Chalermkiat Mina

วันพฤหัสบดี, กรกฎาคม 06, 2566

มินามีเรื่องเล่า โลกหันมามอง สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๑๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ตอนที่ ๑


                                   https://www.bangkokbiznews.com/social/932992

มินามีเรื่องเล่า โลกหันมามอง สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๑๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ตอนที่ ๑

สวัสดีครับ ถ้าจะถามว่า พระสงฆ์รูปใดที่ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๑๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์อาจจะตอบยากนะครับ

ขอตอบเลยนะครับว่า สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๑๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ครับ

ขออนุญาตเล่าเรื่องของพระองค์ท่านหลายตอนนะครับ

สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ) วัดบวรนิเวศวิหาร มีพระนามเดิมว่า พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ

ทรงเป็นพระราชโอรสลำดับที่ ๔๗ ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับเจ้าจอมมารดาแพ  ทรงประสูติเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๐๓

พระองค์ทรงเป็นพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้ทรงอุทิศตนต่อการทำนุบำรุงการพระพุทธศาสนา การคณะสงฆ์ การศึกษาและพัฒนาการด้านสังคมและวัฒนธรรม โดยเฉพาะด้านการให้กำเนิดและสถาปนามหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย

สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส สิ้นพระชนม์เมื่อวันอังคาร ที่ ๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๔ สิริพระชันษาได้ ๖๑ ปี ๓ เดือน ๒๐ วัน

เมื่อวันที่ ๒ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๖๔ รัฐบาลไทยและองค์การยูเนสโกได้ร่วมเฉลิมพระเกียรติคุณ ๑๐๐ ปี แห่งการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส พระผู้เป็นวางรากฐานพระพุทธศาสนาและการศึกษาของไทย นะครับ

************

Somdet Phra Mahā Samaṇa Chao Krom Phrayā Vajirañāṇavarorasa

Who is the 10th Supreme Patriarch of Rattanakosin period? Some of us may find it is difficult to give an answer.

The 10th Supreme Patriarch of Rattanakosin period is Somdet Phra Mahā Samaṇa Chao Krom Phraya Vajirañāṇavarorasa.

Today I would like to tell you about his life.

His Royal Highness Prince Vajirañāṇavarorasa, the tenth Sangharāja of the present Ratanakosin period, was born on 12th April, B.E. 2403 (A.D.1860). He was the son of King Rama IV and Chao Chom Manda Phae.

It was said that at the time of his birth the clear blue sky became suddenly overcast and there burst forth a heavy rain which soon inundated the palace grounds.

His royal father, taking this as a prophetic referring to an event that took place soon after Lord Buddha’s Enlightenment. This was when He sat in the rain absorbed in an ecstatic contemplation of the reality of His Enlightenment.

A Nagā King, impressed by the sight, came to offer protection by spreading his hood over the Buddha’s head and coiling himself around the Buddha’s body.

The term 'Nāga', besides meaning ‘Serpent’, also refers to an elephant, which is symbolic of strength and endurance and is one of the epithets of Lord Buddha and the Arahants.

Brought up as a royal prince, he was educated by the best teachers that could be found. Besides studying Thai and Pāli, he was among the first group of teacher who was studied English under Mr. Francis John Patterson, a serious teacher who was strict in enforcing discipline as well as earnest in teaching English. But with his patience and intelligence, Prince Manussanāga (his name), together with Prince Diswara (or Prince Damrong, pioneer in the field of Thai history and archaeology), became the teacher's favourite pupil.

This English teacher had also been His Majesty’s tutor of some time.

 

He entered the Sangha at the age of twenty and after this dedicated all his time and energy to studying the Holy Scriptures until he was well versed in the Dhamma and was able to teach all grades of Pāli classes at that time.

 

But it was long before he was appointed Sangharāja with full power and responsibility to manage ecclesiastical affairs.

 

After becoming Sangharāja he never wasted his time in seeking personal comfort or relaxation. On the contrary, he worked indefatigably to improve the level of knowledge and the standard of behaviour of bhikkhus at that time.

 

There were not many bhikkhus who had a sound basis of knowledge or a reasonable faith consistent with the spirit of Buddhism. Buddhist education was then rather an individual affair, with each taking the subjects he liked in the way he pleased. Most were satisfied with what had been traditionally handed down and were practically unable to distinguish the special characteristics of Buddhism from other faiths. Thus in many cases they preferred only the superficial aspect of the truth, with a consequent laxity in Vinaya and ignorant distortion of the Dhamma.

Somdet Phra Mahā Samaṇa Chao Krom Phraya Vajirañāṇavarorasa passed away on 2nd August 1921.

On August 2th, 2021, UNESCO recognized him as one of the eminent personalities who promoted Buddhism and education of Thailand.

 

In Thailand, there were several ceremonies organized to commemorate the 100th anniversary of the death of His Royal Highness Prince Vajirañāṇavarorasa  (Somdet Phra Mahā Samaṇa Chao Krom Phraya Vajirañāṇavarorasa).

********


วันอังคาร, กรกฎาคม 04, 2566

มินามีเรื่องเล่า พระยานรินทร์สงคราม (ทองคำ) เจ้าจอมปากช่องภูเวียง

https://www.facebook.com/photo/?fbid=906040772913155&set=pcb.906041062913126

มินามีเรื่องเล่า พระยานรินทร์สงคราม (ทองคำ) เจ้าจอมปากช่องภูเวียง

“เรามิใช่ข้าสองเจ้า บ่าวสองนาย” 

สวัสดีครับ ท่านที่เดินทางไปอำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น ตามเส้นทางจากอำเภอภูเวียงไปยังอำเภอเวียงเก่า มีศาลเจ้าตั้งอยู่ริมถนน ยวดยานพาหนะผ่านไปมาต่างกดแตรเพื่อเคารพและแสดงความนับถือต่อศาลเจ้าแห่งนั้น

ครับ ผมกำลังพูดถึงศาลเจ้าจอม หรือศาลปู่จอม นะครับเป็นศาลที่สร้างขึ้นเพื่อเทิดทูนพระยานรินทร์สงคราม (ทองคำ) นะครับ 

พระยานรินทร์สงคราม (ทองคำ) ท่านเป็นใคร สำคัญอย่างไร มาฟังเรื่องเล่าจากมินากันนะครับ

