Chalermkiat Mina

วันอังคาร, มีนาคม 07, 2566

มินามีเรื่องเล่า เดือนแปดสองหนในปฏิทินทางจันทรคติ

 



มินามีเรื่องเล่า เดือนแปดสองหนในปฏิทินทางจันทรคติ

         สวัสดีครับ วันนี้ผมจะขอเล่าเรื่องปฏิทินทางจันทรคติ นะครับ

         เรามาพูดถึงความรู้เกี่ยวกับการนับวันเดือนปีกันนะครับ เราจะเริ่มจากปฏิทินที่นิยมใช้ในประเทศไทย

         ก่อนอื่นเรามาพูดถึงความหมายของคำศัพท์กันก่อนนะครับ คำว่า อธิก- ออกเสียงว่า อะ-ทิ-กะ หมายถึง เกิน หรือ เพิ่ม

         ส่วนคำว่า วาร แปลว่า วัน

         คำว่า มาส แปลว่า เดือน

         ในคำว่า สุรทิน มีคำว่า สุร แปลว่า พระอาทิตย์ ส่วนคำว่า ทิน แปลว่า วัน

ปฏิทินหลัก ๆ ที่นิยมใช้ในประเทศไทยมีปฏิทินทาง

สุริยคติและปฏิทินทางจันทรคติ

         ปฏิทินทางสุริยคติ หรือที่เรียกว่า ปกติสุรทิน แบ่งตามรอบการโคจรของพระอาทิตย์

     ส่วนปฏิทินทางจันทรคติแบ่งตามรอบการโคจรของพระจันทร์ครับ

ปฏิทินทางสุริยคติแบ่งเป็นสองแบบ แบบแรกคือ ปกติปฏิทิน มี ๓๖๕ วัน โดยกำหนดให้เดือนกุมภาพันธ์มี ๒๘ วัน 

แบบที่สอง คือ อธิกสุรทิน มี ๓๖๖ วัน โดย

กำหนดให้เดือนกุมภาพันธ์มี ๒๙ วันครับ ทั้งนี้เป็นการกำหนดตามการโคจรของรอบดวงอาทิตย์

ส่วนปฏิทินทางจันทรคติแบ่งเป็นสามแบบครับ

ได้แก่ แบบที่หนึ่ง ปกติมาส-ปกติวาร แปลว่า เดือนปกติ วันปกติ แบบที่สอง คือ ปกติมาส-อธิกวาร แปลว่าเดือนปกติ แต่วันเพิ่ม และแบบที่สามคือ อธิกมาส-ปกติวาร แปลว่า มีเดือนเพิ่ม แต่วันปกติ ฟังแล้วอาจจะงง มาดูรายละเอียดกันครับ

         ทบทวนประเภทของปฏิทินทางจันทรคตินะครับ ปฏิทินทางจันทรคติ มีสามประเภท ได้แก่ ปกติมาส-ปกติวาร ปกติมาส-อธิกวารและอธิกมาส-ปกติวาร

         เรามาดูแบบที่หนึ่งกันนะครับ ปกติมาส-ปกติวาร แปลว่า เดือนปกติ วันปกติ ถือเป็นปีที่เป็นปกติ มีเดือนคู่ข้างขึ้น ๑๕ วัน ข้างแรม ๑๕ วัน และมีเดือนคี่ข้างขึ้น ๑๕ วัน และข้างแรม ๑๔ วัน รวมเป็น ๓๕๔ วัน

         คิดเป็นสูตรตัวเลข คือ ๓๐x+๒๙x = ๓๕๔ แปลความหมายว่า เดือนคู่ ปกติมี ๓๐ วัน ๖ เดือน และเดือนคี่ ปกติ มี ๒๙ วัน ๖ เดือน รวม ๓๕๔ วันครับ

แบบที่สอง คือ ปกติมาส-อธิกวาร แปลว่า เดือนปกติ แต่วันเพิ่ม ถือเป็นปีที่เป็นปกติ มีวันเพิ่มในเดือน ๗ ซึ่งเป็นเดือนคี่ สิ่งที่เพิ่มขึ้นคือเดือน ๗ นี้จะมีข้างแรม ๑๕ วัน ไม่ได้มี ๑๔ วัน เหมือนปฏิทินจันทรคติแบบปกติมาส-ปกติวาร ดัวนั้น รวมวันในหนึ่งปี ของปฏิทินจันทรคติแบบปกติมาส-อธิการ จะเป็น ๓๕๔+= ๓๕๕ วันครับ

        แบบที่สาม คือ อธิกมาส-ปกติวาร แปลว่า ปีที่มีเดือนแปดเพิ่มอีกเดือน โดยมีวันปกติ เราอาจเรียกว่าปีที่มีเดือนแปดสองหน (๘๘) ก็ได้ครับ

        คำว่า อธิกมาส หมายถึง เดือนที่เพิ่มขึ้นทางจันทรคติ คือ ในปีนั้นมีเดือน ๑๓ เดือน โดยมีเดือน ๘ สองหน

