Chalermkiat Mina

วันศุกร์, มิถุนายน 30, 2566

มินามีเรื่องเล่า พระพรหมวชิรดิลก

มินามีเรื่องเล่า พระพรหมวชิรดิลก

ด้วยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระสถาปนาโปรดสถาปนาเลื่อนสมณศักดิ์ พระธรรมดิลก (สมาน สุเมโธ ป.ธ.๙) ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๙ (ธรรมยุต) ขึ้นเป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรอง มีราชราชทินนามตามที่จารึกในหิรัญบัฏว่า พระพรหมวชิรดิลก ศากยปุตติยนายก สาธกธรรมวิจิตร พิพิธศาสนกิจการี ตรีปิฎกบัณฑิต ธรรมยุติกคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี สถิต ณ วัดป่าแสงอรุณ จังหวัดขอนแก่น มีฐานานุศักดิ์ ตั้งฐานานุกรมได้ ๘ รูป

คณะพุทธศาสนิกชนชาวไทยขอน้อมถวายสักการะพระเดชพระคุณหลวงพ่อด้วยความเคารพยิ่ง

ผมขออนุญาตเล่าประวัติของพระเดชพระคุณพระพรหมวชิรดิลก โดยสังเขปครับ

พระเดชพระคุณพระพรหมวชิรดิลก เดิมชื่อ สมาน อุบลพิทักษ์ เกิดเมื่อวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๘ ที่บ้านเลิงเปือย (แอวมอง) หมู่ ๘ ตำบลพระลับ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น
บิดาของท่านพระเดชพระคุณคือ นายไหล อุบลพิทักษ์ (อุบลราชธานี) มารดาชื่อ นางอ่อน อุบลพิทักษ์ (สกุลเดิม ศรีสุทัศน์ สระบุรี) 

พระเดชพระคุณท่านสำเร็จการศึกษาทางโลก คือ พก.ศ. สำเร็จการศึกษาทางธรรมได้ ป.ธ. ๙

ตำแหน่งหน้าที่ของพระเดชพระคุณท่านที่สำคัญในอดีต มีดังนี้ครับ 

รองเจ้าคณะจังหวัดขอนแก่น (ธ), เจ้าคณะจังหวัดขอนแก่น (ธ), รองเจ้าคณะภาค ๙ (ธ), รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน ขอนแก่น, เลขานุการวารสารดอกบัว คณะสงฆ์ธรรมยุตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, และเจ้าคณะภาค ๙ (ธ)

ตำแหน่งหน้าที่ของพระเดชพระคุณท่านในปัจจุบัน ได้แก่เจ้าอาวาสวัดป่าแสงอรุณ, ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๙ (ธ), ประธานมูลนิธิวัดป่าแสงอรุณ, กรรมการบริหารคณะสงฆ์ไทย

เกียรติประวัติสำคัญส่วนหนึ่งของพระเดชพระคุณท่าน มีดังนี้ครับ เป็นครูภูมิปัญญาไทยสมัยที่ ๕, ศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ มหามหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย สาขาวิชาพุทธศาสน์ศึกษา, ปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สาขาการบริหารการศึกษา

ผลงานบางส่วนของพระเดชพระคุณท่าน ได้แก่ หนังสือมากกว่า ๓๐ เรื่อง ร้อยกรองมากกว่า ๘,๐๐๐ บท และบทความอื่น ๆ มากว่า ๖๐ เรื่อง

ขอน้อมถวายมุฑิตาสักการะด้วยความเคารพยิ่งครับ

วันพฤหัสบดี, มิถุนายน 29, 2566

มินามีเรื่องเล่า พระธาตุขามแก่น



มินามีเรื่องเล่า พระธาตุขามแก่น

สวัสดีครับ เมื่อปีที่แล้วผมและเพื่อน ๆ ได้มานมัสการพระธาตุขามแก่น ขออนุญาตเล่าเรื่องประธาตุขามแก่น โดยนำเรื่องมาจากงานของท่านสมควร พละกล้า ที่ได้เรียบเรียงไว้นะครับ

หลังจากที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้แล้ว พระองค์ก็ได้เสด็จจาริกเที่ยวประกาศพระพุทธศาสนา เผยแพร่พระธรรมของพระองค์ที่ได้ตรัสรู้นั้นให้เวไนยสัตว์ทั้งหลายถึง ๔๕ พรรษา เมื่อมีพระชนมายุได้ ๘๐ ปี พระองค์ก็เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน

เมื่อพระองค์เสร็จดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว พระมหากัสสปเถระเจ้า พร้อมด้วยพระอรหันต์สาวกทั้งหลาย และมีกษัตริย์พร้อมด้วยราชบริพาร ได้มานมัสการพระเพลิงพระพุทธสรีระของพระองค์ท่าน เมื่อถวายพระเพลิงเสร็จเล้ว ก็ได้ประกาศให้กษัตริย์ในชนบทต่าง ๆ ได้มารับแจกพระสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า





