Chalermkiat Mina

วันพฤหัสบดี, เมษายน 27, 2566

มินามีเรื่องเล่า สุนทรภู่

www.brighttv.co.th

มินามีเรื่องเล่า
สุนทรภู่

          ถึงหน้าวังดังประหนึ่งใจจะขาด

          คิดถึงบาทบพิตรอดิศร

โอ้ผ่านเกล้าเจ้าประคุณของสุนทร

แต่ปางก่อนเคยเฝ้าทุกเช้าเย็น

พระนิพพานปานประหนึ่งศีรษะขาด 

ด้วยไร้ญาติยากแค้นถึงแสนเข็ญ

ทั้งโรคซ้ำกรรมซัดวิบัติเป็น

ไม่เล็งเห็นที่ซึ่งจะพึ่งพา

 

สวัสดีครับ วันดีคืนดีความทรงจำเก่า ๆ ก็ผุดขึ้นมาในสมอง

หลายท่านคงมีอาการเหมือนผม

บางทีบทอาขยานที่ท่องสมัยเรียนอยู่ม.ปลาย ก็กลับเข้ามาในความทรงจำของเรา

อานิสงค์ของการท่องจำก็ดีอย่างนี้นะครับ

พูดถึงบทอาขยานข้างบนแล้ว หลายท่านทราบดีว่าเป็นบทกลอนของกวีเอกของไทย คือท่านสุนทรภู่

ดังนั้น วันนี้ขอเล่าประวัติท่านสุนทรภู่ กวีเอกในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นนะครับ

ท่านสุนทรภู่ เป็นกวีเอกในสมัยรัชกาลที่ ๑ ถึงรัชกาลที่ ๔

          ท่านเกิดเมื่อวันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๓๒๙ ณ บริเวณด้านเหนือของพระราชวังหลัง คือบริเวณสถานีรถไฟบางกอกน้อยในปัจจุบัน

บิดาของท่านสุนทรภู่เป็นชาวบ้านกร่ำ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง มารดาเป็นข้าหลวงอยู่ในพระราชวังหลัง  

บิดามารดาเลิกร้างกันตั้งแต่สุนทรภู่เกิด บิดาออกไปบวชที่วัดป่ากร่ำ ตำบลบ้านกร่ำ อำเภอแกรง จังหวัดระยอง

ส่วนมารดากลับไปอยู่ในพระราชวังหลัง และได้ถวายตัวเป็นนางนมของพระองค์เจ้าหญิงจงกล พระธิดาในเจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์

ท่านสุนทรภู่อยู่ในวังกับมารดามาตั้งแต่เด็ก

ด้านการศึกษา สุนทรภู่ได้รับการศึกษาในพระราชวังหลัง และที่วัดชีปะขาว ติดคลองบางกอกน้อย ซึ่งต่อมาวัดนี้ได้รับพระราชทานนามจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า วัดศรีสุดาราม

          สุนทรภู่แต่เยาว์วัย มีนิสัยรักการแต่งกลอน ในวัยหนุ่มได้เป็นครูสอนหนังสืออยู่ที่วัดชีปะขาว และต่อมาได้เป็นเสมียนนายระวางกรมพระคลังสวน ในกรมพระคลังสวน

          สุนทรภู่ได้แต่งกลอนสุภาษิตและกลอนนิทานเมื่ออายุ ๒๐ ปี

          ชีวิตกวีใช่จะไร้ซึ่งความรัก มีรักแรกก็โดนลงทัณฑ์เสียแล้ว

          สุนทรภู่ได้ลอบรักกับนางข้าหลวง ชื่อ แม่จัน ซึ่งน่าจะเป็นบุตรหลานของผู้มีตระกูล

          กรมพระราชวังหลังกริ้ว จึงให้โบยและจองจำทั้งคู่

          ต่อมากรมพระราชวังหลังทิวงคต ทั้งสองคนจึงพ้นโทษ ในปี พ.ศ. ๒๓๔๙

          สุนทรภู่ออกจากคุกไปหาบิดาที่เมืองแกลง ระยอง

สุนทรภู่อยู่กินกับแม่จัน มีบุตรชื่อ หนูพัด ซึ่งได้อยู่ในอุปการะของเจ้าครอกทองอยู่

          สุนทรภู่กับแม่จันอยู่ด้วยกันไม่นานก็เกิดระหองระแหง น่าจะเป็นเพราะว่าสุนทรภู่เมาสุราเป็นประจำ

