มินามีเรื่องเล่า จดหมายรักจากฌ็อง-ปอล
ซาร์ตถึงซีโมน เดอ โบวัวร์
สวัสดีครับ วันนี้ผมรื้อเอกสารเก่าๆ เจอเอกสารเล่าเรื่องจดหมายรักของฌ็อง-ปอล
ซาร์ตและซีโมน เดอโบวัวร์ เลยขอนำมาเล่าสู่กันฟังนะครับ
ฌ็อง-ปอล ซาร์ตและซีโมน
เดอโบวัวร์เป็นใคร จะเล่าสู่กันฟังในโอกาสหน้าครับ แต่ถ้าท่านเป็น FC ของฌ็อง-ปอล ซาร์ตและซีโมน
เดอโบวัวร์ คงรู้จักบุคคลผู้มีชื่อเสียงทั้งสองท่านนี้ครับ
ปี ค.ศ. ๑๙๓๙ ฌ็อง-ปอล ซาร์ตถูกเกณฑ์ทหารเหมือนชายหนุ่มคนอื่น
ๆ แต่เขาได้เขียนจดหมายรักถึงคนรักชื่อซีโมน เดอโบวัวร์ โดยเรียกชื่อเธอว่า
“แม่ดวงดาวของฉัน”
ฌ็อง-ปอล ซาร์ตเขียนจดหมายถึงหญิงสาวคนรักชื่อ
ซีโมน เดอ โบวัวร์ เมื่อเดือนกันยายน ปี ค.ศ. ๑๙๓๙ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เกิดสงครามโลกครั้งที่
๒
หนุ่มน้อยฌ็อง-ปอล ซาร์ตถูกเกณฑ์ทหารและต้องเดินทางห่างไกลจากกรุงปารีส
เขาต้องอยู่ห่างจากคนรักเป็นเวลาหลายเดือน ช่วงเวลาที่ต้องอยู่ห่างจากกันหลายเดือนทำให้ซาร์ตเขียนจดหมายติดต่อเธอเป็นเวลานาน
หลังจากที่นักเขียนผู้โด่งดังคนนี้เสียชีวิตได้
๓ ปี ได้มีการนำจดหมายติดต่อกันระหว่างคู่รักทั้งสองคนมาตีพิมพ์ในนิตยสาร เลอ ต็องส์
โมแดร์น (Le Temps Modernes) ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม
ค.ศ. ๑๙๘๓ ก่อนที่จะมีการตีพิมพ์เป็นหนังสือในเวลาต่อมา
จดหมายนี้ทำให้เราเห็นภาพของซาร์ตในมิติที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
เบื้องหลังภาพทหารที่มีเลือดนองท่วมตัวเป็นภาพของชายหนุ่มที่มีความรัก
ความอ่อนหวานและมอบหัวใจให้กับหญิงสาวที่เขาร่วมแบ่งปันชีวิต เขากลัวว่าจะต้องจากเธอไปโดยไม่มีโอกาสได้กลับมาเห็นหน้าเธออีก
ตัวอักษรที่รจนาไว้ในจดหมายเหล่านี้ทำให้เห็นถึงภาพสงครามที่กำลังเกิดขึ้น
อดีตที่ผ่านมาไม่นานและความรักที่ซาร์ตมีต่อคนรัก
นี้คือเรื่องราวของคู่หนุ่มสาวที่มีชื่อเสียงที่สุดในช่วงปลายศตวรรษที่ ๑๙
เนื้อความในจดหมายมีดังต่อไปนี้
วันเสาร์ที่ 2
กันยายน ค.ศ. 1939
ที่รักของผม
ผมเขียนจดหมายถึงคุณขณะที่อยู่ที่เมืองตูล
(Toul) รถไฟได้จอดที่สถานีนี้
๒๐ นาทีแล้ว ใครจะไปรู้ได้ว่า มันจะออกเดินทางอีกเมื่อไร ตอนนี้กำลังมีการขนหน้ากากกันแก๊สพิษใส่โบกี้สินค้า
รถไฟอีกขบวนหนึ่งเพิ่งเดินทางไปปารีส บนรถไฟขบวนนั้นมีผู้หญิงและเด็กเต็มไปหมด บางคนในโบกี้ของเราร้องตะโกนไปว่า
“ฝากสวัสดีปารีสให้ด้วย” และพูดต่อไปอีกว่า “เราจะได้กลับไปที่นั่นไหม
? อนิจจา !”