        ทวนอีกครั้งครับ ปีปกติมาส-ปกติวาร จะมี ๓๕๔ วัน ส่วนปีปกติมาส-อธิกวาร มีวันเพิ่มเป็น ๓๕๕ วัน เพิ่มในวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๗ ครับ ส่วนปีอธิกมาส-ปกติวาร เป็นปีที่มีเดือนแปดเพิ่มสองหน (๘๘) รวมเป็น ๑๓ เดือน หรือ ๓๘๔ วันครับ

         แต่ยังไม่มีปีใดที่เป็นปี อธิกมาส-อธิกวาร คือ มีทั้งเดือนแปดสองหนและ เดือน ๗ เพิ่มวันอีกวันหนึ่งพร้อม ๆ กันครับ

        ในเรื่องของเดือนทางจันทรคตินั้น เราอธิบายได้แบบนี้ครับ

         เดือนจันทรคติไทยมี ๑๒ เดือน เริ่มจากเดือนอ้าย (๑), เดือนยี่ (๒), เดือนสาม (๓), เดือนสี่ (๔), เดือนห้า (๕), เดือนหก (๖), เดือนเจ็ด (๗), เดือนแปด (๘) (เดือนแปดหลัง(๘๘) สำหรับปีอธิกมาส, เดือนเก้า (๙), เดือนสิบ (๑๐) , เดือนสิบเอ็ด (๑๑), เดือนสิบสอง (๑๒)

        ทีนี้ เรามาดูเดือนคู่กันครับ เดือนคู่มี ๓๐ วัน คือ

        วันขึ้น ๑ ค่ำถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ และวันแรม ๑ ค่ำ ถึงวันแรม ๑๕ ค่ำ

        ส่วนเดือนคี่มี ๒๙ วัน คือวันขึ้น ๑ ค่ำถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ และวันแรม ๑ ค่ำถึงวันแรม ๑๔ ค่ำ

         ทำไมเราต้องมีเดือนแปด ๒ ครั้ง คำถามนี้น่าสนใจมากนะครับ

         เราอธิบายตามหลักการทางวิทยาศาสตร์คือ ปฏิทินจันทรคติ จะมีข้างขึ้นกับข้างแรมสลับกันไป ขึ้น ๑๔-๑๕ ค่ำ แรม ๑๔-๑๕ ค่ำ แล้วแต่เดือน พอเอามารวมกัน ๑๒ เดือน จะได้ทั้งหมด ประมาณ ๓๕๔ วัน

          ในปฏิทินสุริยคตินั้น โดยปกติปีหนึ่งมีวันทั้งหมด ๓๖๕ วัน ซึ่งต่างจากปฏิทินจันทรคติปีละประมาณ ๑๑ วัน

         ในปฏิทินทางจันทรคตินั้น ถ้าเรานับวันไปเรื่อย ๆ โดยไม่ทำอะไร จะทำให้เดือนตามปฏิทินจันทรคติ ไม่สามารถบอกฤดูกาลได้ เพราะมีการคลาดเคลื่อนของเวลา นี้เป็นเหตุผลเดียวกันกับปฏิทินทางสุริยคติที่เราต้องเพิ่มวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ ในทุกๆ ๔ ปี

     ต่อคำถามที่ว่า ใครใช้ปฏิทินจันทรคติ

        ถ้าจะตอบให้ใกล้ตัวเราที่สุดคือ เราใช้ปฏิทินทางจันทรคติในทางโหราศาสตร์เพื่อดูฤกษ์ ดูยาม หรือในทางศาสนาพุทธ เราปฏิทินจันทรคติดูวันสำคัญของศาสนาพุทธ เหมือนที่เราเคยท่องตอนเด็ก ๆ ว่า มา-สาม วิ-หก อา-แปด ครับ

         มา-สาม วิ-หก อา-แปด เป็นคำย่อหมายความว่า ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ เป็นวันมาฆบูชา และขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ เป็นวันวิสาขบูชา และขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ เป็นวันอาสาฬหบูชา

     นอกจากนี้เรายังมีวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ เป็นวันเข้าพรรษา ส่วนแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ เป็นวันออกพรรษา และวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ เป็นวันลอยกระทง

