Chalermkiat Mina

วันศุกร์, มีนาคม 10, 2566

มินามีเรื่องเล่า วัดปรางค์หลวง นนทบุรี



                                             
 
 


                     ที่มาของภาพ 
                     wantanee wichaidist (facebook) 12 May 2023

มินามีเรื่องเล่า วัดปรางค์หลวง นนทบุรี

         สวัสดีครับ วันนี้ขออนุญาตนำชมวัดปรางค์หลวง ที่อำเภอเมืองนนทบุรี นะครับ

         วัดปรางค์หลวงเป็นโบราณสถานที่เก่าแก่ที่สุดของจังหวัดนนทบุรี 

 

วัดนี้มีอายุกว่า ๖๕๐ ปี ตั้งอยู่ริมคลองบางกอกน้อย ต.บางม่วง อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี

         วัดปรางค์หลวงสร้างขึ้นในสมัยของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) ปฐมกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรศรีอยุธยา เมื่อประมาณปี พ.ศ.๑๘๙๐

  

         เดิมวัดแห่งนี้มีชื่อว่า วัดหลวง” บางหลักฐานกล่าวว่า สร้างเมื่อปี พ.ศ. ๑๙๐๔ ในช่วงเวลานั้นสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) ได้อพยพผู้คนหนีโรคระบาดมาประทับอยู่ที่บริเวณนี้ ก่อนที่จะทรงสร้างกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี พระองค์ได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดขึ้นชื่อว่า วัดหลวง”

         ต่อมาในสมัยสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส สมเด็จพระสังฆราชเจ้า พระองค์ที่ ๑๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้ทรงพิจารณาว่าองค์พระปรางค์ได้สร้างขึ้นไว้พร้อมกับการสร้างวัด จึงได้ทรงเปลี่ยนนามวัดนี้ว่า วัดปรางค์หลวง” โดยมีพระปรางค์เป็นสัญลักษณ์



         ภายในวัดปรางค์หลวง มีโบราณสถานและโบราณวัตถุสำคัญมากมาย แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดอยู่ที่ “องค์พระปรางค์” เป็นศิลปกรรมสมัยอยุธยาตอนต้น ฐานเป็นอิฐ ส่วนที่เป็นเรือนธาตุทั้งสี่ด้าน แต่ละด้านมีพระปูนปั้นนูนสูง นักโบราณคดีได้ค้นหา หลักฐานอันเป็นจุดเด่นของโครงสร้างก่ออิฐสอดิน ยอดเจ็ดชั้นย่อมุมไม้ยี่สิบ ประดับลายปูนปั้น เรือนธาตุมีซุ้มจรนำทั้ง ๔ ทิศ ประดิษฐานพระพุทธรูปยืนปูนปั้นลงรักปิดทอง

         สภาพองค์พระปรางค์ชำรุดมาก กลางเรือนธาตุมีกรุอยู่ภายในแต่ไม่มีช่องทางขึ้นสู่ยอดปรางค์ ผนังเรือนธาตุเป็นผนังทึบไม่มีประตู เป็นฝีมือของช่างในสมัยอยุธยาตอนต้น และพระวิหารน้อย เป็นอาคารขนาดเล็กก่อด้วยอิฐ ลักษณะของอาคารแต่ละหลังมีผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ประกอบด้วย อาคาร ๒ หลัง อาคารหลังเล็กตั้งอยู่ด้านหน้า และอาคารหลังใหญ่ตั้งอยู่ด้านหลัง ด้านหน้ามีมุขยื่นออกมาคล้ายระเบียง อาคารทั้ง ๒ หลัง มีประตูทางเข้าเพียงทางเดียวลักษณะในการก่อสร้างใช้ระบบผนังรองรับเครื่องบน ไม่มีคาน ไม่มีเสา หลังคามุงกระเบื้องดินเผา ปัจจุบันพระปรางค์อยู่ในสภาพที่สวยงามเพิ่งผ่านการบูรณะมาครับ


                              

          นอกจากพระปรางค์แล้ว วัดปรางค์หลวงยังมีวิหารน้อยซึ่งเป็นกุฏิกรรมฐานในสมัยอยุธยา มี “หลวงพ่ออู่ทอง” ซึ่งเป็นพระพุทธรูปก่ออิฐถือปูนปิดทองปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง ๙ คืบ

         หลวงพ่ออู่ทองได้รับการบูรณะซ่อมแซมโดยฝีมือช่างในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ จนเปลี่ยนแปลงไปจากแบบเดิม แต่ยังมีเค้าร่องรอยของพระพุทธรูปในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น มีพุทธลักษณะงดงาม อีกทั้งหลวงพ่ออู่ทองยังเป็นพระพุทธรูปที่ชาวบ้านในชุมชนนับถือเป็นอย่างมาก

