มินามีเรื่องเล่า หลวงพ่อพระใส
วัดโพธิ์ชัย พระอารามหลวง จังหวัดหนองคาย ตอนที่ ๑
สวัสดีครับ วันนี้ขอเล่าความเป็นมาของวัดโพธิ์ชัย
พระอารามหลวง จังหวัดหนองคาย และหลวงพ่อพระใส พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของชาวอีสานนะครับ
โดยขอนำการสนทนาของพระคุณเจ้า ๒ รูป มานำเสนอครับ
เมื่อวันจันทร์ที่
๒๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ พระครูธรรมาพิสมัย ผศ.ดร. ผู้อำนวยการศูนย์บริการวิชาการ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
วิทยาเขตอีสาน ได้ไปปฏิบ้ติศาสนกิจที่จังหวัดหนองคาย
ท่านได้มีโอกาสเข้ากราบนมัสการพระเดชพระคุณพระราชรัตนาลงกรณ์
เจ้าคณะจังหวัดหนองคาย วัดโพธิ์ชัย พระอารามหลวง
ในโอกาสนี้
พระครูธรรมาภิสมัยได้สนทนากับพระมหาจงยุทธ กิตฺติยุตฺโต เปรียญธรรม 9
ประโยค
เลขานุการเจ้าคณะจังหวัดหนองคาย วัดโพธิ์ชัย พระอารามหลวง มีการถ่ายทอดสดการสนทนาในครั้งนี้ทาง
Youtube ในรายการไอดินกลิ่นธรรม
หัวเรื่องในการสนทนาเกี่ยวข้องกับประวัติและความเป็นมาของวัดโพธิ์ชัยและหลวงพ่อพระใส
ณ วัดโพธิ์ชัย พระอารามหลวง
เนื้อความในการสนทนามีดังนี้ครับ
พระครูธรรมาภิสมัย:
พระพุทธองค์ตรัสว่าอย่างประมาท
ชีวิตใช่จะวาดตามปรารถนา ประพฤติตนตามหลักธรรมพระสัมมา ชีวิตจะมีค่าตลอดไป ครับถวายความเคารพท่านอาจารย์พระมหาจงยุทธ
กิตฺติยุตฺโต เปรียญธรรม 9 ประโยค
ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโพธิ์ชัย และก็เป็นเลขานุการเจ้าคณะจังหวัดหนองคาย วันนี้อาตมาได้มานั่งอยู่ในวิหารหรือว่าในอุโบสถซึ่งมีหลวงพ่อพระใส
ซึ่งประดิษฐานอยู่นะตรงนี้ มาพูดคุยกับท่านผู้ช่วยเจ้าอาวาสท่านพระมหาจงยุทธ ท่านอาจารย์ครับ
อันดับแรกครับวันนี้มีญาติโยมเข้ามารับชมจำนวนมาก
พระมหาจงยุทธ: ครับ
พระครูธรรมาภิสมัย:
ก็ขอให้ญาติโยมที่ชมวันนี้กด like กด share ให้ญาติโยมได้ฟัง
หลายๆ คนได้เคยมากราบหลวงพ่อพระใสแล้ว แต่หลายๆ
คนยังไม่รู้จักความเป็นมา และหลายๆ คนไม่รู้จักว่าวัดโพธิ์ชัยแห่งนี้มีชื่ออยู่หลายชื่อก่อนจะมาถึงวัดโพธิ์ชัย
อันดับแรกขอนิมนต์ท่านอาจารย์จงยุทธได้พูดถึงในประเด็นเรื่องของวัดโพธิ์ชัย ความเป็นมาเป็นอย่างไรบ้างครับ
พระมหาจงยุทธ: ครับผม สำหรับวัดโพธิ์ชัยพระอารามหลวงนี้ เป็นวัดสำคัญเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดหนองคาย
ซึ่งมีประวัติยาวนานมาตั้งแต่สมัยอาณาจักรล้านช้างสืบต่อต่อเนื่องเรื่อยมา จนกระทั่งถึงยุคปัจจุบันซึ่งมีชื่อที่สืบทราบอยู่หลายชื่อด้วยกัน
ก็มีชื่อหนึ่งเรียกว่า “วัดผีผิว” ซึ่งสันนิษฐานว่าแต่เดิมทีนั้นสถานที่ตรงนี้น่าจะเป็นที่ที่มีต้นไผ่เยอะ
ทีนี้คนเดินผ่านไปผ่านมา ก็เลยได้ยินเสียงลมพัดไผ่
พระครูธรรมาภิสมัย:
ลมพัดไผ่
พระมหาจงยุทธ: ครับ
ก็เลยทำเสียงโหวกเหวกวิโหวงเหวง ก็เลยคิดว่าน่าจะเป็นเสียงของอมนุษย์ภูตผีที่มาร้องโหยหวน
หรือว่ามาผิวปากใส่
พระครูธรรมาภิสมัย:
ท่านอาจารย์จงยุทธครับ เดิมแรกวัดนี้มีชื่อว่าวัดผีผิว
พระมหาจงยุทธ: ครับผม
พระครูธรรมาภิสมัย:
ผีก็คือ...
