Chalermkiat Mina

วันอาทิตย์, ธันวาคม 04, 2565

มินามีเรื่องเล่า พระเจดีย์ ๓ องค์รอบพระอุโบสถวัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร

 




มินามีเรื่องเล่า พระเจดีย์ ๓ องค์รอบพระอุโบสถวัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร

ท่านที่มาทำบุญและเยี่ยมชมวัดระฆังโฆษิตารามวรมหาวิหาร เมื่อเข้ามาในบริเวณพระอุโบสถแล้ว มองดูทางทางด้านซ้ายของพระอุโบสถ จะเห็นว่ามีมหาวิหารมีพระเจดีย์ ๓ องค์

          พระเจดีย์ ๓ องค์นี้เป็นเจดีย์ย่อเหลี่ยมไม้ ๒๐ ทรงจอมแห ทรวดทรงงดงามมาก เป็นเจดีย์ขนาดย่อม ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของพระอุโบสถหลังปัจจุบัน

          พระเจดีย์ ๓ องค์นี้ ใครเป็นผู้สร้าง

          พระเจดีย์ ๓ องค์นี้สร้างโดยเจ้านายวังหลัง ๓ องค์เพื่อร่วมเสด็จพระราชกุศลในรัชกาลที่ ๓ เมื่อคราวสร้างพระอุโบสถหลังใหม่

          เจ้านายวังหลังทั้ง ๓ พระองค์ มีความเป็นมาอย่างไร

          ก่อนอื่นต้องท่องจำพระนามของพระองค์ท่านไว้ก่อน พระนามจะมีเสียงคล้องจองกันว่า นราเทเวศร์ นเรศร์โยธี และเสนีบริรักษ์ ครับ ทั้งสามพระองค์ท่านเป็นใคร มารู้จักกันครับ

          ก่อนอื่นขอเท้าความถึงสมเด็จเจ้าฟ้าหญิง กรมพระเทพสุดาวดี (สา) ต่อมาคือ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาเทพสุดาวดี พระพี่นางองค์ใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ก่อนนะครับ

          สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาเทพสุดาวดี ทรงมีพระภัสดา (สามี) คือ พระอินทรรักษา (หม่อมเสม) และมีพระโอรสธิดา ๔ พระองค์ ได้แก่

          ๑. สมเด็จเจ้าฟ้าชายทองอิน (กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข)

          ๒. สมเด็จเจ้าฟ้าชายบุญเมือง (สมเด็จพระสัมพันธวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงธิเบศรบดินทร์)

๓. สมเด็จเจ้าฟ้าชายทองจีน (สมเด็จพระสัมพันธวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนรินทร์รณเรศ)

๔. สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงทองคำ (สมเด็จพระสัมพันธวงศ์เธอ เจ้าฟ้าทองคำ)

          พระโอรสพระองค์ใหญ่ของสมเด็จเจ้าฟ้าหญิง กรมพระเทพสุดาวดี คือ สมเด็จเจ้าฟ้าชายทองอิน (กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข) มีพระองค์เจ้า ๖ พระองค์ คือ

          สมเด็จเจ้าฟ้าชายทองอิน (กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข) พระโอรสองค์ใหญ่ และพระชายาทองอยู่ ทรงมีพระโอรสธิดา ๖ พระองค์ ได้แก่

          ๑. พระองค์เจ้าชายปาน (พระสัมพันธวงศ์เธอ กรมหมื่นนราเทเวศร์) เป็นต้นราชสกุล ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา

          ๒. พระองค์เจ้าหญิงกระจับ (พระสัมพันธวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากระจับ)

๓. พระองค์เจ้าชายบัว (พระสัมพันธวงศ์เธอ กรมหมื่นนเรศร์โยธี)

          ๔. พระองค์เจ้าชายแดง (พระสัมพันธวงศ์เธอ กรมหลวงเสนีบริรักษ์) เป็นต้นราชสกุล เสนีวงศ์ ณ อยุธยา

          ๕. พระองค์เจ้าชายปฐมวงศ์ (พระสัมพันธวงศ์เธอ พระองค์เจ้าปฐมวงศ์)

          ๖. พระองค์เจ้าหญิงจงกล (พระสัมพันธวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจงกล)

 

          พระเจดีย์ ๓ องค์นี้ เป็นพระเจดีย์ของ เจ้านายวังหลังทั้ง ๓ พระองค์ ได้แก่

          พระสัมพันธวงศ์เธอ กรมหมื่นนราเทเวศร์ (พระองค์เจ้าชายปาล) (หมายเลข ๑)

พระสัมพันธวงศ์เธอ กรมหมื่นนเรศร์โยธี (พระองค์เจ้าชายบัว) (หมายเลข ๓)

พระสัมพันธวงศ์เธอ กรมหลวงเสนีย์บริราช (พระองค์เจ้าชายแดง) (หมายเลข ๔)

ท่านอาจจะแปลกใจกับฐานันดรศักดิ์ “พระสัมพันธวงศ์เธอ” ใช่ไหมครับ ฐานันดรศักดิ์นี้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงบัญญัติให้ใช้คำนี้เป็นคำนำหน้าพระนามพระโอรสธิดา ในกรมพระราชวังบวรสถานพิมุข (สมเด็จเจ้าฟ้าชายทองอิน) และพระราชโอรสธิดาในสมเด็จพระพี่นางเธอในรัชกาลที่ ๑ ครับ

          ขอย้อนมาเล่าถึง พระสัมพันธวงศ์เธอ กรมหมื่นนราเทเวศร์ (พระองค์เจ้าชายปาล) และพระสัมพันธวงศ์เธอ กรมหมื่นนเรศร์โยธี (พระองค์เจ้าชายบัว) และพระสัมพันธวงศ์เธอ กรมหลวงเสนีย์บริราช (พระองค์เจ้าชายแดง) นะครับ

 