โทณพราหมณ์ผู้เป็นปราชญ์ฉลาดมีไหวพริบดี มีสุนทรพจน์อันน่าจับใจ ก็แจกพระสารีริกธาตุของพระองค์ ด้วยทนานทองเป็นเครื่องตวงให้แก่กษัตริย์ต่าง ๆ ด้วยความเรียบร้อย

ส่วนพระบรมธาตุกระโยงหัว (กระโหลกพระเศียร) ของพระองค์ ฆฏิการพราหมณ์นำไปประดิษฐานไว้ในพรหมโลก

พระธาตุเขี้ยวหมากแง (พระเขี้ยวแก้ว) พระอินทร์นำไปประดิษฐานไว้ในชั้นดาวดึงษ์

พระธาตุกระดูกด้ามมีด (พระรากขวัญ) พญานาคนำไปประดิษฐานไว้ในเมืองนาค

เหลือแต่พระอังคารของพระองค์ ยังไม่มีการแจกสันปันส่วนกันอย่างไร

กษัตย์นครต่าง ๆ เมื่อได้รับแจกแล้วก็ได้นำไปประดิษฐานไว้ในเมืองของตน เว้นเต่นครเป็นประเทศที่อยู่ห่างไกลมัชฌิมที่อยู่ในปัจจันตประเทศจึงมิได้รับแจก





ครั้นต่อมา โมริยกษัตริย์ เจ้าผู้ครองเมืองโมรีย์ ที่อยู่ในเขตปัจจันตประเทศ ได้ทราบข่าวภายหลังว่า พระพุทธจ้านิพพานแล้ว และมีการแจกพระสารีริกธาตุ

โมริยกษัตริย์จึงพร้อมด้วยราชบริพารของพระองค์ เตรียมการออกเดินทางไปขอรับแจก แต่พอไปถึงกรุงกุสินาราก็ได้ทราบว่า ได้มีการแจกกันพระสารีริกธาตุหมดแล้ว เหลือแต่พระอังคาร กษัตริย์โมรีย์จึงได้รับพระอังคารของพระพุทธเจ้าโดยบรรจุเข้าไว้ในกระอบทองรองรับ นำไปสถาปนาไว้ในนครโมรีย์ เป็นที่เคารพสักการะต่อไป

ครั้นกาลสมัยล่วงเลยมา ประมาณพุทธศักราชล่วงได้ ๓ ปี พระมหากัสสปเถระเจ้า มีความปรารถนาที่จะนำเอาพระอุรังคธาตุของพระพุทธเจ้า ไปประดิษฐานไว้ในภูกำพร้า (พระธาตุพนม)
ตามพุทธประสงค์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

มีการก่อสร้างพระธาตุพนมขึ้น มีพระมหากัสสปเถระเจ้าพร้อมด้วยพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์เป็นประธาน และมีพญาทั้ง ๕ เป็นศาสนูปถัมภก คือ พระยาอินทปัฏฐนคร พระยาดำแดง พระยานันทเสน พระยาจุลนีพรหมทัตต์ และพระยาสุวรรณภิงคาร จัดการก่อสร้างขึ้นจนแล้วเสร็จสำเร็จในวลาอันควร

ในปีที่ก่อสร้างพระธาตุพนมเสร็จนั้น โมริยกษัตริย์พร้อมด้วยพระอรหันต์ในเมืองโมรีย์ ได้ทราบข่าวว่ามีการก่อสร้างพระธาตุพนมขึ้น พระองค์มีศรัทธาเลื่อมใส ทรงมีพระราชประสงค์จะนำเอาพระอังคารของพระพุทธเจ้าที่ได้รับมาสถาปนานั้น ไปบรรจุไว้ในพระธาตุพนมร่วมกับพระอุรังคธาตุของพระพุทธเจ้า

พระอรหันต์ยอดแก้ว พระอรหันต์ธรังษี พระอรหันต์คันทีเถระเจ้ากับคณะรวม ๙ องค์ และพญาหลังเขียวเจ้านคร พร้อมด้วยราชบริพารจำนวน ๙๐ คน ได้อัญเชิญพระอังคารของพระพุทธเจ้าออกเดินทางไปประดิษฐานไว้ในพระธาตุพนม

การออกเดินทางของพระอรหันต์ทั้ง ๙ องค์และพญาหลังเขียว พร้อมด้วยราชบริพารก็มุ่งหน้ามาทางทิศเหนือ แต่พอมาถึงดอนมะขามแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่ตั้งพระธาตุบ้านขามในเวลานี้เป็นเวลาพลบค่ำ จึงได้พากันพักแรมคืนในสถานที่นี้ ซึ่งมีภูมิประเทศราบเรียบ มีห้วยสามแยก น้ำไหลผ่านรอบๆ ดอน

