Chalermkiat Mina

วันเสาร์, ธันวาคม 24, 2565

มินามีเรื่องเล่า สุขสันต์วันคริสต์มาส เรื่องสั้นแห่งความสุขที่อยากให้ทุกท่านได้อ่าน

 





มินามีเรื่องเล่า สุขสันต์วันคริสต์มาส

          สวัสดีครับ วันนี้เป็นวันที่ ๒๔ ธันวาคม เป็นวันสำคัญก่อนวันคริสต์มาส คือวันที่ ๒๕ ธันวาคม ผมมีเรื่องมาเล่าให้ท่านฟัง และอยากให้ท่านได้อ่านเรื่องนี้ครับ

          เรื่องสุขสันต์วันคริสต์มาส (Joyeux Noël) เป็นเรื่องสั้นที่ผมเคยเรียน ไม่ทราบว่าผู้เขียนเป็นใคร และผมนำเรื่องนี้มาจากหนังสือเล่มใด ที่เหลืออยู่มีแต่กระดาษซีร๊อกซ์สองแผ่น ผมขออนุญาตถ่ายทอดให้ทุกท่านได้อ่านและมีความสุขกับเทศกาลคริสต์มาสนี้นะครับ

 **********************

 

สุขสันต์วันคริสต์มาส

วันนี้เป็นวันที่ ๒๔ ธันวาคม

หนูน้อยมาติเยอเข้ามาอยู่ในวงคอรัสได้อย่างไรกันนะ ในเมื่อเขาเป็นคนร้องเสียงเพี้ยน

          ไม่มีใครพูดเรื่องนี้ได้ เขามาร่วมวงเพราะเพื่อนผลักดันให้เข้ามา หรือเป็นเพราะเขาดูเป็นเด็กดี หรืออาจเป็นช่วงที่ครูหัวหน้าวงพลั้งเผลอรับเขาเข้ามา

          เกือบสามเดือนแล้วที่บรรดาเพี่อนบ้านต้องทนฟังมาติเยอร้องเพลงเสียงหลง มาติเยอไม่รู้ตัวเลย โชคดีที่มาติเยอเป็นเด็กดีจนกระทั่งไม่มีใครบ่นหรือบอกให้เขาไปร้องที่อื่น ทำไมจะต้องไปทำร้ายจิตใจของหนูน้อยคนนี้ด้วยนะ

          แต่คริสต์มาสกำลังจะมาถึง มีการเตรียมบทเพลงเพื่อร้องในวันสำคัญของชาวคริสต์วันนี้ มีการซ้อมร้องเพลง ๓ ครั้งต่อสัปดาห์

          วันนี้เป็นวันที่ ๒๔ ธันวาคม มาติเยอตื่นเต้นกับงานเทศกาลแห่งความสุขนี้ เขาจะร้องเพลงด้วยความรื่นเริง เขาร้องเพลงชนิดที่กลั่นออกมาจากหัวใจของเขาเลยทีเดียว

          ขณะที่กำลังฝึกร้องเพลง ลาเดสต์ ฟิแดล ครูผู้อำนวยการวงคอรัสสั่งหยุดร้องทันทีทันใด

          “มีใครบางคนร้องเพี้ยน” ครูกล่าว “เอ้า...เริ่มร้องกันใหม่...”

          ราวกับนัดกันไว้ ทุกคนหันหน้ามามองที่มาติเยอ เจ้าหนูน้อยผู้น่าสงสารคนนี้รู้ได้ทันที ทุกคนหันมามองเขาเพราะเขาร้องเพี้ยน

          มาติเยอก้มหน้าอย่างสุดเศร้า ใบหน้าแดงกล่ำ กระแอมนิดหน่อยเพื่อปิดบังความประหม่า

          ดูเหมือนว่าครูผู้อำนวยการวงไม่ได้สังเกตเห็นอะไร แต่เมื่อเขาสั่งให้เริ่มร้องใหม่ มาติเยอกลับนิ่งเงียบ เขาไม่กล้าร้องอีกต่อไป

          เมื่อการฝึกซ้อมเสร็จสิ้น บรรดาเด็กชายต่างดีใจและพากันกลับบ้านไป พวกเขาหัวเราะต่อกระซิกและผลักใสกันเพื่อจะได้ออกไปอย่างเร็ว