         บริเวณรอบพระอุโบสถของวัดปรางค์หลวง มีใบเสมาอยู่ภายในเขตกำแพงแก้ว ปักอยู่ตามตำแหน่งต่าง ๆ รอบพระอุโบสถจำนวน ๔ แห่ง คือ บริเวณด้านหลังของพระอุโบสถ ๓ แห่ง

         ตรงกลางด้านทิศตะวันตกของพระอุโบสถ ใบเสมามีขนาดใหญ่ทำจากหินชนวน ชาวบ้านในชุมชนเรียกว่า หินกาบ” ลักษณะไม่มีลวดลาย ปักลงบนดินรายรอบพระอุโบสถหลังเก่า เป็นใบเสมาสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ปัจจุบันเหลือใบเสมาที่มีสภาพสมบูรณ์เหลือเพียง ๑ ใบ ตั้งอยู่ที่ด้านหน้าของพระอุโบสถ

         มาเที่ยวเมืองนนทบุรี ขอเชิญแวะมานมัสการ “หลวงพ่ออู่ทอง” ที่วัดปรางค์หลวงกันนะครับ


วันพุธ, มีนาคม 08, 2566

มินามีเรื่องเล่า พระธาตุเชิงชุม

 

มินามีเรื่องเล่า พระธาตุเชิงชุม

         พระธาตุเชิงชุมวรวิหาร ตั้งอยู่ที่ตำบลธาตุเชิงชุม อำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร

         เรื่องราวของพระธาตุเชิงชุมมีดังนี้ครับ

พระเจ้าสุรอุทก ปกครองเมืองนครหนองหานหลวง พระองค์มีพระราชโอรสสองพระองค์ คือ เจ้าชายภิงคารและเจ้าชายคำแดง

ต่อมาพระเจ้าสุรอุทกสวรรคต เมืองหนองหารหลวงถูกน้ำท่วม เจ้าชายภิงคารและเจ้าชายคำแดงได้พาไพร่พลที่เหลือจากการจมน้ำตายไปอยู่ที่ดอนโพนเมือง (คุ้มวัดโพนศรีเมือง ในเมืองสกลนคร) ริมฝั่งหนองหาน ทิศตะวันตกเฉียงใต้

         เจ้าชายภิงคารแสวงหาชัยภูมิที่จะสร้างเมืองขึ้นใหม่  พระองค์มองเห็นทำเลบริเวณภูน้ำลอดเป็นชัยภูมิที่เหมาะแก่การตั้งเป็นบ้านเมืองได้ จึงตั้งเครื่องสักการะและตั้งสัตยาธิษฐานป่าวประกาศแก่เทพยดาทั้งหลายว่าพระองค์จะสร้างบ้านเมืองที่ตรงนี้ ขอให้เทพเทวดาผู้ดูแลรักษาสถานที่แห่งนี้จงคุ้มครองไพร่ฟ้าประชาชนให้มีความสุข

         เมื่อเจ้าชายภิงคารกล่าวคำอธิษฐานจบ มีพญาสุวรรณนาค มีเกล็ดสีทอง เป็นพญานาคเฝ้ารักษารอยพระพุทธบาทที่ภูน้ำลอดมานาน ได้สำแดงตัวปรากฏแก่เจ้าชายภิงคาร แจ้งให้พระองค์ทราบว่า ตนเป็นพญานาคที่รักษารอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าที่ภูน้ำลอดแห่งนี้

         พญาสุวรรณนาคได้นำน้ำเต้าทองบรรจุน้ำหอมมารดสรงอภิเษกเจ้าชายภิงคารขึ้นเป็นเจ้าเมือง ขนานพระนามว่า พญาสุวรรณภิงคาร พระองค์ทรงสร้างเมืองหนองหานหลวงขึ้นมาใหม่นับแต่นั้นสืบมา

         ส่วนพระอนุชาของพระองค์ คือ เจ้าชายคำแดง นั้น ได้มีเสนาอำมาตย์เมืองหนองหานน้อยมาอัญเชิญพระองค์ให้ไปเป็นกษัตริย์แทนเจ้าเมืองของตนที่ว่างลง

         เจ้าชายคำแดงทรงครองเมือง มีพระนามว่า พญาคำแดงแห่งเมืองหนองหานน้อย ทรงได้สร้างบ้านเมืองปกครองไพร่ฟ้าประชาชนคู่กับเมืองหนองหานหลวงสืบแต่นั้นมา

         ครั้งที่พระพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ที่วัดเชตวัน ใกล้กรุงสาวัตถี ทรงรำลึกถึงพุทธประเพณีของพระพุทธเจ้าในอดีต พระองค์ได้เสด็จโดยทางอากาศ มีพระอานนท์เป็นผู้ติดตาม เพื่อโปรดเวไนยสัตว์ในอาณาบริเวณลุ่มแม่น้ำโขง