     มีคำถามว่า การเพิ่มเดือนแปดเกี่ยวข้องกับศาสนาพุทธอย่างไรครับ

           คำตอบคือ ศาสนาพุทธใช้ปฏิทินจันทรคติ ในการบอกวันสำคัญ และวันเข้าพรรษาจะเป็นวันที่กำหนดว่าพระสงฆ์ต้องอยู่ที่พำนัก ไม่ออกไปไหนเป็นเวลา ๓ เดือน ทั้งนี้เพื่อให้การบอกวัน เวลาเป็นไปตามฤดูกาล เดือนที่เพิ่มมาเลยเป็นเดือน ๘ และจะใช้เดือน ๘ หนหลังในการกำหนดว่าเป็นวันเข้าพรรษา หากไม่เลื่อนเดือน ระยะเวลาจำพรรษาจะไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย (วัสสูปนายิกาขันธกะ) ที่พระสงฆ์ต้องจำพรรษา ๓ เดือน เพราะในปีทางจันทรคติที่เป็นปีอธิกมาส ถ้านับวันเข้าพรรษาจากแรม ๑ ค่ำเดือนแปด (๘) รวมเดือนแปดหลัง (๘๘) อีก ๑ เดือน จนถึงวันออกพรรษา วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนสิบเอ็ด (๑๑) ระยะเวลาจะรวม ๔ เดือน ถือว่าไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย

     ในปีใดที่เป็นปีอธิกมาส วันสำคัญทางพุทธศาสนาจะเลื่อนออกไป ตัวอย่างเช่น ปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ที่ผ่านมา เกณฑ์ปฏิทินจันทรคติไทยเป็น ปีอธิกมาศ (เดือนแปดสองหน) ดังนั้นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา จะเลื่อนไป ๑ เดือน กล่าวคือ

     วันมาฆบูชา เลื่อนเป็น วันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือนสี่ (๔)  ส่วนวันวิสาขบูชา วันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือนเจ็ด (๗)  ส่วนวันอาสฬหบูชา วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนแปดหลัง (๘๘)  และวันเข้าพรรษาวันแรม ๑ ค่ำ เดือนแปดหลัง (๘๘) ส่วนวันออกพรรษาจะเหมือนเดิมคือ วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนสิบเอ็ด (๑๑) 

การกำหนดวันพระในปีอธิกมาส กำหนดอย่างไรครับ

เรากำหนดวันพระไว้ดังนี้ครับ 

วันพระตรงกับวันขึ้น ๘ ค่ำ, ขึ้น ๑๕ ค่ำ (วันเพ็ญ), แรม ๘ ค่ำ, แรม ๑๕ ค่ำ

หากเดือนใดเป็นเดือนขาดหรือเดือนคี่ (เดือน ๑, , , , , ๑๑) ให้ถือเอาแรม ๑๔ ค่ำ เป็นวันพระ

         เป็นอย่างไรบ้างครับ อย่างน้อยเราพอจะเข้าใจเรื่องราวของปฏิทินทางจันทรคติกันนะครับ



วันจันทร์, มีนาคม 06, 2566

มินามีเรื่องเล่า หลวงพ่อพระองค์แสน วัดพระธาตุเชิงชุม วรวิหาร จังหวัดสกลนคร

 

                                  ที่มาของภาพ https://www.108prageji.com


มินามีเรื่องเล่า หลวงพ่อพระองค์แสน วัดพระธาตุเชิงชุม วรวิหาร จังหวัดสกลนคร

         ผมได้มีโอกาสมาที่วัดพระธาตุเชิงชุม นมัสการพระธาตุเชิงชุม และได้เข้านมัสการหลวงพ่อพระองค์แสน พระประธานในพระวิหารที่ตั้งอยู่หน้าพระธาตุเชิงชุม

         ได้มานมัสการหลวงพ่อพระองค์แสน ที่พวกเราชาวพุทธถือว่าเป็นตัวแทนขององค์พระสัมมาสัมพระพุทธเจ้า และสถูปที่เป็นพระธาตุเชิงชุมนั้น ถือเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้าเหมือนกัน เราเรียกว่า อุเทสิกเจดีย์

         อุเทสิกเจดีย์ คือสิ่งที่สร้างขึ้นโดยเจตนาอุทิศแก่พระพุทธเจ้าหรือแทนองค์พระพุทธเจ้า เช่น เจดีย์ พระพุทธรูป รอยพระพุทธบาท พระพิมพ์เป็นต้น เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศถวายพระพุทธเจ้า นอกเหนือจากธาตุเจดีย์ บริโภคเจดีย์ และธรรมเจดีย์

         หลวงพ่อพระองค์แสน เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะเชียงแสน นั่งขัดสมาธิราบ ก่อด้วยอิฐถือปูน ลงรักปิดทอง มีขนาดหน้าตักกว้าง ๒ เมตร มีความสูงจากฐานถึงพระเมาลี (ยอด, ผมจุก) ๓.๒๐ เมตร

         หลวงพ่อองค์แสนมีประวัติความเป็นมาอย่างไร

ประวัติความเป็นมาของหลวงพ่อองค์พระองค์แสนนั้น ตามตำนานกล่าวไว้ว่า ได้มีการสร้างหลวงพ่อประมาณ พ.ศ. ๑๘๐๐ เพื่อแทนหลวงพ่อสุวรรณแสน ซึ่งองค์จริงท่านเป็นทองคำทั้งองค์