พระยานรินทร์สงคราม ชื่อเดิมของท่านคือ ทองคำ บิดาของท่านมีชื่อว่า คำ เป็นชาวลาวอพยพมาจากเมืองเวียงจันทน์สมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี นะครับ

อย่าเพิ่งงุนงงหรือสงสัยนะครับ ผมจะเล่าเรื่องของสองพ่อลูก ท่านแรกเป็นบิดา ชื่อคำ ต่อมาได้เป็นพระยานรินทร์สงคราม (คำ) ส่วนท่านที่สองเป็นบุตรชาย ชื่อทองคำ ต่อมาดำรงตำแหน่งพระยานรินทร์สงคราม (ทองคำ) นะครับ

มาดูเรื่องของบิดาก่อนนะครับ นายคำได้อพยพมาตั้งถิ่นฐานที่บ้านนารายณ์ ซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่ที่ ต.พลกรี้ง อ.เมือง จ.นครราชสีมา 

นายคำเป็นคนมีวิชาอาคม จึงเป็นที่เคารพของบรรดาชาวบ้านนารายณ์ ต่างยกย่องให้เป็นอาจารย์คำ

ปีพุทธศักราช ๒๓๑๐ กรุงศรีอยุธยาแตก สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงกอบกู้เอกราชโดยทรงปราบปรามก๊กต่าง ๆ และได้ชัยชนะตามลำดับ

ในปีพุทธศักราช ๒๓๑๓ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงยกพลขึ้นมาปราบก๊กเจ้าพิมาย ซึ่งมีกรมหมื่นเทพพิพิธเป็นหัวหน้าก๊กนะครับ 

อาจารย์คำพร้อมชาวบ้านนารายณ์ได้เข้าสวามิภักดิ์ต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และร่วมปราบปรามก๊กเจ้าพิมายจนได้รับชัยชนะ 

พระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงปูนบำเหน็จความชอบให้อาจารย์คำ โดยทรงแต่งตั้งให้เป็นพระยานรินทร์สงคราม (คำ) เจ้าเมืองสี่มุม (จตุรัส) คนแรก ให้ขึ้นตรงต่อเมืองนครราชสีมา ครับ

ต่อมาพระยานรินทร์สงคราม (คำ) ถึงแก่กรรม ทางการจึงแต่งตั้งลูกชายของท่าน คือนายทองคำ เป็นพระยานรินทร์สงคราม (ทองคำ) แทนบิดา นับเป็นเจ้าเมืองสี่มุมคนที่สอง นะครับ

ในปีพุทธศักราช ๒๓๖๙ ตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้าอนุวงศ์แห่งเมืองเวียงจันทน์ก่อการกบฏ ได้ยกกองทัพมาบังคับหัวเมืองต่าง ๆ ในภาคอีสานให้เข้าร่วมต่อต้านไทย เจ้าเมืองใดที่ไม่เข้าร่วมกับเจ้าอนุวงศ์จะต้องถูกประหารชีวิต 

พระยานรินทร์สงคราม (ทองคำ) เห็นว่า ถ้าตนไม่เข้าร่วมกับเจ้าอนุวงศ์ บรรดาครอบครัว ญาติพี่น้องตลอดจนไพร่พลจะต้องตายหมด 

ท่านจึงยอมสวามิภักดิ์ โดยเจ้าอนุวงศ์ได้แต่งตั้งพระยานรินทร์สงคราม (ทองคำ) ให้เป็นแม่ทัพค่ายหนองบัวลำภู คุมไพร่พล ๓,๐๐๐ คน 

พระยานรินทร์สงคราม (ทองคำ) ได้รับฉายาว่า “เจ้าจอมปากช่องภูเวียง” เนื่องจากท่านเป็นผู้มีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว สามารถต่อสู้กับกองทัพไทยจนกระทั่งตนเองเหลือพลทหารอยู่เคียงข้างเพียง ๖ คน 

ในที่สุดพระยานรินทร์สงคราม (ทองคำ) ถูกทหารไทยล้อมจับและนำตัวส่งแม่ทัพไทย คือกรมพระราชวังบวรศักดิพลเสพ  

พระองค์ทรงมีรับสั่งให้หลวงโยธาบริรักษ์คุมตัวพระยานรินทร์สงคราม (ทองคำ) ไปขังในค่ายหลวง และทรงให้พระยา  นคราถามพระยานรินทร์สงคราม (ทองคำ) ว่า จะยอมสวามิภักดิ์ต่อฝ่ายไทยหรือไม่ ถ้ายอมสวามิภักดฺิ์จะทรงชุบเลี้ยงให้ตำแหน่งทางการทหาร 

แต่พระยานรินทร์สงครามปฏิเสธข้อเสนอโดยบอกว่า ไม่ยอมเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนาย และได้สาบานตนไว้แล้วว่าจะซื่อสัตย์ต่อเจ้าอนุวงศ์พระองค์เดียวเท่านั้น 

พระยานรินทร์สงครามจึงถูกนำตัวไปประหารชีวิต 

แต่เนื่องจากพระยานรินทร์สงครามเป็นผู้มีวิทยาคม ท่านได้รับการถ่ายทอดวิทยาคมจากอาจารย์คำผู้เป็นบิดา โดยเฉพาะในเรื่องการอยู่ยงคงกระพันชาตรี หนังเหนียว กำบังหายตัวได้ ทำให้เพชฌฆาตไม่สามารถสังหารท่านได้ นะครับ

ความกล้าหาญของพระยานรินทร์สงครามแสดงให้เห็นตอนที่ท่านจะถูกประหารชีวิต ท่านได้บอกแก่เพชฌฆาตว่า ถ้าจะประหารชีวิตโดยการยิง หรือใช้ดาบตัดคอ หรือแทงด้วยอาวุธทุกอย่าง จะไม่ระคายเคืองผิวหนังของท่าน 

มีเพียง ๒ วิธีเท่านั้นที่จะสำเร็จโทษท่านได้ คือโดยวิธีผูกตัวท่านติดกับต้นไม้แล้วใช้ช้างแทงร่าง หรือโดยการใช้ไม้แหลมคมแทงเข้าทางรูทวารหนักจนทะลุถึงสมอง