ในที่พักมีต้นมะขามใหญ่ต้นหนึ่ง ซึ่งตายล้มลงแล้ว เปลือกกะพี้และกิ่งก้านสาขาไม่มี เหลือแต่แก่นข้างในเท่านั้น

คณะเดินทางได้ใช้ต้นมะขามที่เหลือแต่แก่นนี้เป็นที่เก็บสิ่งของและรองรับพระอังคารของพระพุทธเจ้า

เช้าวันรุ่งขึ้นพระอรหันต์ทั้ง ๙ และพระยาหลังเขียวพร้อมด้วยบริวารตื่นนอนแล้ว ได้เตรียมการออกเดินทางมุ่งหนไปสู่สถานที่ก่อสร้างพระธาตุพนมต่อไป

พอไปถึงพระธาตุพนม ปรากฎว่าการก่อสร้างได้เสร็จเรียบร้อยแล้ว จะเอาอะไรเข้าบรรจุอีกไม่ได้ ได้แต่พากันไปนมัสการพระธาตุพนมเท่านั้นแล้วก็พากันกลับถิ่นเดิม โดยตั้งใจว่าจะนำพระอังคารของพระพุทธเจ้า ไปสถาปนาไว้ในนครของตนอย่างเดิม แล้วก็พากันกลับตามสายทางเดิม

เมื่อมาถึงที่พักซึ่งเป็นที่ตั้งพระธาตุบ้านขามเวลานี้ คณะเดินทางได้พบเห็นต้นมะขามที่ตายล้มลงแล้วนั้น กลับลุกขึ้นผลิดอกออกผลแตกกิ่งก้านสาขา มีใบสีเขียวชอุ่มแลดูงามตา

เมื่อได้เห็นเป็นอัศจรรย์ดังนี้ พระอรหันต์ทั้ง ๙ องค์ พร้อมด้วยพญาหลังเขียวจึงได้ก่อสร้างพระธาตุครอบต้นมะขาม บรรจุพระอังคารของพระพุทธเจ้าไว้พร้อมด้วยเงินทองแก้วแหวน โดยทำเป็นพระพุทธรูปแทนพระองค์เข้าบรรจุไว้ในพระธาตุนี้ทั้งสิ้น

เมื่อสร้างพระธาตุเสร็จแล้ว พญาหลังเขียวจัดการสร้างบ้านสร้างเมือง ส่วนพระอรหันต์ทั้ง ๙ องค์ก็จัดการสร้างวัดขึ้นคู่กับพระธาตุ เหตุการณ์เป็นดังนี้จึงได้นามว่า"พระธาตุขามแก่น" และพระธาตุขามแก่นจึงมิได้ปรากฎนามในตำนานอุรังคนิทาน เหมือนพระธาตุทั้งหลาย

ครั้นกาลล่วงมา พระอรหันต์ทั้ง ๙ องค์ ก็ได้ดับขันธ์ปรินิพพานในสถานที่นี้ทุกองค์ สรีระธาตุของท่านทั้ง ๙ องค์ ก็ได้บรรจุไว้ในพระธาตุองค์เล็ก ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของพระธาตุใหญ่ ประชาชนนิยมเรียกพระนามของพระธาตุบ้านขามว่า "ครูบาทั้ง ๙ เจ้ามหาธาตุ"

มาเมืองขอนแก่น ขอเชิญมานมัสการพระธาตุขามแก่นกันนะครับ

****************************** 





วันอังคาร, มิถุนายน 27, 2566

มินามีเรื่องเล่า พระมหาธาตุแก่นนคร วัดหนองแวง พระอารามหลวง จังหวัดขอนแก่น




มินามีเรื่องเล่า พระมหาธาตุแก่นนคร วัดหนองแวง พระอารามหลวง จังหวัดขอนแก่น

          สวัสดีครับ วันนี้ขออนุญาตนำเสนอความเป็นมาของพระมหาธาตุแก่นนคร วัดหนองแวง พระอารามหลวงนะครับ

          ผมได้มีโอกาสพาเพื่อนๆ มานมัสการพระมหาธาตุแก่นนคร ที่วัดหนองแวงแห่งนี้ เมื่อปีที่แล้วนะครับ ขออนุญาตนำเรื่องและภาพมานำเสนออีกครั้งครับ 





          เมืองขอนแก่นในยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ มีพระนครศรีบริรักษ์ (ท้าวเพี้ยเมืองแพน) เป็นเจ้าเมืองขอนแก่นคนแรก

          ท่านได้สร้างเมืองขอนแก่นที่บ้านบึงบอนตั้งแต่ ปี พ.ศ. ๒๓๓๒ ท่านเป็นเจ้าเมืองขอนแก่นที่บ้านบึงบอนเป็นเวลา ๒๒ ปี ก็ได้ถึงแก่กรรมที่บ้านบึงบอนนี้ 





