Chalermkiat Mina

วันอังคาร, กุมภาพันธ์ 21, 2566

มินามีเรื่องเล่า สำนวนที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อโชคลางในภาษาฝรั่งเศส


มินามีเรื่องเล่า สำนวนที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อโชคลางในภาษาฝรั่งเศส

สวัสดีครับ ช่วงนี้ ผมจะขอเล่าสำนวนภาษาฝรั่งเศสบางสำนวนที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อโชคลางนะครับ

ความเชื่อโชคลางมีประเภที่ปฏิบัติแล้วทำให้มีโชคและทำให้โชคร้าย  เรื่องของความเชื่อโชคลางถือเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมที่ผู้เรียนภาษาฝรั่งเศสควรมีความรู้และความเข้าใจในด้านความเป็นมาของสำนวนเหล่านี้  ทั้งนี้เพื่อสามารถปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้องในเมื่ออยู่ในสังคมฝรั่งเศส  และสามารถใช้เป็นหัวข้อสนทนาเปรียบเทียบกับความเชื่อโชคลางของไทยได้

ความเชื่อโชคลาง (superstition) เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมต่าง ๆ   โดยที่สมาชิกในสังคมยอมรับว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นความจริงหรือเป็นสิ่งที่ไว้ใจได้  และเชื่อมั่นต่อสิ่งนั้นโดยไม่คำนึงถึงเหตุผลหรือหลักวิทยาศาสตร์ใด ๆ

ความเชื่อโชคลางมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมและแบบแผนการดำเนินชีวิตของคนในสังคม กล่าวกันว่า ในโลกนี้มีเรื่องของความเชื่อโชคลางประมาณห้าแสนเรื่อง

เรามารู้จักคำว่า “superstition” กันนะครับ คำนี้มาจากศัพท์ภาษาลาติน 2 คำ ได้แก่ “superstare” แปลว่า ทำให้เจริญเติบโต หรือทำให้สูงขึ้น (tenir  au-dessus) หมายถึง การขอร้องต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยปกปักรักษาลูกหลานของตนให้เจริญเติบโต  และคำว่า “superstitio” แปลว่า ความเกรงกลัวต่อพระเจ้า

เมื่อเราพิจารณาความหมายของคำทั้ง ๒ คำแล้ว จะเห็นว่า ความเชื่อโชคลางเกี่ยวพันกับอำนาจลึกลับเหนือธรรมชาติที่มีอิทธิพลทำให้มนุษย์ได้รับผลดีผลร้ายและความศรัทธาที่มีต่อศาสนา  

         ความเชื่อโชคลางเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม เนื่องจากมีอิทธิพลต่อความเชื่อและการดำเนินชีวิตของคนในสังคม 

มีตัวอย่างบ้างไหม

มีครับ ตัวอย่างเช่น ในประเทศไทย คนส่วนมากไม่นิยมตัดผมวันพุธ ดังนั้นร้านตัดผมส่วนมากปิดทุกวันพุธ เราไม่นอนหันศีรษะไปทางทิศตะวันตก หรือไม่ใส่ชุดสีดำไปงานมงคลต่าง ๆ  บางคนใช้เสื้อผ้าหรือซื้อรถยนต์ให้มีสีถูกโฉลกกับตนเอง 

ในสังคมฝรั่งเศสก็มีความเชื่อโชคลาง มีสำนวนที่กล่าวถึงสิ่งที่ควรทำและสิ่งที่ไม่ควรทำ ตัวอย่างเช่น

๑. เรานิยมไขว้นิ้วอวยพรเมื่อเราปรารถนาให้มีเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดความสุข (On dit qu'il faut croiser les doigts lorsqu'on souhaite qu'un événement heureux se produise.)

๒. เมื่อมีโอกาส ควรแตะไม้เพื่อขับไล่ความชั่วร้าย (Dès ce prête l'occasion, il faut toucher du bois pour conjurer le sort.)

๓. ระหว่างเดินทาง ถ้าพบเกือกม้าโดยบังเอิญ  สามารถใช้เกือกม้าถือเป็นเครื่องรางนำโชคอย่างดี (Si on trouve par hasard un fer à cheval sur son chemin, il sert ensuite l'excellent  porte-bonheur.)