แม่ทัพไทยเห็นว่าไม่สมควรใช้วิธีการที่สอง เนื่องจากพระยานรินทร์สงคราม (ทองคำ) มีศักดิ์ศรี เป็นชายชาติทหาร อีกทั้งมีตำแหน่งเป็นถึงแม่ทัพ ดังนั้นแม่ทัพไทยจึงสั่งให้พระคชภักดีไสช้างเข้าแทงพระยานรินทร์สงครามถึงแก่ความตายทันทีที่ต้นยางใหญ่ตรงหน้าค่าย ต่อหน้าแม่ทัพไทยอย่างสมเกียรติ 

เล่ากันว่าตอนสำเร็จโทษพระยานรินทร์สงคราม พระคชภักดีไสช้างเข้าแทงร่างท่าน เกิดปาฏิหาริย์ คือแทนที่ช้างจะแทงร่างตามคำสั่ง ช้างกลับหมอบลง แม้ว่าพระคชภักดีจะใช้ขอสับจนพญาช้างลุกขึ้นเปล่งเสียงร้องอย่างโหยหวน แล้วจึงเข้าแทงพญานรินทร์สงครามจนงาทะลุหักคาต้นยางใหญ่ แล้ววิ่งสะลัดควาญช้างเข้าป่าดงทึบ อกแตกตายที่บริเวณถ้ำกวาง คนโบราณเรียกว่า “พยากงสะเด็น” ซึ่งอาจหมายถึงตัวพระยานรินทร์สงครามผู้ทรงวิทยาคม หรืออาจหมายถึง พญาช้างที่งาหักติดต้นไม้นั้น

บริเวณที่ช้างแทงพระยานรินทร์สงคราม (ทองคำ) เสียชีวิตคือ บริเวณต้นยางใหญ่ตรงทางโค้งก่อนถึงศาลเจ้าจอมปากช่องภูเวียงในปัจจุบันนี้ ซึ่งมีร่องรอยใกล้ ๆ หนองน้ำที่ชาวบ้านเรียกว่า “บุ่งกกแสง” 

แม่ทัพไทยได้สั่งให้จัดการศพท่านเหมือนเชลยทั่วไป ภายหลังยังประทับใจในความกล้าหาญของท่าน จึงได้สร้างศาลในบริเวณปากช่องภูเวียง เรียกว่า “ศาลเจ้าจอม” หรือ “ศาลปู่จอม” เพราะเชื่อว่าท่านเป็นผู้ทรงคุณธรรม กล้าหาญสมเป็นเจ้าจอมคนจริง ๆ 

ศาลเจ้าจอมแห่งนี้ได้กลายเป็นมงคลสถานอันศักดิ์สิทธิ์ที่ประชาชนชาวภูเวียงให้ความเคารพนับถือจนถึงปัจจุบันนี้ 

คุณธรรมประจำใจควรมีไว้ประจำตน นะครับ

Photo Cr: https://www.facebook.com/photo/?fbid=906040772913155&set=pcb.906041062913126

วันจันทร์, กรกฎาคม 03, 2566

มินามีเรื่อเล่า การสู้รบในสมัยกลาง


 

 


มินามีเรื่อเล่า การสู้รบในสมัยกลาง

 

สวัสดีครับ วันนี้ขอออกมาทางยุโรปหน่อยนะครับ ขอเล่าเรื่องการสู้รบในสมัยกลางนะครับ เรื่องอาจจะยาวสักหน่อยนะครับ

 

สมัยยังไม่เกษียณอายุ ผมเข้าสำนักหอสมุดของมหาวิทยาลัยขอนแก่นบ่อยครั้ง ไปหาหนังสืออ่าน


ได้อ่านวารสารประวัติศาสตร์ ชื่อ History Today และถ่ายเอกสารบางเรื่องเก็บไว้

 

ผมได้มีโอกาสอ่านบทความเรื่องเรื่อง “ตำนานการสู้รบในสมัยกลาง (The Myths of Mediaval Warfare)” แต่งโดย ฌอน แม็กกลีน (Sean MaGlynn) ท่านเขียนไว้ในวารสาร History Today

 

ขออนุญาตนำเรื่องราวเกี่ยวกับการสู้รบในสมัยกลางมาเล่าสู่กันฟังนะครับ

 

มีนักประวัติศาสตร์จำนวนมากที่ได้ศึกษาเกี่ยวกับการสู้รบในสมัยกลาง ต่างฝ่ายต่างเสนอแนวความคิดของตนเองว่าทำไมบรรดากษัตริย์และอัศวินในสมัยกลางทำสงครามกัน

 

การสงครามในสมัยกลางนั้น ถือเป็นช่วงรอยต่อของการล่มสลายของกองทัพโรมันอันรุ่งโรจน์ และมีระเบียบวินัยกับการที่รัฐต่างๆ เริ่มเป็นอิสระและเพิ่มพูนกำลังอำนาจมากขึ้นนะครับ  

 

นักประวัติศาสตร์บางท่านเห็นว่า การสู้

รบในสมัยกลางเปรียบเสมือนการใช้ไม้กระบองตีฝ่ายตรงข้ามให้ล้มลงเท่านั้น

 

อัศวินสู้รบกันก็เป็นเรื่องของการดวลกันตัวต่อตัว ไม่ได้เน้นเรื่องของการใช้กองกำลังทหารหรือการใช้อาวุธยุทโธปกรณ์สังหารกันมากมาย 

 

ดูเหมือนว่าอาวุธที่โดดเด่นในสมัยนั้นคือ ธนู สิ่งสำคัญในการสู้รบในสมัยกลางนี้คือ “ยุทธวิธีที่ใช้ในการสู้รบ” (tactics)

 

มียุทธวิธีอะไรบ้างครับ

 

ประการแรก เน้นเรื่องความกล้าหาญของอัศวินครับ

 

การสู้รบในสมัยกลางเป็นเรื่องของความกล้าหาญของบรรดาอัศวิน  ทั้งนี้เนื่องจากผู้ที่บันทึกเรื่องราวในสมัยนั้นเป็นผู้รู้หนังสือ คือ พวกพระหรือพวกขุนนาง

 

การบรรยายการสู้รบจึงเน้นเรื่องของความกล้าหาญของอัศวินมากกว่าการเล่ารายละเอียดของทหารเดินเท้าหรือพลธนู