          ไม่มีใครสังเกตเห็นว่ามาติเยอนั่งเงียบอยู่ที่นั่นคนเดียว ท่าทางเศร้าสร้อย เขานั่งร้องไห้ “ฉันเป็นคนไม่มีอะไรดีสักอย่าง” เขาคิด “ในห้องเรียนฉันก็เป็นที่โหล่ ฉันเล่นบอลได้ห่วยแตกจนเพื่อน ๆ พากันเยาะเย้ย และตอนนี้ แม้กระทั่งร้องเพลงยังร้องไม่เป็น”

          มาติเยอเจ็บปวดรวดร้าว แต่เขาไม่ย่อท้อ สิ่งสำคัญคือวงคอรัสต้องดำเนินต่อไปอย่างดี เขาร้องเสียงเพี้ยนหรือ เอาหล่ะ เขาจะไม่ร้องเพลงอีกแล้ว

          ภายหลังจากตัดสินใจแน่วแน่แล้ว มาติเยอลุกขึ้น เดินไปเคาะประตูห้องครูผู้อำนวยการวง เขาถอดชุดคลุมสีขาวที่ใส่ร้องเพลงออกและยื่นให้ครูผู้อำนวยการวง

          “นี่ครับ ครูเอาไปทำอะไรก็ได้ตามที่ต้องการครับ ครูให้ชุดนี้กับเด็กคนอื่นเถอะครับ ผมมันไม่มีอะไรดีเลย!

          ครูผู้อำนวยการวงมองดูมาติเยอ เขารู้ว่ามาติเยอร้องเพี้ยนมาหลายเดือนแล้ว แต่เขาไม่พูดอะไร เขาไม่ต้องการทำให้หนูน้อยคนนี้เจ็บช้ำน้ำใจ แต่ในวันคริสต์มาส ต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น

          “ไม่มีอะไรดีเลยหรือ? เธอไม่ควรพูดอะไรแบบนั้น” ครูบอกเขาด้วยเสียงอ่อนนุ่ม “เธอมาช่วยครูเตรียมทำรางหญ้าพระกุมาร เอาไหม?”

          ไม่มีเสียงตอบ

          “ฟังนะมาติเยอ เธอช่วยทำอะไรให้ครูสักหน่อย เธอไปที่โรงงานของคุณดูราส์ เขาคงทำตุ๊กตาสำหรับประดับในรางหญ้าพระกุมารเสร็จแล้ว ครูไม่มีเวลาไปดูด้วยตนเอง ไปนำตุ๊กตามาให้ครู เราจะมาจัดวางตุ๊กตาด้วยกัน เอาไหม”

          “ได้ครับครู”

          มาติเยอรับปากและรีบทำด้วยความดีใจที่ตัวเองได้มีส่วนร่วม ที่โรงงาน ชายสูงวัยยิ้มต้อนรับมาติเยอ

          “เธอมาเอาตุ๊กตาประดับรางหญ้าพระกุมารใช่ไหม ทุกอย่างเสร็จแล้ว”

          นายดูราส์เปิดกล่องใหญ่สองกล่องให้มาติเยอดู ในกล่องมีตุ๊กตาประดับรางหญ้าห่อด้วยกระดาษสีขาว

          “ดูนี่ซิ”

          นายดูราส์ปลื้มใจที่ได้นำงานของเขามาให้มาติเยอดู เขาแกะห่อตุ๊กตา มีลา วัว พวกแกะ รวมทั้งตุ๊กตาพระแม่มารีย์ พระบิดาโจเซฟ และพระเยซู

          “โอ้!” มาติเยออุทาน

          “เธอไม่ชอบตุ๊กตาเหล่านี้หรือ?”

          “ผมนะหรือครับ? ผมชอบครับ คุณทำตุ๊กตาเหล่านี้ได้อย่างไรครับ”

          นายดูราส์ไม่ได้เป็นพ่อค้าเหมือนคนอื่น ๆ เขาเป็นศิลปิน เขารักเด็ก ๆ

          “มานี่ ฉันจะแสดงให้เธอดู”

          เขาใช้มือหยิบปูนอย่างว่องไว เริ่มปั้นดาวที่นับว่าสวยที่สุดในบรรดาดาวที่ประดับในงานคริสต์มาส หนูน้อยมาติเยอมองดูด้วยสายตาทึ่ง

          “เอ้า ถึงตาเธอลองปั้นแล้ว” นายดูราส์กล่าวพร้อมยื่นปูนให้เพื่อนใหม่ตัวน้อยของเขา

          มาติเยอปั้นปูนด้วยใบหน้าแจ่มใสและมีความสุข เขาปั้นตุ๊กตาออกมาดี

          นายดูราส์มองดูด้วยความประหลาดใจ

          “เธอปั้นตุ๊กตาโดยไม่เคยเรียนมาก่อนได้อย่างไร!