          ตามที่ได้เคยกล่าวไปแล้วนะครับ ในมินามีเรื่องเล่าตอนหลวงพ่อพระลับว่า ท่านเพี้ยเมืองแพนหรือพระนครศรีบริรักษ์ บรมราชภักดีได้ตั้งเมืองขอนแก่นขึ้นที่บ้านบึงบอนแล้ว ก็ได้เริ่มสร้างวัดขึ้น ๔ วัด ตามแบบประเพณีโบราณ ดังนี้

          ๑. วัดเหนือ อยู่ทางต้นน้ำ (แม่น้ำชี) สำหรับเป็นสถานที่ชุมนุมทำบุญของประชาชนทั่วไป ปัจจุบัน คือวัดหนองแวง พระอารามหลวง

          ๒. วัดกลาง อยู่กึ่งกลางระหว่างวัดเหนือกับวัดใต้ สำหรับเป็นที่ชุมนุมทำบุญของ ขุนนางและข้าราชการ ปัจจุบัน คือวัดกลาง

          ๓. วัดใต้ อยู่ใกล้ตัวเมือง หรืออยู่ทางใต้ของสายน้ำ สำหรับเป็นที่ทำบุญของพ่อเมือง เป็นที่ประดิษฐานพระลับ ปัจจุบัน คือวัดธาตุ พระอารามหลวง

          ๔. วัดท่าแขก สำหรับพระภิกษุอาคันตุกะจากถิ่นอื่น มาพักและประกอบพุทธศาสนพิธี ปัจจุบัน คือวัดโพธิ์ บ้านโนนทัน





เรามารู้จักวัดเหนือ คือวัดหนองแวง กันนะครับ

วัดหนองแวง เดิมชื่อวัดเหนือ สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๓๒ พร้อมกับวัดกลางและวัดธาตุ โดยพระนครศรีบริรักษ์ (ท้าวเพี้ยเมืองแพน) เจ้าเมืองคนแรก ณ บ้านบึงบอน (บึงแก่นนคร)

          ที่วัดหนองแวงมีพระมหาธาตุแก่นนคร (พระธาตุเก้าชั้น)

ซึ่งเป็นศูนย์รวมแห่งบุญแห่งวัฒนธรรมอีสาน และเป็นศูนย์ตำนานของสาธุชน เป็นการสร้างกุศลแด่องค์พระศาสนา

          เมื่อมานมัสการพระมหาธาตุแก่นนคร คำถามแรกที่หลายท่านถามคือ ใครเป็นผู้สร้าง

          คำตอบคือ พระธรรมวิสุทธาจารย์ (คูณ ขนฺติโก ป.ธ.๔) อดีตเจ้าอาวาสวัดหนองแวง พระอารามหลวง

          พระธรรมวิสุทธาจารย์ (คูณ ขนฺติโก ป.ธ.๔) หรือที่พวกเรานิยมเรียกท่านว่าหลวงปู่คูณ ท่านได้ละสังขารอย่างสงบเมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๓ สิริอายุ ๙๑ ปี ๑๔ วัน ๗๑ พรรษา

          หลวงปู่คูณท่านเล่าให้พวกเราให้ฟังในหนังสือ ระลึกงานบำเพ็ญกุศลอายุวัฒนมงคล ๙๐ ปี พระธรรมวิสุทธาจารย์ (คูณ ขนฺติโก ป.ธ.๔) เกี่ยวกับพระมหาธาตุแก่นนคร ซึ่งผมขออนุญาตถ่ายทอดโดยสังเขปครับ

          ความคิดริเริ่มในการสร้างพระธาตุนั้นมีอยู่ในใจของหลวงปู่คูณเสมอมา

          เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๗ ท่านได้มีโอกาสเดินทางไปกรุงเทพฯ ได้พบเห็นวัดวาอารามต่างๆ ในกรุงเทพฯ มีพระเจดีย์ พระธาตุงามสง่า ทำให้ท่านเกิดความคิดว่า อุโบสถ วิหาร ลานพระเจดีย์ ไม้ศรีมหาโพธิ์ เป็นปูชนียวัตถุและปูชนียสถานประจำวัด ท่านจึงได้ตั้งสัจจะอธิษฐานเอาไว้ว่า ขอได้มีโอกาสสร้างพระธาตุตามสติปัญญาที่ท่านจะทำได้

          เดิมทีท่านคิดจะจำลองพระธาตุขามแก่นไว้ที่วัดหนองแวง ท่านจึงได้ขออนุญาตจากหลวงพ่อพระครูโศภิตบุณยสาร เจ้าอาวาสวัดพระธาตุขามแก่นในสมัยนั้น

          หลวงพ่อพระครูโศภิตบุณยสาร ให้ความเห็นว่า ถ้าให้จำลองพระธาตุขามแก่น ท่านไปคงจะไม่สบายใจ เพราะกลัวว่าต่อไปจะไม่มีคนมานมัสการพระธาตุขามแก่นองค์จริง จะมานมัสการแต่พระธาตุที่จำลองสร้างขึ้นใหม่เท่านั้น