         พระพุทธเจ้าทรงมีพุทธทำนายให้พระอานนท์ทราบถึงเหตุการณ์และภูมิสถานในอนาคตกาล และทรงประทานรอยพระบาทไว้ในสถานที่ต่าง ๆ

         เช้าวันหนึ่ง พระพุทธเจ้าทรงเสด็จมายังเมืองหนองหานหลวง เพื่อรับบิณฑบาตจากชาวเมือง

         ความทราบถึงพญาสุวรรณภิงคารและพระมเหสีคือ พระนางจรวยเจงเวงราชเทวี ทั้งสองพระองค์ทรงออกไปอาราธนาให้พระพุทธเจ้าและพระอานนท์มารับบิณฑบาตพร้อมกับทำภัตกิจในปราสาทของพญาสุวรรณภิงคาร

         พระพุทธองค์ทรงแสดงเทศนาให้กับพญาสุวรรณภิงคารและชาวเมือง พร้อมกันนี้ทรงล้วงบาตร และนำข้าวที่เหลืออยู่นั้นมาปั้นเป็นก้อนเท่าปลายนิ้วก้อย มอบให้กับพญาสุวรรณภิงคารไว้เป็นที่ระลึก

         ก้อนข้าวนี้ เรียกว่า ก้อนข้าวใหญ่ หมายถึง ข้าวก้นบาตรของพระพุทธเจ้า

         จากนั้นพระพุทธเจ้าเสด็จลงจากปราสาทมายังภูน้ำลอดเชิงชุม

         พญาสุวรรณนาคได้นำแผ่นศิลาประดิษฐานรอยพระพุทธบาทของอดีตพระพุทธเจ้า แทรกแผ่นดินขึ้นมาประดิษฐานไว้เบื้องหน้าพระพุทธองค์

         พระพุทธเจ้าทรงประทับรอยพระบาทเบื้องขวาลงบนแผ่นศิลานั้น เกิดปาฏิหาริย์ดวงแก้วมณี ๔ ดวง ลอยออกมาจากรอยพระบาทเป็นลำดับ

         พระพุทธองค์ทรงอธิบายว่า ดวงแก้วมณี ๓ ดวง หมายถึง พระพุทธเจ้า ๓ พระองค์ ได้แก่ พระกุกกุสันธพระพุทธเจ้า พระโกนาคมนพุทธเจ้าและพระกัสสปพุทธเจ้า

         ส่วนดวงแก้วมณีดวงที่ ๔ หมายถึงพระองค์ คือพระโคตมพุทธเจ้า

         พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ในภัทรกัปนี้จะมาประทับชุมนุมรอยพระพุทธบาท ณ ภูน้ำลอดเชิงชุม

         เมื่อพญาสุวรรณภิงคารได้แจ้งในคำอธิบายของพระพุทธองค์แล้ว บังเกิดศรัทธาจะตัดเศียรของตนบูชารอยพระพุทธบาท

         แต่พระนางเจ้าจรวยเจงเวงราชเทวีเห็นกริยาอาการของพระราชสวามี จึงตรงเข้าจับพระหัตถ์และแย่งพระขรรค์ พร้อมกล่าวเตือนพระราชสวามีว่า ถ้าพระองค์ทรงมีพระชนมายุยืนนาน จะได้ทรงอุปถัมภ์บำรุงรอยพระบาทเพื่อสืบพระพุทธศาสนาต่อไป

         พญาสุวรรณภิงคารทรงตระหนักได้ และรำลึกถึงคุณพระรัตนตรัย ทรงเลื่อมใสในพระพุทธบาท จึงทรงนำกระโจมทองคำมาบูชารอยพระพุทธบาทแทน

         ต่อมาศิลาที่บรรจุรอยพระพุทธบาทได้จมลงในพื้นดินที่ภูน้ำรอดเชิงชุม พญาสุวรรณภิงคารนำชาวเมืองสร้างอูบมูงหินครอบรอยพระพุทธบาทไว้ และนำปั้นข้าวที่พระพุทธเจ้าประทานให้นั้นมาประดิษฐานไว้ภายในเพื่อให้เป็นที่สักการะสืบมา

         ตรงบริเวณที่พญาสุวรรณภิงคารทรงสร้างพระธาตุครอบพระพุทธบาทไว้ คือ พระธาตุเชิงชุม ครับ


                                           ที่มาของภาพ https://th.trip.com/moments/detail/sakon-nakhon


วันอังคาร, มีนาคม 07, 2566

มินามีเรื่องเล่า เดือนแปดสองหนในปฏิทินทางจันทรคติ

 



มินามีเรื่องเล่า เดือนแปดสองหนในปฏิทินทางจันทรคติ

         สวัสดีครับ วันนี้ผมจะขอเล่าเรื่องปฏิทินทางจันทรคติ นะครับ

         เรามาพูดถึงความรู้เกี่ยวกับการนับวันเดือนปีกันนะครับ เราจะเริ่มจากปฏิทินที่นิยมใช้ในประเทศไทย