 

ประการที่สอง จุดมุ่งหมายของการสู้รบไม่ได้เป็นเรื่องการเข่นฆ่าทำลายล้างศัตรู แต่เป็นการต่อสู้เพื่อให้ได้ทรัพย์สินเงินทอง

 

ดังนั้นการสู้รบมักจะเป็นการโจมตีหรือการป้องกันเมืองหรือปราสาท มีการจับตัวฝ่ายศัตรูเป็นเชลยแล้วให้ญาติพี่น้องลูกหลานของฝ่ายศัตรูนำเงินค่าไถ่มาไถ่ถอน

 

ตัวอย่างเช่น กรณีของพระเจ้าฌ็องที่ ๒ (Jean II) แห่งฝรั่งเศสที่ถูกกษัตริย์อังกฤษจับตัวเป็นเชลยที่เมืองปัวติเย่ส์ (Poitiers) และให้รัชทายาทฝ่ายฝรั่งเศส คือเจ้าชายชาลส์ (หรือกษัตริย์ชาลส์ที่ ๕ (Charles V) นำเงินมาถ่ายถอนตัว

 

จุดมุ่งหมายของการสู้รบแบบนี้จะไม่เหมือนกับจุดมุ่งหมายในการต่อสู้ของศตวรรษที่ ๒๐ ที่เน้นการทำลายกองกำลังของศัตรูและการให้ศัตรูยอมแพ้โดยไม่มีเงื่อนไข นะครับ

 

ประการที่สาม การต่อสู้ในสมัยกลางไม่ได้ประเมินที่กองทหารหรืออาวุธ แต่พิจารณาจากความสามารถของอัศวิน ดังนั้นบรรดาอัศวินจะได้รับการถ่ายทอดความรู้ด้านยุทธวิธีการทำสงคราม มีการฝึกฝนเกี่ยวกับยุทธวิธีจนชำนาญ    

 

นักประวัติศาสตร์ในศตวรรษที่ ๒๐ ชื่อ โรเจอร์ แห่ง ฮาวเดน (Roger of Howden) กล่าวว่า “ถ้าไม่มีการฝึกฝน จะไม่รู้ศิลปะการทำสงครามในสถานการณ์จริง”

 

ตัวอย่างของยุทธวิธีที่ต้องฝึกฝนได้แก่ การโจมตีแบบรวมกลุ่ม (the shock charge) กล่าวคือ บรรดาอัศวินจะรวมกลุ่มอย่างหนาแน่นและเข้าโจมตีโดยพร้อมเพรียงกัน

 

ยุทธวิธีนี้จะทำให้แนวป้องกันของฝ่ายข้าศึกแตกกระจาย และถ้าจับตัวฝ่ายตรงข้ามได้ย่อมหมายถึงการได้รับเงินค่าไถ่หรืออาวุธยุทโธปกรณ์ เช่นเกราะหรือม้าเป็นจำนวนมาก ดังนั้นการต่อสู้กันจึงเป็นเรื่องของการเสาะหารางวัลด้านทรัพย์สินเงินทอง

 

ประการที่สี่ มีการจ้างกองทหารเพื่อต่อสู้ มีคำกล่าวที่ว่า “เงินทำให้แข็งแกร่งในการทำสงครามและใช้เกณฑ์กองทหารมาเป็นกองกำลังได้อย่างดี”

 

ตัวอย่างของการจ้างกองทหารรับจ้างได้แก่ กษัตริย์เฮนรี่ที่ ๑ (Henry I) แห่งอังกฤษ พระองค์ทรงจ้างอัศวิน ๑,๐๐๐ นายจากท่านเค้าท์ โรเบิร์ตแห่งฟลานเดอร์ (Count Robert of Flanders) โดยทรงจ่ายค่าจ้างเป็นจำนวน ๕๐๐ ปอนด์ต่อปี นะครับ

 

ประการที่ห้า ยุทธวิธีในการทำสงครามในสมัยกลางเป็นเรื่องของการล้อมปราสาทและการทำให้ศัตรูอดอยากนะครับ

 

ยุทธวิธีนี้เป็นลักษณะแบบ Chevauchée หมายถึง การล้อมอาณาบริเวณของศัตรูเพื่อทำลายพืชพันธุ์ธัญญาหารและสัตว์เลี้ยง เพื่อให้ศัตรูไม่มีเสบียงอาหารไว้ทำสงคราม ทำให้ศัตรูอดอยาก

 

ดังนั้นในสมัยนี้จึงมีการสร้างปราสาทอย่างมั่นคงเพื่อต่อต้านการรุกรานของศัตรูและมีการกักตุนเสบียงอาหารไว้เป็นจำนวนมาก ยุทธวิธีนี้เรียกว่ายุทธวิธีล้อมปราสาท (the castle strategy) โดยมีปัจจัยสำคัญในการสู้รบได้แก่ระยะเวลา (duration) อาจต้องทำสงครามโดยใช้เวลานาน

 

ยุทธวิธีนี้ ไม่ต้องมาที่ประเทศเรานะครับ เพราะเรามียุทธวิธีน้ำล้อมเมืองแล้ว ฝนตกที่ไร น้ำท่วมเมืองตลอด (ไม่ได้บอกว่าเมืองไหนนะครับ)

 

ประการที่หก มีการใช้คันธนูใหญ่ในการทำสงคราม คันธนูใหญ่ถือว่าเป็นนวัตกรรมด้านอาวุธในสมัยกลาง สามารถยิงได้ไกลและมีอานุภาพทำลายกองทหารม้าได้ แน่นอน อาวุธนี้ได้กลายเป็นต้นแบบของปืนใหญ่ในเวลาต่อมา

 

ท่านฌอน แม็กกลีน ได้สรุปไว้ว่า การสู้รบในสมัยกลางมีวัตถุประสงค์ ยุทธวิธี และกฏเกณฑ์ชัดเจน และมีวิวัฒนาการไม่ใช่เรื่องที่ไม่มีกฎเกณฑ์ หรือเป็นเรื่องไร้ระเบียบแบบแผนนะครับ

************* 

ปล รูปภาพเป็นเรื่องของกษัตริย์ ็Henri IV แห่งฝรั่งเศสนะครับ จะเขียนเล่าเรื่องในโอกาสต่อไปครับ