          ต่อมาหลวงปู่คูณ ท่านได้เกิดนิมิตต่าง ๆ และได้เห็นภาพเจดีย์ทางเหนือ มีลักษณะเหมือนมณฑปเป็นชั้น ๆ ถึง ๙ ชั้น ท่านจึงมีความคิดว่า น่าจะเขียนแบบเจดีย์พระธาตุเก้าชั้นขึ้น โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อจะสร้างพระธาตุให้เสร็จเพื่อเป็นการฉลองพร้อมกับการครบรอบ ๒๐๐ ปีของเมืองขอนแก่นในปี พ.ศ. ๒๕๔๐

          พระธรรมวิสุทธาจารย์ (คูณ ขนฺติโก ป.ธ.๔) ท่านได้สรุปมูลเหตุในการก่อสร้างพระธาตุขามแก่นไว้ ๔ ประการ คือ

          ๑. สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (วาสน์ วาสโน) วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ได้ทรงประทานพระบรมสารีริกธาตุไว้ให้ตั้งแต่ ปี พ.ศ. ๒๕๒๒

          ๒. พระธรรมวิสุทธาจารย์ (คูณ ขนฺติโก ป.ธ.๔) เจ้าอาวาสวัดหนองแวง ท่านได้ตั้งปณิธานไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๗ และได้รับพระบรมสารีริกธาตุตามนิมิต จากประเทศพม่า ตั้งแต่วันที่ ๒๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๘

          ๓. สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺฒโน) วัดบวรนิเวศวิหาร ประทานปัจจัยบูชาพระธรรมเทศนาให้เป็นทุนเริ่มต้น ๑๘,๕๐๐ บาท ตั้งแต่วันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๘

          ๔. เมืองขอนแก่นมีอายุครบ ๒๐๐ ปี ในพ.ศ. ๒๕๔๐ และทางวัดก็มีที่ดินว่างอยู่ ๑๐ ไร่เศษ เหมาะสมในการก่อสร้างพระมหาธาตุ

          พระมหาธาตุแก่นนครสร้างสำเร็จลุล่วง วันที่ ๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๐

          ลักษณะของพระมหาธาตุฯ นั้น องค์พระธาตุมีอยู่ ๙ ชั้น ฐานพระธาตุฯ กว้าง ๕๐x๕๐ เมตร องค์พระมหาธาตุฯ กว้าง ๔๐x๔๐ เมตร ความสูงของพระมหาธาตุฯ สุดเนื้อปูน ๗๒ เมตรถึงยอดฉัตรพระมหาธาตุฯ ๘๐ เมตร พื้นที่ทั้งหมดในองค์พระมหาธาตุ ๗,๗๘๐ ตารางเมตร พระจุลธาตุ ๔ องค์ ตั้งอยู่สี่มุม มีกำแพงแก้วพญานาค ๗ เศียรล้อมรอบกว้าง ๗๒x๗๒ เมตร เป็นศิลปะสมัยทวารวดีหรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผสมผสานศิลปะอินโดจีน รูปทรงแบบชาวอีสานตากแห 

          ภายในองค์พระธาตุมีอยู่ ๙ ชั้นนะครับ เราสามารถเดินขึ้นไปครบทั้ง ๙ ชั้น สว. ระวังหัวเข่าหน่อยนะครับ

          ชั้นที่ ๑ เป็นหอประชุม มีพระบรมสารีริกธาตุประดิษฐานอยู่บนบุษบกและพระประธาน ๕ องค์ อยู่ตรงกลาง ๑ องค์ทางทิศใต้ ๒ องค์ ทางทิศเหนือ ๒ องค์ ต้นเสาเขียนลวดลายและมีจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เมืองขอนแก่น

          ชั้นที่ ๒ เป็นหอพักและเก็บของใช้ของชาวอีสาน

          ชั้นที่ ๓ เป็นหอปริยัติ รวมทั้งได้รวบรวมตาลปัตร พัดยศและเครื่องอัฐบริขารของพระภิกษุสงฆ์ที่มีชื่อเสียงในจังหวัดขอนแก่น

ชั้นที่ ๔ เป็นหอปริยัติธรรม ภายในมีพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมของเก่า

ชั้นที่ ๕ เป็นหอพิพิธภัณฑ์ มีบริขารของหลวงปู่พระครูปลัดบุษบา สุมโน อดีตเจ้าอาวาสรูปที่ ๖

          ชั้นที่ 6 เป็นหอพระอุปัชฌาย์ยาจาน

          ชั้นที่ ๗ เป็นหอพระอรหันตสาวก

ชั้นที ๘ เป็นหอพระธรรม ที่รวบรวมพระธรรมคัมภีร์สําคัญทางพระพุทธศาสนา

ชั้นที่ ๙ เป็นหอพระพุทธ ตรงกลางมีบุษบก เป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า