          สุนทรภู่เจริญก้าวหน้าทางการงานในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒

          ในสมัยนี้ ท่านได้เข้ารับราชการในกรมพระอาลักษณ์ และเป็นที่โปรดปรานของรัชกาลที่ ๒ จนได้รับแต่งตั้งเป็นขุนสุนทรโวหาร เป็นกวีที่คอยรับใช้อยู่ใกล้ชิด ได้รับพระราชทานบ้านหลวง ใกล้กับวังท่าพระ และได้เข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวเป็นประจำ

          ขุนสุนทรโวหารคอยถวายความเห็นเกี่ยวกับพระราชนิพนธ์และพระนิพนธ์วรรณคดีเรื่องต่างๆ รวมทั้งมีส่วนร่วมในกิจการฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์  

          สุนทรภู่เป็นหนึ่งในคณะร่วมแต่งเรื่องขุนช้างขุนแผน

          ชีวิตของกวีเอกของเราโดนสุราพาล่มจม พ.ศ. ๒๓๖๔ สุนทรภู่ต้องติดคุกอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากถูกอุทธรณ์ว่าเมาสุราและทำร้ายญาติผู้ใหญ่

สุนทรภู่ติดคุกไม่นานก็ได้รับพระราชทานอภัยโทษ

เล่ากันว่าพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงติดขัดบทพระราชนิพนธ์เรื่องสังข์ทอง ไม่มีใครแต่งได้ต้องพระทัยเท่ากวีเอกสุนทรภู่ของเรา

          ภายหลังจากพ้นโทษแล้ว สุนทรภู่ได้เป็นพระอาจารย์ถวายอักษรสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าอาภรณ์ พระราชโอรสในรัชกาลที่ ๒

          ในระหว่างรับราชการอยู่นี้ สุนทรภู่แต่งงานใหม่กับแม่นิ่ม มีบุตรด้วยกันหนึ่งคนคือ พ่อตาบ

          สุนทรภู่รับราชการได้ ๘ ปี เมื่อถึงปี พ.ศ. ๒๓๖๗ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จสวรรคต

          กวีเอกของเรามีดวงลำบาก คือวาสนาตกอับในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓

          สุนทรภู่ถูกกล่าวหาด้วยเรื่องเสพสุราและเรื่องอื่นๆ จึงถูกถอดออกจากตำแหน่งขุนสุนทรโวหาร ท่านจึงได้ออกบวช

          สุนทรภู่ออกบวชที่วัดราชบูรณะ (วัดเลียบ) และเดินทางไปจำพรรษาตามวัดต่างๆ

ท่านบวชเป็นเวลา ๑๘ ปี ระหว่างเวลานั้น ได้ย้ายไปอยู่วัดต่างๆ หลายแห่ง เช่นวัดเลียบ วัดแจ้ง วัดโพธิ์ วัดมหาธาตุ วัดเทพธิดาราม

          หลังจากลาสิกขาบท สุนทรภู่ได้รับการอุปการะจากพระองค์เจ้าลักษณานุคุณ

          ต่อมาพระองค์เจ้าลักษณานุคุณสิ้นพระชนม์

          สุนทรภู่จึงถวายตัวอยู่กับเจ้าฟ้าน้อย หรือสมเด็จเจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ณ พระราชวังเดิม

นอกจากนี้ สุนทรภู่ยังได้แต่งเรื่องพระอภัยมณี ถวายให้กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ และได้รับการอุปการะจากพระองค์ท่าน

          ในปี พ.ศ. ๒๓๙๔ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต

          เจ้าฟ้ามงกุฏเสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และทรงสถาปนาเจ้าฟ้าน้อย หรือสมเด็จเจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ เป็นพระบาท

สมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ประทับอยู่วังหน้า (พระบวรราชวัง)

สุนทรภู่จึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น พระสุนทรโวหาร ตำแหน่งเจ้ากรมพระอาลักษณ์ ฝ่ายบวรราชวังเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๙๔

          สุนทรภู่รับราชการต่อมาได้ ๔ ปี ถึงแก่มรณกรรมในปี พ.ศ. ๒๓๙๘ สิริรวมอายุ ๖๙ ปี

          นับได้ว่าท่านเป็นกวีเอกของไทยที่ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่ง