วันอาทิตย์, กรกฎาคม 02, 2566

มินามีเรื่องเล่า พระราชพัฒนวัชรบัณฑิต วัดธาตุ พระอารามหลวง ขอนแก่น



มินามีเรื่องเล่า พระราชพัฒนวัชรบัณฑิตเมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๖ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระสถาปนาโปรดสถาปนาเลื่อนสมณศักดิ์ พระโสภณพัฒนบัณฑิต, รศ.ดร. ขึ้นเป็นพระราชพัฒนวัชรบัณฑิต วิสิฐศาสนธุราทร มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พระราชาคณะชั้นราช สถิต ณ วัดธาตุ พระอารามหลวง จังหวัดขอนแก่น มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ ๔ รูป

ผมขออนุญาตเล่าประวัติของพระคุณเจ้าพอสังเขปนะครับ

พระราชพัฒนวัชรบัณฑิต ท่านเป็นเจ้าอาวาสรูปที่ ๖ ของวัดธาตุ พระอารามหลวง ดำรงตำแหน่งรองเจ้าคณะจังหวัดขอนแก่น รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น พระคุณเจ้ามีชื่อเดิมว่า สุกันยา นามสกุล ฮาดภักดี เกิดเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๑๑

บิดาของพระคุณเจ้ามีชื่อว่า นายเคน ฮาดภักดี มารดามีชื่อว่า นางบุญตา ฮาดภักดี อยู่ที่บ้านเลขที่ ๑๙ หมู่ที่ ๒ ตำบลหนองทุ่ม อำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม

พระราชพัฒนวัชรบัณฑิต อุปสมบทเมื่อวันที่ ๑๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๒ ณ วัดบ้านหนองทุ่ม ตำบลหนองแสง อำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม

วิทยฐานะของพระคุณเจ้า มีดังนี้ครับ       

พ.ศ. ๒๕๒๗ พระคุณเจ้าสอบได้นักธรรมเอก (น.ธ.เอก) วัดกลาง จังหวัดมหาสารคาม

พ.ศ. ๒๕๓๕ ได้รับปริญญาพุทธศาสตรบัณฑิต (พธ.บ.) มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น

พ.ศ. ๒๕๓๗ ได้รับปริญญาศึกษาศาสตรบัณฑิต (ศษ.บ.) มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช

พ.ศ. ๒๕๔๖ ได้รับปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (ศศ.ม.) มหาวิทยาลัยขอนแก่น

พ.ศ. ๒๕๔๗ ได้รับประกาศนียบัตรวิชาชีพครู (ปวค.) มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช

พ.ศ. ๒๕๔๙ ได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิต (Ph.D.) มหาวิทยาลัยมคธ ประเทศอินเดีย

พ.ศ. ๒๕๕๗ ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งทางวิชาการ ระดับรองศาสตราจารย์ สาขาวิชาพระพุทธศาสนา ประจำวิทยาเขตขอนแก่น

ปัจจุบันพระคุณเจ้าดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดธาตุ พระอารามหลวง จังหวัดขอนแก่น และตำแหน่งรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น

พระคุณเจ้าได้รับสมณศักดิ์ดังนี้ครับ

พ.ศ. ๒๕๔๒ เป็นฐานานุกรมที่ “พระครูปลัด” ในพระราชปริยัติเวที (คำพันธ์ โกวิโท) วัดธาตุ อดีตเจ้าคณะจังหวัดขอนแก่น

พ.ศ. ๒๕๔๖ ได้รับปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (ศศ.ม.) ปรัชญา มหาวิทยาลัยขอนแก่น

พ.ศ. ๒๕๔๙ เป็นฐานานุกรมที่ “พระครูปลัด” ในพระเทพสิริภิมณฑ์

พ.ศ. ๒๕๕๐ เป็นฐานานุกรมที่ “พระครูปลัดนายกวรวัฒน์” ในพระธรรมสิทธินายก

พ.ศ. ๒๕๕๑ ได้รับพระราชทานตั้งสมณศักดิ์ เป็นพระครูสัญญาบัตรผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นพิเศษ (ผจล.ชพ.) ในราชทินนามที่  “พระครูสุวิธานพัฒนบัณฑิต”

พ.ศ. ๒๕๕๘  ได้รับพระราชทานตั้งสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ (สย.) ในราชทินนามที่  “พระโสภณพัฒนบัณฑิต”

พ.ศ. ๒๕๖๖ ได้รับพระราชทานตั้งสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นราช ในราชทินนามที่ “พระราชพัฒนวัชรบัณฑิต”

ขอน้อมถวายมุทิตาสักการะพระคุณเจ้าด้วยความเคารพยิ่งครับ

วันเสาร์, กรกฎาคม 01, 2566

มินามีเรื่องเล่า ประวัติหลวงพ่อพระลับ (พระศรีสัตนาคนหุต) ตอนที่ ๒



มินามีเรื่องเล่า ประวัติหลวงพ่อพระลับ (พระศรีสัตนาคนหุต) ตอนที่ ๒
สวัสดีครับ ผมได้เคยเล่าเรื่องหลวงพ่อพระลับใน Blog และใน facebook เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๖ นะครับ

วันนั้น คือวันที่ ๒๗ มิถุนายนที่ผ่านมา ผมได้รับเมตตาจาก พระราชพัฒนวัชรบัณฑิต (สุกันยา อรุโณ), รศ.ดร. เจ้าอาวาสวัดธาตุ พระอารามหลวง รองเจ้าคณะจังหวัดขอนแก่น และรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น มอบหลวงพ่อพระลับให้บูชา 

คนแถวบ้านของผมเลยได้รับมงคลจากหลวงพ่อพระลับ 

ผมขออนุญาตเล่าเรื่องของพระลับต่อนะครับ 

พระมหากษัตริย์ของลาวที่มีชื่อเสียงและเคยเสด็จมาครองเมืองเชียงใหม่ คือ พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ ๑ (พ.ศ. ๒๐๗๗-๒๑๑๔) ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๐๙๐ พระองค์ได้เสด็จกลับจากเชียงใหม่มาเป็นกษัตริย์เมืองหลวงพระบางแทนพระราชบิดาของพระองค์ คือ พระเจ้าโพธิสารมหาธรรมมิกราชาธิราช และต่อมาพระองค์ได้ย้ายราชธานีไปตั้งเมืองหลวงใหม่ ชื่อ “เวียงจันทน์ภูรีศรีสัตนาค” พระองค์ได้อัญเชิญพระแก้วมรกต และพระบาง พระพุทธรูปองค์อื่น ๆ ไปอยู่ที่นครเวียงจันทน์ด้วย 

