Chalermkiat Mina

วันอังคาร, มกราคม 10, 2566

มินามีเรื่องเล่า ดอกมะเดื่อเป็นของหายากในโลกนี้

 


มินามีเรื่องเล่า ดอกมะเดื่อเป็นของหายากในโลกนี้

สวัสดีครับ เปิดอ่านลายมือสวยๆ ของผมที่จดบันทึกไว้ในเครื่องบันทึกของศตวรรษที่ ๒๑ เลยขอนำที่บันทึกไว้มาเล่าสู่กันฟังครับ

วันนี้ของเล่าเรื่องดอกมะเดื่อ ที่ไม่ใช่ผลไม้ แต่เป็นพระนามที่คนทั่วไปเรียกสมเด็จพระเจ้าอุทุมพร พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ ๓๒ แห่งกรุงศรีอยุธยานะครับ

พระราชบิดาของพระองค์คือ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๓ หรือที่รู้จักกันในนามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ

พระราชมารดาของพระองค์คือ กรมหลวงพิธมนตรี (พระพันวัสสาน้อยหรือพระอัครมเหสีน้อย)

สมเด็จพระเจ้าอุทุมพรทรงมีพระเชษฐา คือเจ้าฟ้าเอกทัศ ซึ่งต่อมาได้เป็นทรงกรมเป็นกรมขุนอนุรักษ์มนตรี และต่อมาได้เสวยราชย์เป็นสมเด็จพระบรมราชาที่ ๓ หรือที่รู้จักกันในนาม พระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์

พระนามเดิมของพระองค์คือ เจ้าฟ้าอุทมพร  แต่ราษฎรเรียกพระองค์ว่า เจ้าฟ้าเดื่อ หรือเจ้าฟ้าดอก

มะเดื่อ

          ทำไมเรียกเช่นนี้

          ตามบันทึกในพระราชพงศาวดารกรุงสยามจากต้นฉบับของบริติชมิวเซียม กรุงลอนดอน เขียนไว้ว่า ขณะที่สมเด็จพระราชชนนีทรงครรภ์นั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ทรงพระสุบินว่ามีผู้ถวายดอกมะเดื่อ ซึ่งพระองค์ทรงทำนายว่า “ดอกมะเดื่อเป็นของหายากในโลกนี้

          เมื่อพระราชโอรสประสูติ พระราชบิดาจึงพระราชทานนามว่า สมเด็จเจ้าฟ้าอุทุมพรราชกุมาร ซึ่งแปลว่า ดอกมะเดื่อ

          เมื่อสมเด็จพระราชชนก คือพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเสด็จขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ. ๒๒๗๖ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็นสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิต

          เรื่องราวอื่นๆ จะมีเล่าต่อไปครับ


วันอาทิตย์, มกราคม 08, 2566

มินามีเรื่องเล่า เมื่อฌ็อง-ปอล ซารตร์ ปฏิเสธรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม

 



มินามีเรื่องเล่า เมื่อฌ็อง-ปอล ซารตร์ ปฏิเสธรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม

          สวัสดีครับ บางทีความรู้ก็อยู่ที่กองกระดาษนะครับ วันนี้ผมจัดเรียงกระดาษที่กองกระดาษในบ้าน พบหนังสือพิมพ์ Le Monde ฉบับวันจันทร์ที่ ๑๗ เมษายน ค.ศ. ๑๙๘๐ หรือ พ.ศ. ๒๕๒๓ จำได้ว่าเป็นหนังสือพิมพ์ที่เพื่อนชาวฝรั่งเศสส่งมาให้เมื่อครั้งที่ ฌ็อง-ปอล ซารตร์ (Jean-Paul Sartre) เสียชีวิต และในปีนั้นผมยังเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ ๔

          มาถึงวันนี้ เจออดีตวัตถุ ขออนุญาตนำเรื่องราวที่เขียนไว้ในหนังสือพิมพ์มาเล่าสู่กันฟังนะครับ