         หลวงพ่อสุวรรณแสนหายไปไหน

         ว่ากันว่า ในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ได้มีการทำศึกสงครามหลายครั้ง ได้มีการย้ายเมืองไปนครธม ก่อนย้ายไปเมืองนั้น ได้มีการนำหลวงพ่อสุวรรณแสนไปซ่อนไว้ในน้ำ จึงได้มีการสร้างหลวงพ่อพระองค์แสนไว้ทดแทน

         ถ้าท่านได้มีโอกาสมาที่จังหวัดสกลนคร ขอเชิญมาไหว้หลวงพ่อองค์แสนและพระธาตุเชิงชุมเพื่อความเป็นสิริมงคลนะครับ

วันอาทิตย์, มีนาคม 05, 2566

มินามีเรื่องเล่า ปุรินทราภิบาล

 

เขาหัวแตก พัทลุง

มินามีเรื่องเล่า ปุรินทราภิบาล

         ผมได้รับเมตตาจากท่านอาจารย์จรรยา คชพันธ์ ข้าราชการบำนาญของโรงเรียนสตรีพัทลุง ซึ่งมีบ้านพักอาศัยอยู่ใกล้วัดควนกรวด ท่านได้มอบหนังสือหนึ่งร้อยห้าปี “ปุรินทราภิบาล” ให้อ่าน

         หนังสือ “หนึ่งร้อยห้าปี-ปุรินทราภิบาล” รวบรวมโดยคุณจำเพาะ ปุรินทราภิบาล เป็นการรวมหลักฐานที่มาของนามสกุลปุรินทราภิบาลและรวมเครือญาติไว้ด้วยกัน ถือเป็นการสร้างความผูกพันรักใคร่ซึ่งกันและกัน เป็นประโยชน์อย่างมากต่อลูกหลานที่จะสืบหาวงศาคณาญาติและต่อผู้ที่สนใจความเป็นมาของเมืองพัทลุงผ่านบรรพบุรุษของตระกูลปุรินทราภิบาลนี้ครับ   

ผมขอถือโอกาสนี้นำความในหนังสือมาเล่าสู่กันฟังครับ

เจ้าเมืองพัทลุง

         เรื่องของเจ้าเมืองพัทลุงมีมานานหลายยุคสมัยตั้งแต่อดีต แต่ผมจะขอเล่าโดยเริ่มจากสมัยกรุงธนบุรีและรัตนโกสินทร์นะครับ

ในสมัยกรุงธนบุรีและต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เมืองพัทลุงตั้งอยู่ที่บ้านโคกลุง มีพระยาแก้วโกรพพิไชยฯ  

หรือที่เรียกว่า พระยาพัทลุง (ขุนคางเหล็ก) เป็นเจ้าเมือง ท่านเป็นต้นสกุล ณ พัทลุง ท่านเป็นเจ้าเมืองพัทลุงระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๑๕-๒๓๓๒

         ต่อมาเมืองพัทลุงย้ายมาตั้งอยู่ที่บ้านศาลาโต๊ะหวัก มีออกพระศรีไกรลาศ เป็นเจ้าเมืองระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๓๒-๒๓๓๓

         หลังจากนั้น เมืองพัทลุงย้ายมาตั้งอยู่ที่วังบ้านสวนดอกไม้ มีพระยาพัทลุง (ทองขาว) เป็นเจ้าเมืองระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๓๔-๒๓๖๐ รวม ๒๖ ปี

พระยาพัทลุง (ทองขาว) เป็นบุตรชายของพระยาพัทลุง (ขุนคางเหล็ก) กับท่านปล้อง ท่านมีบรรดาศักดิ์พระยาวิจิตเสนา (ทองขาว) หรือพระยาวิชิตเสนา (ทองขาว) และเริ่มรับราชการเป็นหลวงศักดิ์นายเวรในรัชกาลที่ ๑

  พระยาพัทลุง (ทองขาว) มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนามาก ท่านได้สร้างวัดวัง เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๕๙ ที่บ้านลำปำ จังหวัดพัทลุง

เมื่อพระยาพัทลุง (ทองขาว) ถึงแก่กรรม ได้มีการย้ายเมืองพัทลุงมาตั้งอยู่ที่วังเก่า ลำปำ มีพระยาพัทลุง (เผือก) เป็นเจ้าเมืองระหว่างปี พ.ศ.๒๓๖๐-๒๓๖๙

พระยาพัทลุง (เผือก) ท่านเป็นน้องชายของพระยาพัทลุง (ขุนคางเหล็ก) และเป็นต้นตระกูล วัลลิโภดม

         ต่อจากพระยาพัทลุง (เผือก) มีพระยาเสน่หามนตรี (น้อยใหญ่) หรือที่รู้จักกันในนาม พระยาพัทลุง (น้อยใหญ่) ท่านเป็นสายสกุล ณ นคร ได้เป็นเจ้าเมืองพัทลุงระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๖๙-๒๓๘๒