          แต่มาติเยอต้องกลับแล้ว เขาต้องนำรางหญ้าพระเยซูกลับไปให้ครูผู้อำนวยการวง

นายดูราส์สัญญากับมาติเยอว่าจะให้เขากลับมาปั้นตุ๊กตาใหม่ มาติเยอเดินจากไป ในมือของเขายังมีปูนอยู่ก้อนหนึ่ง

          ด้านนอกหิมะตก

          มาติเยอเคาะประตูห้องทำงานของครูผู้อำนวยการวงคอรัส หนูน้อยเดินถือกล่องขนาดใหญ่เข้ามา กำลังจะแก้เชือกออกให้

          แต่ในช่วงเวลานั้น อากาศหนาวเหน็บทำให้มือของเขาเย็นชา ถือกล่องไม่ไหว กล่องตกลงบนพื้น หนูน้อยมาติเยอรีบแกะกล่องออก เขานำตุ๊กตาออกมาทีละตัว แต่ด้านในสุดของกล่องมีตุ๊กตาเทวดาตัวหนี่งที่แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

          “ผมจำได้ครับ” มาติเยอพูด “เทวดาท่านนี้กางปีก สวยที่สุดในบรรดาตุ๊กตาทั้งหมด ครูคอยผมนะครับ ผมจะลองปั้นดู”

          มาติเยอนำปูนที่นายดูราส์มอบให้ออกมาปั้น บรรจงใช้นิ้วปั้นปูนให้เป็นตุ๊กตา

          ครูหัวหน้าวงคอรัสมองดูอย่างฉงนสนเท่ห์ เขาไม่พูดอะไร ได้แต่ยิ้ม ครูหยิบตุ๊กตาเทวดาที่มาติเยอปั้นมาตั้งไว้บนรางหญ้าพระเยซู

          วันที่ ๒๔ ธันวาคม... หนูน้อยมาติเยอตระหนักว่าเขาร้องเพลงเพี้ยน แต่มันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว เขาได้พบสิ่งอื่นที่เป็นพลังใจสำหรับเขาแล้ว

          *******************************

      

         


วันพฤหัสบดี, ธันวาคม 22, 2565

มินามีเรื่องเล่า ประวัติน้ำส่างสนามบิน เมืองขอนแก่น

 




มินามีเรื่องเล่า ประวัติน้ำส่างสนามบิน เมืองขอนแก่น 

         หลายท่านคงรู้จักถนนคนเดินตรงแถวศาลากลางจังหวัดขอนแก่น

         ผมไม่ได้พูดเรื่องถนนคนเดินนะครับ

         แต่จะบอกว่า ตรงถนนสายนั้น มีที่ตั้งหน่วยงานราชการมากมาย

         สถานที่ที่ผมจะกล่าวถึง อยู่แถวโรงเรียนสนามบินครับ

ตรงข้ามโรงเรียนสนามบินเป็นสำนักงานที่ดินจังหวัดขอนแก่น ติดกับสำนักงานที่ดีนจังหวัดขอนแก่น คือ สำนักงานพาณิชย์จังหวัดขอนแก่น

ตรงนี้นะครับ ที่ผมจะกล่าวถึง ข้างๆ สำนักงานพาณิชย์จังหวัดขอนแก่นเป็นถนนตรงไปยังสำนักงานขนส่งจังหวัดขอนแก่น ติดรั้วสำนักงานพาณิชย์จังหวัดขอนแก่น คือ บ่อน้ำส่างสนามบิน ครับ

         ประวัติน้ำส่างสนามบิน มีดังนี้ครับ

         ในปี พ.ศ. ๒๔๖๑-๒๔๗๐ พระพิศาลสารเกษตร (พร พิมพสุต) ได้ขอแรงราษฎรสร้างสนามบินที่บริเวณโคกหลังจวนผู้ว่าราชการจังหวัด (โรงเรียนสนามบิน) เพื่อให้เครื่องบินของทางราชการบินลง ในวันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ เปิดการเดินทางรถไฟจากกรุงเทพฯ ถึงจังหวัดขอนแก่นครั้งแรก พ่อใหญ่จารย์ไขหรือนายไข ทองสา ราษฎรที่ถูกเกณฑ์มาสร้างสนามบิน ได้ใช้เวลาพักเที่ยงขุดน้ำส่างหรือบ่อน้ำเพิ่ม 