พระสัมพันธวงศ์เธอ กรมหมื่นนราเทเวศร์

พระสัมพันธวงศ์เธอ กรมหมื่นนราเทเวศร์ (พระองค์เจ้าชายปาล) ท่านเป็นพระโอรสองค์ใหญ่ของกรมพระราชวังบวรสถานพิมุขและพระชายาทองอยู่ ท่านประสูติเมื่อวันจันทร์ เดือนอ้าย แรมค่ำ ๑ ปีขาล พ.ศ. ๒๓๑๓ ในรัชกาลที่ ๑

          พระนามเดิมของท่านคือ หม่อมเจ้าปาน ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๓๒๙ พระองค์ท่านได้รับการเลื่อนเป็น พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าปาน แล้วเลื่อนเป็น พระเจ้าหลานเธอ กรมหมื่นนราเทเวศร์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๕๐

          พระองค์ท่านสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๓ เมื่อวันอาทิตย์ เดือน ๑๐ แรม ๑๓ค่ำ ปีระกา จ.ศ. ๑๑๘๗ ตรงกับวันที่ ๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๓๖๘ พระชันษา ๕๖ ปี

          พระองค์ท่านเป็นต้นราชสกุล ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา

 

พระสัมพันธวงศ์เธอ กรมหมื่นนเรศร์โยธี

          พระองค์เจ้าชายบัว (พระสัมพันธวงศ์เธอ กรมหมื่นนเรศร์โยธี) โอรสพระองค์ที่ ๓ ประสูติเมื่อวันพุธ เดือน ๓ ขึ้น ๑๑ ค่ำ ปีมะแม พ.ศ. ๒๓๑๘ ในรัชกาลที่ ๑ พระนามเดิม หม่อมเจ้าบัว ต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๙ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงโปรดเกล้าฯ เลื่อนเป็นพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าบัว แล้วเลื่อนเป็นพระเจ้าหลานเธอ กรมหมื่นนเรศร์โยธี เมื่อปีเถาะ นพศก จ.ศ. ๑๑๖๙ พ.ศ. ๒๓๕๐

          ในรัชกาลที่ ๓ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๙ กรมหมื่นนเรศร์โยธี ได้เสด็จไปในการทัพกับสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพในศึกเจ้าอนุเวียงจันทน์

          พระสัมพันธวงศ์เธอ กรมหมื่นนเรศร์โยธี สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๓ เมื่อวันศุกร์ที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๓๗๔ พระชันษา ๕๖ ปี พระราชทานเพลิงศพ ณ พระเมรุท้องสนามหลวง วันจันทร์ที่ ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๓๗๔ พระองค์ไม่มีโอรสธิดา

 

พระสัมพันธวงศ์เธอ กรมหลวงเสนีบริรักษ์

          พระสัมพันธวงศ์เธอ กรมหลวงเสนีบริรักษ์ (พระองค์เจ้าชายแดง) เป็นพระโอรสองค์ที่ ๔ ประสูติเมื่อวันอาทิตย์ เดือนแปด แรม ๓ ค่ำ ปีระกา พ.ศ. ๒๓๒๐ ในรัชกาลที่ ๑ พระนามเดิม หม่อมจ้าแตง

          ต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๙ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงโปรดเกล้าฯ เลื่อนเป็ฯพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าแตง แล้วเลื่อนเป็น พระเจ้าหลานเธอ กรมหมื่นสนีบริรักษ์ เมื่อปีเถาะ พ.ศ. ๒๓๕๐

          ในรัชกาลที่ ๓ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๙ พระองค์ได้โดยเสด็จไปในการทัพกับสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ ในศึกเจ้าอนุเวียงจันทน์

          ปี พ.ศ. ๒๓๗๕ พระองค์ได้รับเลื่อนเป็นกรมหลวงเสนีบริรักษ์

          พระองค์สิ้นพระชนม์เมื่อวันเสาร์ ที่ ๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๓๗๗ พระชันษา ๕๗ ปี พระราชทานเพลิงศพ ณ พระเมรูผ้าขาว วัดอมรินทราราม วันพฤหัสบดีที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๓๗๗ ทรงเป็นต้นสกุล เสนีวงศ์ ณ อยุธยา

          มาวัดระฆัง มากราบบูชาพระเจดีย์ทั้งสามองค์นี้นะครับ


วันเสาร์, ธันวาคม 03, 2565

มินามีเรื่องเล่า หงส์กับกา Thai-English-French

 



มินามีเรื่องเล่า หงส์กับกา Thai-English-French

         คนดีได้รับทุกข์เพราะอยู่ร่วมกับคนไม่ดี 

          ทุกวันนี้พอดูข่าวเห็นมีแต่เรื่องทำร้ายร่างกาย ฆ่ากันโดยเฉพาะวัยรุ่นที่ยกพวกตีกัน เลยขอเล่าเรื่องหงส์กับกาให้ฟังนะครับ

          ณ บ่าใกล้ทางไปกรุงอุชเชนีแห่งหนึ่ง มีต้นโพธิ์ต้นหนึ่งเป็นที่อาศัยอยู่ร่วมกันของหงส์และกา

          ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง มีคนเดินทางคนหนึ่งร้อนจัด จึงแวะที่โคนต้นไม้ วางธนูไว้ข้างหนึ่ง ลงนอนที่ร่มไม้นั้นไม่นานนัก เงาไม้ก็ลับหายไปจากหน้าของเขา

          หงส์จับอยู่บนต้นไม้ เห็นหน้าของชายคนเดินทางถูกแสงอาทิตย์เผา เพราะความสงสารชายคนนี้ หงส์จึงกางบีกกั้นแดดให้

          ไม่ช้าคนเดินทางซึ่งเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางกำล้งหลับสบาย ก็อ้าปาก

          กาซึ่งมีสันดานชั่วตามสัญชาติ ครั้นเห็นดังนั้นก็ถ่ายอุจจาระลงไปในปากของคนเดินทาง แล้วบินหนีไป คนเดินทางสะดุ้งตื่นขึ้นมองไปเห็นหงส์ ก็เอาธนูยิงหงส์ตาย

          ดังนั้น พวกเราควรหลีกเลี่ยงคบคนพาลนะครับ

********************

Mina’s stories: Keeping away from Bad People.