พระมหาจงยุทธ: ผีก็คือ ข้อสันนิษฐานก็คือว่าสิ่งที่มองไม่เห็นว่า
ก็คือเสียงลมกระทบใบไผ่ยอดไผ่นะครับ
พระครูธรรมาภิสมัย:
อืม...
พระมหาจงยุทธ: มีเสียงดังก็เลยชื่อว่าวัดผีผิว
พระครูธรรมาภิสมัย:
นี่คือ แม้แต่วันนี้ผมก็เพิ่งรู้จักนะครับว่า
วัดแห่งนี้ถือว่าครั้งแรกชื่อว่าวัดผีผิว มีกอไผ่เยอะ คนผ่านไปผ่านมาได้ยินเสียงนึกว่าผี
เสียงวี้ดคล้ายๆ ว่าลมพัดไผ่นะ
พระมหาจงยุทธ: ครับเสียงลมพัดไผ่ครับผม
พระครูธรรมาภิสมัย:
นี่คือชื่อของวัดโพธิ์ชัย
พระมหาจงยุทธ: ชื่อแรกครับ ชื่อแรกเท่าที่สืบทราบก็ก็ยังไม่มีข้อสันนิษฐานที่แน่นอน
แต่ว่านี้เป็นข้อมูล
พระครูธรรมาภิสมัย:
เป็นข้อมูลที่ปรากฏ แล้วหลังจากชื่อวัดผีผิวแล้วก็มาชื่อวัดโพธิ์ชัยเลยหรือเปล่าครับ
พระมหาจงยุทธ: ก็เลยมาเปลี่ยนเป็นวัดโพธิ์ชัยก็ด้วยเหตุว่ามีต้นโพธิ์ขึ้นอยู่ในพระอารามนี้เยอะ
พระครูธรรมาภิสมัย:
อืม...
พระมหาจงยุทธ: ปัจจุบันนี้ก็ยังปรากฏอยู่ครับ
ยังปรากฏอยู่ ก็เลยได้ชื่อว่าวัดโพธิ์ชัย ต่อมาในปีพุทธศักราช ๒๕๒๔ ก็ได้รับการยกขึ้นเป็นพระอารามหลวงชั้นตรี
ชนิดสามัญ
พระครูธรรมาภิสมัย:
อ๋อครับ
พระมหาจงยุทธ: เป็นพระอารามหลวง
พระครูธรรมาภิสมัย:
เป็นอารามหลวง ท่านอาจารย์ครับ วัดโพธิ์ชัยนี้ใครที่มาที่จังหวัดหนองคาย
ผมเชื่อว่าได้มากราบหลวงพ่อพระใสอย่างแน่นอน
มาถึงจังหวัดหนองคายแล้วนี้ ถ้าไม่ได้มากราบหลวงพ่อพระใส ซึ่งเป็นหลวงพ่อที่ทั้งประเทศลาวและประเทศไทย
หรือว่าแม้แต่ชาวต่างชาติ ก็เป็นที่รัจักและก็มากราบสักการะบูชา ดังนั้นวันนี้อยากจะกราบเรียนถามท่านอาจารย์จงยุทธว่า
พระมหาจงยุทธ: ครับ
พระครูธรรมาภิสมัย:
ให้พูดถึงความสำคัญและประวัติความเป็นมาของหลวงพ่อพระใสให้ญาติโยมที่ติดตามรับชมรายการได้ฟัง
ครับผมขอนิมนต์ท่านอาจารย์ครับผม
พระมหาจงยุทธ: ครับ
ประวัติหลวงพ่อพระใสนั้น หลวงพ่อพระใสนั้นเป็นพระพุทธรูปศิลปะล้านช้าง เรียกว่าเป็นพระพุทธรูปทองคำโบราณ
ซึ่งทองโบราณเขาเรียกว่าทองลูกบวบ หล่อขึ้นในสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช โดยพระราชธิดาสุก
พระราชธิดาเสริมแล้วก็พระราชธิดาใส ซึ่งในสมัยนั้นตามความเชื่อของคนโบราณนะครับว่า