         เนื่องจากเป็นฤดูแล้ง น้ำในบ่อเดิมไหลไม่ทัน เพราะแรงงานมีจำนวนมาก เมื่อขุดลงไปลึกประมาณเมตรกว่าๆ ก็พบหินก้อนใหญ่ปิดตาน้ำอยู่ เมื่อพากันเอาหินออก น้ำก็ไหลออกมาจากตาน้ำ เป็นน้ำใสมีสีเหมือนเหล้าสาโทที่ตักออกมาจากไหครั้งแรก เป็นน้ำที่มีรสแซบ (อร่อย) ทำให้ทุกคนดีใจ และมีผู้ที่มาเอาน้ำไปใช้ในการดื่มกินเป็นจำนวนมาก ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผู้ซึ่งเดินทางมาจากหลายแห่ง เช่น บ้านพระลับ บ้านเมืองเก่า ตลาดเก่า ตลาดใหม่ ตลาดน้อย และทุกคนที่มาเอาน้ำจากบ่อน้ำไปใช้เพื่อการดื่มกิน ก็เรียกกันว่า น้ำส่างสนามบิน ซึ่งเป็นชื่อเรียกจนถึงทุกวันนี้

         ในเรื่องของวิธีหาตาน้ำเพื่อขุดน้ำส่าง (บ่อน้ำ) ผู้เฒ่าผู้แก่แต่สมัยโบราณเล่าปากต่อปากกันมาว่า ประการแรก ให้สังเกตกิ่งไม้ ปกติกิ่งไม้ที่แตกกิ่งใหญ่ครั้งแรก กิ่งหนึ่งจะหันไปทางทิศใต้ อีกกิ่งหนึ่งจะหันไปทางทิศเหนือ หากมีทางน้ำใต้ดิน กิ่งที่แตกออกทั้งสองข้างจะหันไปตามทางน้ำใต้ดิน 

         วิธีหาบริเวณที่จะให้บ่อมีน้ำมาก ตอนเช้าให้เดินดูตามทางน้ำใต้ดิน ที่แห่งใดมีดินที่อุ่นๆ ถือว่าใช่แล้ว เพื่อความแน่นอนให้นำหวดนึ่งข้าวเหนียวไม้ไผ่มาครอบที่ตรงนั้นไว้ รุ่งเช้ามาเปิดดูจะเห็นว่ามีน้ำเกาะอยู่ ถือว่าขุดน้ำส่างได้ (บ่อน้ำ)

         ต่อมาบ้านเมืองได้มีการพัฒนาเจริญเติบโตขึ้นตามกาลสมัย ซึ่งบ้านเมืองได้พัฒนาในด้านต่างๆ เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นนำน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติมาทำเป็นน้ำประปา เพื่อให้ประชาชนใช้ในการบริโภค อุปโภค และได้ยินคำเล่าลือว่า น้ำที่อยู่ปากบ่อที่คนตักทำหก จะไหลลงบ่อ จึงมีผู้ดื่มน้อยลง แต่ยังมีประชาชนบางกลุ่มที่ยังต้องพึ่งพาอาศัยน้ำส่างสนามบินในการบริโภค-อุปโภค

         จากสภาพของบ่อน้ำที่มีอายุการใช้งานมานาน ทำให้มีสภาพที่เสื่อมโทรม ขาดการดูแลบำรุงรักษา เทศบาลนครขอนแก่นซึ่งเล็งเห็นความสำคัญในด้านนี้ เนื่องจากเห็นว่าบ่อน้ำส่างสนามบินเป็นบ่อน้ำที่หล่อเลี้ยงคนเมืองขอนแก่นให้สามารถดำรงชีพอยู่ได้มาจนถึงปัจจุบัน

         ปี พ.ศ. ๒๕๔๕ นายพีระพล พัฒนพีระเดช นายกเทศมนตรีเทศบาลนครขอนแก่น และคณะ ได้เล็งเห็นคุณประโยชน์ของบ่อน้ำประวัติศาสตร์แห่งนี้ ซึ่งเป็นดังหนึ่งสายเลือดที่หล่อเลี้ยงชาวขอนแก่นมากกว่าศตวรรษ จึงได้ทำการปรับปรุงบ่อน้ำให้สะอาดขึ้น และได้สร้างหลังคาคลุม เป็นศิลปะร่วมสมัยเพื่ออนุรักษ์ไว้สำหรับอนุชนรุ่นต่อไป จะได้ศึกษาถึงการดำรงชีพของบรรพบุรุษในอดีตว่ามีความเป็นมาอย่างไร เพื่อไม่ให้เลือนและจางหายไปกับอนาคตที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้