Today I would like to tell you about the story of a swan and a crow.

In a wood on the way to Utjayini there was a large Bodhi tree, where a swan and a crow lived together.

Once, a traveller fatigued by the heat came under this tree and slept in the shade, with his bow lying beside him. Not so long, the shade left his face, and the swan on the tree saw the sunlight on the man’s face. It extended its wings over his face in order to prevent a bright light from shining onto his face.

A little while after, in the enjoyment of sound sleep, the fatigued traveller yawned; and the crow, being wicked by nature, dropped its excrement into the man’s mouth, then flew away.

When the man awoke and looked up, he saw the swan. He thought that the swan dropped its excrement into his mouth. He shot this pitiful animal with his bow.

Hence, we should avoid being with bad people. They always bring bad things to us.

****************

Histoires de Mina : Éloignons-nous des mauvaises personnes.

Aujourd’hui, je vous raconte l’histoire d’un cygne et un corbeau.

Dans une forêt situant sur le chemin d'Utjayini, il y avait un grand arbre de Bodhi où un cygne et un corbeau vivaient ensemble.

Une fois, un voyageur fatigué par la chaleur vint sous cet arbre et dormit à l'ombre, avec son arc posé à côté de lui. Peu de temps après, l'ombre quitta son visage.

Le cygne qui était sur l'arbre vit le visage de l’homme éclairé par les rayons du soleil. Il fut ému de pitié. Il étendit ses ailes au-dessus du visage de l’homme. Ses ailes ombragèrent le visage de l'homme afin d'empêcher une lumière de briller sur son visage.

Peu de temps après, dans la jouissance d'un sommeil profond, le voyageur fatigué bâilla ; et le corbeau, méchant par nature, laissa tomber ses excréments dans la bouche de l’homme et s'envola.

Quand l'homme se réveilla et leva les yeux, il aperçut le cygne. Il pensa que le cygne eut laissé tomber ses excréments dans sa bouche. Il tira à l’arc et tua le pauvre oiseau.

Nous devons donc éviter d'être avec les méchants, ceux-ci nous apportent toujours de mauvaises choses.

*****************


วันศุกร์, ธันวาคม 02, 2565

มินามีเรื่องเล่า จดหมายรักจากฌ็อง-ปอล ซาร์ตถึงซีโมน เดอ โบวัวร์

 


มินามีเรื่องเล่า จดหมายรักจากฌ็อง-ปอล ซาร์ตถึงซีโมน เดอ โบวัวร์

          สวัสดีครับ วันนี้ผมรื้อเอกสารเก่าๆ เจอเอกสารเล่าเรื่องจดหมายรักของฌ็อง-ปอล ซาร์ตและซีโมน เดอโบวัวร์ เลยขอนำมาเล่าสู่กันฟังนะครับ

          ฌ็อง-ปอล ซาร์ตและซีโมน เดอโบวัวร์เป็นใคร จะเล่าสู่กันฟังในโอกาสหน้าครับ แต่ถ้าท่านเป็น FC ของฌ็อง-ปอล ซาร์ตและซีโมน เดอโบวัวร์ คงรู้จักบุคคลผู้มีชื่อเสียงทั้งสองท่านนี้ครับ

          ปี ค.ศ. ๑๙๓๙ ฌ็อง-ปอล ซาร์ตถูกเกณฑ์ทหารเหมือนชายหนุ่มคนอื่น ๆ แต่เขาได้เขียนจดหมายรักถึงคนรักชื่อซีโมน เดอโบวัวร์ โดยเรียกชื่อเธอว่า “แม่ดวงดาวของฉัน” 

ฌ็อง-ปอล ซาร์ตเขียนจดหมายถึงหญิงสาวคนรักชื่อ ซีโมน เดอ โบวัวร์ เมื่อเดือนกันยายน ปี ค.ศ. ๑๙๓๙ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒

หนุ่มน้อยฌ็อง-ปอล ซาร์ตถูกเกณฑ์ทหารและต้องเดินทางห่างไกลจากกรุงปารีส เขาต้องอยู่ห่างจากคนรักเป็นเวลาหลายเดือน ช่วงเวลาที่ต้องอยู่ห่างจากกันหลายเดือนทำให้ซาร์ตเขียนจดหมายติดต่อเธอเป็นเวลานาน

หลังจากที่นักเขียนผู้โด่งดังคนนี้เสียชีวิตได้ ๓ ปี ได้มีการนำจดหมายติดต่อกันระหว่างคู่รักทั้งสองคนมาตีพิมพ์ในนิตยสาร เลอ ต็องส์ โมแดร์น (Le Temps Modernes) ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม ค.ศ. ๑๙๘๓ ก่อนที่จะมีการตีพิมพ์เป็นหนังสือในเวลาต่อมา

          จดหมายนี้ทำให้เราเห็นภาพของซาร์ตในมิติที่ไม่เคยเห็นมาก่อน 
          เบื้องหลังภาพทหารที่มีเลือดนองท่วมตัวเป็นภาพของชายหนุ่มที่มีความรัก ความอ่อนหวานและมอบหัวใจให้กับหญิงสาวที่เขาร่วมแบ่งปันชีวิต เขากลัวว่าจะต้องจากเธอไปโดยไม่มีโอกาสได้กลับมาเห็นหน้าเธออีก

ตัวอักษรที่รจนาไว้ในจดหมายเหล่านี้ทำให้เห็นถึงภาพสงครามที่กำลังเกิดขึ้น อดีตที่ผ่านมาไม่นานและความรักที่ซาร์ตมีต่อคนรัก นี้คือเรื่องราวของคู่หนุ่มสาวที่มีชื่อเสียงที่สุดในช่วงปลายศตวรรษที่ ๑๙