เรายังคงเดินทางไปยังกัฟกา (Kafka)
เราเดินทางมาแล้ว ๗ ชั่วโมงแล้ว ยังเหลือระยะทางอีกประมาณ ๕๐ กิโลเมตร รถไฟจอดทุกสถานีเลย
แม้ว่ามันเป็นรถด่วน แต่น่าจะเป็นรถหวานเย็นที่จอดทุกแห่งมากกว่า
บนขบวนรถมีผู้หญิงและเด็กมากพอสมควร บนโบกี้ของเรามีหญิงชราคนหนึ่งซึ่งเหมือนกับคุณกองก์
(Mme Canque)
ที่พวกทหารเกณฑ์มองว่ามีท่าทางเหมือนเป็นแม่หรือสตรีจ๋าเลย
ผู้คนต่างมีจุดหมายปลายทางของตัวเอง คนบนรถไฟแต่ละคนต่างมีสถานีปลายทางของตนเอง
เช่นไปเมืองตูล (Toul)
เมืองเลรูวีล (Lérouville) เมืองบาร์-เลอ-ดุ๊ก (Bar-le-Duc) หรือเมืองน็องซี (Nancy) พวกทหารได้ลงจากรถไฟที่เมืองต่าง ๆ
เหล่านี้ ราวกับว่าพวกเขาเป็นผู้โดยสารในช่วงสงครามสงบ ดูเหมือนว่ามันเป็นแค่เรื่องเล็ก
ๆ น้อย ๆ สำหรับพวกเขาเท่านั้น พวกเขาหยิบเครื่องสะพายหลังมาสวมใส่ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงตลกว่า
“เอาล่ะ สวัสดีคุณผู้หญิง คุณผู้ชาย” และคนที่ยังคงอยู่บนรถไฟซึ่งยังคงมองโลกในแง่ดี
กล่าวตอบไปว่า “หวังว่าเราคงได้พบกันตอนขากลับนะ” “ใช่แล้ว เราต้องหวังเช่นนั้น เราไม่ได้ถูกฆ่ากันทั้งหมดหรอก”
พวกเขายังคงมีท่าทางรื่นเริง และต่างมีใจคอหนักแน่น พวกเขาไม่แสดงความวิตกกังวลเลย
ที่สถานีรถไฟแต่ละแห่ง พวกเขาได้พูดกับบรรดาทหารที่ยืนอยู่บนชานชลา ทหารเหล่านี้สวมใส่เครื่องแบบอยู่แล้ว
ส่วนพวกเรานั้นจะได้ใส่เครื่องแบบทหารก่อนสิ้นสุดวันนี้ อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อแตกต่างเล็กน้อย
พวกเรายังคงเป็นพลเรือนและเดินทางบนโบกี้สำหรับผู้ชาย แต่พวกเขา นายทหารเหล่านี้เดินทางบนโบกี้ที่ใช้ขนสัตว์
อย่างไรก็ตามพวกเขาได้รับการปฏิบัติดีกว่าพวกเราเล็กน้อย ไม่เป็นไรหรอก เราเข้าใจเรื่องเกียรติยศของมนุษย์
เรายังมีเกียรติอยู่บ้าง ผมสัญญากับตัวเองว่าจะเป็นพี่น้องกับทุกคน แต่ผมทำไม่ได้ ผมตำหนิเรื่องนี้
ผมไม่พูดอะไร ไม่มีเรื่องจะกล่าว ผมมองออกไปทางประตูของสถานีรถไฟ
มองเห็นเต็นท์ตั้งอยู่ในสวนของสถานีรถไฟ
ทำให้สถานีรถไฟตามต่างจังหวัดเหล่านี้ดูมีเสน่ห์สวยงาม
เต็นท์เหล่านี้เป็นเต็นท์ของพวกแม่บ้านฝรั่งเศสที่เป็นกองกำลังสนับสนุน
ภายในเต็นท์มีการรักษาพยาบาล นอกเต๊นท์มีสตรีใส่เสื้อสีขาวที่เดินไปมาข้าง ๆ โต๊ะ