วันพุธ, เมษายน 26, 2566

มินามีเรื่องเล่า เขาเมือง เขาอกทะลุ และเขาหัวแตก

มินามีเรื่องเล่า เขาเมือง เขาอกทะลุ และเขาหัวแตก

          ในเมืองพัทลุง เราจะเห็นขุนเขาโดดเด่นหลายลูก ที่สำคัญคือเขาเมือง ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองเก่าชัยบุรี มีเขาหัวแตก และเขาอกทะลุ ซึ่งใช้เป็นตราสัญลักษณ์ของจังหวัดพัทลุง

ภูเขาอกทะลุ ตั้งอยู่ที่ตำบลคูหาสวรรค์ ในเขตอำเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง เป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดพัทลุง และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่โดดเด่นของจังหวัด เนื่องจากภูเขาหินปูนแห่งนี้มีลักษณะพิเศษ คือบริเวณเกือบถึงยอดเขามีช่องขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๑๐ เมตรที่มองว่าทะลุได้

          ขอเล่าเรื่องตำนานของขุนเขาทั้งสามเขา และเขาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องให้ทราบครับ

          ตัวละครของตำนานนี้ ได้แก่ เมือง ศิลา บุปผา ยี่สุ่น และชังกั้ง นะครับ

          ตำนานเล่าว่า ครอบครัวของนายเมืองมีอาชีพเป็นพ่อค้าช้าง นายเมืองมีเมีย ๒ คน เมียหลวงชื่อศิลา มีลูกสาวชื่อยี่สุ่น เมียน้อยชื่อบุปผา มีลูกชายชื่อชังกั้ง

          เมียทั้งสองของนายเมืองชอบทะเลาะกันอยู่เสมอ ทำให้ลูกสาวและลูกชายไม่ชอบอยู่บ้าน ออกเที่ยวเตร่ไปกับเรือสำเภา

          วันหนึ่งนายเมืองออกค้าขายตามปกติ นางศิลานั่งทอผ้าอยู่ใต้ถุนบ้าน ส่วนนางบุปผาก็นั่งตำข้าวอยู่อีกด้านหนึ่ง สักครู่ทั้งสองทะเลาะกันอีกและเกิดบันดาลโทสะ นางศิลาตีหัวนางบุปผาจนหัวแตก ส่วนนางบุปผาโกรธมาก ใช้สากตำข้าวกระทุ้งไปที่อกนางศิลาจนอกทะลุ

เมียทั้งสองคนของนายเมืองถึงแก่ความตายและกลายเป็นภูเขา คือเขาอกทะลุ และเขาหัวแตก (เขาคูหาสวรรค์)

เมื่อนายเมืองกลับมาพบเหตุเศร้าสลดจึงตรอมใจตายกลายเป็นเขาเมือง (เขาชัยบุรี)

ต่อมายี่สุ่นผู้เป็นลูกสาวและชังกั้งผู้เป็นลูกชายกลับมาบ้านและรู้ว่าเป็นความวิปโยคของครอบครัว ต่างก็เสียใจและตรอมใจตายตามพ่อแม่ ยี่สุ่นกลายเป็นเขาชัยสน ส่วนชังกั้นตายกลายเป็นเขาชังกั้ง (เขากัง)

เขาอกทะลุ


เขาหัวแตก

เขาเมือง

วันอังคาร, เมษายน 25, 2566

มินามีเรื่องเล่า วัดถ้ำคูหาสวรรค์ พัทลุง

มินามีเรื่องเล่า วัดถ้ำคูหาสวรรค์

          วัดถ้ำคูหาสวรรค์ ตั้งอยู่ที่ตำบลคูหาสวรรค์ อำเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง เป็นโบราณสถานหรือแหล่งศิลปกรรมที่สำคัญ เดิมชาวบ้านเรียกว่า ถ้ำน้ำเงิน หรือ ถ้ำพระ

          ถ้ำแห่งนี้มีขนาดกว้าง ๑๘ เมตร ยาว ๒๘ เมตร มีลักษณะสูงเป็นเวิ้งรูปกรวย ปากถ้ำมีหินกั้นสูง 2 เมตร ชาวบ้านเรียกว่า หัวทรพี ตรงข้ามมีรูปฤาษีตาไฟปูนปั้น ๒ องค์

ภายในถ้ำมีหินงอกคล้ายรูปช้าง ชาวบ้านเรียกว่าช้างผุด หรือ หินลับแล พื้นถ้ำปูด้วยอิฐถือปูน มีเจดีย์เล็กๆ และมีพระพุทธรูปที่ปั้นด้วยดินเหนียวขนาดต่าง ๆ เรียงแถวกัน นอกจากนี้ทางด้านทิศตะวันออกของเศียรพระพุทธรูปไสยาสน์ ยังมีกรุพระพิมพ์ที่ชาวบ้านขุดพบพระแบบต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก 

 

แหล่งข้อมูล

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย๒๕๕๖.  ทรัพยากรการท่องเที่ยวไทยชุดภาตใต้ พัทลุง.