          วันนี้จะขอพูดถึงการที่ฌ็อง-ปอล ซารตร์ปฏิเสธไม่รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม

          ฌ็อง-ปอล ซารตร์เป็นนักปรัชญาและนักเขียนผู้ประกาศเสรีภาพของมนุษย์ในแง่ปัจเจกชน เมื่อปี ค.ศ. ๑๙๖๔ (พ.ศ. ๒๕๐๗) เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม แต่ไม่ยอมรับรางวัลดังกล่าว

          เขามีเหตุผลใด

          คอลัมม์ในหนังสือพิมพ์ Le Monde เล่าให้เราฟังว่า

          เมื่อปี ค.ศ. ๑๙๖๔ คณะกรรมการพิจารณารางวัลโนเบลแห่งประเทศสวีเดนได้ประกาศมอบรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมให้นักเขียนฝรั่งเศส ชื่อ ฌ็อง-ปอล ซารตร์

          อันที่จริงซารตร์ได้เขียนจดหมายแจ้งคณะกรรมการฯ แล้วว่า เขาปฏิเสธที่จะรับรางวัลอันยิ่งใหญ่ของโลกนี้ แต่คณะกรรมการฯ ยืนกรานที่จะมอบให้เขา ในคืนที่มีพิธีมอบรางวัล ซารตร์ยังกล่าวยืนกรานการปฏิเสธของเขา

          ทำไมซารตร์ปฏิเสธรางวัลยิ่งใหญ่นี้

          ซารตร์ให้เหตุผลหลักๆ ๒ ประการ คือ เหตุผลส่วนตัวและความเป็นปรนัย (กลาง) ของเขา

          เหตุผลส่วนตัว ซารตร์กล่าวว่า

          “การปฏิเสธรางวัลของผมไม่ได้เกิดขึ้นโดยปัจจุบันทันด่วน ผมปฏิเสธรางวัลต่างๆ ที่มอบให้ผมมาโดยตลอด (...) เรื่องนี้เกิดจากทัศนคติของผมด้านการทำงานของนักเขียน รางวัลต่างๆ ที่นักเขียนคนหนึ่งได้รับนั้นจะทำให้บรรดาผู้อ่านมีความกดดัน ซึ่งผมไม่คิดว่าจะรับมือกับเรื่องนี้ได้”

          สำหรับเหตุผลประการที่สองเป็นเรื่องของความเป็นปรนัยหรือความเป็นกลาง ในช่วงเวลานั้นมีสงครามเย็นระหว่างโลกตะวันตกและโลกตะวันออก ซารตร์กล่าวว่า

          “เป็นเรื่องของการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขของวัฒนธรรมทั้งสองฝ่าย คือฝ่ายตะวันออกและฝ่ายตะวันตก การเผชิญหน้ากันของวัฒนธรรมและคนสร้างวัฒนธรรมทั้งสองค่ายควรเกิดขึ้นโดยไม่มีการแทรกแซงจากสถาบันต่างๆ

          ข้าพเจ้าทราบดีว่ารางวัลโนเบลไม่ใช่รางวัลด้านวรรณกรรมของแนวร่วมฝ่ายตะวันตกฝ่ายเดียว แต่เป็นรางวัลที่เราร่วมกันจัดทำขึ้น (...)