ชายใส่หมวกแก๊ปคนหนึ่งมาอยู่ข้าง ๆ ผม เอามือเท้าศอกที่ลูกกรงหน้าต่างของรถไฟ
เขากล่าวกับผมว่า “ดูสาวน้อยน่ารักคนนั้นซิ ผมยอมไปทำสงครามเลยถ้ามีใครให้สาวน้อยอย่างนี้สักคนแก่ผม”
คำพูดนี้ทำให้ผมนึกถึงพวกทหารบ้ากามในกองทหาร ผมเงียบ ไม่ตอบ
ผมรู้สึกเศร้าใจกับคำพูดนั้น
แย่ยิ่งกว่านั้นอีกเมื่อผมได้ยินไอ้หมอนี่พูดกับชายอีกคนหนึ่งซึ่งเงียบยิ่งกว่าผมอีก
เขาพูดว่า “กลางคืนผมนอนไม่หลับ ผมปวดเท้า ผมต้องพูด ผมต้องพูดเพื่อให้ไม่ต้องวิตกกังวล”
ผมหลับไปเล็กน้อยหลังจากได้อ่านเรื่อง
เลอ โพรเซ่ส์ (le Procès) เรื่อง เลอ บาญน์ (le Bagne) และอ่านหนังสือพิมพ์อีกสามสี่ฉบับ และแล้วผมเริ่มคอย
ผมไม่รู้ว่าอยู่สถานีรถไฟไหนแล้ว ผมรู้แต่เพียงว่าผมต้องคอยจนกว่าสงครามจะสิ้นสุด มีทหารบนชานชลา
กำลังคอย พวกนายทหารสัญญาบัตรต่างคอยเหมือนกัน ทุกคนกำลังคอย มันจะดำเนินต่อไป
ที่เมืองเลรูวิลมีทหารมากมาย พวกเขาไม่ได้อ่านหนังสือพิมพ์มาสองวันแล้ว พวกเราให้หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งแก่พวกเขา
เขาจะได้อ่านหนังสือพิมพ์ฉบับหน้าเมื่อไร ผมรู้สึกเฉย ๆ กับการรอคอยนี้ ผมถูกกักขังไว้ในลูกกรงนี้
บางเวลาภาพความทรงจำในอดีตปรากฏให้เห็น
ภาพผมไปเดินเล่นกับคุณ แต่ผมหยุดนึกถึงภาพนั้น ผมสงบเงียบมาก บางทีผมไม่อดทนนะ แต่มันตลกดีนะ
กลายเป็นว่าร่างกายของผมไม่อดทน ขาของผมต้องการเหยียด คอหอยของผมรู้สึกกระหายน้ำ ที่สุดจริงๆ
คือผมก็รู้สึกไม่ดีเลยบนรถไฟขบวนนี้
ตีห้าสิบนาที
เรายังไม่ถึงกัฟกา แต่เป็นที่กูร์เตอลีน ผมมาถึงค่ายทหารตอนตีสามด้วยอาการตกใจ
ผมพูดกับตนเองว่า “ถึงแล้ว ในที่สุดก็มาถึงแล้ว”
ที่สถานีรถไฟ
มีคนบอกกับผมว่า ให้ขึ้นรถรางสาย ๓
ผมขึ้นรถรางพร้อมกับทหารเกณฑ์อีก ๓ คน ผมข้ามเมืองไป ดูเหมือนเป็นเมืองในต่างจังหวัด
ที่สถานีปลายทางมีชายคนหนึ่งมาหาผม เขาเป็นคนดี ผมต้องอยู่ในหน่วยของเขา
เขายื่นเบียร์ให้ผมหนึ่งกระป๋อง ผมก็ยื่นเบียร์ให้เขาหนึ่งกระป๋อง
ดื่มไปดื่มมาหลายกระป๋อง เราก็มาถึงอาคารครึ้ม ๆ ซอมซ่อ ห่างไกลจากชนบทมาก
ผมพูดกับชายคนนั้นว่า “นายเห็นไหม ตอนนี้เรายังเป็นพลเรือนอยู่นะ
แต่อีกด้านหนึ่งของลูกกรงที่ตึกนั้น เราไม่ได้เป็นพลเรือนอีกต่อไปนะ”
เขาตอบผมว่า
“ใช่” เราเข้าไปในตึก แต่ต้องเดินผ่านตึกหลายหลัง เขาบอกผมว่า “ซาร์ต นายอยู่กับ