          ทุกชั้นมีบานประตูหน้าต่างแกะสลักนิทานหรือชาดกต่างๆ

ที่สำคัญคือผู้ที่ขึ้นไปยังชั้นต่างๆ สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของเมืองขอนแก่นได้ทุกองศา

          กล่าวกันว่า ใครๆ ที่มาเมืองขอนแก่น แล้วไม่มาไหว้พระมหาธาตุ แสดงว่ามาไม่ถึงหรือฮอดเมืองขอนแก่น

          ขอเชิญทุกท่านมานมัสการพระมหาธาตุแก่นนคร กันนะครับ

********************************* 





วันจันทร์, มิถุนายน 26, 2566

มินามีเรื่องเล่า ๒๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๖ มงคลสมัยฉลองพระชนมายุ ๘ รอบ ๙๖ พระชันษา ของสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก



๒๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๖ มงคลสมัยฉลองพระชนมายุ ๘ รอบ ๙๖ พระชันษา ของสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

 

ทีฆายุโก โหตุ วีสติมสงฺฆราชา ขอสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๒๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงเจริญพระชนมสุขยั่งยืนนาน

 

พระนามของพระองค์จารึกในพระสุพรรณบัฏ คือ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สุขุมธรรมวิธานธำรง สกลมหาสงฆปริณายก ตรีปิฎกธราจารย อัมพราภิธานสังฆวิสุต ปาพจนุตตมสาสนโสภณ กิตตินิรมลคุรุฐานียบัณฑิต วชิราลงกรณนริศรปสันนาภิสิตประกาศ วิสารทนาถธรรมทูตาภิวุฒ ทศมินทรสมมุติปฐมสกลคณาธิเบศร ปวิธเนตโยภาสวาสนวงศวิวัฒ พุทธบริษัทคารวสถาน วิบูลสีลสมาจารวัตรวิปัสสนสุนทร ชินวรมหามุนีวงศานุศิษฏ บวรธรรมบพิตร สมเด็จพระสังฆราช

 

ความหมายของพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏ มีดังนี้

 

สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ : สมเด็จผู้มีญาณสืบมาแต่วงศ์พระอริยเจ้า

สุขุมธรรมวิธานธำรง : ทรงเป็นผู้มีธรรมวิธีอันละเอียดอ่อน

สกลมหาสงฆปริณายก : ทรงเป็นผู้นำพระสงฆ์หมู่ใหญ่ทั้งปวง

ตรีปิฎกธราจารย : ทรงเป็นอาจารย์ผู้ทรงไว้ซึ่งพระปริยัติธรรม คือ พระไตรปิฎก

อัมพราภิธานสังฆวิสุต : ปรากฏพระนามฉายาในทางสงฆ์ว่า อมฺพโร

ปาพจนุตตมสาสนโสภณ : ทรงงดงามในพระศาสนาด้วยทรงพระปรีชากว้างขวางในพระอุดมปาพจน์คือพระธรรมวินัย

กิตตินิรมลคุรุฐานียบัณฑิต : ทรงดำรงพระเกียรติโดยปราศจากมลทิน และทรงเป็นครู

วชิราลงกรณนริศรปสันนาภิสิตประกาศ : สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาด้วยเหตุที่ทรงพระราชศรัทธาเลื่อมใส

วิสารทนาถธรรมทูตาภิวุฒ : ทรงเป็นที่พึ่งผู้แกล้วกล้าและมีพระปรีชาฉลาดเฉลียว ทรงเป็นผู้ยังความเจริญแก่กิจการพระธรรมทูต

ทศมินทรสมมุติปฐมสกลคณาธิเบศร : ทรงเป็นใหญ่ในสงฆ์ทั้งปวง (คือทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราช) พระองค์แรกที่ได้รับพระราชทานสถาปนสในรัชกาลที่ ๑๐

ปวิธเนตโยภาสวาสนวงศวิวัฒ : ทรงยังแสงสว่างแห่งแบบอย่างอันดีงามให้บังเกิด โดยเจริญรอยตามสมเด็จพระอุปัชฌายะคือสมเด็จพระสังฆราช (วาสนมหาเถร)

พุทธบริษัทคารวสถาน : ทรงเป็นที่ตั้งแห่งความเคารพของพุทธบริษัท

วิบูลสีลสมาจารวัตรวิปัสสนสุนทร : ทรงงดงามในพระวิปัสสนาธุระ ทรงพระศีลาจารวัตรอันไพบูลย์

ชินวรมหามุนีวงศานุศิษฏ : ทรงเป็นอนุศิษย์ผู้สืบวงศ์สมณะมาแต่พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า

บวรธรรมบพิตร : ทรงเป็นเจ้าผู้ประเสริฐในทางธรรม

สมเด็จพระสังฆราช : ทรงเป็นราชาแห่งหมู่สงฆ์

 