แหล่งข้อมูลประกอบการเล่าเรื่อง

ป้ายนิเทศบรรยายประวัติน้ำส่างสนามบิน ติดกับสำนักงานพานิชย์จังหวัดขอนแก่น

 

 

 

 


วันพุธ, ธันวาคม 21, 2565

มินามีเรื่องเล่า สัตว์หิมพานต์ ๓๖ ตัว

 

https://www.m-culture.go.th/phuket/ewt_news.php?nid=1518&filename=index

มินามีเรื่องเล่า สัตว์หิมพานต์ ๓๖ ตัว

 

          สวัสดีครับ วันนี้คุณอยากเลี้ยงสัตว์กันไหม ผมมีสัตว์จำนวน ๓๖ ตัวมานำเสนอ ถ้าคุณเลี้ยงตัวใดตัวหนึ่งใน ๓๖ ตัวนี้ รับรองได้เลยว่า คุณจะมีชื่อเสียงโด่งดัง คนทั่วประเทศ หรืออาจจะทั่วโลกจะมาเยี่ยมชมสัตว์เลี้ยงของคุณอย่างแน่นอน

          สัตว์ทั้ง ๓๖ ตัวที่ผมแนะนำให้คุณเลี้ยงเรียกรวมว่า สัตว์หิมพานต์

          สงสัยใช่ไหม สัตว์หิมพานต์คืออะไร

 

ภาพสัตว์หิมพานต์

สัตว์หิมพานต์คือสัตว์ในจินตนาการ อยู่ในป่าหิมพานต์ มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นได้ สัตว์หิมพานต์มีรูปลักษณ์แตกต่างกันตามลักษณะของสัตว์แต่ละตัว และมักเป็นสัตว์ที่ผสมกันระหว่างสัตว์สองหรือสามชนิด ทำให้มีรูปร่างแปลกๆ เช่น ไกรสรนาคา เป็นสัตว์ผสมกันระหว่างราชสีห์กับนาค เหมราชทักทอ สกุณไกรสร กาฬสิงห์ เป็นต้น

ช่างเขียนจินตนาการสัตว์หิมพานต์จากตำนาน ส่วนมากเป็นตำนานที่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์  ช่างไทยนำรูปสัตว์หิมพานต์มาตกแต่งอาคารสถาปัตยกรรมไทยเช่น ครุฑแบกฐานโบสถ์ วิหาร เจดีย์ บุษบก หรือผูกเป็นภาพตามเรื่องราวในวรรณคดี เช่น รามเกียรติ์ ชาดก เพื่อเขียนเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนัง ลายรดน้ำ เป็นต้น

ตัวอย่างของสัตว์หิมพานต์ มีดังต่อไปนี้ครับ

๑.    กระบิลปักษา
สัตว์หิมพานต์ที่มีรูปเหมือนกระบี่หรือพญาวานร มีปีกเหมือนนกที่หัวไหล่สองข้าง มีครีบที่ท้องแขน หาง

เป็นหางไก่ กายสีดำ มักใช้ผูกหุ่นเป็นที่ตั้งเครื่องสังเค็ดในงานพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลพระบรมศพ

๒.    กรินทปักษา

สัตว์หิมพานต์ที่มีรูปร่างอย่างช้าง แต่มีปีกคู่ตรงสะบักทั้งสองข้าง มีหางอย่างนก กายสีแดงชาด ใช้ผูกหุ่น

เป็นเครื่องตั้งสังเค็ดในงานพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลพระบรมศพ

๓.    กินนรกินรี  
สัตว์หิมพานต์ครึ่งมนุษย์ครึ่งนก มีหัวเป็นมนุษย์ มีปีก มีหางอย่างนก ปรากฏในงานจิตรกรรมและ

ประติมากรรมไทย ใช้ตกแต่งสถาปัตยกรรมไทย เช่น กินนรและกินรีหน้าปราสาทพระเทพบิดรในพระบรมมหาราชวัง กรุงเทพฯ กินนรประดับฐานปรางค์ เป็นต้น

๔.    กินนรเนื้อ
สัตว์หิมพานต์ครึ่งมนุษย์สตรีเพศ มีร่างกายครึ่งร่างคล้ายกวาง แต่มีสองขา

๕.    กินนรยักษ์

มนุษย์พวกหนึ่งทำเป็นรูปครึ่งคนครึ่งนก มีหัวเป็นยักษ์ ติดปีกปีกหาง ปรากฏในงานจิตรกรรมและ