๔. ดอกแทร๊ฟล์ ๔ แฉกเป็นดอกไม้นำโชคทีดีทีสุด (Le trèfle à quatre feuilles est le porte-bonheur par excellence.)

๕. ห้ามกางร่มในบ้าน เพราะทำให้เกิดโชคร้าย (Il est conseillé de ne jamais ouvrir un parapluie dans une maison, cela porte malheur.)

๖. การพบแมวดำก่อนออกเดินทางในตอนเช้าถือเป็นลางร้าย (Il est très mauvais présage de rencontrer un chat noir, le matin, lorsque l’on part en voyage.)

๗. ถ้ามีแขกนั่งที่โต๊ะพร้อมกัน ๑๓ คน กล่าวกันว่าแขกคนหนึ่งจะตายในไม่ช้า (Si l'on se trouve treize à table, il est dit que l'un des convives mourra bientôt.)

๘. ทำกระจกแตกจะโชคร้ายถึงเจ็ดปี (Casser un miroir, sept ans de malheur.)

         . ถือเป็นอันตรายและมีทุกข์ถ้าเดินลอดใต้บันได (C'est un danger, mais surtout un malheur que de passer sous une échelle.)

๑๐. การวางขนมปังกลับด้านเป็นเครื่องหมายของความทุกข์ (Mettre un pain à l'envers est  un signe de malheur.)

ด้านการเรียนรู้นั้น เป็นที่ทราบกันดีว่า การเรียนภาษาต่างประเทศอย่างมีประสิทธิภาพต้องประกอบด้วยความรู้ ๓ ด้าน ได้แก่ ความรู้ด้านภาษา การสื่อสารและวัฒนธรรม ความรู้ด้านวัฒนธรรมมีความสำคัญเพราะทำให้ผู้เรียนมีความเข้าใจและรู้จักปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมของเจ้าของภาษาได้อย่างถูกต้อง

ผู้เรียนภาษาฝรั่งเศสอาจจะแปลความหมายของสำนวนความเชื่อโชคลางต่าง ๆ ได้  แต่จะมีคำถามติดตามมาว่า "ทำไม" หรือ เพราะเหตุใดเนื่องจากไม่เข้าใจเรื่องราวหรือที่มาของสำนวนที่เกี่ยวข้องกับโชคลางเหล่านี้ ดังนั้นบทความนี้จึงมุ่งอธิบายสำนวนบางสำนวนที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อโชคลาง เพื่อให้ผู้เรียนมีความเข้าใจและรู้ว่าสิ่งใดควรทำหรือไม่ควรทำเมื่ออยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส  รวมทั้งสามารถใช้สำนวนเหล่านี้เป็นหัวข้อสนทนากับคนฝรั่งเศสได้อย่างดี

คนฝรั่งเศสกับความเชื่อเรื่องโชคลาง

ถ้าถามคนฝรั่งเศสว่าเชื่อเรื่องโชคลางหรือไม่ (Êtes-vous superstitieux ?) ส่วนใหญ่ตอบว่า ไม่เชื่อเรื่องโชคลาง แต่มีข้อน่าสังเกตคือ แม้จะบอกว่าตนเองไม่เชื่อเรื่องโชคลาง แต่ก็ไม่อยากกระทำสิ่งต่าง ๆ ที่ท้าทายความเชื่อโชคลาง ดังนั้นจึงมีประโยคที่นิยมพูดคือ ถ้าสิ่งนั้นไม่ทำให้ดีขึ้น ก็ไม่ควรทำให้เลวลง (Si ça ne fait pas de bien, ça ne peut pas faire de mal !) 