         ก่อนอื่นเรามาพูดถึงความหมายของคำศัพท์กันก่อนนะครับ คำว่า อธิก- ออกเสียงว่า อะ-ทิ-กะ หมายถึง เกิน หรือ เพิ่ม

         ส่วนคำว่า วาร แปลว่า วัน

         คำว่า มาส แปลว่า เดือน

         ในคำว่า สุรทิน มีคำว่า สุร แปลว่า พระอาทิตย์ ส่วนคำว่า ทิน แปลว่า วัน

ปฏิทินหลัก ๆ ที่นิยมใช้ในประเทศไทยมีปฏิทินทาง

สุริยคติและปฏิทินทางจันทรคติ

         ปฏิทินทางสุริยคติ หรือที่เรียกว่า ปกติสุรทิน แบ่งตามรอบการโคจรของพระอาทิตย์

     ส่วนปฏิทินทางจันทรคติแบ่งตามรอบการโคจรของพระจันทร์ครับ

ปฏิทินทางสุริยคติแบ่งเป็นสองแบบ แบบแรกคือ ปกติปฏิทิน มี ๓๖๕ วัน โดยกำหนดให้เดือนกุมภาพันธ์มี ๒๘ วัน 

แบบที่สอง คือ อธิกสุรทิน มี ๓๖๖ วัน โดย

กำหนดให้เดือนกุมภาพันธ์มี ๒๙ วันครับ ทั้งนี้เป็นการกำหนดตามการโคจรของรอบดวงอาทิตย์

ส่วนปฏิทินทางจันทรคติแบ่งเป็นสามแบบครับ

ได้แก่ แบบที่หนึ่ง ปกติมาส-ปกติวาร แปลว่า เดือนปกติ วันปกติ แบบที่สอง คือ ปกติมาส-อธิกวาร แปลว่าเดือนปกติ แต่วันเพิ่ม และแบบที่สามคือ อธิกมาส-ปกติวาร แปลว่า มีเดือนเพิ่ม แต่วันปกติ ฟังแล้วอาจจะงง มาดูรายละเอียดกันครับ

         ทบทวนประเภทของปฏิทินทางจันทรคตินะครับ ปฏิทินทางจันทรคติ มีสามประเภท ได้แก่ ปกติมาส-ปกติวาร ปกติมาส-อธิกวารและอธิกมาส-ปกติวาร

         เรามาดูแบบที่หนึ่งกันนะครับ ปกติมาส-ปกติวาร แปลว่า เดือนปกติ วันปกติ ถือเป็นปีที่เป็นปกติ มีเดือนคู่ข้างขึ้น ๑๕ วัน ข้างแรม ๑๕ วัน และมีเดือนคี่ข้างขึ้น ๑๕ วัน และข้างแรม ๑๔ วัน รวมเป็น ๓๕๔ วัน

         คิดเป็นสูตรตัวเลข คือ ๓๐x+๒๙x = ๓๕๔ แปลความหมายว่า เดือนคู่ ปกติมี ๓๐ วัน ๖ เดือน และเดือนคี่ ปกติ มี ๒๙ วัน ๖ เดือน รวม ๓๕๔ วันครับ

แบบที่สอง คือ ปกติมาส-อธิกวาร แปลว่า เดือนปกติ แต่วันเพิ่ม ถือเป็นปีที่เป็นปกติ มีวันเพิ่มในเดือน ๗ ซึ่งเป็นเดือนคี่ สิ่งที่เพิ่มขึ้นคือเดือน ๗ นี้จะมีข้างแรม ๑๕ วัน ไม่ได้มี ๑๔ วัน เหมือนปฏิทินจันทรคติแบบปกติมาส-ปกติวาร ดัวนั้น รวมวันในหนึ่งปี ของปฏิทินจันทรคติแบบปกติมาส-อธิการ จะเป็น ๓๕๔+= ๓๕๕ วันครับ

        แบบที่สาม คือ อธิกมาส-ปกติวาร แปลว่า ปีที่มีเดือนแปดเพิ่มอีกเดือน โดยมีวันปกติ เราอาจเรียกว่าปีที่มีเดือนแปดสองหน (๘๘) ก็ได้ครับ

        คำว่า อธิกมาส หมายถึง เดือนที่เพิ่มขึ้นทางจันทรคติ คือ ในปีนั้นมีเดือน ๑๓ เดือน โดยมีเดือน ๘ สองหน

        ทวนอีกครั้งครับ ปีปกติมาส-ปกติวาร จะมี ๓๕๔ วัน ส่วนปีปกติมาส-อธิกวาร มีวันเพิ่มเป็น ๓๕๕ วัน เพิ่มในวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๗ ครับ ส่วนปีอธิกมาส-ปกติวาร เป็นปีที่มีเดือนแปดเพิ่มสองหน (๘๘) รวมเป็น ๑๓ เดือน หรือ ๓๘๔ วันครับ

