Chalermkiat Mina

วันจันทร์, พฤศจิกายน 21, 2565

มินามีเรื่องเล่า พระภราดา และพระภคินี ร.๑ Thai-English-French

 


มินามีเรื่องเล่า พระภราดา (พี่ชายน้องชาย) และพระภคินี (พี่สาวน้องสาว) ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช Thai-English-French
สวัสดีครับ วันนี้ขอเล่าเรื่องของพระภราดา (พี่ชายน้องชาย) และพระภคินี (พี่สาวน้องสาว) ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช นะครับ
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชนิพนธ์เรื่องปฐมวงศ์ว่า พระราชบิดาของสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (รัชกาลที่ ๑) ทรงสืบเชื้อสายมาจากเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) ซึ่งท่านเป็นราชทูตไทยไปฝรั่งเศสในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ในปี พ.ศ. ๒๒๒๙
พระราชบิดาของรัชกาลที่ ๑ (พระปฐมบรมมหาชนก) มีพระนามเดิมว่า ทองดี มีพระอัครชายา มีพระนามเดิมว่า หยก หรือ ดาวเรือง ทั้งสองพระองค์มีพระโอรสธิดา ๗ พระองค์ ได้แก่
๑. สมเด็จเจ้าฟ้าหญิง กรมพระเทพสุดาวดี (สมเด็จพระพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาเทพสุดาวดี) มีพระนามเดิมว่า สา
๒. สมเด็จพระเจ้าขุนรามณรงค์ มีพระนามเดิมว่า ราม
๓. สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงกรมพระศรีสุดารักษ์ (สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์) มีพระนามเดิมว่า แก้ว บางแห่งเรียก พระตำหนักแดง
๔. พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช มีพระนามเดิมว่า ทองด้วง หรือ ด้วง
๕. สมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคล (สมเด็จพระบวรราชเจ้า มหาสุรสิงหนาท) มีพระนามเดิมว่า บุญมา
๖. พระองค์เจ้าหญิงกุ (พระเจ้าน้องนางเธอ กรมหลวงนรินทรเทวี คนทั้งหลายเรียกว่า เจ้าครอกวัดโพธิ์ เพราะพระองค์ท่านเสด็จอยู่วังริมวัดพระเชตุพนฯ คำว่า เจ้าครอก หมายความว่า เป็นเจ้าโดยกำเนิด
๗. สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงกรมหลวงจักรเจษฎา (สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงจักรเจษฎา) มีพระนามเดิมว่า ลา
พระภราดา (พี่ชายน้องชาย) และพระภคินี (พี่สาวน้องสาว) ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รวม ๖ พระองค์ ครับ
แหล่งข้อมูลประกอบการเล่าเรื่อง
กรมศิลปากร. สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์. ๒๕๕๔. ราชสกุลวงศ์. พิมพ์ครั้งที่ ๔. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ สกสค. ลาดพร้าว
**********************
Mina’s stories
The Brothers and Sisters of King Buddha Yod Fa Chulaloke (Rama I)
Today I will tell you about the brothers and the sisters of King Buddha Yodfa Chulaloke (Rama I).
King Mongkut or Phra Chom Kao Chao Yu Hua (Rama IV), the grandchild of King Rama I, wrote about the origin of his royal family. His family was the descendants of Phraya Kosathibbodi, King Narai’s ambassador who went to France in 1686.
King Bhudda Yodfa’s father is Thongdi. His mother is Yok or Dao Roeung. His parents had 7 children, namely:
1. Princess Dhepsudawadee, her given name is Sa;
2. Prince Khun Ram Narong, his given name is Ram;
3. Princess Sisudarak, her given name is Kaeo;
4. King Buddha Youfa Chulaloke, his given name is Thong Duang or Duang;
5. Prince Mahasurasihanat, his given name is Boonma;
6. Princess Narintharathevi, her given name is Ku;
7. Princess Chak Cheksada, her given name is La.
Hence, King Bhudda Yod Fa Chulaloke the Great (Rama I of Chakri Dynasty) has 6 brothers and sisters.
*************************
Histoires de Mina
Les frères et sœurs du Roi Buddha Yodfa Chulaloke (Rama Ier)
Aujourd'hui, je parle des frères et sœurs du roi Buddha Yodfa Chulaloke (Rama Ier).
Le roi Mongkut ou Phra Chom Kao Chao Yu Hua (Rama IV), le petit-fils de Rama Ier, a écrit sur l'origine de sa famille royale.
Sa famille était la descendante de Phraya Kosathibbodi, l'ambassadeur du roi Naraï qui s'est rendu en France en 1686.
Le père du roi Bhudda Yodfa est Thongdi. Sa mère est Yok ou Dao Roeung. Ses parents ont eu 7 enfants, à savoir :
1. la princesse Dhepsudawadee, son prénom est Sa ;
2. le prince Khun Ram Narong, son prénom est Ram ;
3. la princesse Sisudarak, son prénom est Kaeo ;
4. le roi Bouddha Youfa Chulaloke, son prénom est Thong Duang ou Duang ;
5. le prince Mahasurasihanat, son prénom est Boonma ;
6. la princesse Narintharathevi, son prénom est Ku ;
7. la princesse Chak Cheksada, son prénom est La.
Donc, le roi Bhudda Yodfa Chulaloke a 6 frères et sœurs.
*****************************

