชิกในครอบครัวมีเรื่องทุกข์ร้อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของพี่ๆ น้องๆ หรือลูกพี่ลูกน้อง ฯลฯ ทุกคนจะอยู่พร้อมหน้ากัน ช่วยกันออกเงินออกทองเพื่อป้องกันเหตุหากยังจัดการได้ หรือถ้าเกิดเหตุไปแล้ว ก็ช่วยผ่อนหนักเป็นเบา สัก ๒๐ หนเห็นจะได้ เวลาข้าพเจ้าไปเยือนกระท่อมของไพร่ทาสสักคนหรือวังหรูหราของท่านเสนาบดีก็ตามแต่ เมื่อข้าพเจ้าอุ้มเด็กๆ มานั่งตักและโอบกอดพวกแก ก็พลันเห็นดวงหน้าอันเป็นสุขของผู้เป็นพ่อแม่ พวกเขาจะตื้นตันใจ เอ่ยปากขอบอกขอบใจครั้งแล้วครั้งเล่า วันไหนที่ข้าพเจ้าเดินผ่านหน้าบ้าน ผู้เป็นแม่จะร้องเรียกว่า “แวะบ้านเราหน่อยสิคะ นายฝรั่ง” เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้บ่งบอกว่าคนไทยเป็นคนดีมีน้ำใจ และถ้าวันหนึ่งข้างหน้า พวกเขาเกิดหูตาสว่าง ปัญญาเกิด และรู้จักความศิวิไลซ์จากการได้คบค้ากับพวกเรา ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าพวกเขาย่อมค้นพบความสามารถอื่นๆ ในตัวเองที่ยังหลับใหลอยู่ได้โดยแท้”

          เรื่องที่สอง เกี่ยวข้องกับความสะอาดของคนไทย คือเรื่องการอาบน้ำของคนไทย บันทึกไว้ในหนังสือ “เล่าเรื่องเมืองสยาม” เรียบเรียงโดย สังฆนายกคณะมิซซังโรมันคาทอลิกประจำประเทศสยาม ฌ็อง-บัปติสต์ ปาลเลกัวซ์ หรือที่เรียกว่า มงเซเยอร์ ปาลเลกัวซ์ (Jean-Baptiste Pallegoix) ในสมัยรัชกาลที่ ๔ แปลโดยท่านสันต์ ท. โกมลบุตร

          มงเซเยอร์ ปาลเลกัวซ์ ท่านได้บรรยายไว้ว่า

          “คนไทยอาบน้ำวันละ ๒ หรือ ๓ เวลา บางคนก็ลงดำน้ำในคลอง บางทีก็ใช้ตักน้ำรดตัวตั้งแต่หัวลงมา การอาบน้ำบ่อยๆ เช่นนี้ นับว่าถูกอนามัยและทำให้ร่างกายสะอาดสะอ้าน เขาเปลี่ยนผ้านุ่งทุกวัน และนำเอาเสื้อผ้าไปผึ่งแดดเสมอ เหาและหมัดเป็นสิ่งที่ไม่รู้จักในหมู่พวกเขา”

          ความรักครอบครัวและความสะอาดของคนไทยไม่เป็นสองรองใครเลยนะครับ


มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French

  มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French กรมหลวงพิพิธมนตรี (พระพันวัสสาน้อย) เป็นพระอัครมเหสีน้อยของสมเด็จพ...