ประติมากรรมไทย เช่น กินนรยักษ์ที่ฐานไพทีปราสาทพระเทพบิดร  พระบรมมหาราชวัง กรุงเทพฯ

๖.    กิเลน  

สัตว์หิมพานต์ที่ช่างเขียนไทยเขียนขึ้นตามจินตนาการจากสัตว์ในเทพนิยายจีน กิเลนมีหัวเป็นมังกร ลำตัว

คล้ายม้า เท้าเป็นกีบ ตัวมีเกล็ด ตัวเป็นสีน้ำเงิน เกล็ดเป็นสีม่วงแก่ กิเลนอีกพวกหนึ่งมีหัวเหมือนเหรา ตัวเป็นสิงห์ มีเกล็ดและมีปีก จึงเรียกว่า กิเลนปีก

๗.    กิเลนปีก  

กิเลนปีกเป็นสัตว์หิมพานต์ มีหัวเหมือนเหรา ตัวเป็นสิงห์ มีเกล็ด มีปีก พื้นตัวเป็นสีน้ำเงิน

๘.    กิหมี  
สัตว์หิมพานต์ที่มีใบหน้าและลำตัวมีขนเป็พวงคล้ายสุนัขปักกิ่ง หางเป็นพวง เท้าเป็นอุ้งซ่อนเล็บ

๙.    กุญชรราชปักษา  

สัตว์หิมพานต์ที่มีหัวเป็นช้าง ตัวเป็นมังกร สี่เท้า มีปีกอย่างนก บางทีเรียกว่า พญามังกร กุญชรราชปักษา

๑๐. เกษรสิงหะ
สัตว์หิมพานต์ ตัวเป็นสิงห์ หัวมีหงอน เท้าเป็นกีบ สีตัวเหมือนสีนกเขา

๑๑. ไกรสรคาวี
สัตว์หิมพานต์ที่ เป็นสัตว์ สี่เท้าหลายชนิดผสมกัน คือ หัวและคอเป็นอย่างม้า มีเขาเหมือนโค มีใบหูเหมือน

เสือ มีลำตัวเป็นราชสีห์ มีหางเป็นพวงอย่างม้า ตัวสีดำ ปลายเท้าสีขาว ใช้ผูกหุ่นเป็นที่ตั้งเครื่องสังเค็ดในงานพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลพระบรมศพ

๑๒. ไกรสรนาคา
สัตว์หิมพานต์ที่เป็นสัตว์สี่เท้า มีหัวเป็นนาค มีหางอย่างพญานาค เล็บเท้าอย่างเล็บสิงห์ ลำตัวมีเกล็ด ผิว

กายสีน้ำทะเลอ่อน ใช้ผูกหุ่นเป็นที่ตั้งเครื่องสังเค็ด ในงานพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลพระบรมศพ

๑๓. ไกรสรปักษา
สัตว์หิมพานต์ที่เป็นสัตว์สี่เท้า เท้ามีอุ้งอย่างสิงห์ หัวเป็นนกอินทรีย์ มีหงอนตั้งไปข้างหน้า ปีกขยับกางขึ้น

ทั้งสองข้าง ลำตัวมีเกล็ด ปลายหางมีขนเป็นแผง กายสีตองอ่อน ใช้ผูกหุ่นเป็นที่ตั้งเครื่องสังเค็ดในงานพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลพระบรมศพ

๑๔. ไกรสรราชสีห์

สัตว์หิมพานต์มีรูปร่างอย่างราชสีห์ ผิวกายสีขาว อย่างดั่งสีหอยสังข์ เส้นขนานเป็นวงทักขิณาวัฏ เขียนด้วย

สีชาด เป็นสัตว์หิมพานต์ประเภทหนึ่งในกลุ่มราชสีห์ ซึ่งมี สี่ชนิด คือ บัณฑุราชสีห์ กาฬราชสีห์ ติณราชสีห์ และไกรสรราชสีห์

๑๕. ไกรสรวิหก

สัตว์หิมพานต์มีหัวเป็นสิงห์ ตัวเป็นนก มีปีกและหางอย่างนก

๑๖. คชปักษา
สัตว์หิมพานต์มีตัวเป็นครุฑ หัวมีงวงมีงาอย่างช้าง บนหัวมีช่อกระหนก คอประดับด้วยกรองศอ รัดอก