 เนื้อความในจดหมายมีดังต่อไปนี้

วันเสาร์ที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1939

ที่รักของผม

ผมเขียนจดหมายถึงคุณขณะที่อยู่ที่เมืองตูล (Toul) รถไฟได้จอดที่สถานีนี้ ๒๐ นาทีแล้ว ใครจะไปรู้ได้ว่า มันจะออกเดินทางอีกเมื่อไร ตอนนี้กำลังมีการขนหน้ากากกันแก๊สพิษใส่โบกี้สินค้า รถไฟอีกขบวนหนึ่งเพิ่งเดินทางไปปารีส บนรถไฟขบวนนั้นมีผู้หญิงและเด็กเต็มไปหมด บางคนในโบกี้ของเราร้องตะโกนไปว่า “ฝากสวัสดีปารีสให้ด้วย” และพูดต่อไปอีกว่า “เราจะได้กลับไปที่นั่นไหม ? อนิจจา !

เรายังคงเดินทางไปยังกัฟกา (Kafka) เราเดินทางมาแล้ว ๗ ชั่วโมงแล้ว ยังเหลือระยะทางอีกประมาณ ๕๐ กิโลเมตร รถไฟจอดทุกสถานีเลย แม้ว่ามันเป็นรถด่วน แต่น่าจะเป็นรถหวานเย็นที่จอดทุกแห่งมากกว่า บนขบวนรถมีผู้หญิงและเด็กมากพอสมควร บนโบกี้ของเรามีหญิงชราคนหนึ่งซึ่งเหมือนกับคุณกองก์ (Mme Canque) ที่พวกทหารเกณฑ์มองว่ามีท่าทางเหมือนเป็นแม่หรือสตรีจ๋าเลย
          ผู้คนต่างมีจุดหมายปลายทางของตัวเอง คนบนรถไฟแต่ละคนต่างมีสถานีปลายทางของตนเอง เช่นไปเมืองตูล (
Toul) เมืองเลรูวีล (Lérouville) เมืองบาร์-เลอ-ดุ๊ก (Bar-le-Duc) หรือเมืองน็องซี (Nancy) พวกทหารได้ลงจากรถไฟที่เมืองต่าง ๆ เหล่านี้ ราวกับว่าพวกเขาเป็นผู้โดยสารในช่วงสงครามสงบ ดูเหมือนว่ามันเป็นแค่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับพวกเขาเท่านั้น พวกเขาหยิบเครื่องสะพายหลังมาสวมใส่ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงตลกว่า “เอาล่ะ สวัสดีคุณผู้หญิง คุณผู้ชาย” และคนที่ยังคงอยู่บนรถไฟซึ่งยังคงมองโลกในแง่ดี กล่าวตอบไปว่า “หวังว่าเราคงได้พบกันตอนขากลับนะ” “ใช่แล้ว เราต้องหวังเช่นนั้น เราไม่ได้ถูกฆ่ากันทั้งหมดหรอก” พวกเขายังคงมีท่าทางรื่นเริง และต่างมีใจคอหนักแน่น พวกเขาไม่แสดงความวิตกกังวลเลย ที่สถานีรถไฟแต่ละแห่ง พวกเขาได้พูดกับบรรดาทหารที่ยืนอยู่บนชานชลา ทหารเหล่านี้สวมใส่เครื่องแบบอยู่แล้ว ส่วนพวกเรานั้นจะได้ใส่เครื่องแบบทหารก่อนสิ้นสุดวันนี้ อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อแตกต่างเล็กน้อย พวกเรายังคงเป็นพลเรือนและเดินทางบนโบกี้สำหรับผู้ชาย แต่พวกเขา นายทหารเหล่านี้เดินทางบนโบกี้ที่ใช้ขนสัตว์ อย่างไรก็ตามพวกเขาได้รับการปฏิบัติดีกว่าพวกเราเล็กน้อย ไม่เป็นไรหรอก เราเข้าใจเรื่องเกียรติยศของมนุษย์ เรายังมีเกียรติอยู่บ้าง ผมสัญญากับตัวเองว่าจะเป็นพี่น้องกับทุกคน แต่ผมทำไม่ได้ ผมตำหนิเรื่องนี้ ผมไม่พูดอะไร ไม่มีเรื่องจะกล่าว ผมมองออกไปทางประตูของสถานีรถไฟ มองเห็นเต็นท์ตั้งอยู่ในสวนของสถานีรถไฟ ทำให้สถานีรถไฟตามต่างจังหวัดเหล่านี้ดูมีเสน่ห์สวยงาม เต็นท์เหล่านี้เป็นเต็นท์ของพวกแม่บ้านฝรั่งเศสที่เป็นกองกำลังสนับสนุน ภายในเต็นท์มีการรักษาพยาบาล นอกเต๊นท์มีสตรีใส่เสื้อสีขาวที่เดินไปมาข้าง ๆ โต๊ะ ชายใส่หมวกแก๊ปคนหนึ่งมาอยู่ข้าง ๆ ผม เอามือเท้าศอกที่ลูกกรงหน้าต่างของรถไฟ เขากล่าวกับผมว่า “ดูสาวน้อยน่ารักคนนั้นซิ ผมยอมไปทำสงครามเลยถ้ามีใครให้สาวน้อยอย่างนี้สักคนแก่ผม” คำพูดนี้ทำให้ผมนึกถึงพวกทหารบ้ากามในกองทหาร ผมเงียบ ไม่ตอบ ผมรู้สึกเศร้าใจกับคำพูดนั้น แย่ยิ่งกว่านั้นอีกเมื่อผมได้ยินไอ้หมอนี่พูดกับชายอีกคนหนึ่งซึ่งเงียบยิ่งกว่าผมอีก เขาพูดว่า “กลางคืนผมนอนไม่หลับ ผมปวดเท้า ผมต้องพูด ผมต้องพูดเพื่อให้ไม่ต้องวิตกกังวล”