         ต่อจากพระยาเสน่หามนตรี มีพระยาอภัยบริรักษ์จักรวิชิตพิพิธภักดีพิริยพาหะ (จุ้ย) ท่านเป็นสายสกุล จันทรโรจน์วงศ์ ได้เป็นเจ้าเมืองพัทลุงระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๘๒-๒๓๙๓

         ต่อจากพระยาอภัยบริรักษ์ฯ (จุ้ย) มีพระยาอภัยบริรักษ์ฯ (ทัพ) ท่านเป็นสายสกุล ณ พัทลุง ได้เป็นเจ้าเมืองพัทลุงระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๙๔-๒๔๑๐

ต่อจากพระยาอภัยบริรักษ์ (ทัพ) มีพระยาอภัยบริรักษ์ฯ (น้อย) ท่านเป็นสายสกุล จันทรโรจน์วงศ์ ได้เป็นเจ้าเมืองพัทลุงระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๑๐-๒๔๓๑ มีการย้ายเมืองมาตั้งอยู่ที่บ้านเมืองที่วังใหม่ ลำปำ

         ต่อจากพระยาอภัยบริรักษ์ (น้อย) มีพระยาอภัยบริรักษ์ฯ (เนตร) ท่านเป็นสายสกุล จันทรโรจน์วงศ์ ได้เป็นเจ้าเมืองพัทลุงระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๓๑-๒๔๔๖

         ขอย้อนกลับไปที่พระยาเสน่หามนตรี (น้อยใหญ่) หรือ พระยาพัทลุง (น้อยใหญ่) นะครับ ท่านได้เป็นเจ้าเมืองพัทลุงระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๖๙-๒๓๘๒ ท่านเป็นบุตรของพระยานคร (น้อย) เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช

         มีความเชื่อกันว่า เจ้าพระยานคร (น้อย) เป็นลูกเธอในพระเจ้ากรุงธนบุรีกับเจ้าจอมมารดาปราง ธิดาของเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (หนู) ซึ่งจะเล่าให้ฟังในโอกาสหน้าครับ

         พระยาพัทลุง (ทัพ) หรือพระยาอภัยบริรักษ์ฯ (ทัพ) เป็นบุตรของพระยาพัทลุง (น้อยใหญ่) ท่านเป็นหลานปู่ของพระยาพัทลุง (ขุนคางเหล็ก)

          พระยาพัทลุง (ทัพ) สมรสกับคุณหญิงผ่อง มีบุตรีและบุตรชาย รวม ๒ คน บุตรีชื่อ ทรัพย์ ต่อมาได้เป็นเจ้าจอมมารดาทรัพย์ ในรัชกาลที่ ๓

         ส่วนบุตรชาย คือ หลวงรองราชมนตรี (หนูกรุง) สมรสกับ นางทองเนี่ยว

         สรุปคือ เจ้าจอมมารดาทรัพย์เป็นพี่สาวของหลวงรองราชมนตรี (หนูกรุง)

         แต่ความในบันทึกเครือญาติ ณ พัทลุง โดย นายสาย ณ พัทลุง ได้ หน้า ๑๐๐ กล่าวว่า บุตรพระยาพัทลุง (ทัพ ณ พัทลุง) คนที่ ๔ เกิดจากภรรยาหม่อมน้อย ชาวกรุงเทพฯ ชื่อ นายหนูกรุง ณ พัทลุง มีบรรดาศักดิ์เป็น หลวงรองราชมนตรี 

         หลวงรองราชมนตรี (หนูกรุง ณ พัทลุง) สมรสกับนางทองเนี่ยว มีบุตรธิดา ๑๒ คน แต่ที่ลูกหลานจำได้มี ๓ คน คือ นายทองมาก นางหวาน และนางบัว

         ขอกล่าวถึงบุคคลสำคัญของตระกูลปุรินทราภิบาล คือ นายทองมาก ปุรินทราภิบาล ครับ

นายทองมาก ปุรินทราภิบาลเป็นบุตรของหลวงรองราชมนตรี (หนูกรุง ณ พัทลุง) กับนางทองเนี่ยว

นายทองมาก ปุรินทราภิบาลเป็นต้นตระกูลปุรินทราภิบาล ท่านเป็นกรมการเมืองพัทลุง ในตำแหน่งหลวงเมือง ซึ่งลูกหลานและชาวบ้านเรียกท่านว่า จอมเมือง

จอมเมือง หรือ นายทองมาก ปุรินทราภิบาล มีภรรยา ๔ คน และมีบุตรธิดารวม ๑๐ คน แบ่งเป็น ๑๐ สาย รวมกับสายที่ ๑๑ คือสายของนางหวานและนางบัว ซึ่งเป็นพี่น้องของนายทองมาก