 












วันอาทิตย์, เมษายน 23, 2566

มินามีเรื่องเล่า แหล่งโบราณคดีถ้ำพระเขาเมือง (เขาชัยบุรี)

มินามีเรื่องเล่า แหล่งโบราณคดีถ้ำพระเขาเมือง (เขาชัยบุรี)

สวัสดีครับ เมื่อวันที่ ๑๔ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๖ พวกเราได้มีโอกาสไปเที่ยวชมวนอุทยานเมืองเก่าชัยบุรี คำว่าพวกเราคือ ลูกหลานเมืองพัทลุงที่อยู่บริเวณบ้านควนกรวดนะครับ

                                                 



วนอุทยานเมืองเก่าชัยบุรี ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ ๑ และหมู่ที่ ๑๑ ตำบลชัยบุรี อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง มีเนื้อที่ประมาณ ๑,๘๗๕ ไร่ โดยมีส่วนสำคัญของวนอุทยานคือภูเขา

          


ใช่ครับ ผมกำลังพูดถึงเขาชัยบุรี หรือที่รู้จักกันในนาม เขาเมือง เขาไชยบุรี เขาพิไชยบุรี หรือเขาไชยศรี

วนอุทยานเมืองเก่าชัยบุรีมีสถานที่ท่องเที่ยวและศึกษาที่น่าสนใจ เช่นศาลหลักเมือง ฬาพระ ถ้ำพระนอน จุดชมวิว แท่นท่านยอ (ลานอโศก) ถ้ำน้ำ วัดเขา (เมืองเก่าชัยบุรี)

         


  วันนั้นพวกเราได้รับการต้อนรับและบริการอย่างเป็นกันเองแบบญาติพี่น้องจากคณะเจ้าหน้าที่วนอุทยานเมืองเก่าชัยบุรี

 เมืองเก่าชัยบุรีหรือเขาเมืองมีเรื่องเล่ามากมาย ซึ่งจะขอนำเสนอเป็นเรื่อง ๆ ไปนะครับ 

ขอนำเสนอแหล่งโบราณคดีที่สำคัญในวนอุทยานเมืองเก่าชัยบุรีนะครับ คือถ้ำพระนอนครับ


ที่วนอุทยานเมืองเก่าชัยบุรี หรือที่เรียกว่า เขาเมืองหรือเขาชัยบุรี มีแหล่ง
โบราณคดีที่สำคัญคือถ้ำพระ หรือที่เรียกว่าถ้ำพระนอน


ป้ายนิเทศที่วนอุทยานฯ เขียนอธิบายถ้ำพระนอนไว้ว่า “ถ้ำพระนอนเป็นถ้ำอยู่ทางทิศตะวันออกของเขาชัยบุรี (เขาเมือง) ขุดพบพระพุทธรูปสัมฤทธิ์หลายองค์และช่างปูนพื้นเมืองได้ปั้นพระพุทธรูปนูนต่ำปางไสยาสน์ ซึ่งติดกับเชิงผาภายในถ้ำ ชาวบ้านนับถือเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์”


   

รายงานการสำรวจแหล่งโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์พัทลุง หน้าที่ ๓๒ บรรยายเรื่องถ้ำพระเขาเมืองไว้ว่า

“ถ้ำพระเขาเมืองหรือเขาชัยบุรีเป็นถ้ำหินปูนที่ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของเขาชัยบุรี มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ ๑๐๗ เมตร ปากถ้ำอยู่สูงจากระดับพื้นดินด้านล่างประมาณ ๕ เมตร หันหน้าทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ มีขนาดกว้างประมาณ ๕.๔๐ เมตร บริเวณปากถ้ำมีก้อนหินปูนที่พังทลายลงมาจากเพดานปากถ้ำกองอยู่ภายใตจมีลักษณะเป็นโพรงถ้ำมีขนาดกว้าง ๖-๘ เมตรและลึกประมาณ ๒๖ เมตร ภายในถ้ำมีการขุดปรับสภาพพื้นที่ด้วยการปูอิฐบล๊อกและเทพื้นปูนซีเมนต์เพื่อประดิษฐานพระพุทธรูปและรูปเหมือนพระสงฆ์ ด้านหน้าของตัวถ้ำเป็นสำนักสงฆ์ถ้ำพระเขาเมือง