ผมหลับไปเล็กน้อยหลังจากได้อ่านเรื่อง เลอ โพรเซ่ส์ (le Procès) เรื่อง เลอ บาญน์ (le Bagne) และอ่านหนังสือพิมพ์อีกสามสี่ฉบับ และแล้วผมเริ่มคอย ผมไม่รู้ว่าอยู่สถานีรถไฟไหนแล้ว ผมรู้แต่เพียงว่าผมต้องคอยจนกว่าสงครามจะสิ้นสุด มีทหารบนชานชลา กำลังคอย พวกนายทหารสัญญาบัตรต่างคอยเหมือนกัน ทุกคนกำลังคอย มันจะดำเนินต่อไป ที่เมืองเลรูวิลมีทหารมากมาย พวกเขาไม่ได้อ่านหนังสือพิมพ์มาสองวันแล้ว พวกเราให้หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งแก่พวกเขา เขาจะได้อ่านหนังสือพิมพ์ฉบับหน้าเมื่อไร ผมรู้สึกเฉย ๆ กับการรอคอยนี้ ผมถูกกักขังไว้ในลูกกรงนี้

บางเวลาภาพความทรงจำในอดีตปรากฏให้เห็น ภาพผมไปเดินเล่นกับคุณ แต่ผมหยุดนึกถึงภาพนั้น ผมสงบเงียบมาก บางทีผมไม่อดทนนะ แต่มันตลกดีนะ กลายเป็นว่าร่างกายของผมไม่อดทน ขาของผมต้องการเหยียด คอหอยของผมรู้สึกกระหายน้ำ ที่สุดจริงๆ คือผมก็รู้สึกไม่ดีเลยบนรถไฟขบวนนี้

ตีห้าสิบนาที เรายังไม่ถึงกัฟกา แต่เป็นที่กูร์เตอลีน ผมมาถึงค่ายทหารตอนตีสามด้วยอาการตกใจ ผมพูดกับตนเองว่า “ถึงแล้ว ในที่สุดก็มาถึงแล้ว”

ที่สถานีรถไฟ มีคนบอกกับผมว่า ให้ขึ้นรถรางสาย ๓ ผมขึ้นรถรางพร้อมกับทหารเกณฑ์อีก ๓ คน ผมข้ามเมืองไป ดูเหมือนเป็นเมืองในต่างจังหวัด ที่สถานีปลายทางมีชายคนหนึ่งมาหาผม เขาเป็นคนดี ผมต้องอยู่ในหน่วยของเขา เขายื่นเบียร์ให้ผมหนึ่งกระป๋อง ผมก็ยื่นเบียร์ให้เขาหนึ่งกระป๋อง ดื่มไปดื่มมาหลายกระป๋อง เราก็มาถึงอาคารครึ้ม ๆ ซอมซ่อ ห่างไกลจากชนบทมาก ผมพูดกับชายคนนั้นว่า “นายเห็นไหม ตอนนี้เรายังเป็นพลเรือนอยู่นะ แต่อีกด้านหนึ่งของลูกกรงที่ตึกนั้น เราไม่ได้เป็นพลเรือนอีกต่อไปนะ”

เขาตอบผมว่า “ใช่” เราเข้าไปในตึก แต่ต้องเดินผ่านตึกหลายหลัง เขาบอกผมว่า “ซาร์ต นายอยู่กับ แซด เดอ (Z II)” แต่กองทหารแซด เดอ ออกเดินทางไปแล้วนี่ ผมไม่รู้เลยว่าไปที่ไหน รู้แต่เพียงว่าเราต้องตามไป หน่วยแซด เดอ เป็นหน่วยสอดแนม คงไปไม่ไกลจากบริเวณนี้ เขาให้ชุดทหารให้ผมใส่โดยบอกผมว่า ผมพับขาข้างล่างขึ้นและใส่หมวกแก๊ปขนาดใหญ่ ตอนนี้ผมดูเหมือนเป็นผี ผมถือเอกสารและถามใคร ๆ เขาต่างบอกว่า “แซด เดอหรือ ไม่รู้จักนะ”

ในที่สุดผมนั่งบนพื้นฟางและนอนที่นั่น พวกคนที่นั่งมุงอยู่ที่โต๊ะต่างสนทนากันเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมือง อีกคนสวมชุดเอี๊ยมใหม่ ผมรู้สึกเฉย ๆ และดูเหมือนว่าตัวเล็กนิดเดียว แต่ความรู้สึกนี้คงอยู่ไม่นาน ผมถูกส่งไปตรงนี้ตรงนั้น ที่แย่ที่สุดคือ ผมไม่รู้ว่าจะให้คุณเขียนจดหมายส่งมาถึงผมที่ไหน นอกจากนี้ ผมไม่มีซองจดหมายไว้ใส่จดหมาย แต่ผมจะไปหามาให้ได้

ความรู้สึกของผมไม่เคยเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ครั้งล่าสุดที่เห็นหน้าตาเศร้าสร้อยของคุณ ตอนที่คุณยืนอยู่ทีหน้าประตูทางเข้าสถานีรถไฟการ์ เดอ แล๊สท์ (la gare de l’Est) ความรู้สึกของผมยังผูกพันกับภาพ ๆ นั้น และแสนเจ็บปวดรวดร้าว ตอนนี้ผมยังมีชีวิตแต่ไม่ได้มีโอกาสเห็นหน้าคุณ ที่รัก มันช่างทรมานมาก ถ้าคุณมานอนเคียงข้างผมบนกองฟางนี้ ผมจะมีความสุขและมีจิตใจเบิกบาน แต่คุณไม่ได้อยู่ที่นี่ ตรงนี้มีแต่พวกคนที่นอนกรนดังลั่น ที่รัก ผมรักคุณมากและผมต้องการคุณ ลาก่อน ผมจดจำเวลาที่อยู่กับคุณได้ ที่ร้านกาแฟเลอ โดม (le Dôme) เสียงโทรศัพท์ ภาพยนตร์ ผมเห็นเวลาเหล่านั้นยิ่งกว่าวันเวลาของผม ตอนนี้ผมจะเขียนจดหมายถึงพ่อแม่ของผมและถึงตาเนีย (Tania) ผมรักคุณสุดชีวิตนะครับ