เรื่องราวของจอมเมือง หรือท่านทองมาก ปุรินทราภิบาล จะขอนำเสนอในโอกาสต่อไปครับ

ที่มาของข้อมูลประกอบการเล่าเรื่อง

จำเพาะ ปุรินทราภิบาล.  “หนึ่งร้อยห้าปี-ปุรินทราภิบาล”


วันอังคาร, กุมภาพันธ์ 28, 2566

มินามีเรื่องเล่า ประชุมโคลงโลกนิติ Prachum Klông Lokaniti - Thai-Français

 


มินามีเรื่องเล่า ประชุมโคลงโลกนิติ Prachum Klông Lokaniti

          สวัสดีครับ พอดีผมได้หยิบหนังสือ ครบรอบสองร้อยปีกรุงเทพมหานคร ซึ่งตีพิมพ์เป็นภาษาฝรั่งเศส จัดพิมพ์โดยสมาคมครูภาษาฝรั่งเศสแห่งประเทศไทย

          ผมได้อ่านคอลัมม์ของ ท่านอาจารย์แพรวโพยม และท่านอาจารย์เดอนีส์ เรื่อง Poème de sagesse thaï จึงใคร่ขอนำมาเสนอในมินามีเรื่องเล่านะครับ

Le « Klông si » est un poème à forme relativement fixe composé de quatre vers soumis à la césure après la cinquième syllabe. Le second vers est obligatoirement heptosyllabique et le quatrième ennéasyllabique. Le premier et le troisième peuvent avoir sept ou neuf syllabes. Les rimes et les tons indiqués sur le tableau sont obligatoires.

ผลเดื่อเมื่อสุกไซร้ มีพรรณ

ภายนอกแดงดูฉัน  ชาดป้าย

ภายในย่อมแมลงวัน  หนอนบ่อน

ดุจดังคนใจร้าย  นอกนั้นดูงาม

Figues mûres dont la  couleur

Est rouge à l’extérieur  cachant

Vers immondes à l’intérieur  ainsi

Des hommes méchants  le fourbe cœur.

**********************

นาคีมีพิษเพี้ยง  สุริโย

เลื้อยบ่ทำเดโช  แช่มช้า

พิษน้อยหยิ่งยโส  แมลงป่อง

ชูแต่หางเองอ้า  อวดอ้างฤทธี

Fort comme soleil le  naga

Sans ostentation va,  il rampe.

L’orgueilleux scorpion a  peu de venin

Mais, l’aiguillon sur hampe,  fait la parade.

**************************

งาสารฤาห่อนเหี้ยน  หดคืน

คำกล่าวสาธุชนยืน  อย่างนั้น

ทุรชนกล่าวคำฝืน   คำเล่า

หัวเต่ายาวแล้วสั้น  เล่ห์ลิ้นทรชน

D’éléphant les défenses  étant

Stables, ainsi les mots des gens  honnêtes.

Les propos des méchants  varient

Comme de la tortue la tête,   elle sort, elle rentre.

*************************

หมาใดตัวร้ายขบ  บาทา

อย่าขบตอบหมา อย่าขึ้ง

ทรชนชาติช่วงทา-  รุณโทษ

อย่าโกรธอย่าหน้าบึ้ง  ตอบถ้อยถือความ

Un chien méchant te mord  au pied,

Renonce à te venger  patience.

Un méchant a cherché  ta perte,

Sans te fâcher, silence,  reste tranquille.

*****************************

ภูเขาเหลือแหล่ล้วน  ศิลา

หามณีจินดา  ยากได้

ฝูงชนเกิดนานา  ในโลก

หาปราชญ์นั้นไซร้  เลือกแล้วฤามี

Le mont regorge de  cailloux,

Y trouver des bijoux  c’est dur.

Plein de gens partout  dans le monde,

Mais rares pour sûr  les vrais savants.

**************************

มีอายุอยู่ร้อย  ปีปลาย

ความเกิดแลความตาย  ไป่รู้

วันเดียวเด็กหญิงชาย  เห็นเกิด แก่นา

ลูกอ่อนนั้นยิ่งผู้  แก่ร้อยปีปลาย

Le centenaire qui  ignore

La naissance et la mort,  le bébé

D’un jour est alors  plus compétent

Car il voit que né  il faut mourir.

**********************

รู้น้อยว่ามากรู้  เริงใจ

กลกบเกิดอยู่ใน  สระจ้อย

ไป่เห็นชเลไกล  กลางสมุทร

ชมว่าน้ำบ่อน้อย  มากล้ำลึกเหลือ

Qui sait peu et se dit  savant,

Comme grenouille dans  un gué,

Qui n’a vu l’océan  ni le large,

Et vante l’immensité  de l’eau natale.

***********************

ผจญคนมักโกรธด้วย  ไมตรี

ผจญหมู่ทรชนดี  ต่อตั้ง

ผจญคนจิตโลภมี  ทรัพย์เผื่อ แผ่นา

ผจญอสัตย์ให้ยั้ง หยุดด้วยสัตยา

Vainc la haine par la  bonté,

Et par la sainteté  le vice.