เมื่อเดินเข้าไปในถ้ำ เราจะเห็นผนังถ้ำที่อยู่ทางขวามือของเรา ถ้าว่ากันตามทิศแล้วจะเรียกว่าผนังถ้ำทางทิศใต้ จะมีพระไสยาสน์ซึ่งเป็นประติมากรรมปูนปั้นนูนต่ำติดกับผนัง พระไสยาสน์ท่านมีความยาว ๑๖ เมตร องค์พระเดิมคงมีการใช้หินกรวดแม่น้ำเป็นส่วนผสมในการพอกปูนปิดทับบนตัวผนังถ้ำ และมีการตกแต่งจีวรด้วยการทาสีแดงชาด ภายหลังจึงมีการซ่อมแซมอีกครั้งด้วยการทาสีทองปิดทับ


องค์พระในปัจจุบันถูกทุบทำลายเพื่อหาทรัพย์สมบัติจนเหลือเพียงพระกรรณซ้ายและส่วนพระองค์บางส่วนเท่านั้น นอกจากนี้ยังพบชิ้นส่วนพระชานุซ้ายของพระพุทธรูปหินทรายแดงภายในถ้ำอีกด้วย”

คุณ Jareeporn Thongdoerm เจ้าหน้าที่และวิทยากรประจำวนอุทยานเขาชัยบุรี ได้นำพวกเราชมสถานที่ต่าง ๆ ในวนอุทยานฯ ซึ่งต้องขอขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้

         


คุณ Jareeporn ได้เล่าความเป็นมาของถ้ำพระนอนไว้ว่า “พระปางไสยาสน์ปูนขาว ช่างสมัยอยุธยาท่านมาแกะสลักไว้ พวกที่มาแกะเอาทองไปอยู่ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ในสมัยก่อน ก่อนที่จะมีการออกศึก ทหารจะเข้ามาขอพร แต่ก่อนที่นี่สันนิษฐานว่าเป็นถ้ำที่สวยงามมาก ดูได้จากลักษณะหินย้อยตอนที่เป็นหินเป็นตอนที่ยังไม่ได้โดนตัด คิดดูว่าจะเป็นวับๆ สวยงามแค่ไหน และมีพระพุทธรูปประทับอยู่ สมัยก่อนจะดูสวยงามมาก กลายเป็นว่าหินตายไปแล้ว แสงยิบยับหายไปหมดเลย ถ้าหินเป็นจะค่อย ๆ ย้อยลงมาเรื่อย ๆ


ด้านหลังของพระมีทางลงไปประมาณ ๓-๔ เมตร และจะแคบลงไปเรื่อย ๆ ถ้ำแห่งนี้ใช้เป็นที่นั่งสมาธิของแม่ชี ท่านแม่ชีชื่อชีพและชาวบ้านได้มาพัฒนาถ้ำแห่งนี้ สาเหตุที่มีการปิดประตูใส่กุญแจตรงทางเข้าถ้ำเพราะว่ามีพวกพวกขี้ยา มาเล่นยากันอยู่ตรงนั้น เป็นที่หวั่นเกรงของแม่ชีที่ท่านมาปฎิบัติธรรม ก่อนหน้านี้มีการล๊อคประตู เวลาเจ้าหน้าที่จะพานักเรียนมาศึกษาต้องขออนุญาตท่านแม่ชี แต่ตอนนี้ท่านแม่ชีท่านเสียไปประมาณ ๓ ปีแล้ว ก็เลยเปิดถ้ำให้เข้ามาได้”


โอกาสหน้าจะมาเล่าเรื่องสถานที่อื่น ๆ ภายในวนอุทยานเมืองเก่าชัยบุรีอีกนะครับ

 

                    Khun Jareeporn Thongdoerm 


แหล่งข้อมูลประกอบการเขียน

- คำบรรยายของคุณ Jareeporn Thongdoerm เจ้าหน้าที่และวิทยากรที่วนอุทยานเมืองเก่าชัยบุรี

- สำนักศิลปากรที่ ๑๔ นครศรีธรรมราช กรมศิลปากร.  ๒๕๕๖.  รายงานการสำรวจแหล่งโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์พัทลุง. นครศรีธรรมราช: โรงพิมพ์เม็ดทราย.