การสร้างพระพุทธรูปก็คือการสร้างเจดีย์ ในบรรดาเจดีย์ทั้ง ๔ อย่าง ก็คือพระพุทธรูป
เพราะว่าต้องเข้าใจคำนี้ก่อนว่า คำว่า “เจดีย์” ก็คือสิ่งที่คนทั้งหลายให้ความเคารพยำเกรง
แม้แต่เทวดาอารักษ์ทั้งหลายทั้งปวงให้ความเคารพยำเกรง เคารพนับถือ กราบไหว้
แล้วก็จะมีคำจารึกบางที่ที่ปรากฏที่กระผมเคยเห็นว่า นิพานะ ปัจจะโย โหตุ
ก็คือ ขอการสร้างนี้จงเป็นอุปถัมป์พร้อมกับปัจจัยทำให้ถึงนิพาน
พระครูธรรมาภิสมัย:
นี่คือความมุ่งมาดปรารถนาของผู้สร้าง
พระมหาจงยุทธ: นี่คือความมุ่งมาดปรารถนาทุกยุคทุกสมัยที่
ตามความเชื่อหรือว่าตามวัฒนธรรมประเพณีของล้านช้าง ซึ่งมีความเคารพนับถือในพระพุทธศาสนา
เมื่อพระราชธิดาทั้งสามพระองค์เจริญวัยขึ้นก็มีความเลื่อมใสในทางพระพุทธศาสนา
ก็เลยทูลขอพรพระจากพระบิดาว่า มีความประสงค์ที่จะสร้างถาวรวัตถุในพระพุทธศาสนา
ก็คือสร้าง...
พระครูธรรมาภิสมัย:
สร้างพระ
พระมหาจงยุทธ: สร้างพระ ตามตำนานว่าไว้ว่า
การที่จะสร้างพระพุทธรูปนั้นก็ต้องมีวัตถุที่สำคัญก็คือทองคำ
พระครูธรรมาภิสมัย:
อ๋อ...
พระมหาจงยุทธ: ซึ่งในสมัยนั้น ก็ด้วยความเป็นเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ พระองค์ก็ได้สละพระราชทรัพย์อันเป็นส่วนของพระองค์แต่ละพระองค์นั้นมาสร้าง
แล้วก็ให้ช่างหลวงนะครับ ซึ่งมีความชำนิชำนาญในการปั้น
พระครูธรรมาภิสมัย:
ปั้นพระนี้นะ
พระมหาจงยุทธ: ปั้นพระครับ จะสังเกตได้ว่า
หลวงพ่อพระเสริมที่ปรากฏอยู่ ณ ปัจจุบันนี้นะครับ กับหลวงพ่อพระใสนี้
พระพักตร์จะไม่เหมือนกัน นะครับ นั่นก็เป็นเหตุให้คิดต่อไปว่า หลวงพ่อพระสุกก็จะต้องไม่เหมือนกับหลวงพ่อพระเสริมและหลวงพ่อพระใส
พระครูธรรมาภิสมัย:
อันนี้ อันนี้ใช้คนปั้นเลยใช่ไหมครับผม
พระมหาจงยุทธ: ครับใช้คนปั้นขึ้น หล่อขึ้น พิมพ์นะครับ
โดยการใช้ขี้ผึ้ง แล้วก็การปั้นแบบโบราณนี้คือการหล่อ การปั้นก็แยกออกหลายๆ ส่วนนะครับ
ทีนี้เมื่อขึ้นรูปขึ้นหุ่นเสร็จแล้ว ก็มีการหล่อพระนะครับ ก็มีเหตุอัศจรรย์อยู่ว่า
ในขณะที่หล่อพระนี่ หล่ออยู่ที่วัด หล่อทองคำนี่ตั้ง ๗ วัน
พระครูธรรมาภิสมัย:
อืม...