La générosité  vainc les avares.

La vérité sans malice  vainc les menteurs.

****************************

วิชาเป็นเพื่อนเลี้ยง  ชีวิต

ยามอยู่เรือนเมียสนิท  เพื่อนร้อน

ร่างกายสหายติด  ตามทุกข์ ยากนา

ธรรมหากเป็นมิตร  เมื่อม้วยอาสัญ

Pour vivre le savoir est  l’ami.

Confort dans les ennuis,   la femme.

Dans la peine on s’appuie  sur soi.

La Loi est l’amie de l’âme  au lit de mort.

************************

ลับหลังบังเบียดล้าง  ลบคุณ

ต่อพักตร์ยกยอบุญ  ลึกซึ้ง

คบมิตรจิตปานปุน  เป็นดุจ นี้นา

กลดั่งเสพน้ำผึ้ง   คลุกเคล้ายาตาย

L’ami qui blâme dans  le dos,

Par-devant dit des mots  flatteurs,

C’est du miel dans un pot plein de poison,

Cet ami dont le cœur est trahison.

**********************************

สนิมเหล็กเกิดแต่เนื้อ  ในตน

กัดกินเนื้อเหล็กจน  กร่อนขร้ำ

บาปเกิดแต่ตนคน  เป็นบาป

บาปย่อมทำโทษซ้ำ  ใส่ผู้บาปเอง

Comme la rouille née du fer

Qui en ronge l’entière   substance,

Les actions qui s’avèrent  mauvaises

Tourmentent sans vacance  leurs auteurs mêmes.

*************************

อย่าโทษไท้ท้าวท่วย  เทวา

อย่าโทษสถานภูผา  ย่านกว้าง

อย่าโทษหมู่วงศา  มิตรญาติ

โทษแต่กรรมเองสร้าง  ส่งให้เป็นเอง

Ne blâmez ni rois  ni dieux

Ni les monts rocheux ni l’onde,

Ni les amis nombreux,   ni tous les proches.

Ne blâmez dans le monde  que vos actions.

*************************

มีบุตรบ่วงหนึ่งเกี้ยว  พันคอ

ทรัพย์ผูกบาทาคลอ  หน่วงไว้

ภรรยาเยี่ยงบ่วงบ่อ  รังรึง มือนา

สามบ่วงใครพ้นได้   จึ่งพ้นสงสาร

Tes enfants à ton cou,  un lien,

A tes pieds tous tes biens,  un lien,

Ton épouse est un lien  aux mains,

Comment couper ces liens  des renaissances !

*******************************

หวานใดในโลกนี้  มีสาม สิ่งนา

หวานหนึ่งคือรสกาม  อีกอ้อย

หวานอื่นหมื่นแสนทราม  สารพัด หวานเอย

หวานไป่ปานรสถ้อย  กล่าวเกลี้ยงคำหวาน

Il existe trois douceurs  aimables,

Sucre, femme désirable  beaux dires,

Rien n’est plus agréable  que propos doux.

Ils priment à vrai dire  toutes douceurs.

**************************

โทษท่านผู้อื่นเพี้ยง  เมล็ดงา

ปองติฉินนินทา   ห่อนเว้น

โทษตนเท่าภูผา หนักยิ่ง

ป้องปิดคิดซ่อนเร้น  เรื่องร้ายหายสูญ

On décrie les défauts d’autrui

Comme des grains de riz,   légers,

Mais vite on oublie  ses fautes lourdes

Comme du cocotier  les grandes noix.

******************************

คนใดละพ่อทั้ง  มารดา

อันทุพลชรา  ภาพแล้ว

ขับไล่ไป่มีปรา-  นีเนตร

คนดั่งนี้ฤาแคล้ว คลาดพ้นไภยัน

Ceux qui abandonnent  leur père âgé

Et leur vieille mère  séniles

Au sein de la misère  et sans pitié

Verront une file  de grands malheurs.

************************ 

ช่างหม้อติหม้อใช่  ตีลาน แตกนา

ตีแต่งเอางามงาน  ชอบใช้

ดุจศิษย์กับอาจารย์  ตีสั่ง สอนแฮ

ตีใช่ตีจักให้  สู่ห้องอบาย

Frappant le vase,  le  potier

Sans vouloir le briser,   modèle.

Le disciple est fouetté   non pour la peine,

Fouetté, il se rappelle   le bien, le mal.

******************************

วิชาควรรักรู้  ฤาขาด

อย่าหมิ่นศิลปะศาสตร์  ว่าน้อย

รู้จริงสิ่งเดียวอาจ  มีมั่ง

เลี้ยงชีพช้าอยู่ร้อย  ชั่วลื้อหลานเหลน

Aimer étudier avec  constance.

Jamais déprécier l’importance  d’un art.

La vraie connaissance  d’un seul sujet

Fait vivre un milliard  d’années heureuses.