วันอาทิตย์, พฤศจิกายน 20, 2565

มินามีเรื่องเล่า พระธาดาอำนวยเดช (ท้าวพรหม) เจ้าเมืองจตุรพักตรพิมาน

 


มินามีเรื่องเล่า พระธาดาอำนวยเดช (ท้าวพรหม) เจ้าเมืองจตุรพักตรพิมาน

          สวัสดีครับ วันนี้ของเล่าเรื่อง พระธาดาอำนวยเดช (ท้าวพรหม) เจ้าเมืองคนแรกของเมืองจตุรพักตรพิมาน ปัจจุบันคืออำเภอจตุพักตรพิมาน จังหวัดร้อยเอ็ดครับ

          พระธาดาอำนวยเดชเป็นใคร

          พระธาดาอำนวยเดช เดิมมีชื่อว่า ท้าวพรหม หรือท้าวพรม หรือท้าวสุพรม หรือท้าวสุพรหม ท่านเป็นต้นสกุล “สุวรรณธาดา” นะครับ

          พระธาดาอำนวยเดช (ท้าวพรหม) เป็นบุตรคนที่ ๔ ของพระรัตนวงษา (ท้าวคำสิงห์) เจ้าเมืองสุวรรณภูมิคนที่ ๑๒ กับท่านแม่โซ่น (แป้)

          จำกันได้นะครับว่า พระรัตนวงษา (ท้าวคำสิงห์) ท่านเป็นบุตรของพระรัตนวงษา (ท้าวภู) เจ้าเมืองสุวรรณภูมิคนที่ ๘

          พระรัตนวงษา (ท้าวภู) ท่านเป็นบุตรคนที่ ๒ ของท้าวทนต์ เจ้าเมืองสุวรรณภูมิคนที่ ๓ ซึ่งต่อมาท้าวทนต์ได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระขัติยวงษา (ท้าวทนต์) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ ๑

          ดังนั้น พระธาดาอำนวยเดช (ท้าวพรหม) ท่านจึงเป็นหลานปู่ของพระรัตนวงษา (ภู) และเป็นเหลนของพระขัติยวงษา (ท้าวทนต์) ครับ

          พระธาดาอำนวยเดชท่านมีพี่น้องรวมกัน ๕ ท่าน ได้แก่

๑.    นางทอง ท่านได้สมรสกับเจ้าเมืองสุรินทร์

๒.    ท้าวขัติย (ท้าวเทศ) เจ้าเมืองพยัคฆภูมิพิสัยคนแรก ท่านได้รับ พระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นามว่า พระศรีสุวรรณวงศา (เป็นเจ้าเมืองระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๒๒-พ.ศ. ๒๔๓๖)

๓.    ท้าวโพธิสาร (ท้าวเดช) ท่านได้รับการแต่งตั้งให้เป็น พระศรีสุวรรณวงศา ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองพยัคฆภูมิพิสัยคนที่สองต่อจากท้าวเทศ พี่ชายของท่าน