พระมหาจงยุทธ: หลอมทองคำอยู่ตั้ง
๗ วัน ทองไม่ละลายครับผม
พระครูธรรมาภิสมัย:
ทองไม่ละลายเป็นเพราะว่า...
พระมหาจงยุทธ: ก็น่าจะเป็นเพราะว่าเทวฤทธิ์บันดาล
น่าจะคิดเป็นอย่างอื่นก็คงจะไม่ ไม่สมบูรณ์แบบเท่าไร น่าจะไม่ตอบโจทย์ได้มากนัก
พระครูธรรมาภิสมัย:
ท่านพระอาจารย์ครับ หลวงพ่อพระพระสุก
พระเสริม พระใส หล่อในคราวเดียวกันไหม
พระมหาจงยุทธ: หล่อในคราวเดียวกันครับ
พระครูธรรมาภิสมัย:
แล้วที่ท่านอาจารย์ได้พูดเมื่อสักครู่นี้ผมก็
ก็ได้ฟัง ที่ว่ามีลูกของพระมหากษัตริย์ พระราชธิดา ชื่อว่าพระราชธิดาสุก
พระมหาจงยุทธ: พระราชธิดาสุก เสริมและก็ใส
พระครูธรรมาภิสมัย:
นี่เป็นมูลเหตุอันหนึ่ง ซึ่งผมจะได้ถามต่อ
แต่ว่าเมื่อกี้ท่านอาจารย์พูดถึงการหล่ออยู่นะ
พระมหาจงยุทธ: ครับผม
พระครูธรรมาภิสมัย:
แล้วก็ถามต่อ เอะ ทำไมชื่อพระไปเหมือนกับชื่อของลูกสาวของพระมหากษัตริย์
นี่ก็สำคัญเหมือนกันนะ
พระมหาจงยุทธ: ครับ มีความสำคัญครับ แม้แต่ในยุคปัจจุบันนี่ก็ไม่ต่างกัน
เช่น คนไหน สถานที่ไหนสร้างพระ ก็ต้องการเอาชื่อของคนสร้างนั้น
เอาสถานที่นั้นเป็นชื่อของพระพุทธรูปองค์นั้น เช่น
ท่านอาจารย์พระครูธรรมาภิสมัยประสงค์ที่จะสร้างถาวรวัตถุในพระพุทธศาสนา
พระครูธรรมาภิสมัย:
อ๋อ
พระมหาจงยุทธ: ก็จะเอาชื่อราชทินนามนี้ไปเข้าสมาสกันกับชื่อของพระพุทธรูป
เช่น พระพุทธธรรมาภิสมัย อย่างนี้เป็นต้นนะครับ ฉะนั้นแล้วความเชื่อของคนโบราณ ก็คือต้องการเอาชื่อของตนไปฝากไว้ในพระพุทธศาสนา
ให้มีชื่อปรากฏ ให้มียศฤาชา
พระครูธรรมาภิสมัย:
อ๋อ นี่เป็นกุศโลบายเรื่องของการทำความดี
พระมหาจงยุทธ: ภาษาพระเรียกว่าทำให้เป็นพุทธานุสสติ
พระครูธรรมมาภิสมัย:
อ๋อ พุทธานุสสติ
พระมหาจงยุทธ: ครับ
พระครูธรรมมาภิสมัย:
ระลึกถึงคุณงามความดีของพระพุทธเจ้าตลอดเวลา
พระมหาจงยุทธ: ครับ ระลึกถึงจนกระทั่งว่าไปถึงอาวัชชนะจิต
ก็คือจิตในขณะที่จะแตกดับ ก็จะได้เกิดจิตที่ ถ้าในภาษาอภิธรรมเขาเรียกว่า ชวนจิต
จิตที่วิ่งมาหาสิ่งที่ตนสร้าง ซึ่งเป็นบุญเป็นกุศลนี่ครับ เรียกว่า ในขณะที่ตนเองจะ...
