มินามีเรื่องเล่า สงครามยุทธหัตถี Thai-English-French
วันที่ ๒๕ เมษายนเป็นวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
วีรกษัตริย์ผู้กอบกู้ชาติไทย
ขอเล่าเรื่องสงครามยุทธหัตถีระหว่างพระนเรศวรมหาราชกับพระมหาอุปราชาแห่งพม่า
และขอเชิญชวนท่านไปสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ซึ่งเป็นพระรูปสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงรประทับบนคชาธาร มีพระแสงดาบพาดพระเพลา
มีนายควานช้างและท้ายช้างประกอบพระบรมราชานุสาวรีย์นี้ตั้งอยู่ที่บ้านดอนเจดีย์
ตำบลดอนเจดีย์ อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี
ขอเล่าสงครามยุทธหัตถีนะครับ
ในปี พ.ศ. ๒๑๓๕ พระเจ้านันทบุเรงได้โปรดให้พระมหาอุปราชา
นำกองทัพมีทหาร ๒๔๐,๐๐๐ คน มาตีกรุงศรีอยุธยา
โดยยกเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์ ผ่านสถานที่ต่าง ๆ ได้แก่ ทุ่งลาดหญ้า เขาชนไก่
เมืองกาญจนบุรีเก่า (ท่าเสา) ปากแพรก และข้ามลำน้ำทวน
เมื่อกองทัพมาถึงบริเวณใกล้ลำน้ำทวนนี้
ได้เกิดพายุหมุนเป็นกงจักรที่เรียกว่า ลมเวรัมภา ลมพัดจนทำให้มหาเศวตฉัตร
(ฉัตรเก้าชั้น) ของพระมหาอุปราชาหักลง พระองค์จึงได้พักทัพอยู่ที่บริเวณต้นข่อย
โดยอาศัยน้ำจากลำน้ำทวน (ลำน้ำจระเข้สามพัน) เพื่อให้เหล่าทหาร ช้าง ม้า
ได้ใช้อุปโภคบริโภค
สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงทราบข่าวว่าพม่ายกทัพเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์
จึงทรงนำทหาร ๑๐๐, ๐๐๐ คน ออกจากกรุงศรีอยุธยา ทัพของพระองค์ผ่านสถานที่ต่าง ๆ ได้แก่ ป่าโมก
สุพรรณบุรี อู่ทองและข้ามลำน้ำทวน (ลำน้ำจระเข้สามพัน) ผ่านตำบลตะพังตรุและพักทัพที่ตำบลหนองสาหร่าย
(บริเวณสระพลายงาม)
เช้าตรู่ของวันแรม ๒ ค่ำ เดือนยี่
ปีมะโรง สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงรับสั่งให้เจ้าพระยาศรีไสณรงค์
นำทหารออกลาดตระเวน และได้เกิดการปะทะกับทหารพม่าที่ท้ายโคกเผาข้าว (สันนิษฐานว่า
โคกเผาข้าว น่าจะมาจากคำว่า ปลักเขว้า)
พื้นที่ท้ายโคกเผาข้าวจะอยู่บริเวณบ้านหนองขุยในปัจจุบัน
หรือหนองคุยที่ทหารของเจ้าพระยาศรีไสณรงค์มาพักพูดคุยกันและเกิดปะทะกับทหารพม่าตรงบริเวณนี้
สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงได้ยินเสียงปืน
จึงมีรับสั่งให้จมื่นทิพเสนาเอาม้าเร็วออกไปตรวจดู ก็รู้ว่าทหารของเจ้าพระยาศรีไสณรงค์ที่ออกไปเกิดตะลุมบอนกับข้าศึก
เจ้าพระยาศรีไสณรงค์ได้กลับมากราบทูลว่า
กองทัพพม่ายกมาครั้งนี้ ไหลมาราวกับน้ำป่า เห็นจะต้านทานไม่ไหวสุดที่จะต้านทานได้
ด้วยพระปรีซาอันกล้าหาญของพระองค์
สมเด็จพระนเรศวรฯ ทรงรับสั่งให้จัดเตรียมกองทัพเข้าโจมตีกองทัพพม่าทันที
สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงช้างชื่อ