 

วันศุกร์ที่ ๘ กันยายน ค.ศ. ๑๙๓๙

ที่รัก

เมื่อเช้านี้ผมดูรูปภาพที่แสนน่ารักของคุณเป็นเวลานาน ผมอยากหักห้ามใจไม่คิดถึงคุณ ผมเพียงแต่อยากได้อ่านจดหมายของคุณ แต่จดหมายฉบับนี้ ผมเศร้าใจมาก คุณควรรู้ไว้ว่าผมดีใจที่มีคุณ สำหรับผมแล้วคุณแข็งแกร่งมากกว่าปารีส เมืองปารีสอาจถูกทำลายได้ คุณเข้มแข็งกว่าทุกสิ่งทุกอย่าง คุณคือชีวิตของผม ผมรักคุณสุดหัวใจ”

เป็นอย่างไรบ้างครับ อ่านจดหมายรักของนักปรัชญานักเขียนผู้มีชื่อเสียงก้องโลก ทำให้เรารู้ว่าซาร์ตมีความรักต่อคนรักของเขามาก และสงครามไม่มีผลดีต่อทุกคนนะครับ     


วันพฤหัสบดี, ธันวาคม 01, 2565

มินามีเรื่องเล่า พ่อท่านรอด ติสฺสโร สมภารแห่งวัดควนกรวด Thai-English-French

 




มินามีเรื่องเล่า พ่อท่านรอด ติสฺสโร สมภารแห่งวัดควนกรวด Thai-English-French

          สวัสดีครับ วันนี้ขอเล่าเรื่องพ่อท่านรอด ติสׅสโร แห่งวัดควนกรวด จังหวัดพัทลุงนะครับ

          พ่อท่านรอด ติสׅสโร เกิดประมาณปี พ.ศ. ๒๓๙๘ และมรณภาพ ปี พ.ศ. ๒๔๗๒ ท่านมีพี่ชายคนโต ชื่อคง มีพี่สาวคนรอง ชื่อเนี่ยว และพ่อท่านรอดเป็นน้องคนสุดท้อง

          พ่อท่านรอดเป็นชาวบ้านท่าคุระ ตำบลคลองรี หรือบ้านท่าออก อำเภอสะทิงพระ จังหวัดสงขลา ในวัยหนุ่มท่านพ่อรอดออกจากบ้านเกิด ใช้ชีวิตตามประสาคนหนุ่มลูกผู้ชายทั่วไป ชอบผจญภัย ท่องเที่ยว คบเพื่อนแบบนักเลง ท่านมีเพื่อนมาก เมื่อท่องเที่ยวไปมากแห่งแล้ว ในที่สุดท่านได้ย้ายมาพำนักอยู่ที่เมืองพัทลุง

ควายผจญ

เล่ากันว่า เมื่อท่านรอดมีอายุครบบวช เดิมทีท่านตั้งใจจะไปบวชกับอุปัชฌาย์ที่วัดโคกชะงาย อำเภอเมืองพัทลุง

          ขณะที่ทำพิธีแห่นาค คณะญาติๆ แห่นาครอดขึ้นบนคานหาม ปรากฏว่ามีฝูงควายหลายตัววิ่งมาไล่ขวิดคนที่ขบวนแห่นาค ไม่มีใครรู้ว่าฝูงควายเหล่านี้มาจากไหน บรรดาคนหามนาครวมทั้งนาครอดต่างวิ่งหนีไปคนละทิศคนละทาง ดังนั้นความตั้งใจที่จะบวชที่วัดโคกชะงายจึงไม่สำเร็จ

          ต่อมาพ่อท่านรอดได้เป็นลูกศิษย์พระครูอินทโมลี สมภารวัดปรางหมู่นอก พ่อท่านรอดตัดสินใจไปบวชกับท่านอุปัชฌาย์พระครูอินทโมลี วัดปรางหมู่นอก สันนิษฐานว่าท่านอุปสมบทประมาณปี พ.ศ. ๒๔๑๘ หรือ พ.ศ. ๒๔๑๙

 

สมภารวัดควนกรวด

          เล่ากันว่า สมภารรักษ์ หรือพ่อท่านรักษ์ เป็นสมภารวัดควนกรวด ท่านเป็นเพื่อนกับพ่อท่านรอด

พ่อท่านรักษ์รู้จักอุปนิสัยใจคอของพ่อท่านรอดเป็นอย่างดี

          พ่อท่านรอดมีบุคลิกภาพดี มีความเป็นผู้นำ และมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด สมภารรักษ์ได้อาราธนานิมนต์พ่อท่านรอด ให้มาจำพรรษาที่วัดควนกรวด เพื่อจะได้สืบทอดตำแหน่งเจ้าอาวาสในโอกาสต่อไป

          ต่อมาเมื่อสมภารรักษ์มรณภาพ พ่อท่านรอดซึ่งบวชมาได้ ๑๓ พรรษา จึงได้รับตำแหน่งสมภารวัดควนกรวดเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๓๒

          พ่อท่านรอดเป็นสมภารที่วัดควนกรวดระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๓๒-๒๔๗๒

พ่อท่านรอดมรณภาพในปี พ.ศ. ๒๔๗๒

 

ความกตัญญูเป็นเครื่องหมายของคนดี

ย้อนกล่าวถึงพระอุปัชฌาย์ของพ่อท่านรอด คือพระครูอินทโมลี ตำแหน่ง “พระครูอินทโมลี” เป็นตำแหน่งหนึ่งของฝ่ายคณะสงฆ์แต่โบราณ ในสมัยนั้นสมภารที่วัดปรางหมู่นอกมีตำแหน่งเป็นพระครูอินทโมลี เป็นผู้ทํานุบํารุงวัดให้เจริญรุ่งเรือง