คนส่วนมากคิดว่าความเชื่อเรื่องโชคลางเป็นสิ่งไร้สาระ แต่บางคนให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก  ตัวอย่างเช่น ศิลปินบางคนไม่นิยมใส่เสื้อผ้าสีเขียวระหว่างการแสดง นักกีฬานิยมพกเหรียญ นำโชคขณะแข่งขัน นักแข่งรถนิยมพกเหรียญนักบุญคริสต๊อฟ (Saint Christophe) ระหว่างขับรถแข่งเพราะเชื่อว่าสามารถป้องกันอุบัติเหตุได้  ในตำนานนั้นนักบุญคริสต๊อฟเป็นนักบุญที่เชื่อกันว่าเป็นผู้แบกพระเยซูไว้บนไหล่และพาข้ามแม่น้ำ เป็นนักบุญที่คอยปกป้องคนขับรถยนต์ (Saint patron des automobilistes)

 บางคนเชื่อว่าหมูเป็นสัญลักษณ์ของเงินทองหรือความร่ำรวย  กระป๋องออมสินของเด็ก ๆ ส่วนมากถูกออกแบบเป็นรูปหมู  ในสมัยก่อนชาวไร่ชาวนานิยมเลี้ยงหมูเนื่องจากเชื่อว่าหมูทำให้ร่ำรวย  จนมีคำกล่าวที่ว่า ทุกชิ้นส่วนในตัวหมูใช้กินได้หมด” (Dans le cochon, tout se mange !)

         จากความหมายของคำว่า “superstition” ที่แปลได้สองความหมายว่า ทำให้เจริญงอกงามและความกลัวต่อพระเจ้า ความเชื่อโชคลางจึงมีสองด้านคือด้านที่ส่งผลดีและด้านที่ส่งผลร้ายการประพฤติปฏิบัติตนที่ดีย่อมทำให้มีโชคดี ที่ชาวฝรั่งเศสมักพูดกันว่า สิ่งนี้นำโชคมาให้ (Ça porte bonheur.) ในทางตรงกันข้ามถ้าประพฤติปฏิบัติไม่ถูกต้องเหมาะสมก็จะก่อให้เกิดโชคร้าย ที่พูดกันว่า สิ่งนี้ทำให้โชคร้าย (Ça porte malheur.) ดังนั้นสำนวนที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อโชคลางที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้จึงแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท ได้แก่ สำนวนเกี่ยวกับสิ่งทำให้มีโชค และสำนวนเกี่ยวกับสิ่งที่ทำให้โชคร้าย 

 

สำนวนเกี่ยวกับสิ่งที่ทำให้มีโชค

         สำนวนเกี่ยวกับสิ่งที่ทำให้มีโชคเกี่ยวข้องกับกริยาอาการ เครื่องรางนำโชคและคำอวยพรที่นิยมกล่าวกันทั่วไป มีดังต่อไปนี้

การไขว้นิ้วอวยพร (croiser les doigts)

ความเชื่อเรื่องการไขว้นิ้วเพื่ออวยพรให้คนอื่นหรือขอพรให้ตนเองเป็นที่นิยมอย่างมากในทุก ๆ วงการ เช่นในวงการกีฬา การแสดงของศิลปิน การเมืองหรือการพนัน  บางครั้งจะเห็นนักกีฬาแอบไขว้นิ้วก่อนการแข่งขันเพื่อขอพรให้ชนะการแข่งขัน นักเรียนไขว้นิ้วก่อนเข้าสอบเพื่อขอพรให้สอบได้ หรือนักพนันไขว้นิ้วขอให้ตัวเองมีโชค

         ลักษณะของการไขว้นิ้วจะไขว้เฉพาะนิ้วชี้กับนิ้วนาง  โดยให้นิ้วนางอยู่บนนิ้วชี้ ซึ่งอากัปกริยาการไขว้นิ้วนี้เป็นสัญลักษณ์ของไม้กางเขนอันศักดิ์สิทธิ์ (une croix sacré) มีพลังอำนาจขับไล่สิ่งชั่วร้าย และทำให้พรที่ขอสมปรารถนา

         บางทีไม่ต้องทำอากัปกริยาไขว้นิ้ว แต่ใช้คำพูดอวยพรแทนได้ เช่นในกลุ่มเพื่อนสนิทนิยมพูดอวยพรว่า "ฉันไขว้นิ้วเพื่อเธอ"  (Je croise les doigts pour toi.) หรือ  "ฉันไขว้นิ้วอวยพรการสอบของเธอ" (Je croise les doigts pour ton examen.)  เมื่อต้องจากกัน วัยรุ่นนิยมพูดกับเพื่อนว่า "เธอจะไข้วนิ้วอวยพรเมื่อคิดถึงฉัน" (Tu croiseras les doigts en pensant à moi.)