๔.    หลวงพรหมพิทักษ์ (ท้าวพรหม) ท่านได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระ ธาดาอำนวยเดช (ท้าวพรหม) เจ้าเมืองจตุรพักตรพิมาน

๕.    ท้าวสุริยวงศ์ (ท้าวเพชร) ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยเมืองสุวรรณภูมิ

 

         พระธาดาอำนวยเดช (ท้าวพรหม) เกิดเมื่อปีระกา เดือน ๙ พ.ศ. ๒๓๙๕  ในรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งในขณะนั้นบิดาของท่าน คือ พระรัตนวงษา (ท้าวคำสิงห์) ดำรงตำแหน่งอุปฺฮาด (คำสิงห์) ในสมัยของพระรัตนวงษา (ท้าวคำผาย) เจ้าเมืองสุวรรณภูมิคนที่ ๑๑

          ในปี พ.ศ. ๒๔๑๓ ท้าวพรหมมีอายุ ๑๘ ปี บิดาของท่าน คือ อุปฮาด (ท้าวคำสิงห์) ได้ส่งท่านไปถวายตัวเป็นมหาดเล็กเพื่อเรียนวิชาการเมืองการปกครองในพระบรมมหาราชวังในสมัยของพระบาทสมด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕  ถือเป็นธรรมเนียมของลูกหลานเจ้านายหัวเมืองประเทศราช เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว รัชกาลที่ ๕ ทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งท้าวพรหมเป็น ท้าวมหาไชย ตำแหน่งคณะกรมการเมืองสุวรรณภูมิ

          ปี พ.ศ. ๒๔๑๕ ท้าวมหาไชย (ท้าวพรหม) มีอายุได้ ๒๐ ปี ท่านได้รับโปรดเกล้าฯ จากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ให้เป็น ราชบุตร (ท้าวพรหม) แห่งเมืองสุวรรณภูมิ

          ต่อมาท่านได้รับการเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นหลวงพรหมพิทักษ์ (ท้าวพรหม) ตำแหน่ง ผู้ช่วยราชการเมืองสุวรรณภูมิ ขณะนั้นท่านมีอายุ ๒๒ ปี

          ในเวลาต่อมา พระรัตนวงษา (ท้าวคำสิงห์) เจ้าเมืองสุวรรณภูมิ คนที่ ๑๒ ซึ่งเป็นบิดาของหลวงพรหมพิทักษ์ (พรหม) ได้ทูลขอพระกรุณายกบ้านเมืองหงส์ให้เป็นเมือง และขอให้หลวงพรหมพิทักษ์ (ท้าวพรหม) เป็นเจ้าเมือง โดยขึ้นตรงต่อเมืองสุวรรณภูมิ ระยะทางจากบ้านเมืองหงส์ห่างจากเมืองสุวรรณภูมิราว ๕๐ กิโลเมตร         

          ปี พ.ศ. ๒๔๒๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ โปรดเกล้าฯ สถาปนาเมืองจตุรพักตรพิมานขึ้น และทรงแต่งตั้งให้ หลวงพรหมพิทักษ์ (ท้าวพรหม) เป็นพระธาดาอำนวยเดช (ท้าวพรหม) เจ้าเมืองจตุรพักตรพิมาน ขึ้นกับเมืองสุวรรณภูมิ ท่านได้รับการแต่งตั้งเมื่อวันจันทร์ที่ ๒๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๒๕ ขณะที่ท่านมีอายุได้ ๓๐ ปี

          เดิมที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงยกบ้านเมืองหงส์ให้เป็นเมืองจตุรพักตรพิมานตามที่พระรัตนวงษา (ท้าวคำสิงห์) กราบทูล ต่อมาพระธาดาอำนวยเดช (ท้าวพรหม) ได้ย้ายที่ว่าการเมืองมาตั้งอยู่ ณ บ้านเปือยหัวช้าง หรือที่เรียกว่า บ้านเปือยใกล้หนองหัวช้าง ห่างจากเมืองหงส์ ๙๐ เส้น (หรือ ๓.๖ กิโลเมตร) และตั้งชื่อเมืองให้สอดคล้องกับนามเจ้าเมือง คือ ท้าวพรหม ต่อมาเมื่อมีการยุบเมืองลงเป็นอำเภอแล้ว บ้านเปือยหัวช้าง จึงได้เรียกว่า อำเภอหัวช้าง อยู่สมัยหนึ่ง