พระครูธรรมมาภิสมัย: กำลังจะเสียชีวิต
พระมหาจงยุทธ: สิ้นชีวิต
หายใจเฮือกสุดท้าย ให้คิดถึงสิ่งที่เป็นความดี
นั่นก็คือพระพุทธรูปที่ตนเองสร้างไว้
พระครูธรรมาภิสมัย:
เขาบอกว่าคนที่วาระจิตสุดท้ายให้นึกถึงคุณงามความดี
ให้นึกถึงพุทธานุสติ ธรรมานุสติ สังฆานุสติ จะได้ไปสู่ภพที่ดี
พระมหาจงยุทธ: ครับผม สุคติปฏิกงฺขา ครับ
พระครูธรรมาภิสมัย:
อ๋อ
พระมหาจงยุทธ: ครับ เป็นอันหวังว่าจะต้องไปสู่สุขคติเป็นแน่แท้นะครับ
พระครูธรรมาภิสมัย:
อืม น่าอนุโมทนาเป็นอย่างยิ่งนะครับ วันนี้ได้ฟังประวัติ
แล้วก็นิมนต์ต่อนะครับท่านอาจารย์ ผมกำลังได้ฟังประวัติของหลวงพ่อพระใส
พระมหาจงยุทธ: ครับ ได้ครับ
คือในขณะที่หล่อนั้น ด้วยว่ากรรมวิธีโบราณนี่ไม่มีวิทยาการสมัยใหม่เข้าไปปะปนนะครับ
กระบวนการในการกระทำนั้นก็ต้องอาศัยแรงคนกับแรงลมธรรมชาติด้วย
อาศัยแรงคนในการหลอมด้วยนะครับ ทีนี้พยายามตลอดเวลาทองที่หล่อนั้นก็ไม่ละลาย
ต่อมาในวันที่ ๗ นั้นก็ ในเวลาจวนเพล เจ้าอธิการหรือว่าพระยาคู สมัยโบราณ พระยาคูหรือว่า
ผู้เป็นเจ้าอธิการ ผู้เป็นเจ้าอาวาสกับสามเณร ก็คิดว่าใกล้จะเพลแล้ว
ก็คิดว่าจะหยุดพัก ทีนี้ในขณะที่จะหยุดพักนั้นก็มีตาปะขาว
พระครูธรรมาภิสมัย:
ตาปะขาว
พระมหาจงยุทธ: คนที่ถือเพศนุ่งขาวห่มขาวนั่นล่ะครับ
มาขันอาสาว่า “เกล้ากระผมจะอาสาในการหลอมทองทั้งหมดทั้งปวงนี้ให้ละลายเอง
พระคุณท่านนิมนต์ไปฉันเพลเถิด” หลวงพ่อหรือท่านยาคูนั้นก็เชิญสามเณรขึ้นไปฉันเพล
ทีนี้หลังจากนั้นมา หลังจากฉันเพลเสร็จก็ลงมาดู
ปรากฏว่าทองได้เต็มทั้งสามเบ้าแล้วครับ
พระครูธรรมาภิสมัย:
แสดงว่าหลอมทองได้เลย
พระมหาจงยุทธ: ครับ
แล้วก็ยังมีคำถามต่อไปอีกว่า ท่านก็สงสัยต่อไป “เอ๊ะ
ตาปะขาวคนเดียวนี่สามารถหล่อทองคำให้เต็มหมดทั้งสามเบ้าได้หรืออย่างไร”
พระครูธรรมาภิสมัย:
อืม
พระมหาจงยุทธ: ญาติโยมที่มาเพลในภายหลังนี่ก็บอกว่า
ตาปะขาวนี้ไม่ใช่คนเดียว ตะปะขาวตั้งร้อยโน่นนะ
พระครูธรรมาภิสมัย:
ที่คนเห็นนี่นะ
พระมหาจงยุทธ: ครับผม
มาช่วยกันหล่อมาช่วยกันหลอมจนเทใส่เบ้าเต็มครบบริบูรณ์
พระครูธรรมาภิสมัย:
โอ๋ นี่เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์มาก
พระมหาจงยุทธ: ครับ
นี่เป็นเหตุอัศจรรย์ครั้งที่หนึ่ง
พระครูธรรมาภิสมัย:
ในการเริ่มต้นในการหล่อพระ
พระมหาจงยุทธ: ครับ