เจ้าพระยาไชยานุภาพ สมเด็จพระเอกาทศรถทรงช้างชื่อเจ้าพระยาปราบไตรจักร
ทั้งสองพระองค์ได้กรีทาทัพเข้าตีกองทัพพม่า
เจ้าพระยาไซยานุภาพเป็นช้างตกมัน
เมื่อได้กลิ่นน้ำมันคชสารของข้าศึกก็ได้วิ่งไปโดยสุดกำลัง
เหล่าทหารไทยวิ่งไส่ตามไปไม่ทัน ช้างทรงของพระนเรศวรฯ
และของพระเอกาทศรถวิ่งเข้าไปในกองทัพของพม่า เกิดฝุ่นตลบมืดไปทั่ว
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ไม่สามารถทอดพระเนตรเห็นพระมหาอุปราชา พระองค์จึงได้ประกาศแก่เทพดาทั้งปวงว่า
"ให้บังเกิดมาในประยูรมหาเศวตฉัตร จะให้บำรุงพระพุทธศาสนา
ไฉนจึงมิช่วยให้สว่างแลเห็นข้าศึกเล่า"
เมื่อพระองค์ตรัสจบท้องฟ้าก็สว่าง
ทำให้ทอดพระเนตรเห็นข้าศึก เมื่อพระองค์เหลือบไปทางขวาพระหัตถ์
ก็เห็นช้างเศวตฉัตรช้างหนึ่งยืนอยู่ มีเครื่องสูงและทหารหน้าช้างมาก
พระองค์แน่พระทัยว่าเป็นช้างของพระมหาอุปราชา
สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถทรงขับพระคชสารตรงเข้าไปหากลุ่มช้างฝ่ายข้าศึก
สมเด็จพระนเรศวรฯ ทรงตรัสกับพระมหาอุปราชาด้วยพระสุรเสียงอันดังว่า
"พระเจ้าพี่เราจะยืนอยู่ไยในร่มไม้เล่า
เชิญออกมาทำยุทธหัตถีด้วยกันให้เป็นเกียรติยศไว้ในแผ่นดินเถิด
ภายหน้าไปไม่มีกษัตริย์ที่จะได้ทำยุทธหัตถีแล้ว"
เมื่อพระมหาอุปราชาทรงได้ฟังดังนั้นก็ละอายพระทัย
มีขัตติยราชมานะ ก็บ่ายพระคชสารออกมารบ
เจ้าพระยาไชยานุภาพเป็นช้างที่ตกมันได้วิ่งมาในระยะทางที่ไกล
ทำให้พละกำลังนั้นถดถอยและได้ต่อสู้กับเจ้าพลายพัทธกอช้างของพระมหาอุปราชา
เจ้าพระยาไชยานุภาพถูกเจ้าพลายพัทธกอใช้งางัดให้เท้าหน้าลอยขึ้น
ทำให้สมเด็จพระนเรศวรฯ เสียหลักจึงถูกพระมหาอุปราชาฟันด้วยของ้าว สมเด็จพระนเรศวรฯ
ทรงหลบทัน จึงถูกพระมาลาขาด
เจ้าพระยาไชยานุภาพได้ถอยร่นไปจนเท้าหลังไปยันกับต้นพุทรา
ทำให้มีกำลังจึงงัดเจ้าพลายพัทธกอให้เท้าหน้าลอยขึ้น
เป็นโอกาสที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้ใช้ของ้าวฟันพระมหาอุปราชาสิ้นพระชนม์บนคอช้าง
ส่วนสมเด็จพระเอกทศรถได้ฆ่าเจ้าเมืองจาปะโรเสียชีวิต
และกองทัพไทยได้มาทันพอดึ จึงได้ไล่ฆ่าทหารพม่าไปถึงเมืองกาญจนบุรีเก่า
ฆ่าทหารพม่าตายไป ๒๐,๐๐๐ เศษ จับช้างใหญ่สูง ๖ ศอก ได้ ๓๐๐
เชือก ช้างพลายพังได้ ๕๐๐ เชือก ม้าอีก ๒,๐๐๐ เศษ
และจับเจ้าเมืองมะล่วนได้พร้อมทั้งให้ไปแจ้งข่าวกับเจ้าเมืองหงสาวดีได้ทรงทราบ
ทุกวันแรมสองค่ำเดือนยี่ของทุกปี ตรงกับวันชนะศึกในสงครามยุทธหัตถี ชาวจังหวัดกาญจนบุรีได้ร่วมกันทำพิธีบวงสรวงและทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศบให้กับสมเด็จพระนเรศวรมหาราชและนักรบโบราณ ที่ได้สละเลือดเนื้อและชีวิตเพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไทยให้คงอยู่มาจนถึงปัจจุบันนี้
ข้อมูลประกอบการเล่าเรื่อง