         แต่ยังไม่มีปีใดที่เป็นปี อธิกมาส-อธิกวาร คือ มีทั้งเดือนแปดสองหนและ เดือน ๗ เพิ่มวันอีกวันหนึ่งพร้อม ๆ กันครับ

        ในเรื่องของเดือนทางจันทรคตินั้น เราอธิบายได้แบบนี้ครับ

         เดือนจันทรคติไทยมี ๑๒ เดือน เริ่มจากเดือนอ้าย (๑), เดือนยี่ (๒), เดือนสาม (๓), เดือนสี่ (๔), เดือนห้า (๕), เดือนหก (๖), เดือนเจ็ด (๗), เดือนแปด (๘) (เดือนแปดหลัง(๘๘) สำหรับปีอธิกมาส, เดือนเก้า (๙), เดือนสิบ (๑๐) , เดือนสิบเอ็ด (๑๑), เดือนสิบสอง (๑๒)

        ทีนี้ เรามาดูเดือนคู่กันครับ เดือนคู่มี ๓๐ วัน คือ

        วันขึ้น ๑ ค่ำถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ และวันแรม ๑ ค่ำ ถึงวันแรม ๑๕ ค่ำ

        ส่วนเดือนคี่มี ๒๙ วัน คือวันขึ้น ๑ ค่ำถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ และวันแรม ๑ ค่ำถึงวันแรม ๑๔ ค่ำ

         ทำไมเราต้องมีเดือนแปด ๒ ครั้ง คำถามนี้น่าสนใจมากนะครับ

         เราอธิบายตามหลักการทางวิทยาศาสตร์คือ ปฏิทินจันทรคติ จะมีข้างขึ้นกับข้างแรมสลับกันไป ขึ้น ๑๔-๑๕ ค่ำ แรม ๑๔-๑๕ ค่ำ แล้วแต่เดือน พอเอามารวมกัน ๑๒ เดือน จะได้ทั้งหมด ประมาณ ๓๕๔ วัน

          ในปฏิทินสุริยคตินั้น โดยปกติปีหนึ่งมีวันทั้งหมด ๓๖๕ วัน ซึ่งต่างจากปฏิทินจันทรคติปีละประมาณ ๑๑ วัน

         ในปฏิทินทางจันทรคตินั้น ถ้าเรานับวันไปเรื่อย ๆ โดยไม่ทำอะไร จะทำให้เดือนตามปฏิทินจันทรคติ ไม่สามารถบอกฤดูกาลได้ เพราะมีการคลาดเคลื่อนของเวลา นี้เป็นเหตุผลเดียวกันกับปฏิทินทางสุริยคติที่เราต้องเพิ่มวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ ในทุกๆ ๔ ปี

     ต่อคำถามที่ว่า ใครใช้ปฏิทินจันทรคติ

        ถ้าจะตอบให้ใกล้ตัวเราที่สุดคือ เราใช้ปฏิทินทางจันทรคติในทางโหราศาสตร์เพื่อดูฤกษ์ ดูยาม หรือในทางศาสนาพุทธ เราปฏิทินจันทรคติดูวันสำคัญของศาสนาพุทธ เหมือนที่เราเคยท่องตอนเด็ก ๆ ว่า มา-สาม วิ-หก อา-แปด ครับ

         มา-สาม วิ-หก อา-แปด เป็นคำย่อหมายความว่า ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ เป็นวันมาฆบูชา และขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ เป็นวันวิสาขบูชา และขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ เป็นวันอาสาฬหบูชา

     นอกจากนี้เรายังมีวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ เป็นวันเข้าพรรษา ส่วนแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ เป็นวันออกพรรษา และวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ เป็นวันลอยกระทง

     มีคำถามว่า การเพิ่มเดือนแปดเกี่ยวข้องกับศาสนาพุทธอย่างไรครับ

           คำตอบคือ ศาสนาพุทธใช้ปฏิทินจันทรคติ ในการบอกวันสำคัญ และวันเข้าพรรษาจะเป็นวันที่กำหนดว่าพระสงฆ์ต้องอยู่ที่พำนัก ไม่ออกไปไหนเป็นเวลา ๓ เดือน ทั้งนี้เพื่อให้การบอกวัน เวลาเป็นไปตามฤดูกาล เดือนที่เพิ่มมาเลยเป็นเดือน ๘ และจะใช้เดือน ๘ หนหลังในการกำหนดว่าเป็นวันเข้าพรรษา หากไม่เลื่อนเดือน ระยะเวลาจำพรรษาจะไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย (วัสสูปนายิกาขันธกะ) ที่พระสงฆ์ต้องจำพรรษา ๓ เดือน เพราะในปีทางจันทรคติที่เป็นปีอธิกมาส ถ้านับวันเข้าพรรษาจากแรม ๑ ค่ำเดือนแปด (๘) รวมเดือนแปดหลัง (๘๘) อีก ๑ เดือน จนถึงวันออกพรรษา วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนสิบเอ็ด (๑๑) ระยะเวลาจะรวม ๔ เดือน ถือว่าไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย

     ในปีใดที่เป็นปีอธิกมาส วันสำคัญทางพุทธศาสนาจะเลื่อนออกไป ตัวอย่างเช่น ปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ที่ผ่านมา เกณฑ์ปฏิทินจันทรคติไทยเป็น ปีอธิกมาศ (เดือนแปดสองหน) ดังนั้นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา จะเลื่อนไป ๑ เดือน กล่าวคือ

     วันมาฆบูชา เลื่อนเป็น วันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือนสี่ (๔)  ส่วนวันวิสาขบูชา วันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือนเจ็ด (๗)  ส่วนวันอาสฬหบูชา วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนแปดหลัง (๘๘)  และวันเข้าพรรษาวันแรม ๑ ค่ำ เดือนแปดหลัง (๘๘) ส่วนวันออกพรรษาจะเหมือนเดิมคือ วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนสิบเอ็ด (๑๑) 

การกำหนดวันพระในปีอธิกมาส กำหนดอย่างไรครับ

เรากำหนดวันพระไว้ดังนี้ครับ 

วันพระตรงกับวันขึ้น ๘ ค่ำ, ขึ้น ๑๕ ค่ำ (วันเพ็ญ), แรม ๘ ค่ำ, แรม ๑๕ ค่ำ

หากเดือนใดเป็นเดือนขาดหรือเดือนคี่ (เดือน ๑, , , , , ๑๑) ให้ถือเอาแรม ๑๔ ค่ำ เป็นวันพระ

         เป็นอย่างไรบ้างครับ อย่างน้อยเราพอจะเข้าใจเรื่องราวของปฏิทินทางจันทรคติกันนะครับ



วันจันทร์, มีนาคม 06, 2566

มินามีเรื่องเล่า หลวงพ่อพระองค์แสน วัดพระธาตุเชิงชุม วรวิหาร จังหวัดสกลนคร

 

                                  ที่มาของภาพ https://www.108prageji.com


มินามีเรื่องเล่า หลวงพ่อพระองค์แสน วัดพระธาตุเชิงชุม วรวิหาร จังหวัดสกลนคร

         ผมได้มีโอกาสมาที่วัดพระธาตุเชิงชุม นมัสการพระธาตุเชิงชุม และได้เข้านมัสการหลวงพ่อพระองค์แสน พระประธานในพระวิหารที่ตั้งอยู่หน้าพระธาตุเชิงชุม

         ได้มานมัสการหลวงพ่อพระองค์แสน ที่พวกเราชาวพุทธถือว่าเป็นตัวแทนขององค์พระสัมมาสัมพระพุทธเจ้า และสถูปที่เป็นพระธาตุเชิงชุมนั้น ถือเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้าเหมือนกัน เราเรียกว่า อุเทสิกเจดีย์

         อุเทสิกเจดีย์ คือสิ่งที่สร้างขึ้นโดยเจตนาอุทิศแก่พระพุทธเจ้าหรือแทนองค์พระพุทธเจ้า เช่น เจดีย์ พระพุทธรูป รอยพระพุทธบาท พระพิมพ์เป็นต้น เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศถวายพระพุทธเจ้า นอกเหนือจากธาตุเจดีย์ บริโภคเจดีย์ และธรรมเจดีย์

         หลวงพ่อพระองค์แสน เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะเชียงแสน นั่งขัดสมาธิราบ ก่อด้วยอิฐถือปูน ลงรักปิดทอง มีขนาดหน้าตักกว้าง ๒ เมตร มีความสูงจากฐานถึงพระเมาลี (ยอด, ผมจุก) ๓.๒๐ เมตร

         หลวงพ่อองค์แสนมีประวัติความเป็นมาอย่างไร

ประวัติความเป็นมาของหลวงพ่อองค์พระองค์แสนนั้น ตามตำนานกล่าวไว้ว่า ได้มีการสร้างหลวงพ่อประมาณ พ.ศ. ๑๘๐๐ เพื่อแทนหลวงพ่อสุวรรณแสน ซึ่งองค์จริงท่านเป็นทองคำทั้งองค์

         หลวงพ่อสุวรรณแสนหายไปไหน

         ว่ากันว่า ในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ได้มีการทำศึกสงครามหลายครั้ง ได้มีการย้ายเมืองไปนครธม ก่อนย้ายไปเมืองนั้น ได้มีการนำหลวงพ่อสุวรรณแสนไปซ่อนไว้ในน้ำ จึงได้มีการสร้างหลวงพ่อพระองค์แสนไว้ทดแทน