พระพุทธรูปทั้งหมดสร้างขึ้นในสมัยเชียงแสน เชียงใหม่ จากการศึกษาพระพุทธลักษณะ  สันนิฐานว่า หลวงพ่อพระลับสร้างขึ้นโดยพระเจ้าโพธิสารมหาธรรมมิกราชาธิราช (พ.ศ. ๒๐๖๓-๒๐๙๐) ประมาณปี พ.ศ. ๒๐๖๘ ซึ่งเป็นพระราชบิดาของพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ ๑  

เมื่อพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ ๑ สวรรคตในปี พ.ศ. ๒๑๑๔ พระเจ้าศรีวรมงคล พระอนุชา ได้ขึ้นครองราชย์มีพระนามว่า พระยาธรรมิกราช พระองค์มีพระราชโอรส มีพระนามว่า เจ้าศรีวิชัย

เมื่อพระยาธรรมิกราชสิ้นพระชนม์ กลุ่มของพระยาแสนสุรินทร์ขว้างฟ้า ยึดเมืองเวียงจันทน์ได้ เจ้าศรีวิชัยจึงหลบหนีพร้อมนำพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ไม่ทราบจำนวน มีหลวงพ่อพระลับรวมอยู่ด้วย ไปอาศัยอยู่กับท่านราชครูหลวง (เจ้าอาวาสวัดโพนสะเม็ด) เจ้าศรีวิชัยมีโอรสอยู่ ๒ พระองค์ คือ เจ้าแก้วมงคลหรือจานแก้ว หรือแก้วบูธม และเจ้าจันสุริยวงศ์
พ.ศ. ๒๒๓๓ ท่านราชครูหลวงได้อพยพชาวเวียงจันทน์ประมาณ ๓,๐๐๐ คน ไปบูรณปฏิสังขณ์พระธาตุพนม แล้วได้ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ดอนโขง ที่เมืองจำปาสัก มีพี่น้องสองนางปกครอง คือ นางเพาและนางแพง พระนางทั้งสองได้มาอาราธนาให้ท่านราชครูหลวงไปอยู่ที่เมืองจำปาสักเพื่อปกครองบ้านเมืองให้มีความสุข ต่อมาท่านราชครูหลวงได้อัญเชิญเจ้าหน่อกษัตริย์มาปกครองเมืองจำปาสัก ทรงพระนามว่า “เจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูร”

ขอย้อนมาที่เจ้าแก้วมงคล โอรสของเจ้าศรีวิชัยนะครับ ท่านราชครูหลวงได้เชิญเจ้าแก้วมงคลให้อพยพครอบครัวพร้อมประชาชนมาสร้างเมืองธง (เมืองสุวรรณภูมิ) นะครับ ท่านเป็นเจ้าเมืองคนแรก เรื่องของเจ้าแก้วมงคลและเชื้อสายของท่านที่ปกครองเมืองสุวรรณภูมิและร้อยเอ็ด อ่านได้จาก blog ของผมระหว่างวันที่ ๗-๑๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๕ นะครับ

คราวนี้มาเข้าเรื่องพระลับครับ เล่าลัดตัดความคือเจ้าแก้วมงคล มีบุตรชื่อท้าวทนต์ และท้าวทนต์มีบุตรชื่อท้าวภู ซึ่งเป็นเจ้าเมืองสุวรรณภูมิต่อมานะครับ ท้าวภู แต่งตั้งให้บุตรชายคือท้าวสัก หรือท้าวศักดิ์ไปดำรงตำแหน่งเมืองแพน มียศเป็นเพีย เทียบเท่าพระยาฝ่ายทหาร ให้ไปตั้งรักษาการที่ริมแม่น้ำชี เรียกว่า “บ้านชีโหล่น” ต่อมาท้าวศักดิ์ ซึ่งมีตำแหน่งเพี้ยเมืองแพน ก็อพยพประชาชนมาอยู่ที่บ้านบึงบอน และอัญเชิญพระพุทธรูศักดิ์สิทธิ์หลายองค์มาด้วย ท่านได้สร้างวัดใต้ และสร้างพระธาตุมีอุโมงค์ภายใน นำพระพุทธรูปเก็บซ่อนไว้อย่างลับที่สุด รู้แต่เพียงเจ้าอาวาสวัดใต้เท่านั้น คนทั้งหลายจึงเรียกว่าหลวงพ่อพระลับมาจนถึงปัจจุบันนี้ครับ ท้าวศักดิ์หรือเพี้ยเมืองแพนได้รับโปรดเกล้าฯ จากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกให้เป็น “พระนครศรีบริรักษ์” เจ้าเมืองขอนแก่น

เรื่องของหลวงพ่อพระลับยังมีให้เล่าอีกมากนะครับ โปรดติดตาม

ข้อมูลประกอบการเล่าเรื่อง
วัดธาตุ พระอารามหลวง. (๒๕๖๒).  คู่มือมนต์พิธีวัดธาตุ พระอารามหลวง ขอนแก่น: โรงพิมพ์คลังนานาวิทยา

วันศุกร์, มิถุนายน 30, 2566

มินามีเรื่องเล่า พระพรหมวชิรดิลก

มินามีเรื่องเล่า พระพรหมวชิรดิลก

ด้วยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระสถาปนาโปรดสถาปนาเลื่อนสมณศักดิ์ พระธรรมดิลก (สมาน สุเมโธ ป.ธ.๙) ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๙ (ธรรมยุต) ขึ้นเป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรอง มีราชราชทินนามตามที่จารึกในหิรัญบัฏว่า พระพรหมวชิรดิลก ศากยปุตติยนายก สาธกธรรมวิจิตร พิพิธศาสนกิจการี ตรีปิฎกบัณฑิต ธรรมยุติกคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี สถิต ณ วัดป่าแสงอรุณ จังหวัดขอนแก่น มีฐานานุศักดิ์ ตั้งฐานานุกรมได้ ๘ รูป