          ในเวลาปัจจุบัน รางวัลนี้แสดงความเป็นปรนัยในฐานะเป็นรางวัลเกียรติยศที่สงวนไว้ให้บรรดานักเขียนฝ่ายตะวันตกและบรรดานักเขียนขบถของฝ่ายตะวันออก”

          เป็นอย่างไรบ้างครับ บางทีซารตร์ท่านคงรู้จักเรื่องหัวโขนมาแล้ว

วันเสาร์, มกราคม 07, 2566

มินามีเรื่องเล่า “ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าพวกเขาย่อมค้นพบความสามารถอื่นๆ ในตัวเองที่ยังหลับใหลอยู่ได้โดยแท้”

 



มินามีเรื่องเล่า “ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าพวกเขาย่อมค้นพบความสามารถอื่นๆ ในตัวเองที่ยังหลับใหลอยู่ได้โดยแท้”

          วันนี้ผมขอนำคำพูดของชาวฝรั่งเศสผู้มีชื่อเสียง ๒ ท่าน ในช่วงสมัยของรัชกาลที่ ๔ มาเล่าสู่กันฟังครับ

ท่านแรกเป็นนักสำรวจชาวฝรั่งเศสที่มีชื่อเสียง และท่านที่สองเป็นสังฆนายกคณะมิซซังโรมันคาทอลิกประจำประเทศสยาม

มาดูกันว่าท่านทั้งสองได้กล่าวถึงคนไทยอย่างพวกเราไว้อย่างไรบ้างครับ

          เรื่องแรกคือ “ความรักครอบครัว” จากหนังสือ “บันทึกการเดินทางของอ็องรี มูโอต์ ในสยาม กัมพูชา ลาว และอินโดจีนตอนกลางส่วนอื่นๆ” บันทึกโดยอ็องรี มูโอต์ แปลโดย รศ.ดร. กรรณิกา จรรย์แสง (ท่านคืออาจารย์ของผมครับ)  

         อ็องรี มูโอต์ บันทึกไว้ว่า

          “คุณสมบัติชั้นเลิศอย่างหนึ่งของชาวสยามคือความรักครอบครัว ไม่ว่าจะครอบครัวทาสหรือเจ้าขุนมูลนาย พวกเขาดูแลเอาใจใส่ แสดงความรักด้วยการกอดลูกๆ เหมือนกัน ยามใดที่สมาชิกในครอบครัวมีเรื่องทุกข์ร้อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของพี่ๆ น้องๆ หรือลูกพี่ลูกน้อง ฯลฯ ทุกคนจะอยู่พร้อมหน้ากัน ช่วยกันออกเงินออกทองเพื่อป้องกันเหตุหากยังจัดการได้ หรือถ้าเกิดเหตุไปแล้ว ก็ช่วยผ่อนหนักเป็นเบา สัก ๒๐ หนเห็นจะได้ เวลาข้าพเจ้าไปเยือนกระท่อมของไพร่ทาสสักคนหรือวังหรูหราของท่านเสนาบดีก็ตามแต่ เมื่อข้าพเจ้าอุ้มเด็กๆ มานั่งตักและโอบกอดพวกแก ก็พลันเห็นดวงหน้าอันเป็นสุขของผู้เป็นพ่อแม่ พวกเขาจะตื้นตันใจ เอ่ยปากขอบอกขอบใจครั้งแล้วครั้งเล่า วันไหนที่ข้าพเจ้าเดินผ่านหน้าบ้าน ผู้เป็นแม่จะร้องเรียกว่า “แวะบ้านเราหน่อยสิคะ นายฝรั่ง” เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้บ่งบอกว่าคนไทยเป็นคนดีมีน้ำใจ และถ้าวันหนึ่งข้างหน้า พวกเขาเกิดหูตาสว่าง ปัญญาเกิด และรู้จักความศิวิไลซ์จากการได้คบค้ากับพวกเรา ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าพวกเขาย่อมค้นพบความสามารถอื่นๆ ในตัวเองที่ยังหลับใหลอยู่ได้โดยแท้”

          เรื่องที่สอง เกี่ยวข้องกับความสะอาดของคนไทย คือเรื่องการอาบน้ำของคนไทย บันทึกไว้ในหนังสือ “เล่าเรื่องเมืองสยาม” เรียบเรียงโดย สังฆนายกคณะมิซซังโรมันคาทอลิกประจำประเทศสยาม ฌ็อง-บัปติสต์ ปาลเลกัวซ์ หรือที่เรียกว่า มงเซเยอร์ ปาลเลกัวซ์ (Jean-Baptiste Pallegoix) ในสมัยรัชกาลที่ ๔ แปลโดยท่านสันต์ ท. โกมลบุตร