          เมื่อพระธาดาอำนวยเดช (ท้าวพรหม) ไม่ได้ตั้งที่ว่าการเมืองที่เมืองหงส์ตามเอกสารตราตั้ง พระขัติยวงษา (ท้าวเภา) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนที่ ๗ จึงได้มีใบบอกไปที่กรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าเมืองอุบลราชธานีมาสอบสวน ปรากฏว่าได้มีการสร้างเมืองลงหลักปักเมืองแข็งแรงมากแล้ว รื้อถอนไม่ได้ จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งเมืองอยู่ที่บ้านเปือยหัวช้างต่อไป

          ในปี พ.ศ. ๒๔๔๓ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ยกเลิกตำแหน่งอาญาสี่ คือ เจ้าเมือง อุปฮาด ราชวงศ์ และราชบุตร โดยให้เรียกตำแหน่งใหม่ จากเจ้าเมือง เป็น ผู้ว่าราชการเมือง จากอุปฮาดเป็นปลัดเมือง จากราชวงศ์เป็นมหาดไทยเมือง และจากราชบุตรเป็นยกกระบัตรเมือง

          ดังนั้นพระธาดาอำนวยเดช (ท้าวพรหม) จึงได้ตำแหน่งใหม่เป็น ผู้ว่าราชการเมืองจตุรพักตรพิมาน ขึ้นกับเมืองสุวรรณภูมิ และเนื่องจากเมืองจตุรพักตรพิมานเพิ่งก่อตั้ง ไม่มีตำแหน่งอุปฮาด ราชวงศ์และราชบุตร จึงไม่มีการแต่งตั้งตำแหน่งอื่นๆ ในคณะอาญาสี่

          ในปี พ.ศ. ๒๔๔๗ มีการปฏิรูปการปกครองท้องถิ่นใหม่ มีการเปลี่ยนชื่อเมืองเป็นจังหวัด อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน ตามสถานะของเมืองใหญ่หรือเมืองเล็ก เมืองจตุรพักตรพิมานจึงถูกเปลี่ยนให้เป็นอำเภอ และผู้ปกครองเมืองเรียกว่า นายอำเภอ

          ดังนั้น พระธาดาอำนวยเดช (ท้าวพรหม) จึงได้ดำรงตำแหน่งราชการรวม ๓ ตำแหน่ง คือตำแหน่งเจ้าเมือง ซึ่งเป็นตำแหน่งก่อนการปฏิรูปการปกครองราชการ และตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองและนายอำเภอ ซึ่งเป็นตำแหน่งหลังการปฏิรูปการปกครองราชการ

          ปี พ.ศ. ๒๔๕๕ พระธาดาอำนวยเดช (ท้าวพรหม) ท่านเกษียณอายุราชการเมื่อมีอายุครบ ๖๐ ปี ท่านได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นกรมการพิเศษจังหวัดร้อยเอ็ด มีหน้าที่ให้การปรึกษาข้อราชการงานเมืองต่างๆ

          ที่มาของนามสกุล “สุวรรณธาดา”

          เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ได้มีพระราชบัญญัตินามสกุลแก่พสกนิกรชาวไทย พระธาดาอำนวยเดช (ท้าวพรหม) เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งกรมการพิเศษจังหวัดร้อยเอ็ด ได้ขอพระราชทานนามสกุล พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานนามสกุลให้พระธาดาอำนวยเดช (ท้าวพรหม) เมื่อวันที่ ๕ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๒ ขณะนั้นท่านมีอายุ ๖๗ ปี