*************************

ร่างมนุษย์นี้ไป่  เป็นการ

คำกล่าวเป็นแก่นสาร  เลิศแล้ว

เลื่องลือชื่อเชิดนาน  ดีชั่ว

โอ้ร่างกายแล้วแคล้ว  คลาดสิ้นเสร็จบุญ

Le corps humain a peu de  valeur

Les mots ont la leur  précieuse

Mais ils créent le malheur  les mots pervers

Gare aux paroles vicieuses  mieux vaut le corps.

*********************************************

เกียจคร้านฤาห่อนรู้  วิชา

คนถ่อยรู้ทรัพย์หา  ห่อนได้

น้อยทรัพย์น้อยญาติกา  มิตรเพื่อน

ญาติมิตรไป่มีไซร้ สุขร้างแรมโรย

Sans labeur pas de  savoir,

Sans savoir comment avoir  des biens.

Sans biens comment avoir  beaucoup d’amis,

Sans amis on n’obtient   pas le bonheur.

 

ที่มาของข้อมูล

BOONYAPALUK, Praewpayom et DENIS S.J. Eugène.  1982.  Poème de sagesse thaï.  Bicentenaire de Bangkok.  Bangkok : Imprimerie de l’Assomption. (13-24)

 

วันพฤหัสบดี, กุมภาพันธ์ 23, 2566

มินามีเรื่องเล่า ท้าวกุเวรหรือท้าวเวสสุวัณ

 

มินามีเรื่องเล่า ท้าวกุเวรหรือท้าวเวสสุวัณ

 


ผมได้มีโอกาสไปชมเทวาลัยศิวะมหาเทพ ซึ่งตั้งอยู่ในอำเภอเมืองขอนแก่น เลยขอถือโอกาสเล่าเรื่องท้าวเวสสุวัณอีกครั้งครับ

ท้าวกุเวรหรือท้าวเวสสุวัณ เป็นอธิบดีของพวกอสูร รากษส ภูตผี

         นิยมเขียนรูปท้าวเวสสุวัณแล้วแขวนไว้ที่เปลเด็ก เป็นการกันปีศาจ ซึ่งพวกผีเมื่อเห็นนายของมันจะพากันเกรงกลัว ไม่กล้ามารังควาญเด็ก

         ในเรื่องมหาภารตะ มีเรื่องเล่าว่า ท้าวปุลัสตย์มีโอรส๒ องค์ องค์แรก คือ ท้าวกุเวร และมีโอรสองค์ที่สองคือพระวิศรวัส

         มีเรื่องเล่าว่า ท้าวกุเวรเคารพต่อท้าวพรหมมา ทำให้ท้าวปุลัสตย์ผู้เป็นบิดาโกรธ ท้าวปุลัสตย์จึงได้แบ่งภาคมาเป็นท้าววิศรวัส (หรืออีกนามหนึ่งคือ เปาลัสตยัม ส่วนในรามเกียรติ์เรียกว่า ท้าวลัสเตียน)

         ท้าววิศรวัส (ท้าวเปาลัตยัม หรือ ท้าวลัสเตียน) มีชายา ชื่อ นางนิกษา เป็นพระราชธิดาของท้าวสุมาลีรากษส ต่างมีโอรสธิดา ๔ องค์ คือ ราพณาสูร (ทศกัณฐ์) กุมภกรรณ วิภิษณ์ (พิเภก) และนางศูรปนขา

         ดังนั้นท่าวกุเวรกับพวกทศกัณฐ์จึงนับได้ว่าเป็นลูกร่วมบิดาเดียวกัน คือท้าวปุลัสตย์ หรืออีกภาคหนึ่งคือท้าววิศววัส

         ในมหาสมัยสูตรและภานยักษ์ กล่าวว่า ท้าวกุเวรเป็นจอมยักษ์ เป็นโลกบาลทิศอุดร (ทิศเหนือ) มีนามว่า ธนบดี หรือ ธเนศวร แปลว่า เจ้าเป็นใหญ่แห่งทรัพย์

         ในลัทธิของจีนฝ่ายมหายานกล่าวว่า โลกบาลทิศอุดรมีชื่อว่า ใตบุ๋น แปลว่า ได้ยินทั่วไป มียักษ์เป็นบริวาร

         ทางญี่ปุ่นถือว่า โลกบาลทิศนี้เป็นเทพเจ้าประจำโชคลาภ มีนามว่า พิสะมอน ตรงกับนามว่า ธนบดี หรือ ธเนศวร แปลว่า เจ้าเป็นใหญ่แห่งทรัพย์

         ดังนั้นเวลาผู้คนไปกราบไหว้ท้าวเวสสุวัณ ต่างขอพรให้ตนเองมีโชคลาภ ร่ำรวยเงินทองครับ

มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French

  มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French กรมหลวงพิพิธมนตรี (พระพันวัสสาน้อย) เป็นพระอัครมเหสีน้อยของสมเด็จพ...