          มงเซเยอร์ ปาลเลกัวซ์ ท่านได้บรรยายไว้ว่า

          “คนไทยอาบน้ำวันละ ๒ หรือ ๓ เวลา บางคนก็ลงดำน้ำในคลอง บางทีก็ใช้ตักน้ำรดตัวตั้งแต่หัวลงมา การอาบน้ำบ่อยๆ เช่นนี้ นับว่าถูกอนามัยและทำให้ร่างกายสะอาดสะอ้าน เขาเปลี่ยนผ้านุ่งทุกวัน และนำเอาเสื้อผ้าไปผึ่งแดดเสมอ เหาและหมัดเป็นสิ่งที่ไม่รู้จักในหมู่พวกเขา”

          ความรักครอบครัวและความสะอาดของคนไทยไม่เป็นสองรองใครเลยนะครับ


วันเสาร์, ธันวาคม 31, 2565

มินามีเรื่องเล่า พระเจ้าใหญ่สมปรารถนา วัตธาตุ พระอารามหลวง ขอนแก่น

 

                     https://www.facebook.com/142407025909200/posts/1588482944634927/


มินามีเรื่องเล่า พระเจ้าใหญ่สมปรารถนา พระพุทธธรรมขันตโสภิตมหามงคล วัตธาตุ พระอารามหลวง ขอนแก่น

 

สวัสดีครับ วันนี้ผมขอเล่าเรื่องของ พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ คือ พระเจ้าใหญ่สมปรารถนา พระประธานในพระอุโบสถของวัดธาตุ พระอารามหลวง จังหวัดขอนแก่น นะครับ

พระพุทธธรรมขันตโสภิตมหามงคล หรือที่นิยมเรียกกันว่า พระเจ้าใหญ่สมปรารถนา เป็นพระพุทธปฏิมาปางมารวิชัย มีศักดาอภินิหารอย่างวิเศษสวยงาม ล้ำเลิศด้วยพระพุทธลักษณะ มีหน้าตักกว้าง ๗ ศอก สูง ๙ ศอก ประดิษฐานเป็นพระประธานภายในพระอุโบสถวัดธาตุ เมืองเก่า จังหวัดขอนแก่น

พระเจ้าใหญ่สมปรารถนานี้เป็นปูชนียวัตถุอันศักดิ์สิทธิ์ มีพุทธาภินิหารดลบันดาลสรรพศิริ มหามงคลอำนวยศุภผลศุภสวัสดิ์ ขจัดอุปัทวอันตรายนานาประการแก่ผู้ได้สักการะบูชา เป็นเหตุให้เกิดปิติโสมนัส และเคารพบูชาของสาธุชนพุทธบริษัทผู้ใดเห็นอย่างกว้างขวาง เป็นพระประธานที่ใหญ่ที่สุดในภาคอีสาน  

พุทธศาสนิกชนมีนายโบ ตราชู เป็นต้น ได้ร่วมกันสร้างไว้ในพระพุทธศาสนา เมื่อพุทธศักราช ๒๕๐๙ โดยได้รวบรวมดินอันศักดิ์สิทธิ์จากปูชนียสถานที่สำคัญทั้งในและนอกประเทศมาประกอบเป็นองค์พุทธปฏิมานี้ขึ้น

 

แหล่งข้อมูลประกอบการเล่าเรื่อง

ป้ายไวนิลประชาสัมพันธ์ที่วัดธาตุ พระอารามหลวง


วันศุกร์, ธันวาคม 30, 2565

มินามีเรื่องเล่า การตั้งกรมเจ้านาย แบบแผนราชประเพณีที่ตั้งขึ้นใหม่ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช

 

https://www.finearts.go.th


มินามีเรื่องเล่า การตั้งกรมเจ้านาย แบบแผนราชประเพณีที่ตั้งขึ้นใหม่ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช

          หนังสือพระราชพงศาวดารกล่าวเกี่ยวกับการตั้งกรมเจ้านาย ซึ่งเป็นแบบแผนราชประเพณีที่ตั้งขึ้นใหม่ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชว่า แต่เดิมนั้นพระขัตติยยศซึ่งพระเจ้าแผ่นดินทรงแต่งตั้งเจ้านายเป็นตำแหน่งเฉพาะพระองค์ เช่น เป็นพระราเมศวร เป็นพระบรมราชา เป็นพระอินทราชา เป็นพระอาทิตยวงศ์

          พระองค์หญิงที่ได้รับการแต่งตั้ง เช่น พระสุริโยทัย พระวิสุทธิกษัตรีย์

          แต่ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีความเป็นอริกับพระเจ้าน้องยาเธอ จึงไม่ได้ทรงสถาปนาขัตติยยศให้พระองค์ใด

          มีจดหมายเหตุฝรั่งกล่าวว่า เมื่อพระอัครมเหสีทิวงคต สมเด็จพระนารายณ์มหาราชมีพระราชประสงค์จะให้ข้าราชการในพระมเหสีคงอยู่แก่เจ้าฟ้าราชธิดา

          สมเด็จพระนารายณ์มหาราชจึงโปรดให้รวบรวมข้าราชการจัดตั้งขึ้นเป็นกรม ๆ หนึ่ง เจ้ากรมเป็นที่หลวงโยธาเทพ ให้ขึ้นอยู่ในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสุดาวดีราชธิดา

          พระองค์ให้จัดตั้งอีกกรมหนึ่ง เจ้ากรมเป็นที่หลวงโยธาธิพ ให้ขึ้นอยู่ในสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าศรีสุพรรณ

          เจ้าฟ้าทั้งสองพระองค์จึงปรากฏพระนามตามกรมว่า เจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาเทพและเจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาธิพ

************

แหล่งข้อมูลประกอบการเล่าเรื่อง

ประยุทธ สิทธิพันธ์ (๒๕๕๔).  สามวัง. พิมพ์ครั้งที่ ๔.  กรุงเทพฯ: สร้างสรรค์บุ๊ค.  


วันพฤหัสบดี, ธันวาคม 29, 2565

มินามีเรื่องเล่า ทำไมคุณถึงชอบเรียนภาษาฝรั่งเศส

 

มินามีเรื่องเล่า ทำไมคุณถึงชอบเรียนภาษาฝรั่งเศส

          สวัสดีครับ คำถามที่ทุกคนมักจะได้ยินคือ ทำไมคุณถึงชอบเรียนภาษาฝรั่งเศส และคำตอบที่ทุกคนชอบตอบคือ เพราะว่าภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาที่ไพเราะ

          และเมื่อมีคำถามต่อไปว่าเสนาะหูอย่างไรไพเราะอย่างไร

หลายคนยังตอบไม่ได้

ก่อนอื่นมาดูกันว่าภาษาฝรั่งเศสมีความไพเราะอย่างไร

ถ้าเราดูเรื่องของเสียงเราจะพบว่าภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาที่มีคำที่ลงท้ายด้วยพยางค์เป็นเกือบ ๘๐%

คำว่า “พยางค์เปิด” หมายถึงอะไร

หมายถึงคำที่ลงท้ายด้วยเสียงสระ เช่นถ้าเป็นภาษาไทย คำว่า “มา” คำนี้เป็นคำที่ลงท้ายด้วยเสียงสระ เราเรียกว่าพยางค์เปิด