คณะพุทธศาสนิกชนชาวไทยขอน้อมถวายสักการะพระเดชพระคุณหลวงพ่อด้วยความเคารพยิ่ง

ผมขออนุญาตเล่าประวัติของพระเดชพระคุณพระพรหมวชิรดิลก โดยสังเขปครับ

พระเดชพระคุณพระพรหมวชิรดิลก เดิมชื่อ สมาน อุบลพิทักษ์ เกิดเมื่อวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๘ ที่บ้านเลิงเปือย (แอวมอง) หมู่ ๘ ตำบลพระลับ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น
บิดาของท่านพระเดชพระคุณคือ นายไหล อุบลพิทักษ์ (อุบลราชธานี) มารดาชื่อ นางอ่อน อุบลพิทักษ์ (สกุลเดิม ศรีสุทัศน์ สระบุรี) 

พระเดชพระคุณท่านสำเร็จการศึกษาทางโลก คือ พก.ศ. สำเร็จการศึกษาทางธรรมได้ ป.ธ. ๙

ตำแหน่งหน้าที่ของพระเดชพระคุณท่านที่สำคัญในอดีต มีดังนี้ครับ 

รองเจ้าคณะจังหวัดขอนแก่น (ธ), เจ้าคณะจังหวัดขอนแก่น (ธ), รองเจ้าคณะภาค ๙ (ธ), รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน ขอนแก่น, เลขานุการวารสารดอกบัว คณะสงฆ์ธรรมยุตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, และเจ้าคณะภาค ๙ (ธ)

ตำแหน่งหน้าที่ของพระเดชพระคุณท่านในปัจจุบัน ได้แก่เจ้าอาวาสวัดป่าแสงอรุณ, ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๙ (ธ), ประธานมูลนิธิวัดป่าแสงอรุณ, กรรมการบริหารคณะสงฆ์ไทย

เกียรติประวัติสำคัญส่วนหนึ่งของพระเดชพระคุณท่าน มีดังนี้ครับ เป็นครูภูมิปัญญาไทยสมัยที่ ๕, ศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ มหามหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย สาขาวิชาพุทธศาสน์ศึกษา, ปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สาขาการบริหารการศึกษา

ผลงานบางส่วนของพระเดชพระคุณท่าน ได้แก่ หนังสือมากกว่า ๓๐ เรื่อง ร้อยกรองมากกว่า ๘,๐๐๐ บท และบทความอื่น ๆ มากว่า ๖๐ เรื่อง

ขอน้อมถวายมุฑิตาสักการะด้วยความเคารพยิ่งครับ

วันพฤหัสบดี, มิถุนายน 29, 2566

มินามีเรื่องเล่า พระธาตุขามแก่น



มินามีเรื่องเล่า พระธาตุขามแก่น

สวัสดีครับ เมื่อปีที่แล้วผมและเพื่อน ๆ ได้มานมัสการพระธาตุขามแก่น ขออนุญาตเล่าเรื่องประธาตุขามแก่น โดยนำเรื่องมาจากงานของท่านสมควร พละกล้า ที่ได้เรียบเรียงไว้นะครับ

หลังจากที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้แล้ว พระองค์ก็ได้เสด็จจาริกเที่ยวประกาศพระพุทธศาสนา เผยแพร่พระธรรมของพระองค์ที่ได้ตรัสรู้นั้นให้เวไนยสัตว์ทั้งหลายถึง ๔๕ พรรษา เมื่อมีพระชนมายุได้ ๘๐ ปี พระองค์ก็เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน

เมื่อพระองค์เสร็จดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว พระมหากัสสปเถระเจ้า พร้อมด้วยพระอรหันต์สาวกทั้งหลาย และมีกษัตริย์พร้อมด้วยราชบริพาร ได้มานมัสการพระเพลิงพระพุทธสรีระของพระองค์ท่าน เมื่อถวายพระเพลิงเสร็จเล้ว ก็ได้ประกาศให้กษัตริย์ในชนบทต่าง ๆ ได้มารับแจกพระสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า





โทณพราหมณ์ผู้เป็นปราชญ์ฉลาดมีไหวพริบดี มีสุนทรพจน์อันน่าจับใจ ก็แจกพระสารีริกธาตุของพระองค์ ด้วยทนานทองเป็นเครื่องตวงให้แก่กษัตริย์ต่าง ๆ ด้วยความเรียบร้อย

ส่วนพระบรมธาตุกระโยงหัว (กระโหลกพระเศียร) ของพระองค์ ฆฏิการพราหมณ์นำไปประดิษฐานไว้ในพรหมโลก

พระธาตุเขี้ยวหมากแง (พระเขี้ยวแก้ว) พระอินทร์นำไปประดิษฐานไว้ในชั้นดาวดึงษ์

พระธาตุกระดูกด้ามมีด (พระรากขวัญ) พญานาคนำไปประดิษฐานไว้ในเมืองนาค

เหลือแต่พระอังคารของพระองค์ ยังไม่มีการแจกสันปันส่วนกันอย่างไร

กษัตย์นครต่าง ๆ เมื่อได้รับแจกแล้วก็ได้นำไปประดิษฐานไว้ในเมืองของตน เว้นเต่นครเป็นประเทศที่อยู่ห่างไกลมัชฌิมที่อยู่ในปัจจันตประเทศจึงมิได้รับแจก





ครั้นต่อมา โมริยกษัตริย์ เจ้าผู้ครองเมืองโมรีย์ ที่อยู่ในเขตปัจจันตประเทศ ได้ทราบข่าวภายหลังว่า พระพุทธจ้านิพพานแล้ว และมีการแจกพระสารีริกธาตุ

โมริยกษัตริย์จึงพร้อมด้วยราชบริพารของพระองค์ เตรียมการออกเดินทางไปขอรับแจก แต่พอไปถึงกรุงกุสินาราก็ได้ทราบว่า ได้มีการแจกกันพระสารีริกธาตุหมดแล้ว เหลือแต่พระอังคาร กษัตริย์โมรีย์จึงได้รับพระอังคารของพระพุทธเจ้าโดยบรรจุเข้าไว้ในกระอบทองรองรับ นำไปสถาปนาไว้ในนครโมรีย์ เป็นที่เคารพสักการะต่อไป