มินามีเรื่องเล่า ศาลหลักเมืองจังหวัดพัทลุง Th/ENG/FR

มินามีเรื่องเล่า ศาลหลักเมืองจังหวัดพัทลุง Th/ENG/FR

          สวัสดีครับ วันนี้ขออนุญาตเล่าเรืองศาลหลักเมืองจังหวัดพัทลุงนะครับ

ก่อนอื่นมีคำถามที่ว่า ศาลหลักเมืองมีความสำคัญอย่างไร

          ตามประเพณีโบราณแล้ว ท่านนิยมสร้างหลักเมืองไว้เป็นมิ่งขวัญ เป็นนิมิตมงคล สำหรับให้ผู้คนได้รู้ว่าหลักบ้านหลักเมืองอยู่ที่ไหน ประชาชนบ้านเมืองนั้นย่อมอยู่ร่มเย็นเป็นสุข เพราะมีเทพรักษาเมือง ได้แก่ พระทรงเมือง พระเสื้อเมือง เทวดา และเทพารักษ์ทั้งหลาย

          ท่านสร้างศาลหลักเมืองไว้ที่ใด

          หลักเมืองต้องฝังไว้ในย่านกลางเมืองหรือให้ทำเลที่ชัยภูมิตามทิศทางของเมือง และในสมัยโบราณ เมืองเอกหรือเมืองชั้นราชธานีจะต้องมีหลักเมืองไว้เป็นนิมิตมงคลสำหรับเมืองทุกเมือง 

          เมืองพัทลุงเคยมีศาลหลักเมืองไหมครับ

          เมืองพัทลุงเป็นเมืองโบราณที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนาน แม้จะเคยมีหลักเมืองเป็นศูนย์กลางของเมืองมาก่อน แต่มีการย้ายเมืองมาตลอด

          จากหลักฐานของราชการ เมืองพัทลุงคือเมืองสทิงพาราณสี ซึ่งต่อมาถูกรุกรานจากโจรสลัดมลายูบ่อยครั้ง ทำให้อ่อนกำลังลง ผู้คนจึงอพยพข้ามทะเลสาบไปก่อตั้งชุมชนขึ้นใหม่ที่โคกเมืองบางแก้ว เรื่องนี้เกี่ยวกับตำนานนางเลือดขาว ซึ่งจะเล่าให้ฟังต่อไปครับ

 

 

          ต่อมาได้เกิดการปกครองระบบกินเมือง เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงตัวเจ้าเมืองก็มักจะย้ายที่ตั้งเมืองไปตามความพอใจของเจ้าเมืองเมืองพัทลุง

          ดังนั้นเมืองพัทลุงจึงมีการย้ายเมืองหลายครั้ง โดยเริ่มจาก ๑. บ้านบางแก้ว ๒. ควนแร่ ๓. เขาเมือง ๔. เมืองท่าเสม็ด ๕. บ้านควนมะพร้าว ๖. บ้านม่วง ๗. โคกลุง ๘. ศาลาโต๊ะวัก จนย้ายมาตั้งที่ตรงบริเวณฝั่งเหนือคลองลำปำ หลังจากนั้นได้ย้ายมาอยู่ที่ตรงบริเวณวังเก่าวังใหม่

          ปี พ.ศ. ๒๔๖๖ ได้มีการย้ายเมืองมาอยู่ที่ตำบลคูหาสวรรค์  แต่ยังไม่มีการสร้างศาลหลักเมืองแต่อย่างใด

          เริ่มสร้างหลักเมืองเมื่อไรครับ

          เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๘ – ๒๕๓๙ ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุงในขณะนั้น คือนายประสิทธิ์ พรรณพิสุทธิ์ และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันก่อสร้างศาลหลักเมืองพัทลุง ณ บริเวณสวนสาธารณะตำบลคูหาสวรรค์ อำเภอเมืองพัทลุง และได้รับพระบรมราชานุญาตให้สร้างหลักเมืองประจำจังหวัดพัทลุงได้ แต่ไม่สามารถก่อสร้างให้แล้วเสร็จได้

          ได้มีการสร้างศาลหลักเมืองใหม่เมื่อใด

 

          ในปี พ.ศ. ๒๕๕๓  นายวินัย ครุวรรณพัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุงและผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ได้ดำเนินการจัดสร้างศาลหลักเมืองพัทลุงขึ้นอีกครั้ง 