ท่านได้รับพระราชทานนามสกุลว่า “สุวรรณธาดา” (Suvarnadhâtâ) คำว่า “สุวรรณ” แปลว่า “ทอง” หมายถึง นามของท้าวคำสิงห์ บิดาของพระธาดาอำนวยเดช ซึ่งครองเมืองสุวรรณภูมิ และน่าจะมาจากการที่พระธาดาอำนวยเดชสืบเชื้อสายมาจากสุวรรณภูมิ ส่วนคำว่า “ธาดา” แปลว่า “พระพรหม” คือเทพผู้สร้างโลก เป็นหนึ่งในสามเทพตรีมูรติ ซึ่งมีพระศิวะ พระนารายณ์และพระพรหม

          ในสำเนาพระราชทานนามสกุล พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ทรงลงพระปรมาภิไทยว่า “ราม วชิราวุธ ปร.” มีใจความว่า

          ขอให้นามสกุลของ รองอำมาตย์โท พระธาดาอำนวยเดช (พรม) กรมการพิเศษจังหวัดร้อยเอ็จ ตามที่ขอมานั้นว่า “สุวรรณธาดา” (เขียนเปนอักษรโรมัน ว่า “Suvarnadhâtâ” อันเปนมงคลนาม

          ขอให้สกุล สุวรรณธาดา มีความเจริญรุ่งเรืองมั่นคงอยู่ในกรุงสยามชั่วกัลปาวสาน

                                                   พระที่นั่งอัมพรสถาน

                                                   วันที่ ๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๖๒

          ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระธาดาอำนวยเดช (พรหม สุวรรณธาดา) ถึงแก่กรรมเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๑ ด้วยโรคชรา สิริอายุได้ ๗๖ ปี ท่านได้รับพระราชทานเพลิงศพ ณ วัดสุทัศน์ อำเภอจตุรพักตรพิมาน ซึ่งเป็นวัดที่ท่านเป็นผู้สร้างขึ้น  

          ไปเยี่ยมยามเมืองจตุรพักตรพิมาน อย่าลืมไปนมัสการพระพรหมกันนะครับ

*************

แหล่งข้อมูลประกอบการเล่าเรื่อง

เติม วิภาคย์พจนกิจ.  (๒๕๓๐). ประวัติศาสตร์อีสาน ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๒.  กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.

พันคำทอง สุวรรณธาดา.  (๒๕๖๓).  ครรลองไทอีสาน-ล้านช้าง.  มหาสารคาม หยกศึกษาภัณฑ์และการพิมพ์.

สุวิทย์ ธีรศาศวัต.  (๒๕๕๗).  ประวัติศาสตร์อีสาน พ.ศ. ๒๓๒๒-๒๔๘๘ เล่ม ๑.  ขอนแก่น :

        คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น.



วันศุกร์, พฤศจิกายน 18, 2565

มินามีเรื่องเล่า เรืองนามพระสูงใหญ่ วัดบูรพาภิราม ร้อยเอ็ด Thai, English, French

 

https://thai.tourismthailand.org/Attraction/วัดบูรพาภิราม

มินามีเรื่องเล่า เรืองนามพระสูงใหญ่ วัดบูรพาภิราม ร้อยเอ็ด

         คำขวัญประจำจังหวัดร้อยเอ็ด คือ สิบเอ็ดประตูเมืองงาม เรืองนามพระสูงใหญ่ ผ้าไหมสาเกต บุญผะเหวดประเพณี มหาเจดีย์ชัยมงคล งามน่ายลบึงพลาญชัย เขตกว้างไกลทุ่งกุลา โลกลือชาข้าวหอมมะลิ

         วันนี้เรามารู้จัก “เรืองนามพระสูงใหญ่” กันครับ ถ้าท่านเดินทางมาถึงเมืองร้อยเอ็ดโดยขับรถตามถนนรอบคูเมือง ท่านจะเห็นพระสูงใหญ่ยืนเด่นเป็นสง่า

         ใช่แล้วครับ ผมกำลังพูดถึง “พระพุทธรัตนมงคลมหามุนี (หลวงพ่อใหญ่)” แห่งวัดบูรพาภิราม