เกราะอ่อน ทับทรวง อย่างเครื่องทรง มีขนปีกและหางคล้ายนก มีช่อกระหนกต่อเป็นส่วนหาง

๑๗. คชสิงห์

สัตว์หิมพานต์มีหัวเป็นสิงห์แต่มีงวงมีงาอย่างช้าง ตัวเป็นสิงห์ ปรากฏในลายรดน้ำตู้พระธรรม และ

จิตรกรรมฝาผนังในโบสถ์หรือวิหาร

๑๘. คชสิงหสกุณี
สัตว์หิมพานต์มีหัวเป็นช้าง ตัวเป็นนก มีปีก มีหางเป็นพวง

๑๙. คชสีห์

สัตว์หิมพานต์มีรูปร่างเหมือนราชสีห์ หัวเป็นช้าง ช่างไทยนำมาทำเป็นลายกระหนกประกอบ มีหงอน กาย

สีม่วงอ่อน สร้างเป็นรูปประติมากรรมหรือผูกเป็นหุ่นเป็นที่ตั้งเครื่องสังเค็ดในงานพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลพระบรมศพ 

๒๐. ครุฑ
มนุษย์จำพวกหนึ่ง ในศาสนาพราหมณ์ถือว่าครุฑเป็นพญานก รูปร่างครึ่งนกครึ่งคน คือมีหัว ปีก เล็บและ

ปากเหมือนนกอินทรีย์ ตัวและแขนเหมือนคน หน้าขาว ปีกแดง ลำตัวเป็นสีทอง อาศัยอยู่บนต้นงิ้ว ครุฑกึ่งเทพคือ พญาครุฑ อาศัยอยู่บนวิมานฉิมพลี ซึ่งเป็นสถานที่ลี้ลับยากที่จะไปถึง

๒๑. ช้างฉัททันต์

สัตว์หิมพานต์อาศัยอยู่บริเวณฉัททันตสระ เป็นพญาช้างกายสีขาวบริสุทธิ์ ดุจสีเงินยวง เท้าทั้งสี่และปากสี

แดงอย่างน้ำครั่ง มีช้างตระกูลต่างๆ 10 ตระกูลเป็นบริวาร

๒๒. ติณสีหะ

สัตว์หิมพานต์เป็นราชสีห์ที่กินหญ้าเป็นอาหาร บางตำราว่ามีลักษณะคล้ายโค สีกายหม่นเหมือนสีนกพิราบ

บางตำราว่าสีกายแดงอย่างขานกพิราบ หรือสีแดงคล้ายหญ้าแห้ง เท้าเป็นกีบอย่างโค รูปติณสีหะใช้ผูกหุ่นกำหนดให้เป็นสีเขียว

๒๓. ทักกะทอ

สัตว์หิมพานต์ รูปร่างอย่างราชสีห์ อาจสร้างให้คล้ายคชสสีห์เพื่อคู่กัน มีกายสีม่วงอ่อนคล้ายกัน แต่หัวทัก

กะทอคล้ายไกรสรสีหะ เกสรสีหะ กิเลนไทย หรือโลโต ซึ่งเป็นสิงห์พวกหนึ่งที่มีงวงและงาเล็กๆ

๒๔. เทพอัสดร
สัตว์หิมพานต์ ตัวเป็นม้า หัวเป็นสิงโต คอและหลังสีเขียว หางและกีบสีแดงชาด ใช้ผูกหุ่นที่ตั้งเครื่องสังเค็ด

ในงานพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลพระบรมศพ

๒๕. ทัณฑิมา
สัตว์หิมพานต์ ตัวเป็นครุฑ หัวเป็นนก มีหงอน จะงอยปากใหญ่และงุ้มงอ มีเขี้ยวหนึ่งคู่ หูเหมือนหูวัว ตา

แบบจระเข้ มี ห้านิ้ว เล็บเหมือนนก มีแผงขนใต้ท้องแขนและน่อง กลางหลังมีปีก หางเหมือนหางไก่ ถือไม้เท้าทองหรือกระบองอยู่เสมอ

๒๖. เทพนรสิงห์
สัตว์หิมพานต์  ท่อนบนเป็นเทพ ท่อนล่างเป็นราชสีห์ เท้าเป็นกีบ ปรากฏในงานจิตรกรรมและ

ประติมากรรม

๒๗. เทพปักษี
สัตว์หิมพานต์รูปร่างเป็นเทพ แต่มีปีก หางอย่างนก ตัวเป็นสีขาว เครื่องแต่งกายสีเหลือง ปีกและหางสีชาด

๒๘. นกการวิก  
สัตว์หิมพานต์มีหัวเป็นนก มีปีกและหางอย่างนก ตัวสีหงเสนอ่อน มักปรากฏในลายรดน้ำตู้พระธรรม บาน