ส่วนคำที่ลงท้ายด้วยเสียงพยัญชนะ คือมีพยัญชนะท้าย เราเรียกว่า “พยางค์ปิด” เช่นคำว่า “กลับ” ในภาษาไทย

ในภาษาฝรั่งเศสคำว่า แมว ออกเสียงว่าชาต์ (chat) รูปเขียนลงท้ายด้วยเสียงพยัญชนะ -t แต่รูปเสียงลงท้ายด้วยเสียงสระ -a  

ดังนั้น คำว่า chat ออกเสียงว่า ชาต์ ทแปลว่า แมว เป็นพยางค์เปิด คือลงท้ายด้วยเสียงสระ

ส่วนคำว่า porte อ่านว่า ปอร์ต แปลว่า ประตู ออกเสียงลงท้ายด้วยเสียงพยัญชนะ -t ดังนั้นคำนี้จึงเป็นพยางค์ปิด ลงท้ายด้วยเสียงพยัญชนะ

เมื่อมีคำที่มีเสียงพยางค์เปิดมาก  รวมทั้งภาษาฝรั่งเศสมีการลงเสียงหนักที่พยางค์ท้าย เมื่อรวมเป็นกลุ่มคำ มีทำนองเสียง (mélodie) สูง ย่อมทำให้ภาษามีลักษณะคล้ายเสียงดนตรี มีความไพเราะ

          ท่านลองมาออกเสียงภาษาฝรั่งเศสดู จะพบว่าไพเราะเสนาะหูมากครับ

วันพุธ, ธันวาคม 28, 2565

มินามีเรื่องเล่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

 

                                            https://mgronline.com/travel/detail/9630000132230


มินามีเรื่องเล่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

วันที่ ๒๘ ธันวาคมของทุกปีเป็นวันสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช มีพิธีถวายสักการะ ณ พระบรมราชานุสาวรีย์ที่วงเวียนใหญ่ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๗ มาจนถึงปัจจุบันนี้

ประวัติของท่านมีความเป็นมาอย่างไรครับ

สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช หรือที่รู้จักกันในนามสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี พระนามของพระองค์เมื่อครองราชย์ตามพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา ทรงมีพระนามว่า สมเด็จพระบรมราชาที่ ๔ ปวงชนชาวไทยนิยมเรียกพระนามของพระองค์ว่า พระเจ้าตาก หรือขุนหลวงตาก

ท่านเป็นลูกของใครครับ

สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเสด็จพระราชสมภพในปี พ.ศ. ๒๒๗๗ บิดาชื่อไหยฮอง เป็นชาวไทยเชื้อสายจีน มาจากมณฑลกวางตุ้ง รับราชการเป็นขุนพัฒน์นายอากรบ่อนเบี้ย มารดาชื่อนางนกเอี้ยง เป็นคนไทย ต่อมาเจ้าพระยาจักรีสมุหนายกได้รับเลี้ยงพระองค์เป็นบุตรบุญธรรม ให้ชื่อว่า สิน

ท่านเรียนหนังสือที่ไหนและเริ่มทำงานใดครับ

เมื่อเติบใหญ่นายสินได้เรียนในสำนักพระอาจารย์ทองดีมหาเถระ ณ วัดโกษาวาสน์ จากนั้นได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็ก ได้รับยศเป็นหลวงยกกระบัตร และได้เลื่อนเป็นพระยาตาก พระราชพงศาวดารฉบับความพิสดารได้บันทึกเรื่องสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเมื่อ พ.ศ. ๒๓๐๘ สมัยสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ กล่าวไว้ว่า พระยาตากมาช่วยราชการสงครามป้องกันพม่าที่มาล้อมกรุงศรีอยุธยา ท่านมีฝีมือการรบเข้มแข็งจึงได้เลื่อนตำแหน่งเป็นพระยาวชิรปราการ เจ้าเมืองกำแพงเพชร