         แตะไม้ (toucher du bois)

การแตะไม้เป็นความเชื่อโชคลางที่ทำให้มีโชคและมีพลังขับไล่ความชั่วร้าย ความเชื่อเรื่องการแตะไม้ปรากฏในอารยธรรมของชนเผ่าต่าง ๆ เช่น ชาวกรีก ชาวโรมัน ชาวเผ่าอินเดียนแดงในอเมริกา หรือชาวโกลัวส์ (les Gaulois)  ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของชาวฝรั่งเศส  เชื่อกันว่าต้นไม้ต่าง ๆ มีเทวดาสถิตอยู่  โดยเฉพาะต้นสน การแตะต้นไม้เป็นการขอให้เทวดาคอยช่วยปกป้องคุ้มครองและอำนวยพรให้มีโชค สมัยกลางของยุโรปเป็นช่วงเวลาที่ศาสนาคริสต์มีอิทธิพลมาก  จึงเกิดความเชื่อที่ว่า  การแตะไม้เปรียบเสมือนแตะไม้กางเขนศักดิ์สิทธิ์ ทำให้มีโชค ในปัจจุบันคนที่เชื่อเรื่องการแตะไม้ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปหาต้นสนในป่า อาจจะแตะต้นไม้ต้นไหน หรือแตะอุปกรณ์ที่ทำด้วยไม้ เช่น โต๊ะ ประตูหรือหน้าต่างก็ได้

         เราอาจใช้คำพูดแทนการแตะไม้เพื่อขอพรให้ตนเองหรืออวยพรให้คนอื่นได้เหมือนกัน โดยกล่าวอวยพรเพื่อนว่า "ฉันแตะไม้อวยพรให้เธอ" (Je touche du bois pour toi.) หรือชวนเพื่อน ๆ ให้อวยพรให้กันและกันโดยพูดว่า "พวกเราแตะไม้ขอพรกัน" (Touchons du bois.)   

พกเกือกม้าเป็นเครื่องลางของขลัง (porter sur soi un fer à cheval)

ในสมัยอดีต ชาวฝรั่งเศสใช้ม้าเป็นพาหนะในการเดินทาง ถ้าพบเกือกม้าโดยบังเอิญ  ระหว่างการเดินทาง เกือกม้าถือเป็นเครื่องรางนำโชคอย่างดีเยี่ยมสำหรับคนที่พบ

         เกือกม้าถือเป็นเครื่องลางนำโชคและป้องกันเหตุร้ายที่นิยมใช้ตั้งแต่สมัยกลาง ชาวฝรั่งเศสในสมัยนั้นนิยมนำเกือกม้ามาทำเป็นพวงกุญแจ หรือทำเป็นเครื่องประดับ  บางคนนำเกือกม้ามาติดไว้หน้าประตูบ้าน

         เหตุที่เกือกม้าได้รับความนิยมเนื่องจากเวลาที่เราตอกเกือกม้าเข้ากับกีบเท้าของม้าแล้ว ไม่ปรากฏว่าม้าบาดเจ็บหรือร้องแสดงอาการเจ็บปวด ดังนั้นเกือกม้าจึงเป็นเครื่องรางที่มีอิทธิฤทธิ์ขับไล่ความชั่วร้ายได้อย่างมีประสิทธิผล

พกดอกแทร๊ฟล์สี่แฉกติดตัว (porter le trèfle à quatre feuilles)

ดอกแทร๊ฟล์ (trèfle) เป็นดอกไม้ที่มี ๓  แฉกเหมือนไพ่ดอกจิก  พบได้โดยทั่วไป แต่ถ้าพบดอกแทร๊ฟล์ ๔ แฉก ถือว่ามีโชค นิยมนำมาเก็บไว้ในกระเป๋าเงินหรือในล็อคเก้ต 