         วัดบูรพาภิราม พระอารามหลวงชั้นตรี เดิมชื่อวัดหัวรอ เป็นวัดเก่าแก่ของเมืองร้อยเอ็ด สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๖ ตั้งอยู่ติดคูเมืองเก่าด้านตะวันออกของจังหวัดร้อยเอ็ด อยู่ในเขตเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด มีเนื้อที่ทั้งหมด ๒๙ ไร่ ๓ งาน ๙๗ ตารางวา

         พระพุทธรัตนมงคลมหามุนี (หลวงพ่อใหญ่) เป็น พระพุทธรูปปางประทานพรที่สูงที่สุดในประเทศไทย เริ่มสร้างเมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๖ สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก ที่ฐานของพระพุทธรูปมีห้องพิพิธภัณฑ์จำนวนหลายห้อง

         พระพุทธรัตนมงคลมหามุนี มีความสูงจากพระบาทถึงยอดเกศ ๕๙ เมตร ๒๐ เซนติเมตร และมีความสูงทั้งหมด ๖๗ เมตร ๕๕ เซนติเมตร นับว่าเป็นความวิริยะอุตสาหะของท่านพระครูสิริวุฒเมธี เป็นอย่างยิ่ง

         เรื่องของปางประทานพรนั้น ในพุทธประวัติกล่าวว่า พระพุทธเจ้าทรงประทานพรให้คน ๓ คน คือ พระพุทธเจ้าทรงประทานพรให้หมอชีวกโกมารภัจจ์เรื่องให้พระสงฆ์รับคหบดีจีวร (ผ้าสำเร็จรูปที่ชาวบ้านถวาย) ได้

         พระพุทธเจ้าทรงประทานพรให้พระอานนท์ ให้เข้าเฝ้าทูลถามปัญหาได้ทุกเวลา และทรงประทานพรให้นางวิสาขาถวายเครื่องบริโภคอุปโภคแก่พระสงฆ์ ซึ่งเป็นประโยชน์แก่พระสงฆ์และพระศาสนาได้

         ท่านผ่านมาเมืองร้อยเอ็ด ขอเชิญมากราบบูชาหลวงพ่อใหญ่กันนะครับ

************

Mina’s Stories

         Wat Buraphapiram is located in the city center of Roi-Et. The country’s highest standing Buddha image in blessing gesture or known by Roi-Et people as “Phra Buddha Rattanamongkol Mahamunee” or “Luang Po Yai” is enshrined in this temple.

         From the head to the feet, the image is 59.20 meters in height, and the total height from the base to the image’s head reaches 67.55 meters.

         The project of building the highest image of Phra Buddha Rattanamongkol Mahamunee was initiated by Phrakrusiriwutthimethi.

         The image is in the position of blessing. The blessing means "to accept someone's request."

         Lord Buddha blessed three persons. He allowed Jīvaka Kōmārābhacca, the famous doctor, to receive saffron robes from people.  

         Lord Buddha allowed Monk Ananda to give services to him at all time. Lord Buddha also allowed a lady Visākhā to do offerings to the monks.

         On your next visit to Roi-Et, I would like to invite you to come to worship the highest standing image of Buddha at Wat Buraphapiram.

********

Histoires de Mina

         Wat Buraphapiram est situé dans le centre-ville de Roi-Et. Il était autrefois appelé « Wat Hua Ro ». Ce temple fut construit en 1913. Il abrite l'image de Bouddha la plus haute du pays dans un geste de bénédiction. Cette grande statue est connue sous le nom de « Phra Bouddha Rattanamongkol Mahamunee » ou « Luang Po Yai », symbole de la province de Roi-Et.

         De la tête aux pieds, la hauteur de l'image est de 59,20 mètres. La hauteur de la base à la tête de l’image atteint 67,55 mètres. Le projet de la construction de la plus haute image de Phra Bouddha Rattanamongkol Mahamunee fut initié par Phrakrusiriwutthimethi.

         La bénédiction veut dire « accepter une demande de quelqu’un ».

         Le Bouddha a béni trois personnes. Il a permis au docteur Jīvaka Kōmārābhacca de recevoir des robes safran des gens.

Le Bouddha a permis au moine Ananda de rendre service auprès de lui. Il a permis aussi à une dame Visākhā de faire des offrandes aux moines.