ในการหล่อหลวงพ่อพระใส ฉะนั้นแล้วพระพุทธรูปทั้งสามพระองค์นั้นจึงไม่มีที่ติ
ไม่มีที่ตำหนิใดๆ ทั้งสิ้น มองมุมไหน มองในลักษณะใดก็งดงามทั้งสิ้น
ไม่เป็นคำพูดที่เกินเลยว่าเทวดาสร้าง
พระครูธรรมาภิสมัย:
หลวงพ่อพระใสนี่นะ
พระมหาจงยุทธ: นี่ล่ะครับ
ที่เรียกว่าอัศจรรย์ หรือว่าอัจริยะ
พระครูธรรมาภิสมัย:
ท่านอาจารย์ครับตอนนี้มีญาติโยม
มีครูบาอาจารย์หลายๆ ท่านที่มาชมการไลฟ์สดอยู่ ณ ขณะนี้ อยู่ที่วัดโพธิ์ชัยนะครับ
พระมหาจงยุทธ: ครับ
พระครูธรรมาภิสมัย:
หลายๆ ท่านมากราบหลวงพ่อพระใสแล้ว
แต่ยังไม่รู้จักประวัติ การที่จะกราบสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แม้แต่จะกราบพระพุทธ พระธรรม
พระสงฆ์นี้นะครับ เราต้องรู้จักว่า พุทธคุณคืออะไร ธรรมคุณคืออะไร สังฆคุณคืออะไร
แล้วพอกราบแล้วมันทำให้เกิดศรัทธา ทำให้เกิดพลัง
พระมหาจงยุทธ: เกิดปิติครับผม
พระครูธรรมาภิสมัย:
เกิดปิติ
แล้วก็เหมือนกับที่เรามากราบหลวงพ่อพระใสนะครับอาจารย์ พอรู้ประวัติแล้ว
กว่าจะสร้างท่านมาใด้นะครับ เจ็ดวันเจ็ดคืนหลอมทองไม่ได้ จนมีเทวดา พูดง่ายๆ ว่าเทวดามาช่วยหลอมให้
พระมหาจงยุทธ: เทวดามาบันดาลฤทธิ์ช่วยครับ
พระครูธรรมาภิสมัย:
นี่มาถึงหลอมทองแล้ว ต่อไปเป็นอย่างไร
ท่านอาจารย์ครับ ต่อจากนี้เป็นองค์พระได้อย่างไรบ้าง
พระมหาจงยุทธ: ครับองค์พระก็คือ หลังจากพิมพ์
แกะเบ้าออกมาแล้วก็กลายเป็นพระพุทธรูปทองคำตั้งชื่อในสมัยนั้น ใครเห็นก็อยากกราบ
ใครทราบก็อยากไหว้ กิตติศัพท์ก็ขจรขจายมาจนถึงราชสีมาเขตประเทศไทยนี้
ก็เลยต้องได้ไปอัญเชิญ แม้ในขณะนั้นคนโบราณก็จะอัญเชิญท่านไปไว้ในป่า ตรงภูเขาควาย
ก็ยังต้อง ที่ไปเสาะแสวงหานั้นก็ยังต้องสืบข่าวว่าหลวงพ่อสามองค์นั้นไปอยู่ที่ไหน
พระครูธรรมาภิสมัย:
อ๋อ
พระมหาจงยุทธ: เมื่อได้ทราบข่าวแล้วก็ได้อัญเชิญหลวงพ่อพระใสมา
สมัยก่อนนี้นะครับ การคมนาคมไม่สะดวก การที่จะอัญเชิญหลวงพ่อทั้งสามองค์นั้นมาได้ก็ต้องอาศัยแพโดยการผูกไม้ไผ่เป็นแพลูกบวบอัญเชิญลงมาทางแม่น้ำงึม
พระครูธรรมาภิสมัย:
แม่น้ำงึม
พระมหาจงยุทธ: ครับ ล่องมาเรื่อย
ทีนี้องค์พี่ออกหน้า องค์รองอยู่กลาง องค์น้องอยู่สุดท้าย
พระครูธรรมาภิสมัย:
ใครเป็นพี่ครับ
พระมหาจงยุทธ: หลวงพ่อพระสุกนี้เป็นพี่
พระครูธรรมาภิสมัย:
หลวงพ่อพระสุกเป็นพี่ แล้วก็รอง...