ความเชื่อเรื่องดอก ดอกแทร๊ฟล์ ๔ แฉกนำโชคและขับไล่ความชั่วร้ายมีแหล่งกำเนิดในยุโรปก่อนสมัยคริสตกาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาพระที่เรียกว่าดรูด (druides) ของชาวเผ่าโกลัวส์ ถือว่าดอกแทร๊ฟล์เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณด้านต่าง ๆ รวมทั้งใช้ทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าได้

ตัวอย่างเช่น ดอกแทร๊ฟล์ จะตั้งตรงขึ้นเพื่อบอกว่าจะเกิดพายุ 

ถ้าคนโสดพบดอกแทร๊ฟล์ ๔ แฉกแสดงว่าจะได้แต่งงาน คนในแคว้นลอแรน (Lorraine) ที่อยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของฝรั่งเศส นิยมนำดอกแทร๊ฟล์ใส่ในน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์เพื่อไว้พรมตนเอง 

คนในเขตจีรองด์ (Gironde) ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ เชื่อว่า เก็บดอก แทร๊ฟล์ ๔ แฉกได้ ในคืนพระจันทร์เต็มดวงและนำไปใส่ไว้ที่ในกระเป๋าเสื้อของคนที่ตนรักจะทำให้เขารักตน 

คนในแคว้น เบรอตาญน์ (Bretagne) ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือ นิยมคุกเข่าและใช้ฟันคาบดอกแทร๊ฟล์ขึ้นมา โดยเชื่อว่าตนเองจะมีชัยเหนือศัตรู  แต่โดยทั่วไปแล้วทุกคนเชื่อว่าดอกแทร๊ฟล์ ๔ แฉกมีพลังศักดิ์สิทธิ์ในการปกป้องปีศาจร้าย

สำนวนเกี่ยวกับสิ่งที่ทำให้โชคร้าย

         สำนวนเกี่ยวกับสิ่งที่ทำให้โชคร้ายเกี่ยวข้องกับสิ่งของ เช่น ร่ม กระจก  ขนมปัง  บันได รวมถึงสัตว์ เช่น แมวดำ และสิ่งที่นิยมกล่าวถึงเสมอได้แก่ เลข ๑๓

กางร่มในบ้าน (ouvrir un parapluie dans une maison)

         การกางร่มในบ้านหรือในที่พักอาศัยจะนำโชคร้ายมาให้ทั้งผู้ที่กางร่มและเจ้าของบ้าน ความเชื่อนี้ยังรวมถึงการวางร่มไว้บนโต๊ะหรือบนเตียงนอน ถือว่าจะเกิดการโต้เถียงและทะเลาะกัน 

         ในวงการละครฝรั่งเศส ถ้าบังเอิญมีใครวางร่มไว้บนโต๊ะของคนบอกบทละคร (le souffeur) ถือเป็นลางร้ายทำให้ละครไม่ประสบความสำเร็จ นอกจากนี้เชื่อกันว่า ถ้ากางร่มในที่โล่งแจ้งขณะที่อากาศแจ่มใส จะทำให้เกิดฝนตก 

พบแมวดำ (croiser un chat noir)

เชื่อกันว่าแมวดำนำโชคร้ายมาให้ผู้ที่พบเห็น เดิมทีในประเทศอียิปต์โบราณ แมวดำถือเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่คอยช่วยปัดเป่าความทุกข์ ต่อมาในสมัยกลางของยุโรป แมวดำถูกเปรียบเทียบว่าเป็นแม่มดหรือปีศาจแปลงร่างมา

มีเรื่องเล่าสืบทอดกันมาว่า ซาตานแปลงร่างเป็นแมวดำตัวใหญ่ นอนหมอบอยู่ปลายเตียงเพื่อคอยรับดวงวิญญาณของคนที่ทำบาป

         ชาวฝรั่งเศสที่เชื่อโชคลางจึงเชื่อว่าการพบแมวดำเป็นลางร้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนการเดินทาง

ทำกระจกแตก (casser un miroir)

         เชื่อกันว่า  ถ้าใครทำกระจกแตกจะโชคร้ายถึงเจ็ดปี เรื่องนี้เกี่ยวพันกับความเชื่อที่ว่า เงาที่ปรากฏในกระจกเงาเปรียบเสมือนวิญญาณของเรา  ถ้าทำกระจกแตกวิญญาณย่อมแตกสลายไปด้วย 