แซด เดอ (Z II)” แต่กองทหารแซด เดอ ออกเดินทางไปแล้วนี่
ผมไม่รู้เลยว่าไปที่ไหน รู้แต่เพียงว่าเราต้องตามไป หน่วยแซด เดอ เป็นหน่วยสอดแนม
คงไปไม่ไกลจากบริเวณนี้ เขาให้ชุดทหารให้ผมใส่โดยบอกผมว่า
ผมพับขาข้างล่างขึ้นและใส่หมวกแก๊ปขนาดใหญ่ ตอนนี้ผมดูเหมือนเป็นผี ผมถือเอกสารและถามใคร
ๆ เขาต่างบอกว่า “แซด เดอหรือ ไม่รู้จักนะ”
ในที่สุดผมนั่งบนพื้นฟางและนอนที่นั่น
พวกคนที่นั่งมุงอยู่ที่โต๊ะต่างสนทนากันเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมือง
อีกคนสวมชุดเอี๊ยมใหม่ ผมรู้สึกเฉย ๆ และดูเหมือนว่าตัวเล็กนิดเดียว
แต่ความรู้สึกนี้คงอยู่ไม่นาน ผมถูกส่งไปตรงนี้ตรงนั้น ที่แย่ที่สุดคือ ผมไม่รู้ว่าจะให้คุณเขียนจดหมายส่งมาถึงผมที่ไหน
นอกจากนี้ ผมไม่มีซองจดหมายไว้ใส่จดหมาย แต่ผมจะไปหามาให้ได้
ความรู้สึกของผมไม่เคยเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ครั้งล่าสุดที่เห็นหน้าตาเศร้าสร้อยของคุณ
ตอนที่คุณยืนอยู่ทีหน้าประตูทางเข้าสถานีรถไฟการ์ เดอ แล๊สท์ (la gare de l’Est) ความรู้สึกของผมยังผูกพันกับภาพ ๆ นั้น
และแสนเจ็บปวดรวดร้าว ตอนนี้ผมยังมีชีวิตแต่ไม่ได้มีโอกาสเห็นหน้าคุณ ที่รัก
มันช่างทรมานมาก ถ้าคุณมานอนเคียงข้างผมบนกองฟางนี้ ผมจะมีความสุขและมีจิตใจเบิกบาน
แต่คุณไม่ได้อยู่ที่นี่ ตรงนี้มีแต่พวกคนที่นอนกรนดังลั่น ที่รัก
ผมรักคุณมากและผมต้องการคุณ ลาก่อน ผมจดจำเวลาที่อยู่กับคุณได้ ที่ร้านกาแฟเลอ โดม
(le Dôme) เสียงโทรศัพท์ ภาพยนตร์
ผมเห็นเวลาเหล่านั้นยิ่งกว่าวันเวลาของผม
ตอนนี้ผมจะเขียนจดหมายถึงพ่อแม่ของผมและถึงตาเนีย (Tania) ผมรักคุณสุดชีวิตนะครับ
วันศุกร์ที่ ๘
กันยายน ค.ศ. ๑๙๓๙
ที่รัก
เมื่อเช้านี้ผมดูรูปภาพที่แสนน่ารักของคุณเป็นเวลานาน
ผมอยากหักห้ามใจไม่คิดถึงคุณ ผมเพียงแต่อยากได้อ่านจดหมายของคุณ แต่จดหมายฉบับนี้
ผมเศร้าใจมาก คุณควรรู้ไว้ว่าผมดีใจที่มีคุณ สำหรับผมแล้วคุณแข็งแกร่งมากกว่าปารีส
เมืองปารีสอาจถูกทำลายได้ คุณเข้มแข็งกว่าทุกสิ่งทุกอย่าง คุณคือชีวิตของผม
ผมรักคุณสุดหัวใจ”
เป็นอย่างไรบ้างครับ
อ่านจดหมายรักของนักปรัชญานักเขียนผู้มีชื่อเสียงก้องโลก ทำให้เรารู้ว่าซาร์ตมีความรักต่อคนรักของเขามาก
และสงครามไม่มีผลดีต่อทุกคนนะครับ

เยี่ยมมาก อยากเห็นต้นฉบับภาษาฝรั่งเศสมานาน
ตอบลบ