พระมหาจงยุทธ: หลวงพ่อพระเสริมเป็นน้องรอง
พระครูธรรมาภิสมัย:
สุก เสริม และหลวงพ่อพระใส
พระมหาจงยุทธ: หลวงพ่อพระใสนี่เป็นน้องคนสุดท้อง
หลังจากล่องมาในระยะเวลาที่นับห่างไปจากฝั่งไทยก็ประมาณสัก
ถ้าเดาไม่ผิดก็ประมาณสัก ๑๐ กิโลเมตร
พระครูธรรมาภิสมัย:
อ๋อ ๑๐ กิโลเมตร
พระมหาจงยุทธ: ตรงนั้น
ปรากฏว่าตรงนั้นเป็นน้ำวน ถ้าภาษาอีสานหรือว่าภาษาประเทศเพื่อนบ้านเรียกว่า เวิน
พระครูธรรมาภิสมัย:
อ๋อ เป็นเวิน
พระมหาจงยุทธ: หรือเรียกว่า
เวิน ก็ได้ ด้วยว่าการผูกแพหรือว่าด้วยเหตุผลกลใด หรือว่าด้วยอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็สุดแท้แต่
แพนี่ก็วน แล้วก็แตกออกไป
พระครูธรรมาภิสมัย:
ตอนนี้อยู่แม่น้ำงึมกับแม่น้ำโขง
แม่น้ำงึมอยู่ตรงไหน
พระมหาจงยุทธ: ทีนี้แท่นของหลวงพ่อพระสุกนั้นก็แหวกแพ
จมลงไปในแม่น้ำงึม ตรงนั้นเขาก็เลยเรียกด้วย เขาเรียกว่า
เรียกตามเหตุตามปัจจัยเรียกว่า เวินแท่น
พระครูธรรมาภิสมัย:
เวินแท่นอยู่อำเภอใดในปัจจุบันนี้
พระมหาจงยุทธ: อยู่ในฝั่งของประเทศเพื่อนบ้าน
พระครูธรรมาภิสมัย:
เพื่อนบ้าน อ๋อ
พระมหาจงยุทธ: แล้วก็ล่องมาจนถึงปากแม่น้ำงึม
ซึ่งตรงข้ามกับวัดหนองกุ้ง ซึ่งอาจารย์พระครูเคยผ่าน
พระครูธรรมาภิสมัย:
เคยไป เคยไป แม่น้ำงึมจรดกับแม่น้ำโขง
พระมหาจงยุทธ: ด้วยว่าในสมัยนั้นเป็นช่วงที่มีฤดูน้ำหลาก
การที่จะถ่อแพให้ข้ามมาฝั่งตรงๆ นี้ ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ ก็ต้องไป
ต้องไปตามกระแสน้ำก่อนแล้วค่อยๆ ถ่อแพเข้ามาสู่ฝั่งของประเทศ
พระครูธรรมาภิสมัย:
ครับ
พระมหาจงยุทธ: ทีนี้แล้วก็ เมื่อมามาถึงจุด
สถานที่หนึ่งเรียกว่าเวิน อีกเหมือนกัน เป็นสถานที่น้ำวน มีน้ำไหลเชี่ยว แล้วก็ตรงที่หมุนวนนั้นเป็นช่วง
เป็นหลุมลึก
พระครูธรรมาภิสมัย:
ครับ
พระมหาจงยุทธ: หลวงพ่อพระสุกก็จมลงไปอีก
พระครูธรรมาภิสมัย:
จมไปอีกครั้งหนึ่ง
พระมหาจงยุทธ: ครับ
ก็เลยเรียก สถานที่ตรงนั้นว่า เวินสุก
พระครูธรรมาภิสมัย:
อ๋อ เวินสุก ที่ผมกับท่านอาจารย์สิงโตเคยไปดูกันนะ
พระมหาจงยุทธ: ครับ
ตรงนั้น กระผมเคยไปดูด้วยตนเอง ปัจจุบันก็ยังคงเป็นน้ำวนอยู่ เท่าที่ไปพิสูจน์ทราบ