ที่มาของข้อมูล

สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (อมฺพรมหาเถร) สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๒๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ชัชพล ไชยพร

                     *******************



มินามีเรื่องเล่า ๒๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๖ ฉลองพระชนมายุ ๘ รอบ ทีฆายุโย โหตุ สังฆราชา Thai-English


                                    ที่มาของภาพ ในพระอุโบสถ วัดธาตุ พระอารามหลวง จ. ขอนแก่น

มินามีเรื่องเล่า ๒๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๖ ทีฆายุโย โหตุ สังฆราชา Thai-English

ด้วยวันนี้ วันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๖ เป็นโอกาสมงคลสมัยฉลองพระชนมายุ ๘ รอบของสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก วันนี้เป็นคล้ายวันประสูติของสมเด็จพระสังฆราช ที่ทรงเจริญพรรษายุกาลครบ ๘ รอบ ๙๖ ปี เกล้ากระหม่อม ขอน้อมถวายพระพรทีฆายุโก โหตุ สังฆราชา


ข้าพระพุทธเจ้าขอขอน้อมนำพระประวัติสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (อมฺพรมหาเถร) สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๒๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มาเสนอต่อพุทธศาสนิกชนทุกท่านครับ


สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก ทรงมีพระนามเดิมว่า “อัมพร ประสัตถพงศ์” ทรงเป็นบุตรชายคนโตในจำนวน ๙ คนของนายนับ กับนางตาล ประสัตถพงศ์ ประสูติที่บ้านตำบลบางป่า อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๐ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ครอบครัวของพระชนกชนนีของพระองค์เป็นชาวไทยเชื้อสายจีนที่ประกอบอาชีพค้าขาย


สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก ทรงพระอักษรชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนเทวานุเคราะห์กองบินน้อยที่ ๔ ตำบลโคกกระเทียม อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี


เมื่อทรงเรียนจบประถมศึกษาปีที่ ๑ ได้ไปศึกษาต่อ ณ โรงเรียนประชาบาลวัดพะเนินพูล ตำบลบางป่า อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี จนสำเร็จชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๐


พระองค์ทรงบรรพชาเป็นสามเณรเมื่อพระชันษา ๑๓ ปี ณ วัดสัตตนารถปริวัตร ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี


ครั้นเมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๑ ได้ทรงอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ มหาพัทธสีมาวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม แขวงวัดราชบพิธ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ทรงได้รับพระสมณฉายาว่า “อมฺพโร” มีสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (วาสนมหาเถร) สมเด็จพระสังฆราช ขณะนั้นทรงสมณศักดิ์ที่พระเทพโมลี เป็นสมเด็จพระอุปัชฌายะ และสมเด็จพระพุทธปาพจนบดี (จินฺตากรเถร) ขณะมีสมณศักดิ์ที่พระจินดากรมุนี เป็นพระกรรมาวาจารย์ ปี พ.ศ. ๒๔๙๑ ทรงสอบได้เปรียญธรรม ๕ ประโยค ปี พ.ศ. ๒๔๙๓ ทรงสอบได้เปรียญธรรม ๖ ประโยค


ทรงเข้าศึกษาในมหามกุฏราชวิทยาลัย สมเด็จพระสังฆราชทรงสมัครเข้าศึกษาในสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย (มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ในปัจจุบัน) เป็นนักศึกษารุ่นที่ ๕ สำเร็จปริญญา “ศาสนศาสตรบัณฑิต” เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐


ต่อมาใน พ.ศ. ๒๕๐๙ ได้ทรงเข้าอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศเป็นพระธรรมทูตรุ่นแรก นับได้ว่าทรงวางพระองค์เป็นพระภิกษุที่มั่นคงอยู่ในวิถีการศึกษาเล่าเรียนตามจารีตเดิม คือการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกธรรมและแผนกบาลี ผสานเข้ากับการศึกษาของพระภิกษุในสมัยใหม่ คือการเข้าศึกษาในรูปแบบมหาวิทยาลัยและเปิดโลกทัศน์การเผยแผ่สู่สากลด้วยการเป็นพระธรรมทูตยุคบุกเบิกได้อย่างลงตัว


สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายกทรงมีพระอัจฉริยภาพทางภาษา ทรงมีพระทัยใฝ่ศึกษาด้านภาษาศาสตร์ โปรดทรงเรียนพิเศษภาคปฏิบัติการสื่อสารภาษาอังกฤษกับพระอาจารย์ชาวต่างชาติเพิ่มเติม ทำให้ทรงสามารถตรัสภาษาอังกฤษด้วยสำเนียงอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว เป็นประโยชน์ต่อการเผยแผ่ธรรมไปสู่มหาชนทุกหมู่เหล่า