ประตูโบสถ์ วิหาร

๒๙. นกเทศ

สัตว์หิมพานต์ที่มีรูปร่างคล้ายนกอินทรีย์ สีหงชาด ปรากฏในงานจิตรกรรมและประติมากรรม เช่น

จิตรกรรมฝาผนังพระอุโบสถวัดสุทัศน์เทพวราราม กรุงเทพฯ หุ่นที่เป็นเครื่องสังเค็ดในพระราชพิธี
บำเพ็ญพระราชกุศลพระบรมศพ เป็นต้น

๓๐. นกหัสดิน

สัตว์หิมพานต์มีรูปร่างคล้ายนกหรือหงส์ มีหัวเป็นนาค มีงวง มีปีกและหางอย่างนก พื้นสีขาว ปีกสีหงดิน

อ่อน  ปรากฏในงานจิตรกรรมและประติมากรรม

๓๑. นกหัสดีลิงค์
สัตว์หิมพานต์ ตัวเป็นนก หัวเป็นช้างหรือหัวเป็นนก มีจะงอยปากเป็นงวงช้าง ตัวเป็นนก มีปีก ขา และหาง

อย่างนก นกหัสดีลิงค์อยู่ในป่าหิมพานต์ เป็นนกสำคัญที่ปรากฏในงานศิลปกรรมไทยทั้งจิตรกรรมและประติมากรรม

๓๒. นกอินทรี
สัตว์หิมพานต์ มีรูปร่างเหมือนนก หางเป็นลายกระหนก พื้นสีเขียวอ่อน ปีกสีหงดิน

๓๓. นาคปักษิณ  
สัตว์หิมพานต์มีหัวเป็นนาค ตัวเป็นนก สีหงชาดหางเป็นกระหนก ปรากฏในงานจิตรกรรมประติมากรรม

และศิลปะประยุกต์ของไทย เช่นทำเป็นหุ่นในงานพระบรมศพ

๓๔. นาคปักษี

สัตว์หิมพานต์มีท่อนบนเป็นมนุษย์ผู้ชาย กายสีขาว สวมมงกุฎยอดนาค ขาเป็นนก หางเป็นนาค  ปรากฏที่

ลายรดน้ำบานประตูพระอุโบสถวัดนางนอง กรุงเทพฯ

๓๕. นาคพด  

สัตว์หิมพานต์ตัวเป็นนาคแต่มีขาอย่างสิงห์ หางเหมือนปลา พบในลายรดน้ำตู้พระธรรม จิตรกรรมเรื่อง

รามเกียรติ์ ผนังระเบียงวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ประติมากรรมบันไดพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ ซุ้มเรือนแก้วพระพุทธชินราช วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลก เป็นต้น บางครั้งเรียกว่า เหรา หรือ เหราพต

๓๖. มกร
มกรเป็นสัตว์ที่ช่างอินเดียสร้างขึ้นจากจินตนาการมีลักษณะต่างๆ กัน เช่น มีหัวคล้ายจระเข้ มีจะงอยปาก

ออกไปทางด้านหลังคล้ายงวง มีฟัน มีขาคล้ายสิงโตหรือสุนัข มีสี่ขา มีหางอย่างหางปลา ปรากฏในศิลปะขอมแบบกุเรน ราว พ.ศ. 1370 ถึง 1520 ในประเทศไทยพบมกรในศิลปะศรีวิชัย ใช้ตกแต่งอาคาร เช่นทำหน้ามกรไว้ที่ชายคา ทำปากเป็นท่อน้ำ ปูนปั้นประดับซุ้มเจดีย์ทรงดอกบัวตูมหรือทรงข้าวบิณฑ์ที่วัดมหาธาตุ เมืองเก่าสุโขทัย จังหวัดสุโขทัย  พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงอธิบายว่า มกร คือ เหรา

          เป็นอย่างไรบ้างครับ สนใจนำสัตว์ตัวไหนไปเลี้ยงบ้างไหมครับ

 

แหล่งข้อมูลประกอบการเล่าเรื่อง

วิบูลย์ ลี้สุวรรณ.  ๒๕๕๙.  พจนานุกรมศัพท์ศิลปกรรมไทย.  นนทบุรี: สำนักพิมพ์เมืองโบราณ.


มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French

  มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French กรมหลวงพิพิธมนตรี (พระพันวัสสาน้อย) เป็นพระอัครมเหสีน้อยของสมเด็จพ...