แล้วก็ไม่มีการงม ไม่มีการเอาขึ้นมาใดๆ
ปัจจุบันนี้หลวงพ่อพระสุกก็ยังอยู่ในน้ำตั้งแต่บัดนั้นจนกระทั่งบัดนี้
พระครูธรรมาภิสมัย:
จนกระทั่งบัดนี้ ที่เรียกว่าเวินสุก
ใช่ไหม
พระมหาจงยุทธ: ครับ
ที่เรียกว่าเวินสุก
พระครูธรรมาภิสมัย:
อ๋อครับ แล้วทีนี้
ที่มาด้วยกันสามพี่น้องนะ
พระมหาจงยุทธ: ครับที่มาก็
โดยเฉพาะหลวงพ่อพระเสริมและหลวงพ่อพระใส
พระครูธรรมาภิสมัย:
หลวงพ่อพระเสริม หลวงพ่อพระใส
พระมหาจงยุทธ: ครับผม
พระครูธรรมาภิสมัย:
ตานี้หลังจากนั้นแล้วหลวงพ่อพระเสริม
ก็หลวงพ่อพระเสริมนี้ไปอยู่ที่ไหนครับ
พระมหาจงยุทธ: ครับเบื้องต้นนี่
หลวงพ่อสองพี่น้องที่เหลือนี่ก็มาขึ้นที่ท่า เรียกว่า ท่าวัดหอก่อง
ห่างจากนี้ไปประมาณสักสองกิโลเมตรนี่ครับ
พระครูธรรมาภิสมัย:
อ๋อ ครับผม
พระมหาจงยุทธ: ครับ
ก็ขึ้นที่ท่าวัดหอก่องเสร็จก็
ในสมัยนั้นคนที่ปกครองจังหวัดหนองคายเรียกว่าเป็นข้าหลวง
พระครูธรรมาภิสมัย:
อืม
พระมหาจงยุทธ: ตรงนี้
จังหวัดหนองคายเรียกว่าหัวเมืองบ้านไผ่นะครับ เป็นบ้านไผ่
พระครูธรรมาภิสมัย:
เป็นบ้านไผ่
แต่ตอนนี้บ้านไผ่ย้ายไปอยู่ที่โน่นแล้ว (ที่ขอนแก่น)
พระมหาจงยุทธ: หนองคายชื่อเดิมก็คือบ้านไผ่
พระครูธรรมาภิสมัย:
เพราะว่ามีไผ่เยอะครับ ผีไผ่
พระมหาจงยุทธ: พระมหาจงยุทธ: ผิวไผ่
พระครูธรรมาภิสมัย:
ผีไผ่มาจากนี้ มีไผ่เยอะด้วย
พระมหาจงยุทธ: ครับ
หลังจากกิตติศัพท์ของพระพุทธรูปได้ขจรขจายไปถึงเมืองหลวง
พระครูธรรมาภิสมัย:
สองพี่น้องนี้นะครับผม
พระมหาจงยุทธ: ครับ
ในขณะนั้นนี่ มีการสร้างวัดใหม่ๆ สร้างวัดปทุมวนารามใหม่ๆ
พระครูธรรมาภิสมัย:
อยู่ที่กรุงเทพฯ
พระมหาจงยุทธ: ครับ
ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๔ มีพระราชประสงค์ อยากให้พระพุทธรูปสององค์นี้ไปอยู่ในพระนครครับ
พระครูธรรมาภิสมัย:
พระนครส่วนกลางนะ
พระมหาจงยุทธ: ครับ
อยู่ส่วนกลาง ก็เลยให้ข้าหลวงนี่อัญเชิญหลวงพ่อสองพี่น้องนี้
พระครูธรรมาภิสมัย:
ไป...
พระมหาจงยุทธ: ไปที่กรุงเทพฯ
พระครูธรรมาภิสมัย:
อ๋อ
เรื่องราวของหลวงพ่อพระใส
กำลังเข้มข้น หลวงพ่อพระใสท่านจะได้ไปอยู่กรุงเทพฯ หรือไม่ โปรดติดตามในวันพรุ่งนี้นะครับ