         ถ้าท่านได้มีโอกาสมาที่จังหวัดสกลนคร ขอเชิญมาไหว้หลวงพ่อองค์แสนและพระธาตุเชิงชุมเพื่อความเป็นสิริมงคลนะครับ

วันอาทิตย์, มีนาคม 05, 2566

มินามีเรื่องเล่า ปุรินทราภิบาล

 

เขาหัวแตก พัทลุง

มินามีเรื่องเล่า ปุรินทราภิบาล

         ผมได้รับเมตตาจากท่านอาจารย์จรรยา คชพันธ์ ข้าราชการบำนาญของโรงเรียนสตรีพัทลุง ซึ่งมีบ้านพักอาศัยอยู่ใกล้วัดควนกรวด ท่านได้มอบหนังสือหนึ่งร้อยห้าปี “ปุรินทราภิบาล” ให้อ่าน

         หนังสือ “หนึ่งร้อยห้าปี-ปุรินทราภิบาล” รวบรวมโดยคุณจำเพาะ ปุรินทราภิบาล เป็นการรวมหลักฐานที่มาของนามสกุลปุรินทราภิบาลและรวมเครือญาติไว้ด้วยกัน ถือเป็นการสร้างความผูกพันรักใคร่ซึ่งกันและกัน เป็นประโยชน์อย่างมากต่อลูกหลานที่จะสืบหาวงศาคณาญาติและต่อผู้ที่สนใจความเป็นมาของเมืองพัทลุงผ่านบรรพบุรุษของตระกูลปุรินทราภิบาลนี้ครับ   

ผมขอถือโอกาสนี้นำความในหนังสือมาเล่าสู่กันฟังครับ

เจ้าเมืองพัทลุง

         เรื่องของเจ้าเมืองพัทลุงมีมานานหลายยุคสมัยตั้งแต่อดีต แต่ผมจะขอเล่าโดยเริ่มจากสมัยกรุงธนบุรีและรัตนโกสินทร์นะครับ

ในสมัยกรุงธนบุรีและต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เมืองพัทลุงตั้งอยู่ที่บ้านโคกลุง มีพระยาแก้วโกรพพิไชยฯ  

หรือที่เรียกว่า พระยาพัทลุง (ขุนคางเหล็ก) เป็นเจ้าเมือง ท่านเป็นต้นสกุล ณ พัทลุง ท่านเป็นเจ้าเมืองพัทลุงระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๑๕-๒๓๓๒

         ต่อมาเมืองพัทลุงย้ายมาตั้งอยู่ที่บ้านศาลาโต๊ะหวัก มีออกพระศรีไกรลาศ เป็นเจ้าเมืองระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๓๒-๒๓๓๓

         หลังจากนั้น เมืองพัทลุงย้ายมาตั้งอยู่ที่วังบ้านสวนดอกไม้ มีพระยาพัทลุง (ทองขาว) เป็นเจ้าเมืองระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๓๔-๒๓๖๐ รวม ๒๖ ปี

พระยาพัทลุง (ทองขาว) เป็นบุตรชายของพระยาพัทลุง (ขุนคางเหล็ก) กับท่านปล้อง ท่านมีบรรดาศักดิ์พระยาวิจิตเสนา (ทองขาว) หรือพระยาวิชิตเสนา (ทองขาว) และเริ่มรับราชการเป็นหลวงศักดิ์นายเวรในรัชกาลที่ ๑

  พระยาพัทลุง (ทองขาว) มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนามาก ท่านได้สร้างวัดวัง เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๕๙ ที่บ้านลำปำ จังหวัดพัทลุง

เมื่อพระยาพัทลุง (ทองขาว) ถึงแก่กรรม ได้มีการย้ายเมืองพัทลุงมาตั้งอยู่ที่วังเก่า ลำปำ มีพระยาพัทลุง (เผือก) เป็นเจ้าเมืองระหว่างปี พ.ศ.๒๓๖๐-๒๓๖๙

พระยาพัทลุง (เผือก) ท่านเป็นน้องชายของพระยาพัทลุง (ขุนคางเหล็ก) และเป็นต้นตระกูล วัลลิโภดม

         ต่อจากพระยาพัทลุง (เผือก) มีพระยาเสน่หามนตรี (น้อยใหญ่) หรือที่รู้จักกันในนาม พระยาพัทลุง (น้อยใหญ่) ท่านเป็นสายสกุล ณ นคร ได้เป็นเจ้าเมืองพัทลุงระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๖๙-๒๓๘๒

         ต่อจากพระยาเสน่หามนตรี มีพระยาอภัยบริรักษ์จักรวิชิตพิพิธภักดีพิริยพาหะ (จุ้ย) ท่านเป็นสายสกุล จันทรโรจน์วงศ์ ได้เป็นเจ้าเมืองพัทลุงระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๘๒-๒๓๙๓