ชุมพล คชายุทธ. ๒๕๖๒. สรุปประวัติความเป็นมาเจดีย์ยุทธหัตถึบ้านดอนเจดีย์และพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ตำบลดอนเจดีย์ อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี. กรุงเทพฯ: หจก.แอลซีพี
ฐิติพรการพิมพ์, หน้า ๗-๑๐.
...................
The Great Fighting of Elephant’s Back of
Somdet Phra Naresuan the Great
The anniversary of the death of King
Naresuan the Great falls on April 25th. I would like to tell you
about his heroic performance, the Great Fighting on Elephant’s Back.
In 1592, King Nandhabureng ordered the
Great Viceroy to take the troops of 240,000 men to destroy Ayutthaya. The
Burmese troops marched through the Chedi Sam Ong of Kanchanaburi. King Naresuan
and his brother, Phra Ekathotsarot led the siamese troops of about 100 ,000 men
to stop the enemy’s troops at Phanom Thuan, Kanchanaburi. There was a great
battle.
In the battle, King Naresuan made the
great heroic performance by fighting on elephant’s back against the Great
Viceroy and hacked him to death on his elephant’s back.
The Burmese troops were defeated and
had to withdraw all the troops back to Pegu. King Naresuan ordered to have the
Great Stupa built as a remembrance of the historic battle at Don Chedi.
………………………………………………………..
La combat sur le dos d’éléphant du roi
Naresuan le Grand
L'anniversaire de la mort du roi
Naresuan le Grand tombe le 25 avril. Je voudrais vous parler de sa performance
héroïque lors du Grand combat à dos d'éléphant.
L’événement s’est passé en 1592. Le roi
birman Nandhabureng a ordonné à son frère, le Grand vice-roi de diriger les
troupes de 240 000 hommes pour détruire la ville d’Ayutthaya.
Les troupes birmanes ont pénétré en
territoire d’Ayutthaya par le chemin de Chedi Sam Ong de Kanchanaburi.
Le roi Naresuan et son frère Phra
Ekathotsarot ont dirigé les troupes siamoises d'environ 100 000 hommes pour
empêcher les troupes birmanes de s’approcher d’Ayutthaya.
Les troupes birmanes se sont installées
à Nong Sa Rai. Il y a eu une grande bataille.
Dans la bataille, le roi Naresuan a
fait la grande performance héroïque en se battant à dos d'éléphant contre le
Grand vice-roi et l'a tué sur le dos de son éléphant. Les troupes birmanes ont
été vaincues et ont dû se retirer à Pegu.
Le roi Naresuan a ordonné la
construction du Grand Stupa (Don Chedi) en souvenir de la bataille historique.
........

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น