         มีคำถามว่า ทำไมต้องโชคร้ายถึงเจ็ดปี  เชื่อกันว่า ร่างกายของมนุษย์จะมีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพทุก ๆ เจ็ดปี 

         ถ้าบังเอิญมีใครทำกระจกแตก อาจใช้วิธีการแก้เคล็ดโดยการเก็บรวบรวมเศษกระจกที่แตกและนำไปล้างที่แม่น้ำซึ่งมีกระแสน้ำไหลไปทางทิศใต้ ถือเป็นการชำระล้างโชคร้ายออกไป

         อีกวิธีหนึ่งคือการฝังเศษกระจกในดิน หรือนำออกไปทิ้งนอกบ้านและอย่ามองเศษกระจกเหล่านั้น 

เลข ๑๓ (le chiffre treize)

เลข ๑๓ มีอิทธิพลต่อคนที่เชื่อโชคลางอย่างมาก และปรากฏในสำนวน ร่วมโต๊ะพร้อมกัน ๑๓ คน (être treize à table) และวันศุกร์ที่ ๑๓ (le vendredi treize) 

เชื่อกันว่าถ้าจัดงานเลี้ยงและเชิญแขกมาร่วมนั่งโต๊ะรับประทานอาหาร จำนวนแขกต้องไม่ใช่ ๑๓ คน การมีแขกร่วมนั่งโต๊ะจำนวน ๑๓ คนถือเป็นการยั่วยวนต่อปีศาจ ผู้ที่ร่วมนั่งโต๊ะจะเสียชีวิตในเวลาต่อมา 

สาเหตุของความเชื่อเกี่ยวกับการร่วมโต๊ะพร้อมกัน ๑๓ คนทำให้โชคร้ายมาจากตำนานเรื่องงานเลี้ยงครั้งสุดท้ายระหว่างพระเยซูและสาวก ๑๒ คน (le repas de la Cène) 

สาวกคนหนึ่งชื่อจูดา (Juda) เป็นผู้ทรยศ เขาไปแจ้งทหารโรมันให้มาจับพระเยซู ต่อมาจูดาเสียชีวิตและพระเยซูถูกตรึงไม้กางเขนในวันจันทร์ขึ้น ๑๓ ค่ำ และวันนั้นตรงกับวันศุกร์ ทำให้เชื่อกันว่าวันศุกร์ที่ 13 (le vendredi treize) เป็นวันอัปมงคล         

         ถ้าบังเอิญมีแขกมาร่วมโต๊ะจำนวน ๑๓ คน และไม่อาจหลีกเลี่ยงสถานการณ์ได้แล้ว  วิธีการแก้เคล็ดเพื่อขับไล่เคราะห์ร้ายคือ เจ้าภาพต้องวางชุดจานรับประทานอาหารเพิ่มเติมสำหรับแขกคนที่ ๑๔ รวมทั้งต้องตักอาหารใส่จานทำให้ดูเหมือนว่ามีแขกคนที่ ๑๔ อยู่ ณ ที่นั้น เมื่องานเลี้ยงเสร็จแล้ว เจ้าภาพจะนำอาหารในจานนั้นไปให้เพื่อนบ้านหรือคนยากจน

         ชื่อเสียงด้านลบของเลข ๑๓ มีอิทธิพลต่อความเชื่อของคนทั่วไป โรงพยาบาลหรือโรงแรมหลายแห่งไม่มีห้องหมายเลข ๑๓ เลขที่บ้านตามท้องถนนบางสายในกรุงปารีสเป็นเลข ๑๒bis หรือ ๑๒a บางแห่งข้ามหมายเลข ๑๓ เป็น ๑๔ เลย

เดินลอดบันได (passer sous une échelle)

คนฝรั่งเศสส่วนมากไม่ต้องการเดินลอดใต้บันไดที่ตั้งไว้ตามสถานที่ต่าง ๆ ทำไมเดินลอดใต้บันไดจึงทำให้โชคร้าย มีคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้สองประเด็น 