บางทีเรียกท่านว่า พระยากำแพงเพชร ครับ

ใช่ครับ ระหว่างทำศึกรักษาพระนครกรุงศรีอยุธยา แม้ว่าพระยากวชิรปราการจะทำการรบจนสุดความสามารถ แต่ด้วยความอ่อนแอของผู้บัญชาการและการขาดการประสานงานที่ดีระหว่างแม่ทัพนายกอง ทำให้พระยาวชิรปราการเกิดความท้อแท้ใจหลายครั้ง เมื่อเห็นว่าจะอยู่ช่วยรักษากรุงไว้ก็ไม่เกิดประโยชน์ พระยาวชิรปราการจึงตัดสินใจพาสมัครพรรคพวกประมาณ ๕๐๐ คน ยกออกจากค่ายวัดพิชัยตีฝ่าทัพพม่าไปทรงทิศตะวันออกในเดือนยี่ ปีพ.ศ. ๒๓๐๙

เมื่อออกจากกรุงศรีอยุธยาแล้วทำอย่างไรต่อครับ

พระยาวชิรปราการได้ต่อสู้กับพม่าที่ไล่ติดตามไปตลอดทาง จนกิตติศัพท์ความสามารถเป็นที่เลื่องลือ มีคนมาขอเข้าเป็นบริวารมากมาย ใครไม่ยอมอ่อนข้อท่านก็จำต้องตีหักเอาค่ายให้ได้

ท่านมีเส้นทางเดินทัพอย่างไรบ้างครับ

ท่านเดินทัพออกจากค่ายวัดพิชัยนอกกำแพงเมืองไปบ้านข้าวเม่า บ้านส้มบัณฑิต บ้านโพสังหาร บ้านพรานนก ผ่านเมืองนครนายก ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี

ท่านไปทางภาคตะวันออกครับ

ครับ เมื่อเดินทัพผ่านเมืองระยอง พระยาวชิรปราการหรือที่ชาวบ้านเรียกว่า พระยากำแพงเพชร ท่านคาดการณ์ว่ากรุงศรีอยุธยาคงเสียให้แก่พม่าแล้ว ท่านจึงตั้งตัวเป็นเจ้าเพื่อรวบรวมผู้คนกู้แผ่นดิน พวกบริวารจึงเรียกท่านว่าเจ้าตากครับ

ท่านอยู่ที่เมืองระยองใช่ไหมครับ

กองทัพของท่านมาถึงเมืองระยอง พระยาระยองพาพรรคพวกออกมาต้อนรับแต่โดยดี แต่มีกรมการเมืองบางส่วนคิดแข็งข้อ เจ้าตากจึงวางแผนปราบกรมการเมืองและผู้คิดร้ายจนแตกพ่ายไป ท่านเข้ายึดเมืองระยองได้

ตอนนั้นกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าแล้วใช่ไหมครับ

กรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าในวันที่ ๗ เมษายน พ.ศ. ๒๓๑๐ ผู้มีอำนาจบางคนคิดตั้งตัวเป็นใหญ่ มีพระยาจันทบุรีด้วย เดิมพระยาจันทบุรีสัญญากับเจ้าตากว่าจะเป็นไมตรีต่อกัน แต่ไม่ยอมทำตามสัญญา เจ้าตากจึงยกทัพไปปราบ ท่านเข้ายึดจันทบุรีและตราดได้ หลังจากยึดเมืองตราดได้ เจ้าตากก็ยกทัพกลับมาตั้งมั่นที่จันทบุรี และใช้เมืองนี้เป็นที่จัดเตรียมกำลังพล เสบียงอาหาร อาวุธยุทโธปกรณ์ รวมทั้งต่อเรือได้ ๑๐๐ ลำ ครับ

*******

โปรดติดตามต่อนะครับ


มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French

  มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French กรมหลวงพิพิธมนตรี (พระพันวัสสาน้อย) เป็นพระอัครมเหสีน้อยของสมเด็จพ...