 

          พระอุปัชฌาย์ของพ่อท่านรอด คือพระครูอินทโมลี แห่งวัดปรางหมู่นอก ท่านมีนามเดิมว่า ”บุญแก้ว” เป็นบุตรของขุนรักษาพล ท่านเกิดเมื่อปีมะแม พ.ศ. ๒๓๗๕ บวชวัดปรางหมู่ใน แขวงปากประ

          ต่อมาท่านได้ย้ายมาอยู่วัดปรางหมู่นอก ดำรงตำแหน่งสมภารวัดปรางหมู่นอก และถึงแก่กรรมในปี พ.ศ. ๒๔๖๑ อายุประมาณ ๘๖ ปี

          ด้วยความสำนึกในบุญคุณของพระครูอินทโมลีผู้เป็นอุปัชฌาย์ พ่อท่านรอด ติสฺสโร ได้นำอัฐิของพระครูอินทโมลีเก็บไว้ในเขื่อน (บัว) ทางด้านทิศเหนือของเจดีย์ ทำให้เห็นถึงคุณธรรมอันสูงส่งด้านความกตัญญูกตเวทีต่อพระอุปัชฌาย์จารย์ของพ่อท่านรอด

 

วาจาสิทธิ์

พระครูอินทโมลีท่านเป็นเกจิอาจารย์ด้านการสร้างวัตถุมงคล ปลุกเสกเครื่องรางของขลัง มีลูกศิษย์ที่สืบทอดเจตนารมณ์หลายรูป และหนึ่งในลูกศิษย์ของท่านคือพ่อท่านรอดแห่งวัดควนกรวด พ่อท่านรอดคงจะเรียนรู้และสืบทอดด้านวิทยาคมเครื่องรางของขลังมาจากพระครูอินทโมลี

          เล่ากันว่า พ่อท่านรอด ติสׅสโร เป็นผู้มีวาจาสิทธิ์ พูดอะไรแล้วย่อมเป็นอย่างที่กล่าว ท่านจึงไม่ค่อยพูดจาต่อว่าใคร ท่านเป็นพระที่มีเมตตาธรรมสูงเป็นที่เคารพนับถือของพุทธศาสนิกชน โดยเฉพาะชาวบ้านควนกรวด

ยามใดที่ฝนไม่ตกตามฤดูกาล ชาวบ้านก็จะบนบานขอฝนต่อท่าน ฝนก็จะตกลงมาจริงๆ นับเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ใจของบรรดาลูกศิษย์และชาวบ้านเสมอมา

พ่อท่านรอดยังเป็นพระอุปัชฌาย์ของหลวงปู่พระธรรมปัญญาบดี (เพียร อุตตมะมหาเถระ) อดีตเจ้าคณะภาค ๑๘ อีกด้วย

 

เหรียญพ่อท่านรอด

เรื่องราวการสร้างเหรียญอุปัชฌาย์รอด รุ่นแรก มีขึ้นเมื่อคณะพุทธบริษัทชาวบ้านควนกรวด ได้พร้อมใจกันสร้างเหรียญพ่อท่านรอดเมื่อปีพ.ศ. ๒๕๑๗ จำนวนประมาณ ๑,๕๐๐ – ๒,๐๐๐ เหรียญ เป็นที่ยอมรับกันว่า บารมีพ่อท่านรอดช่วยสร้างมงคล พุทธานุภาพของเหรียญรุ่นนี้เป็นสุดยอดของความเป็นสิริมงคล สำหรับผู้ยึดถือบูชา ช่วยป้องกันสิ่งอันเป็นอัปมงคลที่เกิดจากภูตผีปีศาจหรืออมนุษย์ได้

เหรียญพ่อท่านรอดรุ่น ๒๕๑๗ มีส่วนสูง ๓ เซนติเมตร ส่วนกว้าง ๒ เซนติเมตร ด้านหน้ามีรูปเหมือนพ่อท่านรอด จารึกว่า “วัดควนกรวด อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง” ด้านหลังมีรูปยันต์ฯ จารึกว่า “ที่ระลึกในงานสร้างอุโบสถ พ.ศ. ๒๕๑๗”

 

อนุสาวรีย์พ่อท่านรอด ติสฺสโร

ในปี พ.ศ. ๒๕๕๐ พระปลัดสุบุญธรรม ฉันทฺธมฺโม เจ้าอาวาสวัดควนกรวด พร้อมคณะกรรมการวัดควนกรวด และคณะพุทธบริษัท ได้พร้อมใจกันสร้างอนุสาวรีย์รูปเหมือนพ่อท่านรอดพร้อมอัญเชิญประดิษฐานไว้ในอาคารทรงไทยสวยงาม โดยมีพิธีเททองหล่อรูปขนาดเท่าตัวจริงเมื่อวันพุธที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๐

          เพื่อหาทุนดำเนินการก่อสร้างอนุสาวรีย์นี้ ได้มีการสร้างพระเครื่องและพระบูชาขนาดต่างๆ คือ พระบูชาหน้าตักกว้าง ๕ นิ้ว จำนวน ๓๐๐ องค์ พระบูชา เพื่อประดิษฐานเป็นสิริมงคลหน้ารถยนต์ ขนาดหน้าตัก ๒ นิ้ว จำนวน ๗๐๐ องค์ พระกริ่งพ่อท่านรอด จำนวน ๘,๐๐๐ องค์ พระเครื่องเหรียญสีเหลือง-สีดำ จำนวน ๑๐,๐๐๐ เหรียญ

ช่างหล่อรูปเหมือนได้อัญเชิญรูปพ่อท่านรอดกลับไปกรุงเทพฯ เพื่อตกแต่งสวยงามและนำกลับวัดควนกรวดอีกครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ ๙ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๐

นี้คือเรื่องราวพ่อท่านรอด แห่งวัดควนกรวด ที่พอจะนำมาเล่าสู่กันฟัง ท่านที่มีโอกาสได้ไปเยี่ยม

จังหวัดพัทลุง ขอเชิญมานมัสการรูปเหมือนพ่อท่านรอด ติสฺสโร นะครับ

 

แหล่งข้อมูลประกอบการเล่าเรื่อง 

จรัส บัวขวัญ. แลหลังบ้านควนกรวด

**************

Mina’s stories: Venerable Rod Tissaro of Khuan Kruad Temple

Today I would like to tell you about the story of Phor Than Rod, former abbot of Khuan Kruad Temple, in Phatthalung.