ในกาลต่อมาพระกิตติคุณได้ปรากฏเพิ่มพูนเป็นที่ประจักษ์ สภามหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยจึงมีมติถวายปริญญา “ศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาพุทธศาสตร์” เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๒ และสภามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัยมีมติถวายปริญญา “พุทธศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์สาขาวิชาธรรมนิเทศ” เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๓ อีกด้วย


สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายกได้ทรงประทานพระคติธรรมไว้เป็นจำนวนมาก ขอน้อมนำพระคติธรรมที่พระองค์ได้ประทานไว้มานำเสนอในที่นี้นะครับ


“สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสั่งสอนสรรพสัตว์ทั้งหลายให้เจริญในบุญกิริยาวัตถุ มีทาน คือการให้เป็นอาทิ ทรงปรารภสุขแห่งการให้ว่า “สุขสฺส ทาตา เมธาวี สุขํ โสอธิคจฺฉติ” ความว่า “ปราชญ์ผู้ให้ความสุข ย่อมได้รับความสุข”


ข้อมูลประกอบการเล่าเรื่อง

สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (อมฺพรมหาเถร) สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๒๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ชัชพล ไชยพร

 ************

Mina Stories: The Eighth Cycle Birthday of His Holinesss the Supreme Patriarch on June 26.

Long Live Our Supreme Patriarch.


Today is the special day for all Buddhists in Thailand. The 26th of June 2023 will mark the Holiness’s 96th birthday of our Supreme Patriarch, Somdet Phra Ariyavongsagatanana (Amborn Ambaro). This special day will also mark His Holiness’s eighth cycle birthday. One cycle is equivalent to 12 years on the Thai calendar.


We would like to express our best wishes to Somdet Phra Ariyavongsagatanana (Amborn Ambaro) on this auspicious day. Long Live Our Supreme Patriarch.


Somdet Phra Ariyavongsagatan̄ana (Amborn Ambaro), the XXth Supreme Patriarch of Rattanakosin Kingdom, was born on Sunday, June 26, 1927, in Bang Pa Sub-district (บ้านตำบลบางป่า), Mueang Ratchaburi District (อำเภอเมืองราชบุรี), Ratchaburi Province (จังหวัดราชบุรี). He is the eldest son of Mr. Nub (นายนับ) and Mrs. Tan Prasattapong (นางตาล ประสัตถพงศ์).  His parents have 9 children.


The Supreme Patriarch began his elementary education at Devanukraw Kongbin Noy 4th School (เทวานุเคราะห์ กองบินน้อยที่ ๔), Kok Katiem Sub-distric (ตำบลโคกกระเทียม), Mueang Lopburi District (อำเภอเมืองลพบุรี), Lopburi Province (จังหวัดลพบุรี). Then he furthered his studies in Prachaban Wat Phanoenpoon (ประชาบาลวัดพเนินพูล), Bang Pa Sub-district (ตำบลบางป่า), Mueang Ratchaburi District (อำเภอเมืองราชบุรี), Ratchaburi Province (จังหวัดราชบุรี).


The Supreme Patriarch was ordained a novice at the age of thirteen at Wat Sattanatpariwattra (วัดสัตตนารถปริวัตร) in Ratchaburi. On May 9, 1948, he was ordained a monk at Wat Ratchabopit (วัดราชบพิตร), in Bangkok. His bhikkhu’s name is Ambaro (อมพโร).


The Supreme Patriarch applied for studying in Mahamakut Buddhist University. He graduated and received the Bachelor of Arts (Buddhist Studies) in 1957.


In 1966, the Supreme Patriarch applied for the training courses of Dhammaduta (ธรรมทูต), Buddhist Missionary Monks. He was a member of the first class of Dhammaduta, known as the pilot Dhammaduta (พระธรรมทูตรุ่นบุกเบิก).


The Supreme Patriarch gave us an example of a monk who not only studied traditional areas of Dhamma and Pali studies, but also integrated successfully into modern education university systems. This helped him to work as Dhammaduta who disseminated Dhamma to people in the world.


The Supreme Patriarch marks his genius in languages. He is interested in linguistics. He studied English with foreigner teachers. His ability to communicate accurately and fluently in English helped him to disseminate Dhamma to foreigners.


His work of Dhamma dissemination was acknowleged by the public. In 2009, the Council of Mahamakut Buddhist University granted him an honorary doctorate in Buddhist Studies. In 2010, the Council of Mahachulalongkornrajavidyalaya University granted our Supreme Patriarch an honorary doctorate in Dhamma Communication.


On this auspicious day, major events will be held to celebrate the 8th Cycle Birthday Anniversary of the Supreme Patriarch. We will join the celebrating events which will be broadcast live on national television on June 26. We always recognize His Holiness’s great virtue.  
********************

มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French

  มินามีเรื่องเล่า กรมหลวงพิพิธมนตรี พระพันวัสสาน้อย Thai-English-French กรมหลวงพิพิธมนตรี (พระพันวัสสาน้อย) เป็นพระอัครมเหสีน้อยของสมเด็จพ...