ครั้นกาลสมัยล่วงเลยมา ประมาณพุทธศักราชล่วงได้ ๓ ปี พระมหากัสสปเถระเจ้า มีความปรารถนาที่จะนำเอาพระอุรังคธาตุของพระพุทธเจ้า ไปประดิษฐานไว้ในภูกำพร้า (พระธาตุพนม)
ตามพุทธประสงค์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

มีการก่อสร้างพระธาตุพนมขึ้น มีพระมหากัสสปเถระเจ้าพร้อมด้วยพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์เป็นประธาน และมีพญาทั้ง ๕ เป็นศาสนูปถัมภก คือ พระยาอินทปัฏฐนคร พระยาดำแดง พระยานันทเสน พระยาจุลนีพรหมทัตต์ และพระยาสุวรรณภิงคาร จัดการก่อสร้างขึ้นจนแล้วเสร็จสำเร็จในวลาอันควร

ในปีที่ก่อสร้างพระธาตุพนมเสร็จนั้น โมริยกษัตริย์พร้อมด้วยพระอรหันต์ในเมืองโมรีย์ ได้ทราบข่าวว่ามีการก่อสร้างพระธาตุพนมขึ้น พระองค์มีศรัทธาเลื่อมใส ทรงมีพระราชประสงค์จะนำเอาพระอังคารของพระพุทธเจ้าที่ได้รับมาสถาปนานั้น ไปบรรจุไว้ในพระธาตุพนมร่วมกับพระอุรังคธาตุของพระพุทธเจ้า

พระอรหันต์ยอดแก้ว พระอรหันต์ธรังษี พระอรหันต์คันทีเถระเจ้ากับคณะรวม ๙ องค์ และพญาหลังเขียวเจ้านคร พร้อมด้วยราชบริพารจำนวน ๙๐ คน ได้อัญเชิญพระอังคารของพระพุทธเจ้าออกเดินทางไปประดิษฐานไว้ในพระธาตุพนม

การออกเดินทางของพระอรหันต์ทั้ง ๙ องค์และพญาหลังเขียว พร้อมด้วยราชบริพารก็มุ่งหน้ามาทางทิศเหนือ แต่พอมาถึงดอนมะขามแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่ตั้งพระธาตุบ้านขามในเวลานี้เป็นเวลาพลบค่ำ จึงได้พากันพักแรมคืนในสถานที่นี้ ซึ่งมีภูมิประเทศราบเรียบ มีห้วยสามแยก น้ำไหลผ่านรอบๆ ดอน

ในที่พักมีต้นมะขามใหญ่ต้นหนึ่ง ซึ่งตายล้มลงแล้ว เปลือกกะพี้และกิ่งก้านสาขาไม่มี เหลือแต่แก่นข้างในเท่านั้น

คณะเดินทางได้ใช้ต้นมะขามที่เหลือแต่แก่นนี้เป็นที่เก็บสิ่งของและรองรับพระอังคารของพระพุทธเจ้า

เช้าวันรุ่งขึ้นพระอรหันต์ทั้ง ๙ และพระยาหลังเขียวพร้อมด้วยบริวารตื่นนอนแล้ว ได้เตรียมการออกเดินทางมุ่งหนไปสู่สถานที่ก่อสร้างพระธาตุพนมต่อไป

พอไปถึงพระธาตุพนม ปรากฎว่าการก่อสร้างได้เสร็จเรียบร้อยแล้ว จะเอาอะไรเข้าบรรจุอีกไม่ได้ ได้แต่พากันไปนมัสการพระธาตุพนมเท่านั้นแล้วก็พากันกลับถิ่นเดิม โดยตั้งใจว่าจะนำพระอังคารของพระพุทธเจ้า ไปสถาปนาไว้ในนครของตนอย่างเดิม แล้วก็พากันกลับตามสายทางเดิม

เมื่อมาถึงที่พักซึ่งเป็นที่ตั้งพระธาตุบ้านขามเวลานี้ คณะเดินทางได้พบเห็นต้นมะขามที่ตายล้มลงแล้วนั้น กลับลุกขึ้นผลิดอกออกผลแตกกิ่งก้านสาขา มีใบสีเขียวชอุ่มแลดูงามตา

เมื่อได้เห็นเป็นอัศจรรย์ดังนี้ พระอรหันต์ทั้ง ๙ องค์ พร้อมด้วยพญาหลังเขียวจึงได้ก่อสร้างพระธาตุครอบต้นมะขาม บรรจุพระอังคารของพระพุทธเจ้าไว้พร้อมด้วยเงินทองแก้วแหวน โดยทำเป็นพระพุทธรูปแทนพระองค์เข้าบรรจุไว้ในพระธาตุนี้ทั้งสิ้น

เมื่อสร้างพระธาตุเสร็จแล้ว พญาหลังเขียวจัดการสร้างบ้านสร้างเมือง ส่วนพระอรหันต์ทั้ง ๙ องค์ก็จัดการสร้างวัดขึ้นคู่กับพระธาตุ เหตุการณ์เป็นดังนี้จึงได้นามว่า"พระธาตุขามแก่น" และพระธาตุขามแก่นจึงมิได้ปรากฎนามในตำนานอุรังคนิทาน เหมือนพระธาตุทั้งหลาย

ครั้นกาลล่วงมา พระอรหันต์ทั้ง ๙ องค์ ก็ได้ดับขันธ์ปรินิพพานในสถานที่นี้ทุกองค์ สรีระธาตุของท่านทั้ง ๙ องค์ ก็ได้บรรจุไว้ในพระธาตุองค์เล็ก ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของพระธาตุใหญ่ ประชาชนนิยมเรียกพระนามของพระธาตุบ้านขามว่า "ครูบาทั้ง ๙ เจ้ามหาธาตุ"

มาเมืองขอนแก่น ขอเชิญมานมัสการพระธาตุขามแก่นกันนะครับ

****************************** 





มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French

  มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French กรมหลวงพิพิธมนตรี (พระพันวัสสาน้อย) เป็นพระอัครมเหสีน้อยของสมเด็จพ...