          ที่ประชุมได้เลือกสถานที่บริเวณวัดควนปรง หมู่ที่ ๒ ตำบลท่ามิหรำ อำเภอเมืองพัทลุง เป็นสถานที่สร้างศาลหลักเมืองพัทลุง เนื่องจากมีทำเลเหมาะสม อยู่บริเวณเนินสูง สวยงาม เส้นทางคมนาคมสะดวก และเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในอดีต 

          ขั้นตอนการดำเนินการสร้างเป็นอย่างไร

          ผู้ว่าราชการจังหวัดได้ทำเรื่องขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต จากพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อจัดสร้างศาลหลักมืองประจำจังหวัดพัทลุง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในโอกาสทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี

          เมื่อได้รับพระบรมราชานุญาตแล้ว จึงได้จัดสร้างศาลหลักเมือง และเสาหลักเมือง ประจำจังหวัดพัทลุง โดยเริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๓ และแล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๕๔

          ต่อมาได้มีการปรับปรุงองค์ประกอบของศาลหลักเมืองเพิ่มเติม โดยก่อสร้างบันไดทางขึ้นศาลหลักเมือง ระบบไฟฟ้าส่องสว่าง รวมถึงปรับปรุงทัศนียภาพบริเวณโดยรอบศาลหลักเมือง เสร็จเรียบร้อยสมบูรณ์ เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๖๒
          รายละเอียดของศาลหลักเมืองเป็นอย่างไรครับ      

          ศาลหลักเมืองพัทลุงอยู่ด้านทิศใต้ของวัดควนปรง หมู่ที่ ๒ ตำบลท่ามิหรำ อำเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง ผู้ออกแบบสร้างศาลหลักเมืองนี้คือ รศ.ดร.ภิญโญ สุวรรณคีรี ศิลปินแห่งชาติราชบัณฑิตสำนักศิลปกรรม

          พื้นที่สร้างมีขนาด กว้าง ๒๕ เมตร ยาว ๓๐ เมตร อาคารประธานอยู่ตรงกลาง ขนาดกว้าง ๘ เมตร ยาว ๘ เมตร สูงจากระดับพื้นดิน ๑๕.๗๙ เมตร

          ด้านซ้ายของอาคารประธาน เป็นศาลาจำหน่ายดอกไม้ ธูปเทียน มีบันไดขึ้นจากด้านทิศเหนือ เป็นสถาปัตยกรรมไทยรูปทรง

จตุรมุข หลังคาซ้อนชั้นสองชั้น

          เสาหลักเมืองทำด้วยไม้ราชพฤกษ์ เป็นไม้มงคล ได้รับบริจาคมาจากวัดเขาเจียก มอบหมายให้เรือนจำกลางพัทลุง แกะสลักเป็นเสาหลักเมือง

          เมื่อวันศุกร์ที่ ๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๓ จังหวัดพัทลุงได้ทำพิธีอัญเชิญเสาหลักเมืองมาประดิษฐานคู่กับเสาหลักเมืองพัทลุง

          วันเสาร์ที่ ๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๓ ได้มีการทำพิธีปลุกเสกเสาหลักเมือง แผ่นยันต์สยมภูว์ และดินทั้ง ๔ ทิศ

          วันอาทิตย์ที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๓ มีพิธีอัญเชิญเสาหลักเมืองประดิษฐาน โดยพระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณ

       


           เมื่อวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๓ เวลา ๑๘.๐๔ น.พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ  และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินมาทรงประกอบพิธีเปิดศาลหลักเมืองพัทลุง ณ ศาลหลักเมืองพัทลุง ตำบลท่ามิหรำ อำเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง โดยมีรายละเอียดดังนี้

          เมื่อเสด็จพระราชดำเนินถึงศาลหลักเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง เสด็จเข้าพลับพลาพิธี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงจุดรูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระพุทธนวราชบพิตร ทรงศีล พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้นายฉัตรชัย อุตสาหะ และนางปราณี รัตนประยูร รองผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง ทูลกล้า ฯ ถวายสูจิบัตรและหนังสือที่ระลึก พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กราบบังคมทูลรายงานวัตถุประสงค์ และความป็นมาของศาลหลักเมืองพัทลุง พร้อมทั้งขอพระราชทานกราบบังคมทูลเชิญเสด็จทรงประกอบพิธีเปิดศาลหลักเมืองพัทลุง ตามลำดับ

          จากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระสุหร่าย ทรงเจิมแผ่นยันต์ ทรงม้วนแผ่นยันต์แล้วสวมแหวนนพรัตน์ที่ม้วนยันต์ พระราชทานแผ่นยันต์ที่จะบรรจุหัวเม็ดทรงมัณฑ์ คืนเจ้าพนักงานภูษามาลา เสด็จออกจากพลับพลาพิธี ไปยังภายในศาลหลักเมืองพัทลุง ทรงหยิบแผ่นยันต์ แล้วทรงบรรจุลงที่หัวเม็ดทรงมัณฑ์ ทรงสวมยอดหัวเม็ดทรงมัณฑ์ที่ยอดเสาศาลหลักเมือง ทรงพระสุหร่าย ทรงเจิม ทรงปิดทอง ทรงผูกผ้าสีชมพู แล้วทรงคล้องพวงมาลัยเสาหลักเมือง
          พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยสักการะศาลหลักเมืองพัทลุง เสด็จ ฯ ไปยังบริเวณที่ปลูกต้นไม้ ทรงปลูกต้นพะยอมอันเป็นต้นไม้ประจำจังหวัดพัทลุง จำนวน ๒ ต้น เสร็จแล้วเสด็จ ฯ เข้าพลับพลาพิธี ทรงประเคนตุปัจจัยไทยธรรมถวายพระสงฆ์ ทรงหลั่งทักษิโณทก (พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก)
          จากนั้น พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้นายกู้เกียรติ วงศ์กระพันธุ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง กราบบังคมทูลเบิกผู้มีอุปการคุณในการบูรณะซ่อมแชมศาลหลักเมืองพัทลุง เข้าเฝ้า ฯ รับพระราชทานของที่ระลึกจำนวน ๑๐๐ ราย ตามลำดับ
************

The City Pillar Shrine of Phatthalung

          The city pillar is considered as the most important center of souls for the citizens. We can find the city pillars in all cities. In the past, Phatthalung city had been founded in many places: Ban Bangkaeo, Khuanrae, Khao Mueang, Mueang Tha Samet, Ban Khuan Maphrao, Ban Muang, Khok Lung, Sala Towak, Wang Kao Wang Mai in the north of Lumpum Canal and the present area of Kuhasawan. The city pillar shrine is not in built.

In 2010, The governor and the people of Phatthalung found a suitable place for having the city pillar shrine constructed, the hill near Khuan Prong Temple of Tha Miram Sub-district, Mueang District, Phatthalung. The shrine construction was begun on 18th June, 2010. The project was completed in 2011.

          On 28th November 2021, His Majesty King Maha Vajiralongkorn Phra Vajiraklaochaoyuhua and Her Majesty the Queen Suthida Bajrasudhabimalalakshana presided over the shrine inauguration ceremony. Phatthalung people rejoiced at this auspicious event.

          On your next visit to Phatthalung, come and worship the City Pillar and appreciate a panoramic view of the city.

****************         

Le sanctuaire du pilier de la ville de Phatthalung

            Le pilier de la ville est considéré comme le centre d'âmes le plus important pour les habitants.

            Le pilier de la ville est installé au centre de la ville. Dans le passé, la ville de Phatthalung avait été fondée dans de nombreux endroits : Ban Bang Kaeo, Khuan Rae, Khao Mueang, Mueang Tha Samet, Ban Khuan Maphrao, Ban Muang, Khok Lung, Sala Towak, Wang Kao Wang Mai au nord du canal Lumpum et la zone actuelle de Kuhasawan. Néanmoins, le sanctuaire abritant le pilier de la ville n'est pas encore construit.

            En 2010, le gouverneur et les habitants de Phatthalung ont trouvé un endroit approprié pour faire construire le sanctuaire du pilier de la ville. C’est la colline situant au sud du temple Khuan Prong, sous-district de Tha Miram, district de Mueang, Phatthalung. La construction du sanctuaire a débuté le 18 juin 2010. L'achèvement du projet a eu lieu en 2011.

            Le 28 novembre 2021, Sa Majesté le Roi Maha Vajiralongkorn Phra Vajiraklaochaoyuhua et Sa Majesté la Reine Suthida Bajrasudhabimalalakshana ont présidé la cérémonie d'inauguration du sanctuaire. Les gens de Phatthalung se sont réjouis de cet événement de bon augure. 

            Lors de votre prochaine visite à Phatthalung, n’oubliez pas de venir vénérer le pilier de la ville et admirer une vue panoramique de la ville. 

มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French

  มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French กรมหลวงพิพิธมนตรี (พระพันวัสสาน้อย) เป็นพระอัครมเหสีน้อยของสมเด็จพ...