         Lors de votre prochaine visite à Roi-Et, venez adorer Phra Bouddha Rattanamongkol Mahamunee, la plus haute image de Bouddha en position de bénédiction au Wat Buraphapiram.

********


วันพฤหัสบดี, พฤศจิกายน 17, 2565

พระธาตุยาคู กาฬสินธุ์ Thai-English-French

 



มินามีเรื่องเล่า พระธาตุยาคู เมืองกาฬสินธุ์

         พระธาตุยาคู หรือพระธาตุใหม่ เป็นโบราณสถานเก่าแก่ตั้งอยู่ในเขตบ้านเสมา ตำบลหนองแปน อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ อยู่ห่างจากตัวเมืองกาฬสินธุ์ประมาณ ๒๐ กิโลเมตร  

พระธาตุยาคูเป็นเจดีย์ขนาดใหญ่ ชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็นพระธาตุที่บรรจุอัฐิของพระเถระชั้นผู้ใหญ่

คำว่า “ญาคู”  ในภาษาอีสานหมายถึง พระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่  

มีตำนานแห่งความอัศจรรย์ที่ชาวบ้านเล่าสืบต่อกันมา ซึ่งเกี่ยวข้องกับตำนานเมืองฟ้าแดดสูงยางโดยเฉพาะพระธาตุยาคูมีตำนานมาจากทวารวดี

พระธาตุยาคูมีลักษณะรูปทรงแปดเหลี่ยม ก่อด้วยอิฐปรากฎหลักฐานการก่อสร้าง ๓ สมัย

ด้วยกัน เราอาจจะท่องเป็นสูตรว่า สี่เหลี่ยมย่อมุมของสมัยทวาราวดี  แปดเหลี่ยมของสมัยอยุธยา  และระฆังและยอดของสมัยรัตนโกสินทร์

         รายละเอียดมีดังนี้

         ส่วนฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมยอดมุม มีบันไดขึ้นสี่ทิศ มีปูนปั้นประดับ สร้างในสมัยทวารวดี

ส่วนฐานที่ถัดขึ้นมาเป็นฐานรูปแปดเหลี่ยม สร้างซ้อนทับกับบนฐานเดิมในสมัยอยุธยา

ส่วนองค์ระฆังและส่วนยอดสร้างในสมัยรัตนโกสินทร์

รอบองค์พระธาตุพบใบเสมาแกะสลักภาพนูนต่ำเรื่องพระพุทธประวัติ ปัจจุบันบางส่วนเก็บไว้ที่วัดโพธิ์ชัย เสมาราม ตำบลหนองแปน อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์

         หวังว่าเราจะได้มีโอกาสมาเยี่ยมชมพระธาตุนี้อีกนะครับ

**********

Phra That Yaku

         The magnificent pagoda of Phra That Yaku is located in Ban Sema, Nong Pan Sub-district, Kamalasai District, Kalasin Province. The pagoda is about 20 kilometers from Kalasin Province.

         At the time of my visit in 2019, the area of Phra That Yaku was surrounded by “Tale Tung”, sea of colorful flags celebrating the Vissakha Bucha Day. It is believed that Phra That Yaku was constructed to house the relics of senior monks.

         We do hope to see this beautiful scene again in the nearest future.

********************

Phra That Yaku

         Phra That Yaku est la magnifique pagode située au village de Ban Sema du sous-district de Nong Pan, dans le district de Kamalasai. La pagode est à vingt kilomètres de la ville de Kalasin.

         Lors de ma dernière visite en 2019, l’enceinte de Phra That Yaku était entourée de « Tale Tung », mer de drapeaux colorés qui a été réalisée pour célébrer le jour saint de Vissakha Bucha. On croit que Phra That Yaku a été construit pour abriter les reliques de moines chevronnés.

         Nous espérons que cette magnifique scène retournera à nos yeux dans l’avenir le plus proche.

*****************

      

 

มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French

  มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French กรมหลวงพิพิธมนตรี (พระพันวัสสาน้อย) เป็นพระอัครมเหสีน้อยของสมเด็จพ...