เรื่องแรกเกี่ยวข้องกับตำนานของศาสนาคริสต์ตอนที่พระเยซูถูกตรึงไม้กางเขน  มีการนำไม้การเขนไปพิงกับบันได ทำให้บันไดกลายเป็นสัญลักษณ์ของการทรยศและความตาย (le symbole de trahison et de mort)

การเดินลอดใต้บันไดเป็นการปฏิเสธการยกระดับจิตใจที่สูงขึ้น  รวมทั้งเป็นการก้าวข้ามสามเหลี่ยมศักดิ์สิทธิ์ของพระตรีเอกานุภาพ (la sainte Trinité) ประกอบด้วยพระบิดา พระบุตรและพระจิต ไปสู่อ้อมกอดของปีศาจ

เรื่องที่สองเกี่ยวพันกับการประหารชีวิตนักโทษด้วยการแขวนคอ ก่อนที่จะมีการแขวนคอ นักโทษต้องเดินลอดใต้บันไดที่ใช้พยุงเสาสำหรับแขวนคอ การเดินลอดใต้บันไดจึงถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่เป็นมงคล

วางขนมปังกลับด้าน (mettre un pain à l'envers)       

         ขนมปังเป็นอาหารหลักของชาวยุโรปเปรียบได้กับข้าวที่เป็นอาหารหลักของชาวเอเชีย ผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ใช้ขนมปังในการประกอบพิธีการทางศาสนา ถือว่าขนมปังเปรียบเสมือนเนื้อหนังมังสาของพระเยซู ดังนั้น ถ้าวางขนมปังกลับด้าน โดยนำด้านล่างไว้ด้านบนและด้านบนไว้ข้างล่าง เท่ากับเป็นการท้าทายต่ออำนาจชั่วร้าย ทำให้ไม่เป็นมงคล 

         เมื่อพิจารณาสำนวนเกี่ยวกับความเชื่อโชคลางที่กล่าวมาแล้ว จะเห็นว่าแบ่งออกเป็นความเชื่อโชคลางที่ทำให้มีโชคหรือเป็นมงคลและความเชื่อโชคลางที่ทำให้โชคร้าย ซึ่งเกี่ยวพันกับอำนาจลึกลับเหนือธรรมชาติและเรื่องราวในตำนานของศาสนาคริสต์ แม้ว่าจะค่อย ๆ จางหายไปกับสังคมเมืองสมัยใหม่  แต่ยังคงมีบทบาทสำคัญสำหรับคนฝรั่งเศสที่มีจิตใจเชื่อถือในโชคลาง ดังนั้น การที่ผู้เรียนภาษาฝรั่งเศสได้รู้จักและเข้าใจที่มาของสำนวนเหล่านี้จะทำให้ปฏิบัติตัวได้ถูกต้องเมื่อต้องอยู่ในสังคมฝรั่งเศสและสามารถใช้เป็นหัวข้อสนทนาเปรียบเทียบกับความเชื่อโชคลางของไทยได้อีกด้วย

         เป็นอย่างไรบ้างครับ ท่านเป็นคนเชื่อโชคลางไหมครับ

อ้างอิง

บุปผา ทวีสุข.  (๒๕๒๐).  คติชาวบ้าน.  กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง.

อนุมานราชธน, พระยา.  (๒๕๒๔).  การศึกษาเรื่องประเพณีไทย.  พิมพ์ครั้งที่ ๓. กรุงเทพฯบพิธการพิมพ์.

Chevalier, Jean. et  Gheerbrant, Alain.  (1974).  Dictionnaire des symboles. Paris: Seghers.

Martine, Abdallah-Pretceille.  (1996).  “Compétence culturelle, Compétence interculturelle.” Le Français dans le Monde.  Janvier, (pp.4).

Mauchamp, Nelly. (1995).  Les Français : mentalité et comportement.  Paris: Clé International.

Mozzani, Eloïse.  (1995).  Le Livre des superstitions.  Paris: Robert Laffont.

 

 

 

 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French

  มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French กรมหลวงพิพิธมนตรี (พระพันวัสสาน้อย) เป็นพระอัครมเหสีน้อยของสมเด็จพ...