         ต่อจากพระยาอภัยบริรักษ์ฯ (จุ้ย) มีพระยาอภัยบริรักษ์ฯ (ทัพ) ท่านเป็นสายสกุล ณ พัทลุง ได้เป็นเจ้าเมืองพัทลุงระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๙๔-๒๔๑๐

ต่อจากพระยาอภัยบริรักษ์ (ทัพ) มีพระยาอภัยบริรักษ์ฯ (น้อย) ท่านเป็นสายสกุล จันทรโรจน์วงศ์ ได้เป็นเจ้าเมืองพัทลุงระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๑๐-๒๔๓๑ มีการย้ายเมืองมาตั้งอยู่ที่บ้านเมืองที่วังใหม่ ลำปำ

         ต่อจากพระยาอภัยบริรักษ์ (น้อย) มีพระยาอภัยบริรักษ์ฯ (เนตร) ท่านเป็นสายสกุล จันทรโรจน์วงศ์ ได้เป็นเจ้าเมืองพัทลุงระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๓๑-๒๔๔๖

         ขอย้อนกลับไปที่พระยาเสน่หามนตรี (น้อยใหญ่) หรือ พระยาพัทลุง (น้อยใหญ่) นะครับ ท่านได้เป็นเจ้าเมืองพัทลุงระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๖๙-๒๓๘๒ ท่านเป็นบุตรของพระยานคร (น้อย) เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช

         มีความเชื่อกันว่า เจ้าพระยานคร (น้อย) เป็นลูกเธอในพระเจ้ากรุงธนบุรีกับเจ้าจอมมารดาปราง ธิดาของเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (หนู) ซึ่งจะเล่าให้ฟังในโอกาสหน้าครับ

         พระยาพัทลุง (ทัพ) หรือพระยาอภัยบริรักษ์ฯ (ทัพ) เป็นบุตรของพระยาพัทลุง (น้อยใหญ่) ท่านเป็นหลานปู่ของพระยาพัทลุง (ขุนคางเหล็ก)

          พระยาพัทลุง (ทัพ) สมรสกับคุณหญิงผ่อง มีบุตรีและบุตรชาย รวม ๒ คน บุตรีชื่อ ทรัพย์ ต่อมาได้เป็นเจ้าจอมมารดาทรัพย์ ในรัชกาลที่ ๓

         ส่วนบุตรชาย คือ หลวงรองราชมนตรี (หนูกรุง) สมรสกับ นางทองเนี่ยว

         สรุปคือ เจ้าจอมมารดาทรัพย์เป็นพี่สาวของหลวงรองราชมนตรี (หนูกรุง)

         แต่ความในบันทึกเครือญาติ ณ พัทลุง โดย นายสาย ณ พัทลุง ได้ หน้า ๑๐๐ กล่าวว่า บุตรพระยาพัทลุง (ทัพ ณ พัทลุง) คนที่ ๔ เกิดจากภรรยาหม่อมน้อย ชาวกรุงเทพฯ ชื่อ นายหนูกรุง ณ พัทลุง มีบรรดาศักดิ์เป็น หลวงรองราชมนตรี 

         หลวงรองราชมนตรี (หนูกรุง ณ พัทลุง) สมรสกับนางทองเนี่ยว มีบุตรธิดา ๑๒ คน แต่ที่ลูกหลานจำได้มี ๓ คน คือ นายทองมาก นางหวาน และนางบัว

         ขอกล่าวถึงบุคคลสำคัญของตระกูลปุรินทราภิบาล คือ นายทองมาก ปุรินทราภิบาล ครับ

นายทองมาก ปุรินทราภิบาลเป็นบุตรของหลวงรองราชมนตรี (หนูกรุง ณ พัทลุง) กับนางทองเนี่ยว

นายทองมาก ปุรินทราภิบาลเป็นต้นตระกูลปุรินทราภิบาล ท่านเป็นกรมการเมืองพัทลุง ในตำแหน่งหลวงเมือง ซึ่งลูกหลานและชาวบ้านเรียกท่านว่า จอมเมือง

จอมเมือง หรือ นายทองมาก ปุรินทราภิบาล มีภรรยา ๔ คน และมีบุตรธิดารวม ๑๐ คน แบ่งเป็น ๑๐ สาย รวมกับสายที่ ๑๑ คือสายของนางหวานและนางบัว ซึ่งเป็นพี่น้องของนายทองมาก

เรื่องราวของจอมเมือง หรือท่านทองมาก ปุรินทราภิบาล จะขอนำเสนอในโอกาสต่อไปครับ

ที่มาของข้อมูลประกอบการเล่าเรื่อง

จำเพาะ ปุรินทราภิบาล.  “หนึ่งร้อยห้าปี-ปุรินทราภิบาล”


มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French

  มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French กรมหลวงพิพิธมนตรี (พระพันวัสสาน้อย) เป็นพระอัครมเหสีน้อยของสมเด็จพ...