It is believed that Phor Than Rod was born in 1855. He passed away in 1929. His eldest brother is Khong, his elder sister is Neao. Phor Than Rod is the youngest brother.

Phor Than Rod was born in Tha Kura Village or Tha Ok Village of Khlong Ri Sub-district, Sathing Phra District, Songkhla Province.

Like other young men, Phor Than Rod did a lot of adventurous activities. He had a lot of friends. He left his hometown and lived in Phatthalung.

At the age of entering Buddhist priesthood, Phor Than Rod would like to be ordained in Khok Cha-ngai Temple situated in Muang Phatthalung District. The ordination procession was held. Phor Than Rod, dressed in white, sitting on the palanquin carried by his friends. Suddenly, a herd of buffalos ran to the procession, everybody ran away. The ordination ceremony was cancelled. 

Afterwards, Phor Than Rod was a disciple of Phra Khru Inthamoli, abbot of Prang Mu Nok Temple. The abbot ordained Phor Than Rod in 1875 or 1876. Phor Than Rod spent his priesthood studying Dhamma in Prang Mu Temple.

At that time, one of Phor Than Rod’s friends, Venerable Rak, abbot of Khuan Kraud Temple invited Phor Than Rod to stay in Khuan Kruad Temple. He knew that Phor Than Rod was an intellectual monk who was full of leadership. He hoped that Phor Than Rod would be the temple abbot in the future. Phor Than Rod then came to stay in Khuan Kruad temple.

Later, Venerable Rak passed away. Than Por Rod was nominated the abbot of Khuan Kruad Temple in 1889. He was the abbot from 1889 to 1929. He passed away in 1929.

          Phor Than Rod was a monk who never forgot his teacher’s kindness. After that Phra Khru Inthamoli passed away, Phor Than Rod had the small chedi built to keep the ashes of his teacher.

A monk of sacred sayings.

          Phor Than Rod was known as a monk of sacred sayings. During the rainy season, there was no rain, the villagers paid respect to the statue. Their wishes became true.

          So, I hope that you will have a chance to go to pay respect to Phor Than Rod’s statue situated in Khuan Kruad Temple, in Phatthalung.

******************

Histoires de Mina : le vénérable Rod Tissaro du temple Khuan Kruad

          Aujourd’hui, j'ai le plaisir de vous raconter l'histoire intéressante de l’ancien abbé du temple Khuan Kruad, situé dans la province de Phatthalung.

On pense que Phor Than Rod est né en 1855. Il est décédé en 1929. Son frère aîné s’appelle Khong, sa grande sœur s’appelle Neao. Phor Than Rod est le cadet.

          Phor Than Rod fut né dans le village de Tha Kura ou peut-être dans le village de Tha Ok du sous-district de Khlong Ri, district de Sathing Phra, province de Songkhla.

 

Comme d'autres jeunes hommes, Phor Than Rod fit de nombreuses activités aventureuses. Il avait beaucoup d'amis. Il quitta sa ville natale et vécut à Phatthalung.

À l'âge de l'entrée dans les ordres bouddhistes, Phor Than Rod aimerait être ordonné dans le temple Khok Cha-ngai, situé dans le district de Muang Phatthalung. La procession d'ordination eut lieu devant le temple. Phor Than Rod, vêtu de blanc, assis sur le palanquin porté par ses amis. La procession continuait avec joie. Soudain, un troupeau de buffles courra vers les gens, tout le monde s'enfuit. La cérémonie d'ordination fut annulée. Pas de chance pour se faire moine.

          Par la suite, Phor Than Rod était un disciple de Phra Khru Inthamoli, abbé du temple Prang Mu Nok. L'abbé ordonna Phor Than Rod en 1875 ou en 1876. Phor Than Rod passa sa vie religieuse à étudier le Dhamma dans le temple Prang Mu.

          Plus tard, son ami, Phor Than Rak, l’abbé du temple Khuan Kruad, invita Phor Than Rod à venir séjourner au temple Khuan Kruad. Il savait que son ami était un moine intellectuel très respecté des villageois. Phor Than Rod vint ensuite séjourner dans le temple de Khuan Kruad.

Plus tard, Phor Than Rak fut décédé. Por Than Rod fut nommé abbé du temple Khuan Kruad en 1889. Il occupa la fonction de 1889 à 1929. Il fut décédé en 1929.

Phor Than Rod était un moine qui n’oublia jamais la gentillesse de son professeur. Après la mort de Phra Khru Inthamoli, Phor Than Rod fit construire le petit chédi pour renfermer les cendres de son professeur.

Un moine de paroles sacrées.

Phor Than Rod était connu comme un moine qui avait un pouvoir de paroles sacrées.

Quand il n'y avait pas de pluie pendant la saison des pluies, les villageois rendirent hommage à la statue. Puis leurs souhaits se réalisèrent.

J’espère donc que vous aurez l’occasion d’aller rendre hommage à la statue de Phor Than Rod, située dans le temple Khuan Kruad, à Phatthalung.

*******


มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French

  มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French กรมหลวงพิพิธมนตรี (พระพันวัสสาน้อย) เป็นพระอัครมเหสีน้อยของสมเด็จพ...